พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 819


    ตอนที่ ๘๑๙

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๖


    ท่านอาจารย์ ขณะใดก็ตามที่อกุศลจิตเกิดขึ้น ไม่ว่าจะน้อยสักเพียงไร เหมือนโปรยธุลีลงในจิต อย่างที่ถามว่า ถามเดี๋ยวนี้ก็ได้ ถามอีกก็ได้ว่า เมื่อวานนี้ได้อะไรบ้าง เห็นหรือไม่ ไม่คิดไม่รู้ ได้อะไรแถมมาด้วย นอกจากสิ่งที่ได้ เช่น ของที่เขาเอามาให้ ได้โลภะ ได้ความติดข้อง ได้ทุกวันเลย เพราะถึงเขาไม่เอามาให้ก็ได้ ทางตาก็เห็น ทางหูก็ได้ยิน จมูกก็ได้กลิ่น ลิ้นก็ลิ้มรส กายก็รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ถ้าไม่รู้แล้วมีความยินดีพอใจขณะนั้นก็ได้โลภะ โปรยธุลีลงในจิตอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งเป็นกองขยะ ก็ไม่รู้เลยเหมือนเมื่อวานนี้ได้ของตั้งหลายอย่าง คนโน้นก็เอามาให้ คนนี้ก็เอามาให้ แต่ว่าได้อะไรด้วยในขณะที่ไม่ใช่กุศล

    อ.คำปั่น ก็เป็นคำเตือนที่ดี เคยได้ฟังท่านอาจารย์กล่าวข้อความสั้นๆ ว่าดีใจที่ได้รับของจากผู้อื่น แต่ลืมอนุโมทนาในกุศลจิตของผู้ให้หรือเปล่า นี่ก็เป็นเครื่องเตือน เพราะว่าขณะที่จิตเกิดขึ้นเป็นกุศลก็อนุโมทนาในกุศลของผู้ให้ ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์ เพราะว่าเป็นการสะสมกุศล สะสมความดี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นการที่จะให้คนอื่นเข้าใจธรรมนั้นยาก ในเมื่ออกุศลสะสมมามากมาย จนกระทั่งประมาณไม่ได้ ไม่มีที่จะบรรจุถ้าเป็นสิ่งของ แต่เมื่อเป็นนามธาตุ นามธรรม ไม่ต้องอาศัยพื้นที่ใดๆ เลย แต่จิตในขณะนั้นสะสมอะไรมามากเท่าไรในสังสารวัฏฏ์ และถ้าไม่มีความเข้าใจธรรม ก็จะไม่สามารถรู้ได้เลย ว่าเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล

    อ.คำปั่น มีข้อความประโยคสุดท้าย ซึ่งก็จะเกี่ยวเนื่องกับการฟังธรรมกถาก็คือ พึงฟังคำสุภาษิตโดยเคารพ ซึ่งคำสุภาษิตก็คือคำที่กล่าวดีแล้ว เป็นคำที่ดี เป็นคำที่มีประโยชน์

    ท่านอาจารย์ รู้สึกทุกคนที่ฟังธรรมเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยอะไร น่าคิดใช่ไหม ด้วยวัตถุอามิส หรือว่าด้วยความเข้าใจธรรม เพราะต้องอดทน ต้องพิจารณา ต้องเห็นค่าของแต่ละคำ ที่ได้ทรงแสดงธรรม เพื่ออนุเคราะห์คนอื่นให้พิจารณา ให้เข้าใจ พอไหม หรือว่าตราบใดที่ยังไม่ได้ทำความดี เคารพแค่ไหน กับการที่เคารพในทุกคำที่ทรงแสดงโดยการประพฤติตาม ซึ่งเป็นความดีทั้งหมด ขณะนั้นเป็นความเคารพที่แท้จริง ถ้าจะเคารพเพียงแค่กราบไหว้แล้วก็ผ่านกันไปก็หมดแล้ว ใช่หรือไม่ แต่ถ้าเคารพจริงๆ โดยเฉพาะในพระธรรม ในพระรัตนตรัย ไม่เพียงแต่ฟัง และเพียงแต่เข้าใจนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่พอ แต่ต้องถึงกับการประพฤติปฏิบัติตามยิ่งขึ้น ตามกำลังของความเข้าใจ เช่น การให้อภัย พูดกันบ่อยมากเลย และบางคนก็ไม่ไตร่ตรองให้ละเอียด คิดว่าอภัยให้ทุกอย่าง อภัยจริงๆ หรือว่าเพียงแต่พูด หรือว่าแม้ใจอภัยให้แล้ว แต่โดยความเป็นธรรมหรือไม่ เพราะว่าบางคนอาจจะเข้าใจคิดว่า อภัยแล้วก็จบแล้วกัน แต่ว่าถูกต้องหรือไม่ ถ้าถูกต้องคือขณะนั้นจิตไม่ได้โกรธ ไม่ได้ถือโกรธ ไม่ได้ผูกโกรธ ไม่ได้มีความขุ่นเคือง อาฆาตใดๆ ทั้งสิ้น แต่ต้องเป็นธรรม ถ้าคนนั้นทำไม่ถูกก็ต้องทำให้ถูก ไม่ใช่ว่าอภัยแล้วก็จบ จะทำอะไรต่อไปก็ได้ นั่นไม่ใช่

    เพราะฉะนั้นถ้าเป็นคนที่หวังดีต่อคนอื่นจริงๆ ก็จะตามเพื่อที่จะให้เขาได้เข้าใจความถูกต้องยิ่งขึ้น ว่าอภัยนี่แน่นอนเป็นกุศลจิต ขณะนั้นทุกคนอนุโมทนาในกุศล ซึ่งสามารถชนะอกุศลได้ เพราะเหตุว่าอกุศลปรกติจะมีกำลังมาก ความผูกโกรธหรือว่าความติดข้อง หรือการที่ไม่ยอมที่จะให้จิตของตนเองเป็นกุศล ไม่รู้เลยว่าขณะนั้นที่กำลังโกรธ กำลังผูกโกรธนั้นเป็นอกุศลจริงๆ ถ้าใครมาช่วยทำให้อกุศลขณะนั้นหมดไป แทนที่จะเป็นความผูกโกรธ ความไม่อภัย บุคคลนั้นเป็นผู้ที่เป็นมิตรที่ดีที่สุด เพราะสามารถที่ทำให้อกุศลที่มีอยู่ในจิตสามารถที่จะออกไปได้ แต่ต้องเป็นคนตรง ยังต้องติดตามบุคคลที่เราอภัยให้ต่อไปด้วย ว่าทำถูกหรือทำผิดประการใด ถ้าทำผิดแล้วเราไม่ติดตามที่จะให้เขาเข้าใจให้ถูก ที่จะแก้สิ่งที่ผิดนั้นให้ถูก ก็แสดงว่าการอภัยของเราเพียงแต่เป็นส่วนที่ทำให้เราขณะนั้นไม่เป็นอกุศล แต่จะสามารถช่วยอนุเคราะห์ให้คนอื่นเกิดความเห็นถูก ความเข้าใจถูก และประพฤติเป็นไปในกุศลหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่ละเอียด ถ้าเป็นความหวังดีจริงๆ ก็คือ จิตไม่เป็นอกุศล แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องให้เป็นไปในทางธรรมที่ถูกต้องด้วย

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์หมายความว่า อภัยก็เป็นกุศล แล้วก็ยังมีความกรุณาช่วยเหลือ

    ท่านอาจารย์ ให้เขาเป็นกุศลยิ่งขึ้น คือ ทำสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าสามารถที่จะอนุเคราะห์ได้โดยธรรม โดยพระธรรม เพราะแต่ละคนไม่มีใครสามารถที่จะไปบันดาลให้ใครเป็นอะไรได้เลยทั้งสิ้น แต่พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ดีแล้วทั้งหมด ก็สามารถจะเป็นที่พึ่งทำให้คนนั้นไตร่ตรองและเข้าใจถูกต้อง ว่าอะไรถูก อะไรผิด

    อ.อรรณพ อภัยก็ยากและก็ยังมีความกรุณาในผู้ที่เขากระทำไม่ดี แล้วเราก็ให้อภัย แล้วก็ยังกรุณาช่วยให้เขาเข้าใจแล้วดีขึ้นด้วยนี่ยาก

    ท่านอาจารย์ แต่ทำได้ไหม

    อ.อรรณพ ค่อยๆ อบรม

    ท่านอาจารย์ จริงๆ ความตั้งใจจริงที่เป็นกุศลจิตมีได้ เพราะว่ามีโสภณเจตสิกที่เกิดร่วมกัน ที่จะประคับประคอง เพียรที่จะให้เป็นไปอย่างที่คิดได้ แต่ก็ต้องเป็นผู้ที่อดทน แต่ถ้าได้เข้าใจจริงๆ ว่าความเป็นเพื่อนดี มิตรดี กัลยาณมิตรที่สูงที่สุดคือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เช่นนั้นอกุศลใดๆ ที่สะสมมาของใคร จะค่อยๆ จางไปได้อย่างไร ไม่มีหนทางเลย มีแต่โปรยธุลีลงในจิต หลังเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นสิ่งซึ่งเห็นประโยชน์จริงๆ เมื่อเห็นประโยชน์แล้ว ควรให้คนอื่นเห็นประโยชน์ด้วยหรือไม่

    อ.คำปั่น เป็นข้อความธรรมที่เป็นเครื่องเตือนที่ดีอย่างยิ่งเลย เวลาที่ได้ฟังข้อความจากพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นพระพุทธพจน์โดยตรง จะทำให้เห็นถึงความละเอียดลึกซึ้ง และเห็นถึงความบริสุทธิ์ของพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อประโยชน์โดยส่วนเดียวจริงๆ สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ฟังได้ศึกษา ซึ่งเมื่อวานท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวข้อความประโยคหนึ่ง ที่สอดคล้องกับที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวในวันนี้ว่า ประโยชน์จริงๆ ของการศึกษาพระธรรมนั้นคืออะไร เพราะว่าพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก เป็นไปเพื่อละความไม่ดีคือ กิเลสจนหมดสิ้น นี่คือประโยชน์สูงสุดของพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

    ผู้ฟัง เป็นบัณฑิต เป็นผู้ฉลาด เป็นบัณฑิตนี่ก็ทราบว่าขณะที่เป็นกุศล

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมเลย จะเป็นบัณฑิตไหม

    ผู้ฟัง ถ้าไม่ฟังพระธรรมก็ไม่สามารถ

    ท่านอาจารย์ ถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจ เป็นบัณฑิตไหม เพราะฉะนั้นบัณฑิตก็คือปัญญา ผู้เห็นถูก ผู้เข้าใจถูก ผู้รู้ความจริง

    ผู้ฟัง ในการที่จะมีสุจริตทางกาย วาจา ใจ บางครั้งถ้าเป็นกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาก็ไม่ใช่บัณฑิตหรืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ใครเป็นบัณฑิต ฟังวันนี้เป็นบัณฑิตหรือยัง คุณคำปั่น บัณฑิตแปลว่าอะไรและเป็นใคร

    อ.คำปั่น โดยความหมายของบัณฑิตก็คือ เป็นผู้ที่มีปัญญา เป็นผู้ที่ดำเนินไปด้วยปัญญา เป็นผู้ที่คิดก็คิดดี พูดก็พูดดี ทำก็ทำในสิ่งที่ดี นี่คือความหมายของบัณฑิต ซึ่งจะขาดปัญญาคือความรู้ ความเข้าใจธรรมที่ถูกต้องไม่ได้เลย

    ท่านอาจารย์ จนถึงความเป็นพระอริยบุคคล มีปริญญาบัณฑิต ปริญญาสาม ญาตปริญญา ตีรณปริญญา ปหานปริญญา คือความรู้ถูกในสภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏ จึงเป็นบัณฑิต

    ผู้ฟัง ถ้าเช่นนั้น ผลของการประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจ คือต้องมีปัญญา เข้าใจความจริง

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เพื่ออะไร ไม่ใช่เพียงแต่ทำดีแล้วก็ไม่ได้เข้าใจธรรมเลย เพราะดีอย่างไรก็ตาม แต่ก็ยังมีความยึดถือสภาพธรรม เพราะไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กล่าวว่า ดีเท่าไรก็ไม่พอ ก็หมายความว่าต้องเข้าใจพระธรรม การจะเข้าใจพระธรรมได้ก็คือฟัง

    ท่านอาจารย์ ฟังแล้วก็เข้าใจด้วย แล้วก็ยังประพฤติปฏิบัติตามด้วย ปัญญาไม่ได้นำไปสู่ทางผิดเลย ไม่ได้นำไปสู่อกุศลทางกาย ทางวาจาเลย เพราะเข้าใจคือปัญญา มั่นคงในปัญญา ไม่ใช่โลภะ ไม่ใช่ความติดข้อง ไม่ใช่อวิชชา ความไม่รู้ แต่เป็นการเข้าใจถูกในสิ่งที่มีตามความเป็นจริง

    อ.กุลวิไล กราบเรียนถามถึงความสุขในกามคุณ๕ ทำไมถึงเล็กน้อย และมีสุขอื่นที่ดีกว่ากามคุณ ๕ อย่างไร

    ท่านอาจารย์ เล็กน้อย เพราะเกิดแล้วดับแล้วโดยไม่รู้ นี่คือสัจจะวาจา ความจริงเป็นอย่างนี้ เล็กน้อยแค่นั้นเอง

    อ.กุลวิไล เพราะว่าธรรมที่เกิดแล้วหมดไปก็หาสาระไม่ได้ แต่ผู้ที่ไม่รู้ก็นำมาซึ่งความติดข้อง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความสุขจริงๆ จากสิ่งที่ได้ เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง เมื่อวานนี้ก็หมดแล้ว ทั้งสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็ไม่ใช่สามารถที่จะมาเป็นของเราได้จริงๆ เพราะว่าทุกขณะเกิดดับ และแม้แต่ความยินดี ความสุข ที่เกิดจากการได้สิ่งนั้นก็เล็กน้อยมาก เพราะเพียงชั่วขณะที่มีสิ่งนั้นปรากฏ แล้วก็หมดไปแล้วด้วย เพราะฉะนั้นถ้าจะพูดถึงปีเก่าและปีใหม่ จริงๆ ก็คือว่าตลอดปีที่ผ่านมา และก็ไม่ใช่แต่เฉพาะปีที่แล้ว ปีก่อนๆ นั้นด้วย ละอกุศลอะไรบ้างแล้ว หรือว่ายังไม่ได้แม้เพียงคิดที่จะละ บางคนไม่คิดแม้แต่จะละอกุศล การผูกโกรธ การไม่อภัย ความติดข้องหรือการมองเห็นแต่ความไม่ดีของคนอื่น ขณะนั้นจิตอะไรเมตตาหรือว่าอกุศล

    นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งถ้าเราจะไตร่ตรองจากการที่ได้ฟังธรรม ย้อนถอยไปจากขณะนี้ถึงขณะก่อนๆ จนกระทั่งถึงชาติก่อนๆ นานมาแล้วก็ได้ฟัง และก็ได้แค่ไหนที่จะเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ถ้าจะพูดถึงว่า สิ่งที่จะสะสมสืบต่อไปในจิตก็คือความเห็นถูก ความเข้าใจถูกและคุณความดีด้วย อย่าเพียงแต่หวังว่าจะเข้าใจธรรม เพราะเหตุว่าถ้าเข้าใจธรรมจริงๆ ความดีทั้งหลายจะค่อยๆ ตามมา โดยการที่เราไม่จำเป็นต้องมานั่งไตร่ตรอง เพราะเหตุว่าตามพระไตรปิฎก ท่านให้คิดเป็นวันๆ ไม่ใช่คิดเป็นปี ว่าวันนี้ หรือเมื่อวานนี้ เช้านี้ กลางวันนี้ เย็นนี้ ก่อนนอน เป็นกุศลหรือเป็นอกุศลแค่ไหน

    เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งซึ่งจะเห็นประโยชน์ของการที่ฟังธรรม และก็รู้ว่าพระธรรมเท่านั้นที่สามารถจะทำให้ความไม่ดีทั้งหลายที่สะสมอยู่ในจิต ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะนำออกไปได้เลยทั้งสิ้น นอกจากปัญญาที่เกิดจากการฟังธรรมแล้วเข้าใจ เพราะฉะนั้นไม่ได้มุ่งหมายที่จะเป็นเราที่จะเข้าใจธรรม แต่รู้คุณค่าว่าสิ่งที่ไม่ดีทั้งหมดสามารถจะค่อยๆ จาง ค่อยๆ หาย ลดน้อยลงไปได้ ก็ด้วยความเข้าใจธรรมซึ่งขณะนี้กำลังปรากฏ และก็มีสิ่งที่ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ แต่บ่อยก็ยังไม่พอ จนกว่าความคิดแม้ละอกุศลจะเกิดขึ้น ขณะนั้นก็เริ่มเห็นกำลังของกุศล ที่เริ่มคิดที่จะละอกุศล แม้เพียงคิดแต่ก็นำไปสู่การที่จะค่อยๆ ละได้ทีละเล็กทีละน้อย และขณะที่ละอกุศลเป็นกุศลหรือไม่ ไม่ต้องไปทำอะไรที่มากมายเลย ค่อยๆ สะสมไปทุกกุศลที่จะเป็นไปได้

    อ.วิชัย เป็นการเริ่มประเด็นในการสนทนา ซึ่งก็มีมารผู้มีบาปถามนางวชิราภิกษุณีว่า สัตว์นี้ใครสร้าง ผู้สร้างสัตว์อยู่ที่ไหน สัตว์บังเกิดในที่ไหน สัตว์ดับไปในที่ไหน นางวชิราภิกษุณีก็ทราบว่า นี่คือมาร ก็กล่าวกับมารว่า ดูก่อนมาร เพราะเหตุไรหนอ ความเห็นของท่านจึงหวนกลับมาว่า สัตว์ในกองสังขารล้วนนี้ ย่อมไม่ได้นามว่าสัตว์เหมือนอย่างว่า เพราะคลุมส่วนทั้งหลายเข้า เสียงว่ารถย่อมมีฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลายยังมีอยู่ยังมีอยู่ การสมมติว่าสัตว์ย่อมมี ฉะนั้นความจริงทุกข์เท่านั้นย่อมเกิด ทุกข์เท่านั้นย่อมตั้งอยู่และทุกข์เสื่อมสิ้นไป นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ กราบเรียนถามคำว่า ทุกข์ นี้คืออะไร

    ท่านอาจารย์ ขอเริ่มตั้งแต่การสนทนาระหว่างสองท่าน ท่านหนึ่งก็สงสัย เป็นความสงสัยของคนในครั้งอดีต แต่ไม่ทราบว่าคนยุคนี้สงสัยอย่างนี้หรือไม่ หรือคนละเรื่อง เพราะโดยมากก็สงสัยเรื่องความเป็นเรา เราจะทำอะไร เมื่อไรเราจะเป็นอย่างนั้น เราจะเป็นอย่างนี้ แต่ว่าความคิดที่ต่างกันก็ตามการสะสม เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ถ้าคนที่สะสมมาในการที่จะเข้าใจสิ่งที่น่าคิด เช่น คำว่า ทุกข์ มีใครบ้างที่ไม่ทุกข์เด็กๆ ทุกข์ไหม ร้องไห้ นั่นก็แสดงอยู่แล้วใช่ไหมว่าทุกข์ แต่ทุกข์ของเด็กก็เป็นอย่างหนึ่ง โตขึ้นหมดทุกข์ไหม ก็ยิ่งเพิ่มทุกขึ้นอีก ใช่ไหม แต่ว่าแทนที่จะร้องไห้อย่างเรื่องเด็กๆ ก็กลายเป็นทุกข์ใหญ่ยิ่งกว่านั้น จนกระทั่งถึงแม้จะจากโลกนี้ไป บางคนก็กำลังโศกเศร้าร้องไห้ โดยที่ไม่รู้จริงๆ ว่าตั้งแต่เกิดมา ความทุกข์มีอะไรบ้างและเกิดขึ้นมาเพราะอะไร เพราะฉะนั้นก็เป็นคำถามที่น่าคิด ซึ่งถ้าได้เข้าใจแล้วก็จะทำให้ได้เข้าใจพระธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ และก็จะได้เข้าใจลึกซึ้งด้วย ขอเชิญคุณวิชัยอ่านทีละตอนก็ได้

    อ.วิชัย มารก็กล่าวว่า สัตว์นี้ใครสร้าง ผู้สร้างสัตว์อยู่ที่ไหน

    ท่านอาจารย์ พอได้ยินแค่นี้ บางคนสนใจอยากรู้จักมาร อยากรู้ว่าเป็นใคร แต่ว่าสาระสำคัญกว่า เพราะว่าแต่ละคำๆ ก็จะยาวไปอีก มารมีกี่ประเภทและมารเป็นอย่างไร ก็กลายเป็นเรื่องของมารไป แต่จริงๆ แล้วสาระก็คือว่าทุกข์ เพราะฉะนั้นใครจะเป็นคนถามก็แล้วแต่ แต่คำถามก็มีว่า

    อ.วิชัย สัตว์นี้ใครสร้าง

    ท่านอาจารย์ สัตว์นี้ใครสร้าง ถ้าไม่มีสัตว์จะมีทุกข์ไหม เพราะฉะนั้นทุกคนยังไม่รู้จักทุกข์ แต่ว่ารู้จักสัตว์ คือ เกิดมาเป็นแต่ละหนึ่งๆ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือถ้าจะกล่าวรวมไปถึงสัตว์โลกก็ได้ แต่ที่นี่ก็คงจะหมายความถึงสิ่งที่มีชีวิตนั่นเอง สัตว์นี้ใครสร้าง มาจากความไม่รู้ ไม่มีใครรู้เลย เกิดมาแล้วด้วยความไม่รู้ และถ้าไม่ได้ยินได้ฟังเลยก็จะไม่รู้แม้แต่ว่า สัตว์คืออะไร ถ้ายังไม่รู้ว่าสัตว์คืออะไร จะรู้ได้ไหมว่าใครสร้างสัตว์นี้ ก็เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมก็คือ การศึกษาให้เข้าใจความจริงถึงที่สุด ที่ละเอียดจริงๆ ที่สามารถจะเข้าใจได้ เมื่อมีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์ และก็ได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรม และก็มีโอกาสได้ไตร่ตรองเห็นความลึกซึ้งของสิ่งที่มีจริง แต่ก็ไม่เคยรู้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงใครรู้จักบ้าง ตั้งแต่ลืมตาตื่นมา มีเห็น มีได้ยิน เรื่องราวต่างๆ มีคิดนึก มีสุข มีทุกข์ มีการรับประทานอาหาร มีทุกอย่าง ใครรู้ความจริงของแต่ละหนึ่งขณะนั้นบ้าง ก็ไม่มีใครรู้ความจริงเลย ใช่หรือไม่

    เพราะฉะนั้นการศึกษาพระธรรมก็คือ การศึกษาให้เข้าใจความจริงถึงที่สุด ที่ละเอียดยิ่ง แม้แต่ที่เข้าใจว่าเป็นสัตว์โลก ความจริงคืออะไร จะได้ไปถึงใครสร้าง เห็นมี ถ้ารูปร่างเป็นคนก็บอกว่าคนเห็น ถ้ารูปร่างเป็นแมวก็บอกว่าแมวเห็น รูปร่างเป็นนกก็บอกว่านกเห็น แต่เห็นเป็นเห็น ใครเคยคิดบ้าง และถ้าเห็นไม่เกิด ไม่มีเห็น และไม่มีสิ่งที่ถูกเห็นด้วย เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่า สัตว์ ก็จะต้องมีความเข้าใจจริงๆ ต้องเป็นสิ่งที่สามารถรู้ มีธาตุรู้ และทั่วๆ ไป ถ้าไม่มีธาตุรู้ก็จะไม่มีสัตว์เลย แต่ความละเอียดยิ่งกว่านั้น ต้องศึกษาต่อไปจนกระทั่งถึงว่า มีสัตว์ประเภทหนึ่งที่ไม่มีธาตุรู้ แต่ก็มีได้ เป็นเรื่องที่ละเอียดขึ้นๆ แต่ให้ทราบตั้งแต่ต้นแม้แต่คำว่า สัตว์ ถ้าไม่มีธาตุรู้ก่อนจะไม่มีเลย อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ แต่ในขณะที่มีธาตุรู้เกิดขึ้น ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ แค่นี้ก็ไม่รู้แล้ว เป็นคนเกิดมาเป็นสัตว์โลก มีทั้งเห็น มีทั้งได้ยิน มีทั้งคิดนึก ตั้งแต่ตื่นจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้อะไรเลย แล้วก็ไม่รู้จักทุกข์ด้วย แต่คนที่คิดมากกว่านั้นอีก ก็จะคิดว่าเกิดมาเห็น แต่ไม่ได้เห็นตลอดไป แล้วก็ได้ยิน แล้วก็คิดนึก แล้วก็เปลี่ยนแปลงไป เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ ไม่มีอะไรที่เที่ยง ไม่มีอะไรที่ยั่งยืน ไม่มีอะไรที่แน่นอนเลย เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจความจริงอย่างนี้ในชีวิตประจำวัน ก็จะสามารถเข้าใจคำตอบได้

    อ.วิชัย ผู้สร้างสัตว์อยู่ที่ไหน

    ท่านอาจารย์ การเห็นเกิด ถ้าไม่มีการเห็น การได้ยิน ไม่มีอะไรเกิดเลย สัตว์ก็ไม่เกิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่รู้ว่า อะไรเป็นเหตุให้สัตว์เกิด

    อ.วิชัย สัตว์บังเกิดในที่ไหน สัตว์ดับไปในที่ไหน

    ท่านอาจารย์ ค่อยๆ มาถึงชีวิตประจำวันคือ การไม่เที่ยง การเกิดขึ้นและการดับไป

    อ.วิชัย นี้คือเป็นคำถามในความเห็นของมาร

    ท่านอาจารย์ มารนี่ก็ช่างทดลอง คืออยากจะฟัง แล้วก็ดูว่าใครคิดอย่างไร จะตอบอย่างไร

    อ.วิชัย ส่วนนางวชิราภิกษุณีก็กล่าวว่า ดูก่อนมาร เพราะเหตุไรหนอความเห็นของท่านจึงหวนกลับมาว่า สัตว์ในกองสังขารล้วนนี้ ย่อมไม่ได้นามว่าสัตว์เหมือนอย่างว่า เพราะคลุมส่วนทั้งหลายเข้า เสียงว่ารถย่อมมีฉันใด

    ท่านอาจารย์ เท่านี้ก็ชัดเจนหมดเลย ใช่หรือไม่ แต่ว่าทีละประโยคก็ได้

    อ.วิชัย ดูก่อนมาร เพราะเหตุไรหนอความเห็นของท่านจึงหวนกลับมาว่าสัตว์

    ท่านอาจารย์ ทั้งๆ ที่เห็นเท่านั้นก็ยังคิดว่าเป็นสัตว์ บุคคล ทั้งๆ ที่เพียงได้ยิน แค่ได้ยินก็ยังเข้าใจว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เพราะฉะนั้นเมื่อแต่ละสิ่งๆ ก็เป็นเพียงแต่ละหนึ่ง ทำไมจึงเข้าใจว่าเป็นคน หรือว่าเป็นสัตว์ บุคคลหนึ่งบุคคลใด ทั้งๆ ที่เกิดปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่เที่ยงเลย ไม่ยั่งยืนเลย ถ้ามีความคิด ความเข้าใจ อย่างนี้เสมอๆ เราก็จะรู้ได้ว่า แท้ที่จริงแล้วอะไรเกิด ถ้าไม่มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นเลย คนก็ไม่มี โลกก็ไม่มี อะไรๆ ก็ไม่มี แต่ก็ต้องเป็นความคิดที่ละเอียดมาก อย่างเมื่อวานนี้จำได้หรือไม่ว่า มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ตอนเป็นเมื่อวานนี้ยังไม่มีวันนี้ชัดเจน ใช่หรือไม่ ตราบใดที่ยังไม่มีวันนี้ เป็นเพียงเมื่อวานนี้ ขณะนั้นชัดมาก แต่พอผ่านไปถึงวันนี้ เมื่อวานนี้อยู่ที่ไหน ไม่มีเลย หายไปหมดฉันใด ขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริงหมดเลย เห็นก็จริง คิดนึกก็จริง นั่งอยู่ที่นี่ก็จริง พอถึงพรุ่งนี้สิ่งที่กำลังเป็นจริงเดี๋ยวนี้ แสนที่จะสำคัญอยู่ที่ไหน ไม่มีเลย


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    13 พ.ย. 2568