พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 816


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๑๖

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕


    อ.วิชัย นี้ทุกขอริยสัจจครับ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ หรือเปล่าพูดแล้วค่ะแต่ว่าเดี๋ยวนี้ หรือเปล่า

    อ.วิชัย ถ้าเข้าใจก็ต้องเป็นเดี๋ยวนี้ครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เข้าใจก็หมายความว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏ และความเข้าใจถูกต้องว่านี้แหละเป็นทุกข์จะไปหานี้อื่นมาเป็นทุกข์ได้ไหมจะไม่เข้าใจทุกข์คือการเกิดขึ้นแล้วดับไปของสิ่งที่กำลังปรากฏว่านี้นี้เองที่เป็นทุกข์มีความมั่นใจมั่นคง หรือเปล่าถ้ามีความเข้าใจมั่นคงก็จะค่อยๆ เข้าใจว่านี้คืออะไรบ้างหนึ่งไม่ใช่หลายๆ อย่าง เพราะฉะนั้นนี้ทุกข์ก็ต้องชัดเจนว่านี้เนี่ยอะไร

    อ.วิชัย เช่นเห็นขณะนี้ครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เห็น เพราะฉะนั้นขั้นฟังปริยัติเห็นมีจริงๆ และเห็นเกิดแล้วดับจึงเป็นทุกข์

    อ.วิชัย ก็เพียงเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อนค่ะแค่นี้ก่อนฟังมาว่าขณะนี้มีเห็นฟังจะหาทุกข์ไงคะทุกขอริยสัจว่านี้ นี้คือคุณวิชัยยกตัวอย่างเห็น เพราะฉะนั้นขณะนี้กำลังเห็นไม่ใช่อย่างอื่นต้องนี้ที่เห็นไม่ใช่พูดว่านี้ทุกข์แล้วก็ไหนล่ะแล้วก็บอกว่าเห็นแล้วก็ไหนล่ะแต่ต้องนี้ตรงเห็นถึงจะรู้จริงๆ ว่านี้ทุกข์แต่ถ้ายังไม่ถึงนี้ตรงหนึ่งตรงใดจะรู้ทุกข์ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงแม้แต่คำว่านี้ทุกข์ก็ต้องชัดเจนนี้ไหนถ้าแข็งนี้แข็งก็ต้องแข็งนั่นแหละเป็นทุกข์คือตรงลักษณะของสภาพธรรมทีละอย่างจึงจะชื่อว่าเข้าใจปริยัติไม่ใช่นี้ไหนก็ไม่รู้แต่กล่าวว่านี้ทุกข์เฉยๆ เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ นี้ต้องนี้จริงๆ ตรงนี้นั่นแหละไม่ใช่ตรงอื่น สัจจญาณก่อนที่จะไปถึงสมุทัยต้องตรง

    อ.วิชัย แม้หนทางก็ต้องเริ่มจากความเข้าใจนี้

    ท่านอาจารย์ แน่นอนมั่นคงขึ้นถึงจะเข้าใจความหมายของปริยัติ หรือสัจญาณได้ สัจจญาณไม่ใช่เพียงพูดว่าสัจจญาณในอริยสัจสี่พูดได้ในทุกข์ในทุกขสมุทัยในทุกขนิโรธในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาพูดคล่องเลยแต่ต้องตรง และจริงสัจจญาณเป็นปัญญาที่รู้ว่านี้ที่กำลังปรากฏใช่ทุกข์อื่น คุณวิชัยคะนี้ทุกข์แต่กำลังทำแสดงว่านี้ หรือเปล่า

    อ.วิชัย ก็ไม่รู้ครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่รู้ว่าขณะนั้นก็เป็นธรรมแม้แต่ขณะที่เจตนาจงใจจะรู้ซึ่งเกิดต่อนั่นก็นี้เหมือนกันคือนี้ธรรมซึ่งนี้ทุกข์นั่นแหละ เพราะฉะนั้นกว่าจะทั่ว และก็ไม่ใช่อย่างอื่นเลยทุกอย่างที่ไม่รู้ทั้งหมดขณะนี้ก็จะรู้ขึ้นมิฉะนั้นแล้วก็ละความติดข้อง และการยึดถือว่าเป็นตัวตนไม่ได้

    ผู้ฟัง ที่ยังไม่ใช่รู้ตรงลักษณะแต่เป็นการเข้าใจขั้นฟัง และเป็นปริยัติยังไม่กระจ่างชัดตรงนี้

    ท่านอาจารย์ แน่นอนค่ะเพราะเหตุว่าได้ยินกับเสียงเสียงนี่คุ้นเคยใช่ไหมคะแต่ถึงได้ยินเสียงก็ยังไม่รู้ว่าเสียงเป็นธรรมเป็นเพียงธรรมแล้วจะไปรู้ได้ยินคงยากถ้าไม่มีความเข้าใจมาก่อนเลยจากการฟังเพียงขั้นปริยัติยังไม่รู้ลักษณะของได้ยินจริงๆ เพราะว่าได้ยินไม่ใช่เสียง เพราะฉะนั้นในขณะที่ได้ยินซึ่งได้ยินไม่ใช่เสียงก็จะไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้นนอกจากธาตุรู้ที่กำลังได้ยินเสียงลองคิดดูค่ะกว่าจะรู้ตัวได้ยินสภาพธรรมที่ได้ยินขณะนี้เสียงปรากฎเพราะมีธาตุที่ได้ยินเสียง ไปช้าๆ ค่อยๆ พิจารณาก็ได้ซึ่งการที่จะรู้ได้ยินต้องอย่างอื่นไม่มีเลยแต่ว่าขณะนั้นแน่นอนคือมีเสียงแน่ และมีธาตุที่ได้ยินเสียงซึ่งไม่มีรูปร่างแต่เป็นธาตุรู้ซึ่งขณะนั้นจะไม่มีอย่างอื่นเลยนั่นคือการที่เริ่มจะค่อยๆ เข้าใจลักษณะของธาตุรู้ซึ่งเป็นปกติจริงๆ แต่อวิชชาไม่รู้ไม่สามารถจะรู้ได้เลย เพราะฉะนั้นการฟังจึงต้องเริ่มตั้งแต่ปริยัติฟัง และไตร่ตรองจนกว่าธาตุรู้ปรากฏด้วยดีเพราะว่ากำลังมีธาตุรู้ที่เห็นแต่ไม่ได้ปรากฏด้วยดีเลยว่านี่แหละเป็นธาตุรู้ เพราะฉะนั้นลองคิดถึงว่าการที่จะรู้ธาตุรู้จริงๆ ต้องมาจากขณะนี้เสียงปรากฏถึงแม้ว่าหมดไปแล้วเสียงปรากฏอีกเพราะว่ามีธาตุที่กำลังรู้เสียง เพราะฉะนั้นธาตุรู้นั้นไม่ใช่เสียง และขณะนั้นก็ไม่มีอย่างอื่นเลยทั้งสิ้นนั่นแหละเริ่มที่จะรู้ความหมายของธาตุรู้ซึ่งกำลังรู้เสียง

    อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ครับเมื่อท่านอาจารย์กล่าวถึงธาตุรู้เสียงกับเสียงก็นั่งคิดถึงครับแต่ก็เพียงคิดก็ไม่รู้ว่าขณะนั้นเป็นความพยายามที่จะไปรู้ความต่างของเสียงกับธรรมที่รู้เสียง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นปัญญาจริงๆ จะละเอียดขึ้นไหมคะละเอียดจนกระทั่งแม้ความอยากก็ไม่ใช่ธาตุที่กำลังได้ยิน

    อ.วิชัย ก็ต้องเป็นอย่างนั้นครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ นี่คือความละเอียดยิ่งของธรรม เพราะฉะนั้นการฟังธรรมเพื่อเข้าใจปลอดภัยที่สุดเพราะเหตุว่าจะทำให้รู้จริงๆ ว่าไม่สามารถที่จะไปรู้ และเข้าใจสภาพธรรมตามที่ได้ยินได้ฟังโดยไม่อบรมโดยไม่ฟังโดยไปคิดเอง หรือไปทำให้รู้เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และเป็นการหันหลังให้พระสัทธรรมเป็นการทำลายพระสัทธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความลึกซึ้งว่าทุกอย่างที่มีจริงทรงแสดงโดยละเอียดยิ่งเพื่อให้ผู้ที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังไตร่ตรอง และเป็นผู้ตรง แม้ว่าโลกคำว่าโลก หรือเข้าใจว่าโลกถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสักนิดเดียวจะมีโลกไหมแต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดนั่นแหละโลกมีแล้ว เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะปรากฏได้ก็ต้องเพราะมีธาตุรู้แน่นอน เพราะฉะนั้นขณะนั้นสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นเป็นโลกธาตุรู้ก็เป็นโลกสิ่งที่เกิดก็เป็นโลกก็แสดงให้เห็นว่าถ้าจะเข้าใจโลกจริงๆ คือสิ่งที่มีถ้าไม่เกิดไม่มี เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีที่เกิดนั่นแหละเป็นโลกแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งซึ่งธาตุรู้ต้องมีแน่นอนแต่เพราะความที่ธาตุรู้ไม่มีรูปร่างใดๆ เลย และเราคุ้นเคยต่อการที่จะเห็น และรู้ได้ว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นได้ยินก็รู้ว่าเสียงนั้นเป็นอย่างนั้นกลิ่นรสทั้งหลายเหมือนมีสิ่งที่ทำให้รู้ได้ปรากฏได้ทางหนึ่งทางใดเช่นทางตากำลังเห็นว่ามีจริงๆ สิ่งที่กำลังปรากฏทางหูเสียงก็มีจริงๆ ที่ปรากฏแต่ธาตุรู้ซึ่งเกิด และดับสืบต่อทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตายไม่ได้ปรากฏความรู้สึกความดีใจความเสียใจปรากฎ

    อ.วิชัย ก็รู้ว่ามีแต่ว่าลักษณะของเขาไม่ปรากฎ

    ท่านอาจารย์ แต่เวลาโกรธโกรธเกิดขึ้นปรากฏ โกรธก็ไม่ใช่ธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งซึ่งเป็นจิตแม้นามธรรมก็ยังต่างกันเป็นจิต และเจตสิกจิตเป็นใหญ่เป็นประธานลองคิดถึงคำนี้ถ้าไม่มีธาตุรู้ซึ่งรู้ทุกอย่างได้ทีละหนึ่งอะไรๆ ก็ปรากฏไม่ได้แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏไม่ได้เข้าถึงความเป็นธาตุรู้ซึ่งมีในขณะนั้นไม่ได้เข้าใจว่าถ้าไม่มีธาตุรู้อะไรๆ ก็ปรากฏไม่ได้แต่รับทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏในเรื่องเป็นราวต่างๆ ลืมธาตุรู้มาโดยตลอด เพราะฉะนั้นกว่าที่จะเข้าใจเข้าถึงความจริงซึ่งขณะนี้ถ้าไม่มีธาตุรู้อะไรก็ปรากฏไม่ได้อย่างคนตายถ้าอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีอะไรปรากฏแต่ถ้ายังมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น หรือมีเสียงมีคิดมีนึกต่างๆ เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นปรากฏ เพราะฉะนั้นสิ่งต่างๆ ที่ไม่ใช่รูปเสียงกลิ่นรสโผฐฐัพพะในชีวิตประจำวันจะกล่าวได้ว่าเป็นธาตุที่มีจริงไม่ใช่รูปธาตุแต่ก็ไม่ใช่จิตซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เช่นความโกรธก็ไม่ใช่จิตความเสียใจก็ไม่ใช่จิตความมานะสำคัญตนก็ไม่ใช่จิตก็มีลักษณะอาการต่างๆ ปรากฏแต่ก็ไม่ใช่จิต เพราะฉะนั้นธาตุรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เป็นอีกอย่างหนึ่งซึ่งมีจริงๆ เพราะฉะนั้นการรู้ทั่วหมายความว่าไม่ว่าลักษณะนั้นจะเป็นอะไรก็ตามไม่ต้องเรียกชื่อไม่จำเป็นเลยแต่มีความเข้าใจในความเป็นลักษณะที่ต่างกันจากการฟังอย่างขณะนี้ฟังว่าเห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น และในขณะที่เห็นมีสิ่งที่กำลังปรากฏสิ่งอื่นที่จะปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้นธาตุรู้จะไปรู้สิ่งอื่นได้ไหมในเมื่อมีสิ่งที่ปรากฏทางตาต้องรู้สิ่งที่ปรากฏทางตาคือเดี๋ยวนี้กว่าจะหาพบธาตุรู้ซึ่งกำลังเห็นขณะนั้นก็ต้องไม่ใช่มีสิ่งอื่นปะปน

    ผู้ฟัง ที่ว่านี้แข็ง และไม่ใช่เรื่องราวของนี้แข็งคือจริงๆ กำลังศึกษาลักษณะไม่ใช่ศึกษาเรื่องราว

    ท่านอาจารย์ นี้สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้แยกจากคนสัตว์วัตถุสิ่งของแล้วใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง นี้เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้

    ท่านอาจารย์ ต้องนี้นะคะ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ไม่เลยไปถึงอย่างอื่นต้องนี้จริงๆ ค่ะเดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏนี่แหละสัจจญาณนี้เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น กว่าจะละความเป็นตัวตนในสิ่งที่ปรากฎซึ่งเกิดดับสืบต่อเร็วมากเพราะว่าเริ่มเห็นถูกเริ่มเห็นถูกจากการฟังปริยัติซึ่งเมื่อไหร่เห็นถูกอย่างนี้เป็นสัจจญาณ นี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เนิ่นช้าอยู่ที่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้มาแสนนานเพราะว่าไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่าเพียงแค่ปรากฏเพียงระลึกดับแล้วเร็วอย่างนั้นเพียงแค่อาศัยระลึกดับแล้วนี่คือการฟังปริยัติให้ถึงความเป็นสัจจญาณ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะจะเป็นแบบคิดตามที่ฟังว่าเสียงเสียงเป็นเพียงสิ่งปรากฏกับจิตได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ขั้นฟังก็ยังดีใช่ไหมดีกว่าไม่มีเลย หรือฟังแล้วไม่เข้าใจ หรือฟังแล้วเข้าใจผิด ขั้นฟังแล้วเข้าใจก็เป็นการเริ่มต้นที่ถูกต้องว่าเข้าใจไม่ผิดเข้าใจจริงๆ เริ่มเข้าใจว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นจะเป็นอื่นไปไม่ได้เลยค่อยๆ คลายความเป็นตัวตน หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากสิ่งที่ปรากฏแล้วก็ไม่เคยคิดแม้เพียงคิดก็ไม่เคยแล้วจะไปนี้ได้ยังไง

    อ.วิชัย เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ก็กล่าวว่าการที่จะรู้เข้าใจได้ก็ต้องมาจากการอบรมไม่ใช่เป็นการฟังเพียงครั้งเดียวแล้วสามารถรู้ และเข้าใจแม้ความต่างของเห็นกับสิ่งที่ปรากฏ หรือว่าเสียงกับธรรมที่รู้เสียงแม้อย่างนี้คือเป็นปรกติธรรมดาแต่การที่จะรู้เข้าใจก็ต้องเริ่มต้นที่จะรู้ได้ก็ต้องอบรมความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะที่ว่าท่านอาจารย์ย้ำว่านี้นะนี้เห็นนี้สิ่งที่ปรากฏทางตา

    ท่านอาจารย์ คุณอรวรรณกำลังพูดว่านี้สิ่งที่ปรากฏทางตาแล้วความเข้าใจอยู่ตรงไหน

    ผู้ฟัง ก็เข้าใจขั้นคิดว่าเนี่ยที่เราคิดว่าเป็นอะไรก็เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้

    ท่านอาจารย์ เข้าใจคำที่พูดใช่ไหมคะแล้วสิ่งที่ปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้น หรือเปล่าคือเป็นเพียงนี้เป็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้คือเข้าใจในคำที่พูดว่าหมายความถึงสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นจริงๆ เพียงปรากฏแล้วดับเพิ่มอีกแล้วเพียงปรากฏแล้วดับไป เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมไม่ได้เข้าใจธรรมชีวิตมีสาระไหมไม่ได้ฟังพระธรรมไม่ได้เข้าใจพระธรรมชีวิตมีสาระไหมเพราะเหตุว่าวันหนึ่งๆ ก็มีเห็นมีได้ยินแล้วก็ไม่ได้รู้ความจริงเลยแล้วก็ติดข้องในสิ่งซึ่งเพียงเกิดขึ้นปรากฏแล้วหมดไป และไม่กลับมาอีกเลยโดยไม่เข้าใจว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเอง ถ้าจะสะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ก็คือเริ่มค่อยๆ เข้าใจขึ้นไม่ต้องไปคิดทำอะไรเลยทั้งสิ้นทำอะไรไม่ได้แต่เข้าใจจากการฟังแล้วไม่ลืมแล้วไตร่ตรอง การที่จะเข้าใจธรรมโดยไม่ฟังเป็นไปไม่ได้ฟังแล้วไม่ไตร่ตรองก็เป็นไปไม่ได้

    อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ครับเมื่อสักครู่ท่านอาจารย์เพิ่มอีกคำหนึ่งคือเกิดขึ้นมีแล้วก็ดับ ความดับคือความรู้คือเมื่อปรากฎให้รู้แต่ว่าแม้ความรู้ที่รู้สิ่งที่ปรากฎก็ต้องดับด้วยแม้สิ่งที่ถูกรู้ก็ต้องดับด้วยการรู้ความที่ว่าดับคือเป็นความเข้าใจอย่างไรครับ

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่ใช่เราไงคะเป็นธรรมดาของสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเกิดก็ต้องดับเวลานี้กำลังเป็นอย่างนั้นเลยเห็นก็ต้องดับได้ยินก็ต้องดับคิดก็ต้องดับสิ่งที่ปรากฏทางตาก็ต้องดับ

    อ.วิชัย ก็เป็นธรรมดา

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมดาที่รู้ได้เมื่อเข้าใจขึ้นเท่านั้น

    อ.วิชัย ก็คือละเอียดขึ้น

    ท่านอาจารย์ ละเอียดมาก เพราะฉะนั้นจากหยาบไปถึงความละเอียดจริงๆ กว่าจะละอนุสัยกิเลสทิฏฐานุสัยกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิตมีกำลังพร้อมที่จะเกิดเมื่อมีปัจจัยถ้าจะพูดถึงชีวิตจริงๆ ก็พูดได้หลายอย่างคราวก่อนก็พูดถึงเรื่องกินแล้วนอนแล้วก็ติดข้องวันนี้พูดอีกอย่างหนึ่งก็ได้หลับแล้วตื่นถูกต้องไหมคะมีใครบ้างที่ไม่เป็นอย่างนี้ต้องหลับแน่แล้วหลับแล้วก็ต้องตื่นแน่ตอนหลับไม่มีอะไรเหลือเลยวันนี้ทั้งวันเมื่อวานนี้ทั้งวันยังไม่หลับก็คิดว่ายังมีหลับเมื่อไหร่หายไปไหนแล้วตื่นมาทำไมตื่นมาเพื่อที่จะเห็นบ้างได้ยินบ้างเข้าใจว่าเป็นสาระแล้วก็อยู่ที่ไหนเวลาหลับ เพราะฉะนั้นวันทั้งวันเป็นสาระ หรือว่าไม่มีอะไรที่เป็นสาระเพราะว่าไม่เหลือแล้วเพียงตื่นขึ้นมาเห็น และจริงๆ ก็คือพอเห็นแล้วก็ต้องมีจิตที่ดำรงภพชาติขั้นที่ใช้คำว่าภวังคจิตซึ่งขณะนั้นไม่เห็นไม่ได้ยินเพราะเหตุว่าการที่ได้ยิน หรือเห็น หรืออะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นต้องมีปัจจัย เพราะฉะนั้นเพียงตื่นขึ้นมานิดเดียวเห็นนิดเดียวแล้วก็หลับเป็นภวังค์เห็นหายไปแล้วหมดแล้วขณะที่จิตเป็นภวังค์จะไม่มีอะไรเหลือเลยได้ยินเดี๋ยวนี้กำลังได้ยินนิดเดียวภวังค์เกิดสืบต่อได้ยินกับเสียงหายไปแล้วไม่เหลือเลย และขณะที่เป็นภวังค์ก็ไม่มีอะไรปรากฏว่าสิ่งที่เพิ่งรู้มายังเหลืออยู่นี่คืออย่างสั้นที่สุดแต่ถ้าจะเทียบคือตื่นแล้วหลับหลับคือไม่มีอะไรเหลือตื่นคือเหมือนมีแต่ว่ามีจริงๆ หรือเปล่าเพราะว่าแท้ที่จริงแล้วเพียงชั่วเห็นก็ไม่เหลือแล้วเพราะภวังค์ขั้นเพียงชั่วได้ยินก็ไม่เหลือแล้วภวังค์ขั้นเพียงแค่คิดแต่ละคำก็ไม่เหลือแล้วภวังค์ขั้นแล้วสาระอยู่ที่ไหนคือตื่นมาเพื่อที่จะเห็นแล้วก็ติดข้องเป็นกิเลสมากมายสะสมไปแล้วพอถึงเวลาหลับก็ไม่เหลือแต่จริงๆ ทุกขณะไม่เหลืออยู่แล้ว

    อ.คำปั่น กราบเรียนถามท่านอาจารย์สองวันที่ผ่านมารายการแนวทางเจริญวิปัสสนาที่ออกอากาศในช่วงเช้าได้ฟังเรื่องของธรรมที่ทำให้เนิ่นช้าที่แสดงถึงธรรมสามประการก็คือตัณหา มานะกับทิฏฐิ ทิฏฐิก็คือความเห็นผิดถ้ากล่าวถึงสามประการนี้ที่เห็นได้ชัดก็คงจะเป็นในเรื่องของความเห็นผิดซึ่งเป็นความเห็นที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงซึ่งเมื่อสัปดาห์ก่อนท่านอาจารย์ก็กล่าวว่าผู้ที่มีความยึดมั่นในความเห็นผิดก็ไม่กล้าที่จะมาฟังธรรมไม่กล้าที่จะมาสนทนาธรรมเพื่อความเข้าใจความจริงก็ดูเหมือนว่าความเห็นผิดนี่ก็จะเป็นเครื่องเนิ่นช้าที่เห็นได้ชัดเจนส่วนอีกสองอย่างตัญหาซึ่งเป็นความติดข้องยินดีพอใจกับมานะความสำคัญตนจะเป็นเครื่องเนินช้าในลักษณะอย่างไรครับกราบเรียนท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ รายการวิทยุตอนเช้าก็ได้พูดถึงเรื่องธรรมเครื่องเนิ่นช้าก็ละเอียดทีเดียวตั้งแต่ว่าเดี๋ยวนี้มีเครื่องเนิ่นช้า หรือเปล่าเพราะเหตุว่าสภาพธรรมต้องหมายความว่าสิ่งที่มีจริงแม้ในขณะนี้ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่รู้ว่ากำลังเนิ่นช้า หรือเปล่าถ้าฟังธรรมแล้วมีความเห็นอย่างอื่นอันนั้นก็เห็นชัดเจนแล้วจะมาเห็นถูกได้ยังไงในเมื่อความเห็นนั้นต่างกับความจริงของสภาพธรรมต่างกับพระธรรมที่ทรงแสดงจากการที่ได้ทรงตรัสรู้แต่ความละเอียดของธรรมมีมากทุกคนรู้ว่าปัญญาประเสริฐสุดอยากจะมีปัญญามากๆ มั้ย มีคนพยักหน้าก็โลภะแล้วเครื่องเนิ่นช้าแล้วแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเครื่องเนิ่นช้ามากมายสักแค่ไหนมากมายไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่เห็นดอกไม้สวยเนิ่นช้าอยู่ที่ความพอใจ หรือเปล่าไม่ได้เข้าใจว่าแท้ที่จริงเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้นโลภะความติดข้องจะเป็นเครื่องเนิ่นช้า หรือเปล่าทิฏฐิก็เห็นชัดแล้วโลภะก็เห็นชัดแล้วมานะความสำคัญตนก็ถ้าคิดว่าเข้าใจแล้วดีแล้วไม่ต้องฟังก็ได้เป็นความสำคัญตน หรือเปล่า

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์คะแล้วถ้าขณะที่ธรรมปรากฏด้วยดีขณะนั้นจะประกอบด้วยอธิศีลอธิจิตอธิปัญญากราบเรียนท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ รู้สึกว่าอยากจะได้ชื่อมากกว่าความเข้าใจจะเป็นมั้ยถือได้มั้ย หรือว่าใช่ไหมแต่สภาพธรรมเป็นธรรมไม่ต้องเรียกชื่อแต่ความจริงต้องเป็นความจริง เพราะฉะนั้นในขณะที่สภาพธรรมปรากฏด้วยดีหมายความว่าอย่างไรเวลานี้ถ้าถามใครว่าแข็งปรากฏมั้ยตอบหน่อยสิคะปรากฏก็ไม่รู้หมดแล้วด้วยดี หรือเปล่าไม่ได้ปรากฏความเป็นธรรมที่แข็งใช่ไหมคะ ถ้ามีคนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจธรรมเลยแล้วถามเขาว่าแข็งมั้ยเขาก็จดจ้องอยู่ที่แข็งแล้วก็ตอบเพื่อที่จะให้รู้ว่าแข็งแต่ขณะนั้นเป็นธรรม หรือเปล่าก็ไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องด้วยเหตุนี้แข็งเป็นธรรม หรือเปล่า เป็นมีจริงๆ มีลักษณะของแข็งปรกติปรากฎด้วยดี หรือเปล่า หรือเพียงแค่กระทบก็เป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้ไปแล้วมีใครไปรู้ความเป็นแข็งจริงๆ ในขณะนั้นบ้างทั้งๆ ที่แข็งเปลี่ยนลักษณะไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามมีความจงใจจะรู้แข็งแข็งเป็นแข็งแต่ว่าปรากฏกับอะไรปรากฏกับความไม่รู้ และความต้องการแข็งเปลี่ยนไม่ได้เลยไม่ว่าจะปรากฏกับความไม่รู้ หรือความต้องการ หรืออะไรก็ตามแต่ว่าแข็งปรากฏความเป็นธรรมที่แข็งเพราะว่าแข็งจะเปลี่ยนเป็นธรรมที่ไม่แข็งไม่ได้แข็งต้องเป็นธรรมที่แข็งแต่ชีวิตประจำวันจะรู้ได้เลยว่าธรรมดาของแข็งเปลี่ยนไม่ได้พอจับเข้าทุกคนก็ได้บอกว่าอะไรแข็งกว่าอะไรถ้ามีแข็งหลายๆ ลักษณะอันนี้แข็งกว่าอันนั้น หรืออะไรก็ตอบได้แต่ว่ามีความเข้าใจอะไร หรือเปล่า เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่แข็งความจริงเกิดดับปรากฏความเป็นธรรมที่เกิดดับ หรือเปล่า หรือว่าปรากฏความเป็นเพียงแข็งไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือเปล่า คนที่ทำขนมทำไม่เป็นอาจจะแข็งกระด้างถ้าทำเป็นก็อีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นพอจับดูก็รู้ว่าแข็ง หรือไม่อร่อยที่ควรจะเป็นเขาก็มีความรู้ในแข็งนั้นแต่ว่าขณะนั้นแข็งเกิดดับไม่ได้ปรากฏด้วยดี


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    12 ม.ค. 2567