พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 795


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๙๕

    ณ สำนักงานมูลนิธิเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๕


    ท่านอาจารย์ ถ้าเพียงแต่โกรธ และอยากไม่โกรธ หาวิธีไม่โกรธ ก็คือการตัดกิ่งตัดใบนิดๆ หน่อยๆ แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำลายต้นไม้ต้นใหญ่ของอวิชชา และอกุศลทั้งหลายได้ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่หมายความว่า การฟังวันนี้ แล้วเราสามารถที่จะไปละ การยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ที่กำลังเห็นได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น หรือว่าจะเป็นเสียง หรือว่าจะเป็นคิด หรือจะเป็นอะไรก็ตามแต่ทั้งหมด ไม่ใช่ว่าฟังเท่านี้ แล้วสามารถที่จะไปละการยึดถือสภาพธรรมที่เหนียวแน่นมาก และยึดถือมานานแสนนาน อุปมา ก็คือ รากที่แข็งแรงอย่างยิ่งของต้นไม้ใหญ่ ที่อยู่ข้างใต้

    เพราะฉะนั้น การฟังเพื่อสะสม ที่จะให้สามารถมีปัญญาถึงอนุสัยกิเลส เรื่องที่จะละโลภะความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสิ่งที่ปรากฏที่กาย หรือคิดนึกต่างๆ ยังไม่ต้องคิดเลย สุดวิสัย อย่างท่านผู้หนึ่ง ท่านก็สนทนาด้วย แล้วท่านก็หายไปนานแล้วท่านก็กลับมาบอกว่า เรื่องอื่นท่านก็ไม่ค่อยสนใจ แต่รสนี่อดไม่ได้ ไม่ใช่ให้ใครไปอด ไม่ใช่ให้ใครไปทรมาน แต่รู้ตามความเป็นจริงเมื่อสิ่งนั้นเกิดแล้ว แค่นี้ เป็นอุปสรรคที่ใหญ่มากสำหรับการที่จะรู้ความจริง เพราะอวิชชา และโลภะปิดกั้นอยู่ตลอดเวลา เพียงแค่สิ่งนี้ปรากฏแล้ว มีจริงๆ และก็ฟังเพื่อจะเข้าใจความจริงโดยไม่หวังว่าจะเข้าใจมาก หรือว่าสามารถที่จะเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาอย่างที่ได้ฟังทันที แต่ค่อยๆ สะสมความเห็นถูก ความรู้ ความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย

    ขณะนี้ มีสิ่งที่กำลังเผชิญหน้า คือ ปรากฏให้เห็น เป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง ชั่วขณะที่เห็น ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ไตร่ตรอง เพียงเกิดกระทบจักขุประสาท และเมื่อจิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งนี้จึงจะปรากฏได้ เท่านี้เอง คือ ชีวิต ซึ่งเห็นแล้วเห็นอีก เห็นแล้วก็พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง คิดนึกเรื่องราวต่างๆ ของสิ่งที่เห็นมากในหนังสือพิมพ์ แค่สีดำสีขาวเป็นเรื่องใหญ่ไหม คนนี้ก็คนนี้ คนนั้นก็คนนั้น ทั้งสองคนก็มีเรื่องเยอะแยะมากมาย ก็เพียงแค่สีดำขาว แต่ก็ปรากฏเรื่องมากมาย นี่แสดงให้เห็นว่าไม่ได้รู้ความจริงเลย ว่า ขณะนั้นไม่มีอะไรทั้งสิ้น นอกจากธาตุรู้ ซึ่งเกิดขึ้นรู้แล้วก็ดับ รู้แล้วก็ดับ สืบต่อจนปรากฏเป็นเรื่องใหญ่โต หรือว่าเป็นเรื่องยุ่งยากมากมาย เพราะความไม่รู้

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรม บางคนก็ถามว่า แล้วจะฟังตรงไหนก่อน ไม่ต้องคิดเลยตรงไหนที่มีสิ่งนั้นจริงๆ และพูดให้เข้าใจความจริงของสิ่งนั้น ก็เป็นการที่ได้ฟัง ได้รู้ ได้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่เคยฟังความจริงอย่างนั้นมาก่อนเลย เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ก็กำลังพูดเรื่องสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ มีแน่นอน แล้วก็ไม่ใช่ใครด้วย เราเห็นเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ แต่ว่าตามความเป็นจริง เพียงจิตหนึ่งขณะแสนสั้น เกิดขึ้นเห็นแล้วดับ จะมีรูปร่าง จะมีความคิดว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร หรือเปล่า

    เพราะฉะ นั้นเวลาพูดถึงธรรม พูดถึงความจริง พูดถึงแต่ละขณะที่สั้นที่สุด ก็ต้องพูดถึงธรรมทีละหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าพูดถึงเห็นขณะนี้ที่กำลังเห็น เห็นเกิด มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ดับเร็วเกินกว่าใครจะคิด และคาดคะเนได้ว่า ไม่ทันที่จะรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไรเลย แต่ว่าขณะนี้เห็นเกิดแล้วดับ แล้วก็คิด และจำสิ่งที่ปรากฏจนเป็นรูปร่างสัณฐานอย่างเร็วมากว่า เพราะฉะนั้น ลองคิดถึงว่า การเกิดดับสืบต่อของจิตแต่ละหนึ่งขณะ จะเร็วสักแค่ไหน เพราะว่า เวลานี้เหมือนไม่ได้แยกจากกันเลย ทันทีที่เห็นก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะว่า มีรูปร่างสัณฐานที่หลากหลายมาก ทำให้จำได้

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรมไม่ลืม ฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ด้วยพระองค์จากพระโอษฐ์ เพื่ออนุเคราะห์คนอื่น ซึ่งกำลังฟังแล้วแต่ว่าได้สะสมความเห็นถูกมามากน้อยแค่ไหน จะเข้าใจได้แค่ไหน แต่ทุกคำเป็นวจีสัจจะ เป็นคำจริงที่พิสูจน์ได้ เพราะว่า ขณะนี้ ถ้าใครเกิดตาบอด กำลังเห็นแท้ๆ อย่างนี้ก็ไม่เห็นแล้ว ไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ หรือว่าเกิดหลับไป ตาไม่บอด แต่ง่วงเหลือเกินฟังได้ไม่กี่ประโยคก็หลับไปแล้ว จะมีเห็นไหม ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น การเข้าใจธรรมที่มีจริง ว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่งก็จะทำให้สามารถที่จะคลายความติดข้อง ทั้งๆ ที่ฟังอย่างนี้ ก็ติดข้อง ฟังอีกก็ยังติดข้องอีก

    เพราะฉะนั้น เห็นกำลังของความไม่รู้ และความติดข้องว่ามากมายมหาศาล แต่ปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละน้อย แม้น้อยที่สุด ก็ยังสามารถที่จะสะสม จนกระทั่งกำลังฟังเรื่องสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็สามารถที่จะเข้าใจ และคลาย ด้วยความเข้าใจ การที่เคยยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ที่มั่นคง ที่ไม่เกิดดับ เพียงแค่นี้ คือ คลาย และน้อยมากด้วย แต่ก็สะสม เหมือนความไม่รู้ ซึ่งไม่ต้องทำอะไรเลยก็ไม่รู้ และสะสมไปเรื่อยๆ ก็ทำให้เกิดความติดข้อง และการยึดถือในสิ่งที่เพียงเกิดขึ้น และดับไป

    เพราะฉะนั้น แต่ละคำไม่เปลี่ยน และก็จำในใจมั่นคงว่าทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏชั่วคราวแล้วหายไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้น ติดข้องในสิ่งที่เพียงปรากฏชั่วคราวเยอะมากเลย ใช่ไหม สิ่งที่ปรากฏชั่วคราวทางตาติดข้องหมดเลย ไม่ว่าปรากฏเมื่อไหร่ก็ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏทันที ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจเรื่องราวต่างๆ เพราะฉะนั้น การฟังธรรมจึงเป็นผู้ที่ละเอียด ที่ไม่ได้คิดว่าจะไปดับกิเลสได้รวดเร็ว หรือว่าจะเข้าใจสิ่งที่กำลังได้ฟัง และกำลังปรากฏอย่างรวดเร็ว แต่สะสมความเข้าใจมั่นคงขึ้น ต้องพูดถึงมหาภูตรูปอีก หรือเปล่า เมื่อวานนี้ ก็คงยังไม่ทันลืม ใช่ไหม ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏให้เห็น สิ่งนั้นอยู่ที่ไหน ถ้าไม่มีธาตุดิน น้ำไฟ ลม จะมีสิ่งที่เกิดที่นั่น กับธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม และกระทบตาได้ และก็เมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น จึงปรากฏว่า สิ่งนี้มีจริงๆ แต่ทันทีที่สิ่งนี้มีจริง ไม่ได้คิดถึงมหาภูตรูปเลย ไม่ได้คิดถึงธาตุเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหวเลย เพราะว่า เพียงสีที่กระทบปรากฏ

    เพราะฉะนั้น จะไปคิดถึงมหาภูตรูป หรือสิ่งที่อ่อน หรือแข็งไม่ได้ แสดงให้เห็นว่าทันทีที่เห็น เราคิดตามสิ่งที่เห็น โดยที่ว่าจะไปบังคับไม่ให้คิดต่อ หรือว่าคิดตามก็ไม่ได้ถ้าถามว่าเห็นอะไร ทุกคนตอบได้ทันทีเห็นดอกไม้ เห็นคน เห็นเก้าอี้ ตอบได้ทันทีเหมือนไม่ต้องไปนั่งไตร่ตรอง ไม่ต้องไปคิดอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ที่เป็นอย่างนั้น เพราะเหตุว่า ธาตุจำ สภาพธรรมที่เป็นธรรมธาตุที่กำลังจำ เกิดขึ้นทำกิจจำ ไม่ต้องมีใครไปทำอะไรทั้งนั้นเลย เกิดแล้วเป็นอย่างนี้แล้ว จำได้แล้ว ว่าสิ่งที่ปรากฏขณะนี้เป็นอะไร

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจความจริงแต่ละหนึ่ง จนกว่าจะรู้จริงๆ ว่าไม่มีเรา เดี๋ยวนี้ตอนแรกที่ถามว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาอยู่ที่ไหน ถ้าไม่ได้ฟังมาเลย หาเจอไหม ก็เห็น แต่ไม่รู้อยู่ไหน แต่ว่าถ้าศึกษาแล้วรู้เลย ก็อยู่ที่มหาภูตรูปธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เพียงมหาภูตรูปพ้นสายตาไป สิ่งที่ปรากฏเมื่อสักครู่นี้ก็พ้นไปด้วย จะยังคงเหลือ ได้ไหม ไม่ได้เลย ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น คนกำลังนั่งอยู่ที่นี่ เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏนี่แหละ อยู่ที่มหาภูตรูปนั่นเอง

    เพราะฉะนั้น ทันทีที่คนนั้นออกจากห้องไป จะเหลือสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็น ได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก็เริ่มเข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ไม่ใช่รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธานมีเพียง ๔ รูป ธาตุดินอ่อน หรือแข็ง ธาตุไฟเย็น หรือร้อน ธาตุลมตึง หรือไหว ธาตุน้ำซึมซาบเกาะกุมรูป ไม่ให้แยกจากกันเล เพราะฉะนั้น กระทบทีไรธาตุน้ำก็ไม่ได้ปรากฏ แต่ว่าสิ่งที่สามารถกระทบกายปสาททั้งวันตั้งแต่เกิดมา ก็รู้ว่าอ่อนบ้าง แข็งบ้าง เย็นบ้าง ร้อนบ้าง ตึงบ้างไหวบ้างเท่านั้นเอง แต่ว่าไม่รู้ความจริงว่าเป็นสิ่งที่มีเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาลวงให้เห็นโดยสี สิ่งที่มีอยู่ที่นั่นปรากฏเป็นนิมิตรูปร่างต่างๆ ทำให้เกิดปัญญัติ คือ รู้ได้โดยอาการของนิมิตที่ปรากฏ จากรูปซึ่งเกิดดับอย่างเร็ว

    นี่คือชีวิตตามความเป็นจริง แล้วเมื่อไหร่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ถ้าไม่มีความเข้าใจจริงๆ ไม่มีหนทางเลย เพราะฉะนั้น อาศัย หรือพึ่งพระรัตนตรัยโดยการฟังพระธรรมให้เข้าใจ ไม่ใช่ทำอย่างอื่นเลย ไม่ทราบเพียงพอไหม ทุกวันก็เป็นอย่างนี้ เรื่องสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาจนกระทั่งมั่นคงเลย คนที่ไม่ฟังจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาอยู่ที่ไหน ทั้งๆ ที่เป็นความจริง แค่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏพ้นสายตาไปก็ไม่มีแล้ว เพราะไม่มีมหาภูตรูป แล้วจะให้มีสิ่งที่สามารถกระทบตาในขณะนี้ได้อย่างไร แล้วใครทำให้เกิดขึ้น ใครเป็นเจ้าของ สักอย่างหนึ่งตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า หรือไม่ว่าภายในภายนอกทั้งหมด ธรรมเป็นธรรม เป็นธาตุ ซึ่งไม่ใช่ของใคร ไม่มีทางที่จะเป็นของใครได้สักคน แม้แต่จิตซึ่งอยู่ในที่สุด ในยิ่งกว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ในยิ่งกว่าแข็งที่กำลังกระทบกาย และปรากฏ

    เพราะฉะนั้น แม้แต่จิตซึ่งเป็นสิ่งที่ภายในที่สุด ก็ไม่ใช่ของใคร เกิดขึ้นแล้วดับไป รู้ได้ไหม รู้ได้ แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ ต่อเมื่อเข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้น จะขาดปัญญาไม่ได้เลย คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบ่งแล้ว พุทธะ ผู้รู้ สอนให้คนอื่นเป็นพุทธสาวกรู้ตาม เพราะฉะนั้น ต้องรู้ ไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลย แล้วก็จะไปดับกิเลส หรือจะไปทำอะไรก็เป็นสิ่งซึ่งไม่มีเหตุผล และก็ห่างไกลจากสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะว่า กำลังปรากฏแท้ๆ ยังไม่รู้ แล้วจะไปรู้อะไรที่ไหนได้ โดยเฉพาะสิ่งที่ยังไม่ปรากฏเลย รู้ไม่ได้แน่ เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่า ขณะนี้กำลังมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแล้ว ยังไม่รู้ แต่วันหนึ่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น และรู้ความจริงได้ เพราะฉะนั้น เป็นวิริยารัมภกถา เป็นคำพูดทั้งหมด พระธรรมทั้งหมดให้เกิดวิริยะให้ ไม่ใช่ให้เราไปทำ แต่ว่ามีวิริยะที่จะอดทน รู้ว่าเมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นแน่นอน วันนี้เข้าใจมากกว่าเมื่อวานนี้ ใช่ไหม

    อ.กุลวิไล กราบเรียนท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏทางตาเราก็เป็นเจ้าของ แล้วก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วย

    ท่านอาจารย์ แปลกมากเลย เป็นเจ้าของสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นยังไง เอามาทำอะไรได้ ลองเอามา สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ เป็นเจ้าของยังไง คิดว่าเป็นเจ้าของ คิดว่าของเรา แล้วเวลาตาบอด

    อ.กุลวิไล ตาบอดก็ไม่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ แล้วของเราหายไปไหน

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์ ใครทำให้เกิดขึ้น และก็ใครเป็นเจ้าของ

    ท่านอาจารย์ แม้แต่คำถาม ใคร ก็ไม่รู้แล้วใช่ไหม ใครทำให้เกิด เข้าใจผิดว่ามีใคร ผิดตั้งแต่ต้นเลย ที่ถามว่า ใครทำให้เกิด เพราะไม่มีใครแต่มีธรรม เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้จริงๆ ว่าการฟังธรรมต้องไตร่ตรอง แม้แต่คำที่ใช้ ก็สามารถที่จะพิจารณาได้ว่าถูก หรือผิด อย่างคำถามที่ว่า ใครทำให้เกิดแสดงว่าเข้าใจว่ามีคน หรือมีใครสักหนึ่งจะเป็นเทพ จะเป็นอะไรก็แล้วแต่สักหนึ่ง ที่ทำให้เกิดขึ้น เพราะไม่รู้ความจริง ว่าแท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่มีเพราะเกิดจากเหตุปัจจัย แล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น จะเป็นใคร แม้แต่ใครก็ไม่มี แล้วจะไปเป็นเจ้าของสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตาเป็นเจ้าของเสียง หรือเปล่า

    อ.กุลวิไล เสียงมี ก็หมดไป

    ท่านอาจารย์ เป็นเจ้าของเย็น ร้อน อ่อน แข็งที่กาย หรือเปล่า

    อ.กุลวิไล ก็ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ แค่ปรากฏว่ามีแล้วดับ นี่คือปัญญาจริงๆ เพราะเหตุว่า อะไรที่เกิดแล้วไม่ดับมีไหม ไม่มีเลย แล้วเจ้าของอะไร เป็นเจ้าของอะไรสักอย่าง อย่างที่บอกว่าแม้แต่จิต ซึ่งบอกว่าเป็นภายในที่สุด ภายนอกก็ยังพอจะตัดออกไปแขนขามือไม้ แต่จิตอยู่ข้างในที่สุด ก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เพราะว่า เป็นธาตุ ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยรู้อะไรแล้วก็ดับไปทันที

    เพราะฉะนั้น กว่าจะละการที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ปัญญาต้องมากมายระดับไหน ไม่ใช่นิดๆ หน่อยๆ ดิฉันเองรู้สึกอนุโมทนาทุกท่านที่มาที่มูลนิธิบ่อยๆ คือ มาแล้วก็ยังมาเพื่อที่จะฟังธรรม ซึ่งเป็นวิริยะความเพียรอย่างยิ่ง เพราะว่า เห็นประโยชน์ว่าเมื่อฟังแล้วเข้าใจวันนี้ วันต่อไปฟังอีกก็จะได้เข้าใจอีกก็น่าอนุโมทนาอย่างยิ่ง เพราะเป็นสิ่งซึ่งเข้าใจยากจริงๆ แต่ไม่พ้นวิสัยของการที่มีความเพียร แต่ไม่ใช่เรา เพราะศรัทธา ความผ่องใสของจิตที่รู้ประโยชน์ว่า ไม่ควรที่จะมีความติดข้อง และความไม่ รู้ในสิ่งซึ่งเพียงชั่วคราว แล้วก็หมดไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรมก็จะทำให้สามารถที่จะรู้ความจริงได้ ว่าสิ่งที่เคยเข้าใจว่าเป็นเรา และเป็นของเราความจริงเหลือ หรือเปล่า ตั้งแต่เกิดมาจนถึงเดี๋ยวนี้ หรือเมื่อสักครู่ก็ไม่เหลือแล้ว เพราะฉะนั้น การฟังธรรมจึงต้องฟังแล้วไตร่ตรอง แม้ประโยคที่เคยได้ยินแล้ว ซ้ำแล้วซ้ำอีก เช่น สิ่งที่มีจริง ขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริง เมื่อเกิดขึ้น แล้วก็เมื่อดับไปก็ไม่เหลือเลย แค่นี้พอที่จะ ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงขึ้น จะค่อยๆ คลายความไม่รู้ และความติดข้องไหม จะหาทางอื่น ไม่มีทางเลย ที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์กล่าวถึง สิ่งที่ปรากฏทางตาอยู่ที่ไหน ถ้าฟังพระธรรมแล้วต้องรู้ได้ว่า ต้องอาศัยเกิดกับมหาภูตรูป ๔ เพราะฉะนั้น สีสันมากมายเลย สีที่ตัวเราก็มี สีภายนอกก็มี ลองกระทบสัมผัสอะไรปรากฏ แม้นแต่แข็ง แข็งที่ตัวก็มี แข็งภายนอกก็มี แล้วแข็งนี้ หรือคือเรา แข็งก็เป็นแข็งนั่นเอง เรายึดถือแข็งที่มีขณะนี้ที่กำลังปรากฎว่าเป็นเรา ทั้งๆ ที่แข็งนี้เกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไป

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตาแล้ว ไม่ใช่สีสันวรรณ แต่ถามว่า ตาอยู่ที่ไหน ทุกคนจำได้ใช่ไหมว่า ตานี่อยู่ตรงไหน บางคนก็เอามือชี้นิ้วชี้ ตาอยู่ตรงนี้ เพราะจำ เห็นไหม แค่นี้กว่าจะระลึกได้ ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ไม่ปรากฏ แต่เคยเข้าใจว่ามี แม้ว่าสิ่งนั้นไม่มีแล้ว เกิดแล้วดับแล้วก็ยังจำว่ามี เพราะฉะนั้น การที่จะละคลายการยึดถือเห็นเฉพาะเห็น ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ไปคิดว่า ขณะนี้เห็นอยู่กลางตาของเราที่หน้าของเรา นั่นคือ สัญญาความจำ ว่ายังมีหน้า และมีตา เห็นไหม ความจำนี่ละเอียดมาก จำไปหมดเลย เวลานี้ทุกคนจำได้ใช่ไหม ตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า แล้วพอพูดถึงแขนก็จำได้ว่าตรงไหนพูดถึงขา พูดถึงเล็บ จำได้หมดเลยทั้งๆ ที่ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น เวลาถามว่าขณะนี้ตาอยู่ที่ไหนก็ตอบได้ เพราะจำ อัตตสัญญา แล้วเมื่อไหร่จะหมด คือ ขณะนั้นต้องไม่มีอะไรเหลือเลยทั้งสิ้น หน้าไม่มี แขนไม่มี ขาไม่มี จมูกไม่มี หูไม่มี มีแต่ธาตุที่กำลังรู้ สิ่งที่ปรากฏแล้วดับ เพียงหนึ่ง จะมีที่ไหนอีก จะเป็นที่แขน ที่ขา ที่มือ ที่เท้า ที่ตา อย่างที่เคยคิดก็ไม่ใช่ เพราะเหตุว่า จริงๆ แล้วขณะที่เห็นเกิดตามความเป็นจริงจะใช้คำว่าเห็น จักขุวิญญาณ เกิดที่จักขุปสาท ซึ่งเป็นรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น รูปนี้ไม่ใช่ตาขาว ตาดำทั้งหมด และก็มองไม่เห็นด้วย แต่ที่เกิด ก็คือ กลางตา แต่ไม่มีใครมองเห็น แต่กำลังกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่กลางหลัง หรือกลางศรีษะ หรือกลางหู เพราะฉะนั้น รู้ว่าอยู่ตรงนั้น แต่จำว่ามีเรา ที่มีศรีษะ มีคิ้ว มีตา จมูก ปาก แต่ว่าเวลาที่เป็นธรรมจริงๆ สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะปรากฏไม่ได้เลย เพราะความจริงขณะนั้น ไม่มี ต้องมีแต่เฉพาะสิ่งที่เพียงปรากฏ

    นี่คือความละเอียด ว่าแม้เห็นขณะนี้ เกิดที่จักขุวัตถุตามที่ศึกษา เพื่อที่จะให้รู้ว่าแม้เห็นก็มีที่เกิดที่รูป ไม่ใช่นอกรูปแต่ในรูป แต่รูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิตก็ดับด้วย รวมความว่าทุกอย่างเกิดดับ แต่ก็พอจะให้เห็นความจริงว่า การที่จะคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ถ้าไม่ละเอียด ยังคงมีอัตตสัญญา เพราะเหตุว่า ตาของเรา แต่ว่าขณะนั้นตรงนั้นที่เห็น และมีสิ่งที่ปรากฏ ชั่วขณะนั้นแล้วดับ ทั้งจักขุปสาทก็ดับสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็ดับ จิตเห็นก็ดับ เจตสิกที่เกิดพร้อมจิตเห็นก็ดับ แล้วจะเหลืออะไร เพราะฉะนั้น ความเป็นเรา หรือความเป็นอัตตา ลึกมาก เหนียวแน่นมาก ถ้าไม่ใช่ปัญญาจริงๆ ละไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ปัญญาจึงต้องอบรมตั้งแต่ขั้นการฟัง เข้าใจ สิ่งที่ฟัง เพราะว่า ถ้าไม่เข้าใจไม่สามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฎได้ แต่พอฟังแล้วบ่อยๆ มีความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น

    คิดถึงการสะสมของท่านพระสารีบุตร ๑ อสงไขยแสนกัป ที่จะเป็นพระอัครสาวกก่อนนั้นไม่เป็นแม้พระโสดาบัน แต่พอได้ฟังคำ จากท่านพระอัสสชิเป็นพระโสดาบันหลังจากนั้น ๑๕ วัน เป็นพระอรหันต์ ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมที่ได้สะสมมามากมายจนสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ จากการเพียงฟังแล้วละความติดข้องก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมได้ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ ผู้ที่รู้แล้ว พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสาวกทั้งหลาย ไม่ได้สงสัยในสิ่งที่ปรากฏ ในเห็นที่กำลังเห็นในขณะนี้ เพราะเหตุว่า ถ้าสงสัย เป็นพระโสดาบันไม่ได้ เพราะเหตุว่า ผู้ที่เป็นพระโสดาบัน ดับวิจิกิจฉานุสัย ความสงสัยในสิ่งที่ปรากฏ ไม่เกิดอีกเลย เพราะว่า กว่าจะละความสงสัย ปัญญาก็ค่อยๆ เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น การฟังก็ต้องค่อยๆ ฟัง แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ สะสมความเข้าใจ โดยไม่หวังว่าจะรู้ความจริงของสภาพธรรม ตามที่ทรงแสดงเมื่อไหร่ และวันไหนแต่ทุกอย่างที่เป็นผลต้องมาจากเหตุ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    22 ธ.ค. 2566