พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 784


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๘๔

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๕


    ผู้ฟัง อยากจะกราบเรียนท่านอาจารย์เกี่ยวกับว่า ในร่างกายนี้ก็เป็นเรา ก่อนฟังพระธรรมมีเราอยู่แล้ว

    ท่านอาจารย์ คุณชุณบอกว่า มีเราอยู่ในร่างกาย ถูกไหม ก่อนที่จะได้ฟังธรรม เพราะฉะนั้น ฟังธรรม เพื่อรู้ความจริงว่าที่ว่ากายนั้น คือ อะไร พระธรรมทั้งหมดที่จะเข้าใจก็ต่อเมื่อ คือ อะไร ก่อนที่จะพูดเรื่องอื่นทั้งหมด บางคนอาจจะพูดเรื่องต่างๆ ยาวมากไกลมากว่า แต่ก็ไม่รู้ว่าคือ อะไร เพราะฉะนั้น ก็เป็นโมฆะ คือ พูดเรื่องที่ไม่รู้ว่า คือ อะไร เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่ละคำขอให้เข้าใจจริงๆ ก่อนที่จะถึงคำอื่น เพราะฉะนั้น ที่คุณชุณยึดถือว่ามีเราที่กายนี้ ที่เป็นคุณชุณตั้งแต่ศรีษะจรดเท้าเป็นเรา แล้วลักษณะที่ว่าเป็นเรา คือ อะไร ลักษณะที่ว่าเป็นเรา ลองคิดถึง หรือว่าสัมผัสกระทบที่กาย

    ผู้ฟัง เป็นลักษณะใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ มีอะไร ที่เข้าใจว่าเป็นเรา

    ผู้ฟัง ลักษณะที่เป็นเราก็เป็นเย็น ร้อน อ่อน แข็ง

    ท่านอาจารย์ เย็นเหมือนที่อื่นมั้ย เย็นที่ไหน เป็นเย็นเหมือนกันหมด หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เหมือนกันหมด

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เย็นข้างนอก น้ำแข็งเย็น น้ำแข็งเป็นคุณชุณรึเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ที่ตัวที่เคยเข้าใจว่า ตรงเย็นตรงนี้แหละ เป็นเรา ถูก หรือผิด เย็นเป็นเย็น หรือว่าเย็นเป็นเรา

    ผู้ฟัง จริงๆ แล้วผิด ผมก็เข้าใจอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ เคยเป็นเรามาแสนโกฏิกัปป์แน่นอน ตั้งแต่เกิดมาก็เป็นเราตลอด แต่ฟังธรรมเพื่อเข้าใจถูกว่าสิ่งที่มีจริง ใครเปลี่ยนแปลงลักษณะนั้นไม่ได้ เพราะพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดของสิ่งที่มีจริง ขณะใดที่เย็นปรากฏตรงไหนก็ตาม เย็นเป็นเย็นจะเป็นอื่นไม่ได้ถูกต้องไหม

    ผู้ฟัง ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ที่เข้าใจว่าเป็นกายของเรา แท้ที่จริงก็เป็นสภาพเย็นบ้าง ร้อนบ้าง อ่อนบ้างแข็งบ้าง ซึ่งเพราะเกิดขึ้นจึงปรากฏ แต่ก็ดับไป

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เป็นเรา หรือเปล่า คือ ความเห็นถูก ต้องเริ่มตั้งแต่การฟัง เพื่อเข้าใจถูกตามลำดับ แม้ว่าเคยเข้าใจผิด ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรามานานแสนนาน แต่ประโยชน์ของการฟังด้วยดี คือ การฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟัง แล้วพิจารณาไตร่ตรอง ว่าเป็นความจริง หรือเปล่า

    พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่าเย็นเป็นเรา หรือเปล่า เย็นเป็นอัตตา หรือเปล่า หรือ ทรงแสดงว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา เป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ใคร และมีลักษณะที่ถึงที่สุด คือ ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนลักษณะนั้นให้เป็นอย่างอื่นได้ และลักษณะนั้น ก็ต้องเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปชั่วคราว เพื่อที่จะให้คนที่ได้ฟัง และเคยยึดถือว่ามีเรา หรือสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นเรา ได้เริ่มเข้าใจความจริง ซึ่งกว่าจะเข้าใจได้จริงๆ ก็ต้องอาศัยการฟัง การไตร่ตรอง การพิจารณา ว่าคำไหนจริง ที่เราคิดเองจริง หรือ ว่าที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเป็นความจริง

    เพราะฉะนั้น ที่เคยเข้าใจว่าเป็นคุณชุณ ก็คือเย็นบ้าง ร้อนบ้าง อ่อนบ้าง แข็งบ้างนานแสนนานมาแล้ว ณ บัดนี้ให้ทราบว่า เพราะมีสภาพรู้ หรือธาตุรู้ ที่เราใช้คำว่าจิตเกิดขึ้นรู้ จึงมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏว่ามีได้ แต่ถ้าจิตไม่เกิดเย็น หรือร้อน อ่อน หรือแข็ง ก็จะปรากฏว่า มีไม่ได้เลย แม้แต่ความคิดว่าเย็น ร้อน อ่อน แข็ง เป็นเราก็มีไม่ได้ เพราะฉะนั้น ให้เข้าใจความจริงจากการฟังทีละเล็กละน้อย ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่ใช่เรา เคยเป็นเรามานานแสนนาน กว่าจะพ้นจากการยึดถือสภาพธรรม ว่าเป็นเราก็ต้องพิจารณาไตร่ตรองในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ว่ากำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น หรือเปล่า ความจำมีจริงไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เกิดจะมีมั้ย

    ผู้ฟัง ไม่เกิด ก็ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ จำอะไร เห็นขณะนี้ จำแล้ว หรือยัง

    ผู้ฟัง เห็นขณะนี้ ก็จำแล้ว

    ท่านอาจารย์ ได้ยิน จำแล้ว หรือยัง

    ผู้ฟัง จำแล้ว

    ท่านอาจารย์ ไม่พร้อมกัน ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่พร้อมกัน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จำสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา จำเสียงที่ปรากฏทางหู จำกลิ่น และเวลาที่คิดนึก ก็เพราะจำ สิ่งที่เคยเกิด แล้วไม่รู้ความจริง จึงยึดถือว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้น สัญญาความจำก็วิปลาสคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เป็นอัตตวิปลาส เพราะเข้าใจว่า มีตัวตนจริงๆ ทั้งที่ไม่มีเลย จำก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ขณะที่เห็นจำสิ่งที่ปรากฏทางตาได้ ขณะที่ได้ยินจำเสียง เพราะฉะนั้น ที่จำเสียงไม่ใช่จำสิ่งที่ปรากฏทางตา แม้แต่จำก็เกิดขึ้นแล้ว ก็ดับไป นี่คือ การฟังให้เข้าใจธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ จำเป็นเรา หรือเปล่า

    ผู้ฟัง จำ ก็ไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อรู้ว่า ไม่มีเราจนกว่าจะเป็นความเข้าใจชัดเจนขึ้น เพราะว่าขณะนี้ เพียงฟังเท่านั้น ความเข้าใจชัดเจนยังไม่มีเลย ถ้าชัดเจนหมายความว่าเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมทีละหนึ่งไม่ปะปนกัน จึงจะชื่อว่าเป็นความเข้าใจในสิ่งที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่ง ฟังให้เข้าใจความจริง เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังฟัง ความจริง คือเป็นเรา หรือไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง ไม่ใช่เราแน่นอน

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องมั่นคง ที่จะฟังด้วยความเข้าใจต่อไป ว่าไม่ใช่เรา

    อ.คำปั่น ธรรมก็เป็นเรื่องที่ยากที่จะเข้าใจ แต่ถึงแม้ว่าจะยากอย่างไรก็ตาม ก็ไม่เหลือวิสัย เพราะเหตุว่า ผู้ที่ได้ตรัสรู้ความจริงนั้นมีแล้ว การที่จะเข้าใจธรรมตามความเป็นจริงมีได้แน่นอน แต่ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีหนทางเดียวเท่านั้นจริงๆ ไม่มีทางอื่น

    สืบเนื่องจากการสนทนาธรรมเมื่อสักครู่ ก็จะกราบเรียนถามอาจารย์อรรณพเพิ่มเติมว่า เมื่อวานก็ได้ฟังพระธรรม ก็มีข้อความหนึ่งที่ควรที่จะได้พิจารณาก็คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม โดยละเอียดโดยประการทั้งปวงเพื่อให้เข้าใจว่าไม่ใช่ตัวตน

    อ.อรรณพ ควรที่จะพิจารณาว่าในเรื่องสิ่งที่เป็นจริง คือ ธรรม ถ้าจริง ต้องจริงขณะนี้ และเป็นจริง คือ ไปเปลี่ยนสภาพ ไปเปลี่ยนลักษณะของสิ่งที่มีจริงนั้นไม่ได้ ถ้าของไม่จริงก็เปลี่ยนได้ อย่างชื่อเปลี่ยนไป อยากจะชื่ออะไร ตั้งชื่อกันไป เรียกว่าชื่อจริง จริง หรือเปล่าชื่อจริง อรรณพนี่ชื่อจริงไหม อยากจะตกลงใหม่ก็ไปเปลี่ยนชื่อเสีย จริงเหรอ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้วแต่จะสมมติเรียกอะไรกัน บางคนก็ไม่ได้เรียกชื่อจริง ก็เรียกว่าชื่อเล่นกัน สื่อสารกันไปเท่านั้น แต่ว่าความจริงแล้วสภาพที่แท้จริงนั้น ต้องจริงโดยสภาพเปลี่ยนแปลงไม่ได้ นั่นคือความหมายของธรรม

    เพราะฉะนั้น ต้องละเอียดลึกซึ้งธรรม พระองค์ท่านจึงทรงแสดงโดยแยกแยะจำแนกธรรม พระผู้มีพระภาค คือ พระผู้จำแนกธรรม ภควโต จำแนกเพื่อให้เข้าใจสภาพที่มีจริงนี้ โดย ๔๕ ปี เป็นคำสอนมากมายเพียงพอกับการเข้าใจ ถ้าผู้นั้นมีการศึกษา และมีความเข้าใจที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็จะไม่ละเลย และรู้ว่า พระธรรมนั้นละเอียด เพราะว่ากิเลสมีมาก กิเลสละเอียด ถ้าไม่มีความเข้าใจที่ค่อยๆ ละเอียดขึ้นก็ไม่สามารถไปละกิเลสที่ละเอียดนั้นได้

    อ.คำปั่น ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึง คุณของพระธรรม เป็นธรรมที่ผู้รู้จะพึงเห็นเองไม่ประกอบด้วยกาล ขึ้นอยู่กับว่าสภาพธรรมใดปรากฏ ก็สามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมนั้น ซึ่งก็มีข้อความในอรรถกถา จะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงว่าธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วนั้น จะสำเร็จประโยชน์เต็มที่ สำหรับผู้ที่มีมิตรดี ตั้งใจฟังด้วยดี มีความเชื่อมั่น เหมือนกับยาเป็นประโยชน์สำหรับผู้ใช้ หาเป็นประโยชน์แก่ผู้ไม่ใช้ไม่

    ท่านอาจารย์ ขอตัดสั้นๆ เพื่อที่จะได้เข้าใจชัดเจน เพราะว่าก็มีคำหลายคำ ทุกคนที่มาที่นี่ มาแล้วเพราะอะไร ต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะสนใจที่จะได้ฟัง สิ่งซึ่งไม่สามารถจะคิดเองได้ ถูกต้องไหม เพราะเหตุว่า คนที่ไม่มาเยอะมาก แต่คนที่มาเป็นส่วนน้อย

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ใช่ผู้ที่เห็นประโยชน์ของการที่จะได้ฟัง ไม่ใช่มาทำอะไรกัน แต่มาฟังสิ่งซึ่งไม่สามารถที่จะคิดเองได้ และก็รู้ด้วย ว่าคนอื่นก็ไม่สามารถที่จะกล่าวคำอย่างที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงแล้วจึงมาฟัง แต่ว่าผู้ที่ฟัง มีความเห็นก่อนที่จะได้ฟังอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ความเห็นอย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดง

    เพราะฉะนั้น ก่อนก็คือว่า มีความเข้าใจว่า เป็นเราตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ก็รู้ว่ามีผู้ที่ตรัสรู้ และทรงแสดงวาจาสัจจ คำจริง ซึ่งสามารถที่จะพิสูจน์ได้ ไตร่ตรองให้เข้าใจได้เทียบเคียงกับความคิดของตนเอง ก่อนที่จะได้ฟัง เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้คุณค่าของการฟัง เห็นประโยชน์ว่า การฟังจะทำให้สามารถได้ยิน ได้ฟัง สิ่งซึ่งคิดเองไม่ได้ และก็ไม่เคยฟังมาก่อนด้วย ควรค่าแก่การฟังเพื่อเข้าใจ จึงมาเพื่อที่จะฟัง นี่ก็จะเห็นได้ ฟังเพื่อเข้าใจสิ่งซึ่งตรงกันข้ามกับที่ไม่เคยคิดมาก่อน เช่นมีเรามาฟังธรรม แต่ฟังแล้วรู้ได้เลยนั่นคือ ผู้รู้ที่กล่าวคำจริง ไม่ใช่อย่างที่เราเคยคิด เคยเข้าใจมาก่อนว่าเป็นเราตั้งแต่เกิด

    เพราะเหตุว่า ผู้ที่ตรัสรู้ความจริงได้ทรงแสดงความจริง ให้คนที่ได้ยินได้ฟังไตร่ตรอง และพิจารณา และเริ่มรู้ว่า มีผู้ที่เข้าใจความจริงในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้อย่างนี้ เพราะฉะนั้น การที่เคยไม่เข้าใจมาก่อน ไม่รู้มาก่อน ก็เทียบเคียงได้ว่า ไม่รู้กับรู้ต่างกันแค่ไหน ไม่รู้คือไม่รู้ว่าขณะนี้เห็นมีจริงๆ เกิดแล้วดับไปนี่คือ ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อไตร่ตรองว่า ผู้รู้ได้กล่าวคำนี้จริง หรือไม่จริง มากน้อยแค่ไหน พิสูจน์ได้ ไตร่ตรองได้ ก็จะรู้จักตัวเองซึ่งเคยเข้าใจผิด เคยไม่รู้มาก่อนว่าทั้งหมดเป็นเรา เป็นโลก เป็นพี่เป็นน้อง เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ได้เริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง ว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น เห็นจะเป็นใคร จะเป็นนก จะเป็นแมว เป็นเทวดาจะเป็นคนไม่ได้เลยเห็นเป็นเห็น นี่คือได้ฟังผู้รู้เพื่อที่จะเข้าใจตาม ว่าผู้รู้ รู้อย่างนี้ ขัด หรือตรงกันข้ามกับความคิดของคนไม่รู้มากน้อยแค่ไหน นี่ก็เริ่มเห็นความต่าง

    เพราะฉะนั้น ประโยชน์ก็คือว่า ถ้าเป็นผู้ที่ตรง และจริงใจ ก็จะรู้ว่าคำไหนจริง และเมื่อเป็นคำจริง ก็ฟังให้เข้าใจขึ้นจนกระทั่งสามารถคำที่ได้ฟังนั้น พิสูจน์ได้ รู้ได้ประจักษ์แจ้งได้ จึงตรงกับคำที่พระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว ต้องมาคิดอะไรเพิ่มเติมอย่างนั้นอย่างนี้เองอีก หรือเปล่า ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่าง กล่าวไว้ทรงแสดงไว้ชัดเจนตามควรด้วย

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรม บางทีเราพูดเรื่องยาวหลายประโยค แต่ว่าเราเข้าใจจริงๆ ลึกลงไปถึงกับขณะนี้กำลังฟังพระธรรม ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เรารู้มาก่อน เพื่อให้เข้าใจว่าความจริงเป็นอย่างไร ไม่ใช่ไปบังคับ หรือ ให้เชื่อ แต่ให้รู้ความจริงว่า ผู้รู้ กับ ผู้ไม่รู้ต่างกัน แล้วเราเป็นใคร ผู้รู้ หรือผู้ไม่รู้เมื่อเป็นผู้ไม่รู้ จะรู้ได้แน่นอน เมื่อได้พิจารณาเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง

    เพราะฉะนั้น ก็ไปช้าๆ อย่างมั่นคง ว่าฟังทุกเสาร์-อาทิตย์ เพื่อเข้าใจ ผู้รู้ที่ได้ตรัสรู้แล้วกล่าว เพื่อที่จะได้รู้ว่า ความไม่รู้ของเราแค่ไหน คัดค้านตรงกันข้ามกับผู้รู้มากน้อยแค่ไหน เช่น ผู้รู้ รู้ว่า ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกันเลย เห็นเป็นหนึ่ง ได้ยินเป็นหนึ่ง คิดเป็นหนึ่ง จำเป็นหนึ่ง ก็ฟังให้รู้ว่า จริง หรือเปล่าเพื่อที่ความเข้าใจว่าทั้งหมดเป็นเรา แต่ว่าเมื่อได้ฟังแล้วก็รู้ว่า เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น เกิดแล้วก็ดับไป ก็จะได้เข้าใจถูกต้องว่า เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้กับความคิดเดิมๆ ของเรา อะไรเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อสิ่งใดถูกต้องก็ควรที่จะเข้าใจสิ่งที่ถูกต้อง ให้เข้าใจ จนกระทั่งประจักษ์แจ้งได้ เพราะเมื่อเป็นสิ่งที่มีจริง ก็สามารถที่จะรู้ความจริงนั้นได้ เพราะฉะนั้น ก็ขอย่อยประโยคที่คุณคำปั่นพูดเป็นแต่ละตอน

    อ.คำปั่น ท่อนแรก ก็คือ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว สำเร็จประโยชน์เต็มที่ สำหรับผู้ที่มีมิตรดี ตั้งใจฟังด้วยดี

    ท่านอาจารย์ คงจะผ่านข้อความในพระไตรปิฎก ที่ท่านพระอานนท์กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่ามิตรดีเป็นกึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์ แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า มิตรดีเป็นพรหมจรรย์ทั้งหมด เห็นไหม ท่านพระอานนท์เป็นใคร เราเทียบได้ไหม กับท่านพระอานนท์ แต่แม้กระนั้น คำของท่านพระอานนท์ที่กราบทูลตามความเข้าใจ ว่ามิตรดีเป็นกึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์ ก็ยังไม่ใช่คำที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ว่ามิตรดีเป็นพรหมจรรย์ทั้งหมด เห็นไหม ความต่างกัน

    เพราะฉะนั้น ใครจะเทียบกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหนทางเดียว คือ ฟัง และไตร่ตรองแต่ละคำ ว่าเคยเข้าใจว่า เมื่อมีมิตรดี มิตรดีก็แนะนำในสิ่งที่ดี ในสิ่งที่ถูกต้องส่วนความเข้าใจของตัวเอง ก็เจริญไปด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้น ท่านพระอานนท์ก็คิดว่าอาศัยมิตรดีเป็นกึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์ แต่ส่วนการกระทำ และความเข้าใจของท่านเอง ก็เป็นอีกกึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์ แต่ท่านพระอานนท์เป็นท่านพระอานนท์ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ท่านพระอานนท์

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรม ต้องละเอียด ต้องไตร่ตรอง รู้ความลึกซึ้ง ว่าแม้ท่านพระอานนท์ยังคิดอย่างนั้น แล้วเราคิดอะไร แล้วเราเป็นใคร ก็ยังไม่ถึงความเป็นท่านพระอานนท์เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ก็ลองเข้าใจว่า มิตรดี กัลยาณมิตรสูงสุดพระองค์เดียวคือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เป็นโทษกับใครเลย แม้ท่านพระเทวทัตจะคิดอย่างไรต่อพระองค์ แต่ความรู้สึกของพระองค์เสมอกันหมด ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกต่อท่านพระราหุล ท่านพระเทวทัต หรือช้างธนบาล หรือผู้ที่ทำร้ายมีความเสมอกันหมด เพราะอะไร ก็เป็นธาตุซึ่งใครจะไปเปลี่ยนแปลงได้ แต่ และธาตุก็สะสมมาที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น ไม่มีการที่ว่าจะเลือก หรือ ว่าจะเข้าใจว่าธาตุนี้เป็นของท่าน หรือเป็นของพระองค์ หรืออะไรเลย ด้วยเหตุนี้ จากการที่ได้ทรงตรัสรู้ และทรงมีพระมหากรุณาที่จะแสดงความจริง ซึ่งถ้าไม่มีการทรงแสดงธรรม ใครจะรู้เริ่มต้นของพรหมจรรย์ คือการประพฤติอย่างพรหม พรหมคือผู้บริสุทธิ์ กุศลใดๆ ทั้งหมด ถ้ายังไม่รู้ความจริงว่าเป็นธรรม กุศลนั้นๆ แม้ว่าจะมากมายมหาศาลก็ไม่บริสุทธิ์ จากกุศลเล็กๆ น้อยๆ ขั้นทาน ขั้นศีล ขั้นความสงบของจิต ขั้นไม่โกรธ ขั้นอภัย ขั้นอะไรทุกอย่าง จนถึงความสงบของจิตระดับของรูปฌาน ถึงอรูปฌานขั้นสูงสุด ก็ไม่บริสุทธิ์ ถ้าไม่รู้ว่าขณะนั้นเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่ตัวตน

    ด้วยเหตุนี้ เพราะฉะนั้น ธรรมที่ได้ยินได้ฟัง เริ่มต้นแล้ว เหมือนกับเพาะเมล็ดพืชของปัญญา ซึ่งจะเติบโตมากมายมหาศาล เป็นต้นไม้ที่แข็งแรง หรืออะไร ก็แล้วแต่ว่าจะมีการได้ยิน ได้ฟัง ได้เข้าใจ ได้สิ่งที่จะทำให้เมล็ดนั้นเติบโตได้มากน้อยแค่ไหน หรือว่าแค่นิดเดียวก็แกร็น ที่ใช้คำว่าไม่โตเสียแล้ว หรืออะไรอย่างนี้ หรือตาย และถูกสัตว์กัดกิน ก็เป็นสิ่งซึ่งแล้วแต่เหตุปัจจัย ให้ทราบว่า ไม่มีอะไรที่จะเกิดได้โดยไม่มีเหตุปัจจัย ที่จะให้สิ่งนั้นๆ เป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น จากพระธรรม ที่ได้ฟังคำเดียวเพิ่มขึ้นเป็นสองคำ สามคำ จนกระทั่งมีความเข้าใจขึ้น จนกระทั่งแม้ได้ฟัง แต่ไม่ลืมสิ่งที่เคยฟัง เช่น การที่จะละความติดข้อง และอกุศลทั้งหลาย ไม่ใช่ด้วยความไม่รู้ความจริง แต่เพราะเหตุว่า ปัญญาสามารถที่จะเห็นถูก เข้าใจถูก จนถึงที่สุดได้ตามลำดับ จึงสามารถที่จะแม้โลภะซึ่งเคยสะสมมานานแสนนานในสังสารวัฏก็ยังดับได้ ไม่เกิดอีกเลย

    เพราะฉะนั้น คำนี้เป็นคำจริงที่ได้ฟังจากกัลยาณมิตรสูงสุด คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคง กำลังติดข้อง แต่เพราะได้ฟัง เพราะได้เข้าใจ ขณะนั้น ปัญญาก็สามารถที่จะละความติดข้องได้

    เพราะฉะนั้น ที่เข้าใจว่าเป็นกึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์ แท้ที่จริงถ้าไม่อาศัยคำนั้น โดยตลอด เพราะเหตุว่า ฟังแล้วก็ติดอีก ฟังแล้วก็ติดอีก แต่พอระลึกถึงคำที่ได้ฟังด้วยความเข้าใจจริงๆ สามารถที่จะละได้ แล้วคำนั้นมาจากไหน แม้แต่การที่ผู้นั้นจะคิดถึง คำที่ได้ฟังแล้ว ก็ต้องเป็นคำที่ได้ฟังแล้ว ไม่ใช่คำที่คิดเอง

    เพราะฉะนั้น จะเป็นกึ่งหนึ่งได้ยังไง กึ่งหนึ่งก็หมายความว่า ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าครึ่งหนึ่ง และของตัวเองอีกครึ่งหนึ่ง คิดเองครึ่งหนึ่ง เก่งเองครึ่งหนึ่งก็ไม่ใช่ แต่ว่าโดยตลอด ด้วยเหตุนี้ จึงมีพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ คือความลึกซึ้งของธรรม ต้องรู้ว่า เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ เราจะไปคิดเป็นอย่างอื่น เราเป็นใคร ไม่ว่าคนนั้นจะถึงความเป็นพระอรหันต์ก็เพราะ พรหมจรรย์ซึ่งมาจากกัลยาณมิตรทั้งสิ้น เพราะไม่ลืม ถ้าลืม และคิดเองขณะนั้น ไม่ได้มาจากกัลยาณมิตรไม่สามารถที่จะข้ามพ้นความสงสัย และอกุศล และหนทางที่ผิดได้เลย

    ด้วยเหตุนี้ การฟังธรรมจากที่ไม่รู้ และกำลังเข้าใจถูกต้อง ว่าฟังพระธรรมที่ผู้ที่ตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงส่วนความเห็นเดิมที่เคยเข้าใจว่ามีเรา เป็นเราอะไรก็ตาม จะรู้ว่าค้านกับที่ได้ฟัง หรือว่าเริ่มคล้อยตามความจริงที่จะเข้าใจตรง ตั้งแต่เบื้องแรก โดยการที่รู้ว่าธรรมเป็นธรรม เกิดแล้วเป็นอย่างนี้ทุกขณะ เป็นไปเหตุตามปัจจัย จากชาติหนึ่งไปอีกชาติหนึ่งเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างที่เราเคยคิดว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้น ก็สามารถที่จะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็เข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    22 ธ.ค. 2566