พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 825
ตอนที่ ๘๒๕
ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
วันอาทิตย์ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖
อ.วิชัย คำว่า ขันธ์คืออะไร
อ.คำปั่น สำหรับคำว่า ขันธ์ กล่าวโดยความหมายก็หมายถึง เป็นสภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่า เป็นของว่างเปล่า ว่างเปล่าจากความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน เป็นสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่าจริงๆ ว่างเปล่าจากความเที่ยง ว่างเปล่าจากความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ว่างเปล่าจากความงาม นี่คือความเป็นจริงของสภาพธรรม ซึ่งเมื่อสัปดาห์ก่อนที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงขันธูปธิก็คือ สภาพธรรมที่เป็นขันธ์นี่เอง ทรงไว้ซึ่งทุกข์จริงๆ เพราะว่าไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน เกิดแล้วดับไป
อ.วิชัย ดังนั้นเราได้ยินคำว่าขันธ์ก็คงที่จะเข้าใจขึ้นบ้าง เพราะเหตุแสดงในส่วนว่า ขันธ์หมายถึงเป็นกองหรือว่าเป็นส่วน บางแห่งก็แสดงเรื่องขันธ์หมายถึงเป็นของว่างเปล่าจากสาระ บางแห่งก็แสดงถึงขันธ์ชื่อว่าเป็นผู้ฆ่า บางแห่งก็แสดงอุปาทานขันธ์ ๕ ว่าเป็นภาระ จะค่อยๆ ศึกษาทีละคำ และความหมายในเรื่องของขันธ์ในส่วนต่างๆ
ในส่วนของขันธ์ ในอรรถกถาสัมโมหวิโนทนี ได้กล่าวเรื่องของขันธ์แสดงออกเป็น ๑๑ ประการ ที่กล่าวโดยนัยของขันธ์ หมายถึงเป็นกองหรือเป็นส่วน ที่กล่าวว่าเป็นอดีตบ้าง อนาคต ปัจจุบัน ภายใน ภายนอก หยาบ ละเอียด ทราม ประณีต ไกล ใกล้ กราบเรียนท่านอาจารย์เหตุใดจึงทรงแสดงธรรมในเรื่องของขันธ์ละเอียดอย่างนี้
ท่านอาจารย์ จะเข้าใจคำว่าขันธ์ เรื่องของขันธ์ หรือว่าจะรู้จักสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏ นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะไม่ว่าเราจะฟังเรื่องราวอะไรก็เข้าใจเพียงเรื่อง แต่ตามความเป็นจริงก็คือว่า ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้แจ้งความจริง ก็จะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นคำอะไรก็ตาม จะเป็นคำว่าขันธ์ หรือว่าจะเป็นการที่จะกล่าวว่าอดีต ปัจจุบัน อนาคต ไกล ใกล้ หยาบ ละเอียดอะไรทั้งหมด ก็คือเดี๋ยวนี้หรือไม่
จริงๆ แล้วฟังธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงๆ นี่เป็นความถูกต้องที่สุด และเรื่องที่ฟังก็เป็นเรื่องความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เพื่อให้รู้ความจริงว่าสิ่งที่มีจริงขณะนี้เป็นอย่างนี้ นี่คือประโยชน์ของการที่จะรู้ว่าความจริงคืออะไรและเมื่อไร ก็ต้องเป็นในขณะนี้ ไม่ได้ไปติดอยู่ที่คำเลย ไม่ต้องเรียกว่าขันธ์ แต่มีสิ่งที่มีจริงๆ ถ้าได้ยินคำว่าขันธ์กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงหรือไม่ หรือว่าไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่มี ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ต้องเรียกเลยก็มี แต่ถ้าไม่เรียกจะเข้าใจกันได้ไหม ว่าหมายความถึงอะไร ไม่ต้องกังวลถึงคำ ความหมายหรือลักษณะต่างๆ ถึง ๑๑ ประการของขันธ์ แต่ให้ทราบว่าที่กล่าวถึงขันธ์หมายความถึง พูดถึงสิ่งที่เดี๋ยวนี้มี เพราะเกิดจึงมี ปรากฏว่ามีจริงๆ ใครจะบอกว่าไม่มีก็ไม่ได้ แต่ความจริงที่บุคคลอื่นที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่รู้ก็คือ สิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีก สิ่งนั้นแหล่ะใช้คำว่า ขันธะหมายความว่าว่างเปล่าจากสาระ จากการที่จะยึดถือสิ่งที่เพียงเกิดขึ้นปรากฏและหมดไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย แต่ละหนึ่งด้วย ไม่ใช่มารวมกันว่ารูปทุกชนิดเป็นรูปขันธ์ อย่างนั้นยังไม่ลึกซึ้งพอที่จะเข้าใจว่า รูปหนึ่งเกิดขึ้นเพราะปัจจัยที่ทำให้เกิด แล้วดับแล้วไม่กลับมาอีก
นี่คือการที่จะเข้าใจคำว่าขันธ์จริงๆ คือต้องเข้าใจว่า เดี๋ยวนี้สภาพธรรมที่ปรากฏเป็นอย่างนี้ ไม่สามารถที่จะเข้าใจอย่างนี้ได้ถูกต้องตามความเป็นจริง แต่ต้องอาศัยการฟัง เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลย ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ได้ยินชื่อและเคารพกราบไหว้ แต่ว่าทรงแสดงอะไร ถ้าไม่พูดถึงสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ จะมีใครกราบไหว้บูชา และเรียกพระองค์ว่าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ทุกคำที่ได้ยิน เป็นคำที่แสดงความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ พอได้ยินคำว่าขันธ์ ก็ต้องเป็นสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ และหมายความถึงอะไร ไม่ว่าอะไรที่มีจริงทั้งหมดต้องเกิด ไม่เกิดจะปรากฏว่ามีจริงได้อย่างไร อย่างเสียงมีจริง ถ้าเสียงนั้นไม่เกิด จะบอกว่าเสียงนั้นมีจริงไม่ได้ แต่เสียงใดเกิด เสียงนั้นมีจริง ปรากฏว่ามีจริง เมื่อมีจิตได้ยินเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นเสียงมีจริง ได้ยินมีจริง แต่เสียงไม่ใช่ได้ยิน ได้ยินก็ไม่ใช่เสียง แต่ทั้งสองอย่างมีจริงชั่วคราว เพียงในขณะที่เสียงปรากฏและได้ยินเสียง แล้วก็ดับไป เห็นก็ไม่ใช่เสียงแล้ว เพราะฉะนั้นจะเข้าใจแม้คำเดียวที่ตรัส ก็ต้องเข้าใจถึงความลึกซึ้งที่มั่นคง ไม่มีการเคลือบแคลงสงสัยอีก เวลาที่ได้ยินคำว่าธ์ รู้เลยเดี๋ยวนี้ สิ่งที่มีจริงขณะนี้ เกิดขึ้นปรากฏชั่วคราวดับไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย และแต่ละหนึ่งก็เป็นแต่ละหนึ่ง ได้ยินเมื่อสักครู่นี้ไม่ใช่ได้ยินเดี๋ยวนี้ เสียงที่ได้ยินแล้วเมื่อสักครู่นี้ ไม่ใช่เสียงนี้ที่กำลังได้ยิน นี่คือสามารถที่จะเข้าใจขันธ์ ในขณะที่ขันธ์กำลังปรากฏแต่ละขันธ์ ว่าเป็นหนึ่งจริงๆ ในสังสารวัฏฏ์ ไม่ได้กลับมาเลยสักอย่างเดียว เมื่อวานนี้มีขันธ์ไหม มีสิ่งที่เกิดขึ้นปรากฏหมดไปแล้ว มีสักหนึ่งขันธ์เมื่อวานนี้กลับมาบ้างไหม ไม่มีเลย นี่ก็เป็นการยืนยันว่า ได้ความเข้าใจความหมายของคำว่าขันธ์แล้ว ว่าหมายความถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้นมีจริงๆ ชั่วคราวแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก
เพราะฉะนั้นแต่ละคำอย่าเพิ่งข้ามไป แต่เมื่อมีความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ นี่เป็นเรื่องของสิ่งที่มีจริง ซึ่งผู้ที่ทรงประจักษ์แจ้งความจริงได้ทรงแสดงความจริงของสิ่งนั้น ถ้ามีความเข้าใจถูกต้องว่า สิ่งที่มีจริงสามารถที่จะรู้ความจริงนั้นได้ไหม ลองคิดดู ความจริงเป็นอย่างนี้ สามารถที่จะรู้ความจริงนี้ได้ไหม ได้ เพราะพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว ไม่ใช่ไม่รู้ ไปคิดเองก็ไม่ใช่ แต่เพราะได้ทรงตรัสรู้แล้ว จึงทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง ให้คนอื่นได้เข้าใจความจริง จนกว่าจะรู้ตามความเป็นจริง นี่คือประโยชน์ของการฟัง มิฉะนั้นการฟังไม่มีประโยชน์เลย ขันธ์จะมีเท่าไร แต่เดี๋ยวนี้อะไรก็ไม่รู้
เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืม การฟังต้องรู้จักว่า ฟังอะไร เพื่ออะไร ฟังเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ เพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง พระผู้มีพระภาคตรัสกับชาวมคธในภาษามคธี ซึ่งเรียกว่าปาลี แต่คนไทยนิยมใช้บอใบไม้แทน ก็เป็นภาษาบาลี ต่างภาษาแต่ความหมายเดียวกัน เพราะฉะนั้นแต่ละคนที่ใช้ภาษาไหน ก็ให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงในภาษานั้น พอรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ได้ยินคำอื่นในภาษาอื่น เช่น คำภาษาบาลีก็เข้าใจได้ ต่อไปนี้มีใครพูดถึงขันธ์ เข้าใจแจ่มแจ้งหรือยัง ในเพียงความหมายและความจริงของขันธ์ ว่าต้องหมายความถึงสิ่งที่มีจริง แล้วลองคิดดู สิ่งที่มีจริงมากสักแค่ไหน เพราะเป็นสิ่งที่มีจริงเพียงหนึ่งไม่ปะปนกันเลยแต่ละหนึ่ง เกิดแล้วดับไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย ใครจะนับได้ว่ามากมายสักแค่ไหน
แต่ละคำที่ทรงแสดง ก็ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงโดยประเภทต่างๆ โดยประการต่างๆ เพื่อให้คนที่ฟังไม่เผิน เพื่อที่จะได้รู้ว่าได้ฟังความจริงจากพระธรรมที่ทรงแสดง เป็นวาจาสัจจะ พิสูจน์ได้ทุกกาละ เป็นความจริงซึ่งจะนำไปสู่การรู้ถูก สัจจญาณ หรือญาณสัจจะก็ได้ หมายความว่าจะนำไปสู่ความเข้าใจที่ถูกต้อง เวลานี้ถ้าใครพูดถึงขันธ์ เฉยๆ และกล่าวว่ามี ๕ รวมกันเป็น ๕ กอง กับคนที่ได้รู้ว่าเดี๋ยวนี้เองที่มีจริงๆ นี้แหละเป็นแต่ละสิ่งที่มีจริง ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่าขันธ์ แต่ภาษาไทยจะใช้คำว่าอะไร ภาษาอังกฤษ ภาษาเวียดนาม ภาษาอะไรก็แล้วแต่ต่างไป แต่ก็หมายความถึงสิ่งที่มีจริง และในขณะที่กำลังเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง มีชื่อไหม ถ้าคิดเมื่อไร ไม่ได้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังเป็นจริง นี่ก็เป็นการที่จะเข้าใจว่า แม้ความรู้ความเข้าใจสิ่งที่มีจริงก็ต้องละเอียดขึ้น เพิ่มขึ้น เพื่อละความไม่รู้
เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าศึกษาเพื่อจะจำคำมากๆ เพื่อจะรู้ข้อความในพระไตรปิฎก ในพระสูตรหรือในพระอภิธรรมก็ตามแต่ ที่เป็นคำยากๆ และไม่รู้เลยว่าหมายความถึงอะไร เช่น ปฏิจจสมุปบาท หรือว่าสังขาร หรืออะไรก็ตาม แต่ถ้าสามารถที่จะเข้าใจความจริงได้ในภาษาของตน พอได้ยินคำนั้นก็เข้าใจได้เลยในภาษาอื่น ว่าหมายความถึงอะไร ก่อนอื่นเพียงคำว่าขันธ์หมายความถึงสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้น เป็นอย่างไร ก็ไม่มีใครสามารถที่จะไปเปลี่ยนความจริงที่เกิดแล้วให้เป็นอย่างอื่นได้ และเป็นความจริงเพียงชั่วคราว ว่างเปล่า เพราะเหตุว่าเพียงเกิดขึ้นปรากฎว่ามีนิดเดียวแสนสั้น แล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก นี่คือคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในขณะนี้เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเพียงคำว่าขันธ์คำเดียว ทีละคำ ยังสงสัยอะไรอีกไหม ไม่มีใช่ไหม ไม่ต้องเรียกชื่อ แต่ก็ไม่รู้ ถ้าไม่ฟัง แน่นอน
เพราะฉะนั้นการฟังแต่ละคำก็สามารถที่จะทำให้มีความเข้าใจในสิ่งที่มี ก็มีการสนทนากับท่านผู้หนึ่ง ท่านก็ถามว่า เวลาเจ็บจะทำอย่างไร เห็นหรือไม่ ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ เจ็บมีจริงๆ หรือไม่ ตอนนี้ไม่สงสัยเลย เรียกขันธ์ได้ไหม เรียกได้ไหม ถ้าจะเรียก เรียกได้ไหม เพราะอะไร มีจริงๆ เกิดจริงๆ เป็นอย่างนั้นจริงๆ เปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เจ็บนั้นอยู่ที่ไหนเวลานี้ เหมือนเมื่อวานนี้ทั้งหมดอยู่ไหน กลับมาได้ไหม จะเกิดซ้ำอีกก็ไม่ใช่อันเก่า ไม่มีอะไรที่จะมาเกิดซ้ำได้เลย อย่างได้ยินก็ยังเป็นได้ยิน แต่เสียงไม่ใช่เสียงที่ได้ยินเมื่อวานนี้ หรือเมื่อครู่นี้เองได้ยินก็จึงไม่ใช่ขณะที่ได้ยินเมื่อครู่นี้ นี่คือการเริ่มเข้าใจจริงๆ ของแต่ละคำ ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจความหมายของธรรม สิ่งที่มีจริง แล้วก็เป็นอนัตตาด้วย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
ประโยชน์ของการที่ได้ฟังพระธรรมในแต่ละชาติ ในแต่ละคำ ก็คือสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริง ที่เกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่กำลังฟังให้เข้าใจจนกว่าเมื่อไรสามารถที่จะเข้าใจถูกจริงๆ ในขณะที่สภาพธรรมนั้นเกิดแล้วดับ เมื่อนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ปัญญาได้อบรมจนกระทั่งคำใดที่ได้ฟัง และเข้าใจว่าเป็นจริงอย่างนั้น ก็ได้ประจักษ์แจ้งว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่ฟังไว้และจำไว้เท่านั้น
อ.วิชัย ท่านอาจารย์กล่าวถึงขันธ์คือ สิ่งที่มีจริง ไม่ต้องกล่าวชื่อก็มีลักษณะจริงๆ ให้สามารถที่จะเข้าใจได้ แต่ในส่วนของขันธ์ที่ทรงแสดงในส่วนรูปขันธ์ก็มี และนามขันธ์ก็มี ขณะนี้ก็มีการเห็นได้ยิน และมีคิดนึก และมีการฟังสนทนาต่างๆ ส่วนใดที่เป็นรูปขันธ์ ส่วนใดที่เป็นนามขันธ์ที่จะเข้าใจขึ้น
ท่านอาจารย์ เห็นไหม มีคำใหม่มาอีกแล้ว รูป นาม รูปขันธ์ นามขันธ์ ก่อนได้ฟัง รู้ไหม
อ.วิชัย ไม่รู้
ท่านอาจารย์ ไม่รู้แต่มี มีแน่ๆ แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นความรู้ทั้งหมดคือรู้สิ่งที่มี ให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่มีใครพูดคำว่านามเลย ไม่มีใครพูดว่ารูปเลย ไม่มีใครพูดว่านามขันธ์ ไม่มีใครพูดว่ารูปขันธ์ เจ็บมีไหม
อ.วิชัย มี
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องเรียกอะไรเลย แต่ไม่คุ้นเคยว่า เจ็บมีเมื่อเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เป็นอื่นไม่ได้ จึงเข้าใจว่าเรา เจ็บนั่นเป็นเราและเราเจ็บ ซึ่งความจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะฉะนั้นยังไม่รู้จักเจ็บ แต่จะไปเรียกเจ็บว่านามธรรม เห็นไหม ยังไม่รู้จักเจ็บเลย แต่จะเรียกเจ็บว่านามธรรม กับการที่เจ็บมีจริงๆ ลักษณะที่เจ็บไม่ใช่แข็ง ไม่ต้องเรียกทั้งแข็ง ไม่ต้องเรียกทั้งเจ็บ แต่เจ็บก็เป็นเจ็บ แข็งก็เป็นแข็ง จนกว่าจะชินว่าลักษณะที่ต่างๆ กันไป ประเภทหนึ่งมีลักษณะซึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย แข็งไม่เจ็บแน่ๆ จะตีแข็งสักเท่าไร แข็งก็ไม่เจ็บ จะว่าแข็งสักเท่าไร แข็งก็ไม่โกรธ ใช่หรือไม่ เพราะแข็งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นไม่ต้องมีใครมาบอกว่านามธรรม ไม่ต้องมีใครมาบอกว่ารูปธรรม แต่ลักษณะของธรรมหลากหลายต่างกันไป ประเภทใหญ่ๆ ก็คือ สภาพหนึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย แต่ก็ไม่ต้องไปจำ พูดว่าสภาพหนึ่งที่มีจริงไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย กับกำลังรู้แข็ง แล้วเข้าใจแข็ง ว่าแข็งมีจริงๆ และแข็งก็ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่เก้าอี้ ไม่ใช่ดอกไม้ ไม่ใช่อะไรเลย แข็งมีจริงๆ เปลี่ยนแข็งให้เป็นอื่นได้ไหม ก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้นแม้ไม่ต้องเรียก แข็งก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เมื่อชินเข้าก็จะรู้ด้วยตัวเองว่า แข็งไม่รู้อะไร จะเรียกอะไร ภาษาอะไรก็ได้ แต่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสภาพที่มีจริง ซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ว่าเป็นรูปธรรม มีจริง เกิดขึ้นจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไร เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตามที่เกิดแล้ว ไม่ใช่สภาพรู้ อย่าลืม สิ่งใดก็ตามที่เกิดแล้ว ไม่ใช่สภาพรู้ มีไหม
อ.วิชัย มี
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องเรียกได้ไหม
อ.วิชัย ไม่ต้องเรียกก็มี
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องเรียกก็ได้ ด้วยเหตุนี้เราก็สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ว่าในขณะที่กำลังเห็นมีอะไร กำลังเห็น อะไร มีจริงๆ แน่ๆ คือ เห็น แล้วก็ยังมีสิ่งที่ถูกเห็นด้วย แต่ก็ยังไม่รู้ความจริงของทั้งสองอย่างนั่นเอง แต่เกิดแล้วเป็นอย่างนั้นใช้คำว่าขันธ์ ได้ไหม ก็ต้องได้ เพราะคำว่าขันธ์หมายถึงสิ่งที่มีจริง เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็หลากหลายมาก เมื่อเห็นมีจริงๆ เกิดจริงๆ เห็นจริงๆ จะไม่ใช่ขันธ์ได้อย่างไร ถ้าเข้าใจคำว่าขันธ์แล้ว แต่ถึงไม่เรียกว่าขันธ์ แต่บอกว่ามีจริง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปก็ได้ ไม่ต้องเรียกอะไรก็ได้
นี่ก็แสดงให้เห็นว่าการเข้าใจสิ่งที่มีจริง แม้ว่าจะใช้คำภาษาอะไร ก็ต้องมีจริง แล้วก็สิ่งที่ปรากฏ เห็นหรือไม่ เพียงแต่ถูกเห็น แต่สิ่งนั้นไม่สามารถจะเห็นอะไรได้เลย เวลาใช้คำว่าสี ทุกท่านคุ้นหู เข้าใจเลย เขียว แดง ขาว แต่พอพูดว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ไม่รู้ กำลังหาอยู่ เพราะเจอแต่สี ใช่ไหม มองไปก็มีแต่สี เพราะคุ้นเคยกับการจำสีต่างๆ แต่ไม่ได้เข้าใจเลยว่า ขณะใดที่เห็นไม่ต้องคิดอะไรเลย เพียงเห็นก็มีสิ่งที่ถูกเห็นแล้ว นี่คือความจริงกว่าหรือไม่ ที่จะเข้าใจถึงเมื่อเห็นแค่ลืมตาแล้วหลับ ลืมตาเมื่อไรก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นไม่ต้องเรียกว่าสี ไม่ต้องเรียกอะไรเลย แต่ให้ทราบว่าสิ่งนี้สามารถที่จะปรากฏเมื่อกระทบตา ตาก็ไม่เห็น มองไม่เห็นแต่มีแน่ๆ ใช่ไหม และถ้าธาตุรู้ไม่เกิดขึ้นเห็น ถ้าเห็นขณะนี้ไม่เกิดขึ้นเห็น สิ่งที่ปรากฏทางตาจะปรากฎว่ามี ก็ไม่ได้เลย
นี่คือความจริงชั่วขณะ ที่แต่ละขณะก็เป็นสังสารวัฏฏ์ คือเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เป็นสิ่งที่จะบังคับไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ จะไม่ให้ดับก็ไม่ได้ เพราะว่าความจริงเป็นอย่างนี้ ก็ต้องเข้าใจตามความเป็นจริง ซึ่งไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงความจริงของสิ่งที่มีจริงได้เลย เพราะฉะนั้นแทนที่จะมานั่งจำ นั่งท่อง บอกกันให้ไม่รู้ นี่เป็นนามธรรม นั่นเป็นรูปธรรม แล้วสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ทางตาหายไปเลย ใช่ไหม แต่พอพูดถึงสี รู้เลยนั่นสีส้ม นี่สีขาว นั่นสีชมพู นั่นสีเขียว แต่ว่าเป็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ เข้าใจหรือไม่ กว่าจะเข้าใจได้ ก็จะต้องมีการทรงแสดงพระธรรมมากที่จะให้ไตร่ตรอง ว่าจากไม่เคยรู้ความจริงของสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย เวลาที่เริ่มรู้เป็นความรู้ขั้นฟังเข้าใจ ทั้งๆ ที่ความจริงสิ่งนี้เกิดขึ้นดับไปอยู่ตลอดเวลาอย่างเร็วที่สุดทั้งหมด ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ปรากฏขณะนี้เป็นอย่างนี้ แต่ก็ยังไม่ได้เข้าใจตามความเป็นจริงอย่างนั้น เพราะฉะนั้นก็แม้แต่สิ่งเดียวที่ได้ยิน หรือที่กำลังปรากฏ ก็อย่าประมาทว่ารู้แล้ว แต่ถ้าไม่มีการเข้าใจ เริ่มเข้าใจจริงๆ ทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งสามารถที่จะละความไม่รู้ ละความติดข้อง แต่ก่อนละต้องคลาย หนาแน่นมากนานแสนนานมาแล้ว เหนียวแน่นมาก แล้วจะอย่างไรถ้าไม่มีการคลาย แล้วใครจะไปบอกว่าละ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
อ.วิชัย ในส่วนของรูปที่เป็นรูปขันธ์ พระองค์ก็ยังทรงแสดงในเรื่องของรูป ถ้าโดยจำนวนก็จะมี ๒๘ รูป ก็คือสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ แต่ละท่านก็จะมี ๒๗ เพราะว่าภาวะรูปก็เกิดได้บุคคลอย่างละหนึ่งรูป ดังนั้นในส่วนของรูปที่มีโดยประการต่างๆ ที่มีจริงขณะนี้ ยังทรงแสดงถึงความหยาบและความละเอียดของรูป ว่าโดยลักษณะของรูปหยาบก็มี และลักษณะของรูปละเอียดก็มี อย่างเช่นรูปหยาบ พระองค์ก็ทรงแสดงเรื่องของโอฬาริกรูปคือรูปหยาบ ก็จะมีจำนวน ๑๒ รูป จะมีลักษณะอย่างไร ขณะนี้ก็มี เป็นลักษณะของรูปที่หยาบ และในส่วนของรูปละเอียดก็มีเช่นเดียวกัน ที่เป็นสุขุมรูป ๑๖ รูป
อ.ธิดารัตน์ ในจำนวนรูปหยาบ ๑๒ รูป ก็มี ๗ รูปที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 781
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 782
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 783
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 784
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 785
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 786
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 787
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 788
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 789
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 790
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 791
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 792
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 793
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 794
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 795
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 796
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 797
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 798
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 799
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 800
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 801
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 802
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 803
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 804
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 805
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 806
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 807
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 808
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 809
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 810
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 811
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 812
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 813
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 814
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 815
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 816
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 817
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 818
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 819
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 820
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 821
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 822
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 823
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 824
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 825
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 826
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 827 --- ไม่ถอดเทป
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 828
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 829
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 830
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 831
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 832
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 833
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 834
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 835
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 836
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 837
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 838
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 839
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 840
