พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 783


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๘๓

    ณ สำนักงานงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๕


    อ.กุลวิไล การศึกษา ก็เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ แล้วก็เป็นความจริง จิตเกิดขึ้นทีละขณะ และจิตเกิดขึ้นก็ต้องรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด ก็แล้วแต่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ

    ท่านอาจารย์ จากการฟังธรรม ก็จะทำให้พูดคำที่รู้จักขึ้น

    อ.กุลวิไล และแน่นอนตรงกับความเป็นจริงด้วย เพราะนี่คือ การสะสมความเห็นถูก จากการที่เรายึดถือว่าเป็นเราเห็น เราได้ยิน เราคิด แต่แท้ที่จริง ก็คือ จิตเกิดขึ้นนั่นเอง และจิตเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ก็ต้องรู้อารมณ์ เพราะว่า อารมณ์นั้นเป็นปัจจัยให้จิต และเจตสิกเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ไม่มีอารมณ์ จิตเกิดไม่ได้ และทั้งหมดก็คือ ขณะนี้เองเพราะว่า ขณะนี้มีธรรมที่กำลังปรากฏ และที่ปรากฏทีละอย่าง หรือทีละหนึ่งก็เป็นความจริง

    เรารวมทั้งหกทาง ดูเหมือนเห็นด้วย คิดด้วย และยังได้ยินด้วย แต่แท้จริงแล้ว จิตเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะเท่านั้นเอง และสิ่งที่เป็นอารมณ์ของจิต ก็มีจริงในขณะนี้ และที่แน่นอน ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ห้าทางเป็นปรมัตถธรรมล้วนๆ เป็นรูปทั้งหมด ไม่ใช่เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ แต่ที่เรารู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็เพราะว่ามีวิถีจิตทางใจเกิดสืบต่อนั่นเอง ให้รู้ได้

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับ ท่านอาจารย์ว่าให้เข้าใจศึกษาธรรมทีละอย่าง แต่ว่าจิตเกิดดับอย่างรวดเร็ว การศึกษาที่ว่าให้เข้าใจทีละอย่าง คือ อย่างไร

    ท่านอาจารย์ จิตไม่ใช่เจตสิกทีละอย่าง หรือเปล่า

    อ.วิชัย ทางตาก็อย่างหนึ่งด้วยใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างจิตก็เป็นจิต เจตสิกแต่ละหนึ่ง ก็เป็นเจตสิกแต่ละหนึ่ง รูปก็เป็นแต่ละหนึ่ง

    อ.กุลวิไล แม้แต่สิ่งที่เป็นอารมณ์ที่รู้ได้ทางตา และทางหู ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งเดียวกัน เพราะว่า เราเห็นเสียงไม่ได้ แต่เสียงรู้ได้ทางหู นี่คือการคลายความยึดถือสภาพธรรม ที่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เสียงปรากฏทางหู แต่เราเห็นเสียงไม่ได้ เพราะว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาก็คือ สีนั่นเอง สีสันมากมายเลย แต่ไม่ใช่ขณะที่รู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    ท่านอาจารย์ คงไม่ลืม ฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ และก็เข้าใจจริงๆ ด้วยในความเป็นจริงของสิ่งนั้น

    อ.กุลวิไล และนี่คือ ฟังด้วยดี เมื่อฟังด้วยดี ก็ย่อมเป็นปัจจัย ให้มีความเห็นถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริง

    อ.คำปั่น กราบเรียนท่านอาจารย์ ถึงในการศึกษาธรรมซึ่ง ก็จะขาดคำว่า ธรรมไม่ได้เลย กล่าวได้ว่า ธรรมเป็นทั้งคำแรก และเป็นทั้งคำสุดท้าย ที่ผู้ศึกษาพระธรรมจะต้องมีความเข้าใจให้ละเอียดลึกซึ้ง คำว่า ธรรม

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องใช้คำนี้ก็ได้ ใช่ไหม เพราะว่า กำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เพราะฉะนั้น บางคนก็ติดคำว่าธรรม แต่ไม่รู้ว่า ธรรม คือ อะไร เพราะว่าได้ยินแต่คำว่าธรรม แต่ถ้าพูดถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ก็คงไม่สงสัย ใช่ไหม แต่ก็ยังไม่รู้ว่า สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ คือ อะไร ทั้งๆ ที่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ มี และก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏจริงๆ แต่ละหนึ่ง คืออะไร

    ด้วยเหตุนี้ การฟังให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง ก็คือ ความหมายของการฟังธรรมศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจธรรม แต่ไม่ใช่ไปติดที่คำว่า ธรรม เพราะเหตุว่า ขณะนี้มีลักษณะของสิ่งที่มีจริงๆ กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น จากการที่ไม่เคยรู้เลยว่า เดี๋ยวนี้มีอะไรที่มีจริงๆ ก็จะได้เข้าใจขึ้น ว่าขณะนี้ ถ้าถามอย่างง่ายๆ ธรรมดาว่า เห็นไหม ทุกคนก็ตอบว่า เห็น หมายความว่า เห็นมีจริงๆ ไม่ใช่เราต้อง ไปนึกถึง เห็น หรือว่าไปสงสัย เห็น เพราะเหตุว่า ขณะนี้กำลังเห็น และพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงของทุกสิ่งที่มีจริง ในขณะที่สิ่งนั้นกำลังมีจริงๆ

    เพราะฉะนั้น ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ว่าสัมปฏิจฉันนะ คืออะไร สันติรณคืออะไรทั้งหมด แต่ว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ เพื่อที่จะได้น้อมเข้ามาในตน เป็นสิ่งที่ควรเรียกให้มาดู หมายความว่า เราจะไปรู้อย่างอื่นดีไหม รู้เรื่องนั้น รู้เรื่องนี้ รู้แล้วก็ดีใจบ้าง ชอบใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้าง แต่ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีขณะนี้ เดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็ไม่มี นี่คือความลึกซึ้งของสิ่งที่มีในขณะนี้ ซึ่งถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดงก็ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ได้

    ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ฟังธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นผู้ที่รู้ความจริงว่า ยังไม่ได้รู้อะไรเลย เป็นผู้ไม่รู้ จึงฟัง และฟังใคร ถ้าจะไปฟังนักปราชญ์ราชบัณฑิตที่ไหนจะเท่ากับ การฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง หรือไม่ เพราะฉะนั้น ก็ตรงที่สุดที่จะได้เข้าใจว่า คำว่าธรรม ที่พระผู้มีพระภาคตรัสในภาษาบาลี หมายความถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ และก็ให้เรา แต่ละคนที่ได้ฟังได้พิจารณาไตร่ตรองว่า สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ก่อนที่จะได้ฟัง กับได้ฟังแล้ว ความเข้าใจก็ต้องต่างกัน เช่น เห็น ในขณะนี้ มีก่อนฟังธรรม ใครรู้ว่าเห็นเกิด เห็น แล้วก็ดับ ไม่ใช่ใครเลยที่เห็น เพียงแต่เป็นสิ่งที่มีจริงใครห้ามไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เมื่อมีปัจจัยที่จะเห็น ก็เห็นแล้วก็ดับไปหมดไป เพราะเหตุว่า ไม่ได้มีแต่เห็น ขณะนี้ได้ยินก็มี

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่มีจริงชั่วคราวเกิดแล้วด้วย ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ และก็ เพราะไม่รู้ความจริง ก็เข้าใจว่าเป็นเราที่ได้ยิน เป็นเราที่เห็น เป็นเราที่คิดนึก ทุกอย่างที่เกิดตามเหตุตามปัจจัย บังคับไม่ได้ เลือกไม่ได้ ด้วยความไม่รู้ ก็เข้าใจว่าเป็นตัวตน และเป็นเรา ซึ่งเป็นความเห็นที่ผิด เพราะเหตุว่า ไม่ได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ

    ด้วยเหตุนี้ การรู้กับการไม่รู้ ก็ลองคิดดู ไม่รู้จะดีไหม เกิดมาแล้วก็ไม่รู้ เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็รัก เดี๋ยวก็ชัง เดี๋ยวก็เบื่อ เดี๋ยวก็เจ็บไข้ได้ป่วย หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ต้องเป็นไป แต่ว่าไม่รู้เหตุเลยที่ต้องเป็นไป เพราะอะไร จึงต้องเป็นไป มีใครจะหยุดยั้งความเกิดขึ้นของธรรมได้ หรือไม่ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่ว่าไม่รู้ว่าธรรมที่เกิดแต่ละหนึ่ง มีอะไรเป็นเหตุ เป็นปัจจัย แม้แต่ เห็น แม้แต่ ได้ยิน แม้แต่ ความคิดที่หลากหลายเดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ ก็เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น การฟังธรรมก็เริ่มรู้ว่าฟังเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ

    อ.คำปั่น ก็ไม่ลืมจุดประสงค์ในการฟังพระธรรม ก็เพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง กว่าที่จะเข้าใจไ ด้ก็ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนาน ในการสะสมจากการฟังการศึกษาในแต่ละครั้ง เป็นการสะสมความรู้ความเข้าใจไปตามลำดับ การฟังในวันนี้ ความเข้าใจมีเพียงเท่านี้ เมื่อเห็นประโยชน์ได้ฟังอีก ความรู้ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงไว้ว่า การฟังที่ยอดเยี่ยมการฟังที่ประเสริฐ ก็คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระสาวกของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดง

    เพราะว่า การฟังธรรม การฟังในสิ่งที่มีจริงนั้น จะเป็นไปเพื่อความรู้สิ่งที่มีจริง ซึ่งมีอยู่จริงๆ ในชีวิตประจำวัน ตามความเป็นจริง ก็จะกราบเรียนถามท่านอาจารย์เพิ่มเติม ในเรื่องของ ประโยชน์ที่เกิดจากการฟังพระธรรมนั้น จะเป็นไปเพื่อเป็นเครื่องเตือนให้ไม่ลืมที่จะขัดเกลากิเลสของตนเองอย่างไร

    ท่านอาจารย์ หวังผลอะไร หรือเปล่า เพราะฉะนั้น ก็ไม่ลืมว่า ที่ได้ยินคำว่ากิเลส หมายความถึงสภาพที่มีจริง แต่เป็นสภาพที่เศร้าหมองไม่ผ่องใส เกิดเมื่อไหร่ จิตขณะนั้นลำบาก แต่ไม่รู้ตัวเลย ว่ามีความติดข้อง หรือมีโทสะ หรือมีความขุ่นใจ หรือมีความไม่พอใจทั้งหมด ที่เป็นสิ่งที่ไม่ดี นำมาซึ่งโทษต่างๆ แต่ก็ไม่รู้เลยมองไม่เห็นด้วย ได้ยินแว่วๆ คำว่า กิเลส แล้วอยู่ไหน นี่คือความลึกซึ้ง ไม่ใช่ได้ยินคำนี้ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ไหน เดี๋ยวนี้ หรือเมื่อสักครู่นี้ มีโลภะมีความติดข้องในผลของการฟัง หรือไม่ หรือว่า เพราะไม่รู้ จึงฟัง จะได้เข้าใจถูก เห็นถูก ในสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนั้น

    เพราะฉะนั้น ผลของการฟัง คือเข้าใจขึ้นแล้วก็จะไม่มีอะไรเลยนอกจากเข้าใจขึ้นแล้วก็เข้าใจขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ฟัง เพราะฉะนั้น จากการที่ไม่รู้ว่า กิเลสคืออะไร กิเลสอยู่ที่ไหน และจะดับกิเลสได้อย่างไร ก็จะมีความเข้าใจ ในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังชัดเจนขึ้น เพราะฉะนั้น การฟังธรรมไม่ใช่ว่า เราอยากจะไปถึงไหน หมดกิเลสเร็วๆ หรือว่ารู้เรื่องของสภาพที่มีจริงมากๆ แต่เพียงฟังให้เข้าใจ ว่าขณะนี้กำลังฟังอะไร เรื่องอะไร ฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงในขณะนี้

    เพราะฉะนั้น ความไม่รู้เป็นกิเลส หรือเปล่า บางคนไม่คิดถึงเลย คิดถึงแต่โลภะ โทสะ มานะ ริษยาอะไรๆ ที่เกิดจากการกระทำที่มองเห็นได้ แต่ไม่รู้เลยว่าไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ นี่ก็เป็นกิเลส เพราะฉะนั้น จะไปเอากิเลสมาละกิเลสเป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าความไม่รู้ จะนำมาซึ่งความรู้ไม่ได้ ความไม่รู้ตรงกันข้าม หรือต่างกับสภาพธรรมที่เป็นความรู้ถูก ความเข้าใจถูก

    ด้วยเหตุนี้ เพราะมีความไม่รู้จะใช้ชื่อว่า เพราะมีกิเลสตัวร้ายที่สุด ซึ่งเป็นมูลให้เกิดอกุศลทั้งหมดเลย เพราะความไม่รู้ เมื่อรู้อย่างนี้ ว่าไม่รู้จึงฟัง เพื่อที่จะรู้ เพราะว่ารู้ ก็เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่รู้ก็เป็นสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น ฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจความจริงว่าเป็นเพียงสิ่งที่มีจริงๆ ชั่วคราวบังคับบัญชาไม่ได้ และไม่ใช่ของใครด้วย และก็ไม่ได้เกิดขึ้น เพราะหวังจะให้เกิด หรือว่าจะมีใครไปทำให้เกิดขึ้นก็ไม่ได้ นี่คือความจริงล้วนๆ ของสิ่งที่มีจริง ที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้นได้ จากการฟัง และไตร่ตรอง ว่าเมื่อไหร่ก็ตามแต่ ที่สภาพธรรมปรากฏแล้วไม่รู้ เมื่อนั้นจะเริ่มรู้ได้ด้วยการฟังเท่านั้น

    อ.คำปั่น พระธรรมเท่านั้น ที่จะเป็นเครื่องเตือนให้รู้ว่า โลภะก็มาก โทสะก็มาก ความไม่รู้ก็มาก ความตระหนี่ก็มาก ความริษยาก็มาก ซึ่งเป็นธรรมที่มีจริง แต่เป็นธรรมฝ่ายดำเป็นอกุศลธรรม ซึ่งเวลาเกิดขึ้นก็ต้องเกิดกับจิตที่เป็นอกุศลเท่านั้น การฟังพระธรรม ก็เป็นไป เพื่อเข้าใจตามความเป็นจริง แม้กิเลสก็เป็นธรรมที่มีจริงไม่ใช่เรา

    ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ควรที่จะเผินในการฟังพระธรรม แม้แต่ในเรื่องของธรรมก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเผิน เพราะว่า แสดงถึงสิ่งที่มีจริงทุกอย่างทุกประการ พระธรรมเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เข้าใจผิด

    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นใคร เหมือนเรา หรือไม่ คิดธรรมอย่างเรา หรือเปล่า เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นความห่างไกลกันมาก ของระดับขั้นปัญญา ที่ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่า พระคุณของผู้ที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเหนือบุคคลใดๆ ทั้งจักรวาล ไม่ว่าในโลกไหนทั้งสิ้น เหนือกว่าพรหม เหนือกว่ารูปพรหม เหนือกว่าเทพ จึงเป็นพระบรมศาสดา ครูของทุกชีวิต ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน ไม่ว่าจะเกิดในสวรรค์ หรือเกิดในมนุษย์ก็ตาม เพราะฉะนัั้น พระธรรมที่ทรงแสดงจากการที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานมากลองคิด ๔ อสงไขยแสนกัป กัปหนึ่งนานเท่าไหร่ไม่ใช่วันเดียว เดือนเดียว ปีเดียว ชาติเดียว แต่ว่าไม่ใช่เพียง ๑ กัป ๔ อสงไขยแสนกัป สำหรับผู้ที่ยิ่งด้วยปัญญา แต่ถ้ายิ่งด้วยศรัทธาก็เป็น ๘ อสงไขยแสนกัป กว่าจะรู้ความจริงที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ได้

    และถ้าเป็นผู้ที่ไม่มีปัญญายิ่ง หรือศรัทธายิ่ง แต่ว่ามีความเพียรยิ่ง ก็ถึง๑๖ อสงไขยแสนกัป ที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏเหมือนธรรมดา แต่เหมือนธรรมดา โดยไม่รู้เลยสักอย่างเดียว กับผู้ที่ได้อบรมบารมี ที่จะแสดงสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงโดยประการทั้งปวง เพื่อที่จะให้มีความเข้าใจถูกต้องว่า เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นจึงมี

    การฟังพระธรรมจึงต้องละเอียด จากไม่มีอะไรเลย แต่ก็มีปัจจัยที่ทำให้ มีสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นหลากหลายต่างๆ กัน ถ้าจะใช้อีกคำหนึ่งก็ใช้คำว่าธาตุ หรือ ธา-ตุ เวลาที่เราพูดถึงธาตุ หรือธา-ตุ เราก็จะได้ยินเพียงบางคำ เช่น ธาตุไฟเป็นสิ่งที่มีจริง ร้อนธาตุไฟ หรือเย็นก็แล้วแต่ ลักษณะที่ร้อน หรือเย็นมีจริงๆ แน่นอน ใครบังคับบัญชาได้เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปฉันใด แต่ละธาตุไม่ว่าจะเป็น โลภะความติดข้อง หรือโทสะความขุ่นเคือง หรือ ความไม่รู้ ทุกอย่างที่มีจริงทั้งหมดเป็น ธาตุ คือสิ่งที่มีจริงแต่ละชนิด ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครสามารถที่จะบันดาลได้

    ฟังแค่นี้ พอจะเห็นไหม ว่าจริงๆ แล้วใครบังคับได้ ใครให้เกิดมาได้ ในชาตินี้ เป็นคนนี้ มีนิสัยอย่างนี้ มีการกระทำอย่างนี้ มีความคิดอย่างนี้ แต่ละหนึ่งไม่เหมือนกันเลย มีใครซ้ำใครบ้างมั้ย มีไหม ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย แม้ขณะนี้ และขณะต่อๆ ไปด้วย แม้แต่ได้ยินได้ฟังสิ่งเดียวกัน ความเป็นธาตุแต่ละหนึ่งซึ่งสะสมสืบต่อมา ก็ทำให้ขณะต่อไปต่างๆ กันไปหลากหลายอีก

    เพราะฉะนั้น ฟังธรรมไม่ใช่เราฟัง เพื่อที่เราจะได้มีกุศลมากๆ และก็จะได้ผลของกุศลเยอะๆ แต่ว่า ฟัง เพื่อเข้าใจความจริงว่าความจริงเป็นอย่างนี้ ฟัง เพื่อละการที่จะไม่ต้องมีทุกข์ คือ การเกิดขึ้น แต่ก็ยากแสนยากแต่ละคำ เพราะฉะนั้น ศึกษาให้เข้าใจจริงๆ โดยละเอียด ถึงแม้จะได้ฟัง ไม่กี่ครั้ง แต่ได้เข้าใจความจริงในขณะที่ฟัง ก็เป็นประโยชน์กว่าการที่จะฟังมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นใคร หรือเปล่า หรือว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงขณะนี้ แม้สิ่งหนึ่งเกิดขึ้นแล้ว ดับไป ก็มีสิ่งอื่น เกิดสืบต่อโดยไม่มีระหว่างคั่นเลย จึงทำให้เหมือนกับว่า ไม่มีอะไรที่เกิดแล้วดับไปเลย แต่ต้องพิจารณาความจริง สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีในขณะนี้ต้องเกิดขึ้นแน่นอน และสิ่งที่เกิดขึ้นปรากฏหลากหลายไหม และไปเข้าใจว่าเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    เพราะไม่รู้ความจริงว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่เกิดแล้ว สิ่งนั้นต้องดับไป หมายความว่า ไม่กลับมาอีกเลย แค่นี้พอที่จะเข้าใจ หรือไม่ ว่าเพราะไม่รู้อย่างนี้ จึงได้ยึดถือมากมาย แต่วันหนึ่งวันใดก็จากโลกนี้ไปเหมือนกับตอนที่เกิดมา เกิดมาเพื่อตายแน่ๆ ไม่มีใครที่จะรอดพ้นไปได้เลย แต่ว่าก่อนตายเกิดมาแล้วต้องเป็นไป ต้องเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง คิดนึกบ้างแล้วก็ติดข้องพอใจไปทั้งหมด ในสิ่งที่เข้าใจว่าเป็นเรา

    เพราะว่า สิ่งนั้นเกิดแล้วก็ดับ โดยไม่รู้ความจริง ดีไหม ดี หรือไม่ดี เกิดมาทำไม เกิดมาเห็น และ ทั้งวันเดี๋ยวได้ยิน เดี๋ยวคิดนึก ติดข้องหมด เพราะฉะนั้น จริงๆ เกิดมากินแล้วก็นอนแน่ๆ แต่ว่าติดข้องไปทั้งหมด เกิดมากิน นอน ติดข้อง แล้วตาย เท่านั้นเอง เมื่อเช้ากินแล้วอยู่ไหน เดี๋ยวนี้ไม่ได้กิน แต่เห็น คิด ติดข้องทั้งหมดเลย ก็อย่างนี้แหละ เป็นอย่างนี้ไปทุกวันจะเปลี่ยนแปลงความจริงอันนี้ไม่ได้เลย แล้วก็จากโลกนี้ไป ไม่เหลืออะไรเลย

    แต่ก่อนจากเทียบง่ายมาก แค่คืนนี้หลับสนิท จากสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ จากเรื่องราวต่างๆ ซึ่งระหว่างที่ยังไม่หลับ คิดมาก เป็นทุกข์มาก เดือดร้อนมาก เป็นเรา เป็นเขา เป็นโน่นเป็นนี่ แต่พอเพียงแค่หลับสนิท อยู่ไหน ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น นี่คือตัวอย่างของความตายย่อๆ แต่ว่าจริงๆ แล้ว ถ้าละเอียดกว่านั้น คือทุกขณะเกิดเห็นแล้วก็ดับไปแล้วไม่กลับมาอีก จะเอา เห็น ก่อนเมื่อสักครู่นี้กลับมาไม่ได้เลย และ เห็น เดี๋ยวนี้ หรือเมื่อไหร่ก็ตาม ก็เกิดขึ้นเห็นเหมือนเมื่อสักครู่นี้แหละ แล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก

    เพราะฉะนั้น ก็มีความตายทุกขณะ กว่าจะถึงสมมติมรณะ คือ การตายจากชาติหนึ่ง ซึ่งเกิดมาแล้วเป็นบุคคลนี้ ก็สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ แต่ก็จะต้องเกิดอีกไม่สิ้นสุดเป็นบุคคลต่อไป เลือกไม่ได้เลย เหมือนชาติก่อนก็ไม่เคยตั้งใจเลือก ว่าจะเกิดเป็นคนนี้ ชาตินี้ แต่ก็เป็นแล้วอย่างนี้ฉันใด จากโลกนี้ไปวันไหน เมื่อไหร่ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าไปไหน เป็นอะไร แต่ก็ไม่มีทางที่จะจบสิ้นได้ เหมือนเมื่อสักครู่นี้ กับเดี๋ยวนี้เกิดสืบต่ออย่างเร็ว เพราะฉะนั้น จึงมีขณิกมรณะ สิ้นไป ดับไป ตายไปทุกขณะ และสมมติมรณะ สมมติว่าตายจากชาติหนึ่งเป็นอีกชาติหนึ่ง แต่ยังไม่สิ้นสุด เพราะยังเกิดตายไปเรื่อยๆ เพราะยังไม่ใช่พระอรหันต์ ที่จะถึงสมุจเฉทมรณะ คือตายแล้วไม่เกิดอีกเลย พอใจที่ได้เกิดมาแล้วแสนโกฏิกัปป์ เหมือนอย่างนี้เลย ไม่ต่างกันเลย แค่เห็นแค่ได้ยิน เกิดมากิน นอน แล้วก็ติดข้อง แล้วก็จะเป็นอย่างนี้ไปอีกแสนโกฏิกัปป์ หรือนานกว่านั้นอีก ตราบใดที่ไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นธาตุไม่ใช่เรา ที่สำคัญที่สุดก็คือว่า เข้าใจว่าเป็นเรา แต่ความจริงไม่ใช่ เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงเท่านั้น

    เพราะฉะนั้น ก็จะได้เห็นพระปัญญาคุณ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กับผู้ที่ไม่ได้เคยได้ฟังธรรมเลย ต้องต่างกันมาก และผู้ที่เริ่มฟังธรรม เพียงได้ยินได้ฟัง แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะรู้ความจริง ตามที่ได้ทรงแสดง กับเมื่อได้อบรม ฟังบ่อยๆ เข้าใจขึ้น ความจริงเป็นอย่างไร ก็สามารถที่จะรู้ความจริงนั้นๆ ได้ เป็นสิ่งที่รู้ได้เห็นได้ สันทิฏฐิโก หรือสันทิฏฐิกะ ไม่ใช่สิ่งที่รู้ไม่ได้ เห็นไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นฟังทำไม

    คุณของพระธรรมมีจริง รู้ความจริงนั้นได้ เห็นได้ ไม่ประกอบด้วยกาล คือไม่จำเป็นต้องรอเลย ไว้พรุ่งนี้ดีไหม หรือว่าตอนเย็นๆ ทำอะไรก่อนไปที่ไหนก่อนแล้วค่อยฟังธรรม หรืออะไรอย่างนั้น ก็เป็นผู้ที่ประมาท ถ้าเป็นผู้ที่ระลึกถึงความตายซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ ก็จะเป็นผู้ที่ไม่ประมาท

    ผู้ฟัง อยากจะกราบเรียนท่านอาจารย์เกี่ยวกับว่า ในร่างกายนี้ก็เป็นเราก่อนฟังพระธรรมมีเราอยู่แล้ว

    ท่านอาจารย์ คุณชุนบอกว่า มีเราอยู่ในร่างกาย ถูกไหม ก่อนที่จะได้ฟังธรรม เพราะฉะนั้น ฟังธรรมเพื่อรู้ความจริงว่า ที่ว่ากายนั้น คืออะไร


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    22 ธ.ค. 2566