พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 810


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๑๐

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕


    อ.คำปั่น แต่ละคน แต่ละท่าน ที่จะได้ฟังพระธรรมนั้น ก็สะสมอุปนิสัยมาต่างกัน แต่เพราะเหตุที่ดีที่ได้สะสมมาแล้ว เคยได้ฟังพระธรรมมาแล้วในอดีต จึงได้ฟังพระธรรม และได้รับประโยชน์จากพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทรงแสดงพระธรรมนี้ มีโจรหลายร้อยคน กำลังจะปล้นบ้านของอุบาสิกาท่านหนึ่ง ซึ่งกำลังฟังธรรมที่ลูกชายกำลังแสดง ถึงแม้ว่าจะมีคนใช้ไปบอกว่า โจรกำลังจะขนทรัพย์สมบัติไป นางก็ไม่หวั่นไหว ขอเพียงได้ฟังพระธรรม จนเป็นเหตุให้โจรเหล่านี้ เกิดความอัศจรรย์ว่า เพราะเหตุใด จึงไม่เกิดความหวั่นกลัว และเป็นเหตุให้โจรหล่านี้กลับใจ และขอบวชในพระพุทธศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงพระธรรม ที่จบลงด้วย วิดน้ำออกจากเรือ จากชีวิตที่เคยเป็นโจร และก็ได้บวชในพระพุทธศาสนา จนกระทั่งได้ฟังพระธรรม ได้รู้แจ้งธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเลย

    เพราะฉะนั้น พระธรรมเทศนาที่แสดงถึง วิดน้ำออกจากเรือสูงสุดเลย ถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะว่า แสดงถึงความเป็นผู้ดับกิเลสได้อย่างหมดสิ้นถึงฝั่งโน้น คือ ฝั่งที่ไม่มีกิเลส ด้วยความปลอดภัย ด้วยเรืออันเบา ไม่หนักด้วยอกุศลธรรม นี้คือ ที่มาที่หนึ่ง ที่แสดงถึงข้อความนี้ และอีกที่หนึ่ง ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวในรายการแนวทาง ที่แสดงถึงพราหมณ์ท่านหนึ่ง ที่เตรียมตัวที่จะทำไร่นา ที่อยู่ใกล้ๆ ริมแม่น้ำอจิระวดีพระพุทธเจ้าก็ทรงเห็นแล้วว่า พราหมณ์ท่านนี้จะเป็นอย่างไร เพราะว่า พระองค์ทรงเห็นว่า ไร่นาของเขาก็จะเสียหาย เขาก็จะประสบกับความเศร้าโศกอย่างยิ่ง พระองค์ก็มีพระมหากรุณาที่จะเกื้อกูลพราหมณ์ท่านนี้ ก็เสด็จไปทำการปฏิสันถาร ตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งถึงเวลาที่ใกล้เก็บเกี่ยว ก่อนเก็บเกี่ยวเพียงแค่หนึ่งวัน พายุก็ลงอย่างหนัก ไร่นาของเขาเสียหายทั้งหมดเลย พราหมณ์ท่านนี้เกิดความเศร้าโศก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปหา พราหมณ์ท่านนี้ก็มีจิตใจที่ดี เพราะว่า เข้าใจว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จมาโปรดเรา ก็กราบทูลอาราธนานิมนต์ ให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่ง พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเกื้อกูลพราหมณ์ท่านนี้ ด้วยข้อความที่แสดงถึง วิดน้ำออกจากเรือ เช่นเดียวกัน แสดงถึงความเป็นผู้ไม่มีกิเลส เพราะว่า ดับกิเลสได้อย่างหมดสิ้น ถึงความเป็นพระอรหันต์ แต่ว่าพราหมณ์ท่านนี้พร้อมกับภรรยา สามารถรองรับพระธรรม ตามกำลังปัญญาของตนเอง ทำให้ท่านบรรลุธรรมถึงความเป็นพระโสดาบัน พร้อมภรรยาด้วย

    เพราะฉะนั้น พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ไม่ว่าจะเป็นกาลไหนก็ตาม ไม่มีคำว่าล้าสมัย เพราะเหตุว่า ถ้าฟัง และก็มีความเข้าใจ ประโยชน์ย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้นั้น และที่สำคัญพระธรรมทุกคำ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นคำจริงโดยตลอด และเป็นไป เพื่อการอบรมเจริญปัญญาโดยตลอดจริงๆ

    อ.ธิดารัตน์ ฟังธรรมทุกครั้ง ก็ฟังเรื่องของสิ่งที่มีจริงๆ และท่านอาจารย์ก็ได้ยกตัวอย่างว่า กิเลสเหมือนกับน้ำที่เต็มเรือ ขณะนี้เรารู้จักกิเลสที่เกิดอยู่ที่ตัวเองบ้าง หรือยัง เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมทั้งหมด ก็เพื่อรู้ลักษณะของอกุลธรรมทั้งหลาย ที่เกิดขึ้นที่อัตภาพของตน ที่ฝังแน่นสะสมสืบต่อมาเนิ่นนาน ขณะที่รู้ความจริงว่าขณะนี้ มีลักษณะของอกุศลธรรมใดๆ เกิด ขณะนั้น ต้องเริ่มรู้จักกิเลสที่สะสมซึ่งเป็นน้ำ และคงจะเน่าเหม็นมากเลย เพราะว่าเป็นน้ำไม่ดี เป็นอกุศลธรรมต่างๆ เหล่านี้ ที่จะต้องวิดทิ้ง นำออก สิ่งสกปรกเหล่านี้กว่าจะค่อยๆ ตัก วิดออก ก็ต้องเริ่มที่จะศึกษา การศึกษาทั้งหมดเพื่อจะรู้จักอกุศลประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ความติดข้อง โลภะ โทสะ ความโกรธ หรือว่าลักษณะของความไม่รู้ ซึ่งเป็นอวิชชา ซึ่งเนิ่นนานมาในสังสารวัฏ เป็นเหตุ เป็นปัจจัยที่จะทำให้อกุศลอื่นๆ เจริญงอกงามขึ้น ขณะที่มีอกุศลทั้งหลายเพิ่มพูน ขณะนั้นก็เติมน้ำเสียลงไปในเรืออยู่เรื่อย เรือก็น่าสงสารเต็มเพียบอยู่แล้ว ก็ยังต้องเติมน้ำเข้าไปอีก จะไปรอดหรือไม่ สิ่งที่ควรจะเห็นประโยชน์ ก็คือ ค่อยๆ สะสมปัญญา ค่อยๆ ที่จะตักน้ำออกบ้าง กว่าจะหมดก็เป็นภารกิจที่หนักมาก กว่าจะหมด หนทางอีกยาวไกลที่จะถึงฝั่ง โดยเรือจะไม่มีน้ำ ที่เป็นอกุศลธรรมทั้งหลาย และกิเลสทั้งหลายไม่ได้อาศัยที่ไหนเลย อาศัยที่ตนเอง เกิดโดยอาศัยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หลังเห็นแล้ว ยินดีพอใจในสิ่งที่เห็น ไม่พอใจในสิ่งที่เห็น หลังจากที่ได้ยิน พอใจในเสียงบ้าง ไม่พอใจในเสียงบ้าง และก็ไม่รู้ตามความเป็นจริง ว่าเป็นสภาพธรรม ที่เพียงปรากฏเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือแม้ขณะที่คิด เรื่องราวบัญญัติทั้งหลายไม่มีจริง แต่จิตมีจริงๆ เพราะฉะนั้น ลักษณะของจิตที่ทำกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกิจเห็น กิจได้ยิน หรือว่าทำกิจคิด มีลักษณะของสภาพของนามธรรม ซึ่งเป็นธาตุรู้ ค่อยๆ ที่จะเข้าใจความเป็นธาตุรู้ ที่เป็นจิตบ้างหรือเปล่า ลักษณะของกิเลส ซึ่งเป็นเจตสิกต่างๆ ก็คือ สิ่งที่เรียนทุกๆ วัน เพื่อรู้จักลักษณะสภาพธรรมเหล่านี้เอง ตามความเป็นจริง

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงว่า พูดถึงเห็น รู้จักเห็นหรือยัง แล้วก็เห็นนี้อยู่ใกล้หรือไกล ถ้าผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม เต็มไปด้วยโลกของความคิด ดูเหมือนเห็นอยู่ไกล กราบเรียนท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ดูเหมือนเห็นอยู่ไกล หรือว่า อยู่ไกลจริงๆ หรือว่าอยู่ใกล้ตรงนี้เอง และตรงนี้ที่กำลังเห็นเป็นเห็น หรือเป็นเรา เห็นไหม เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจจริงๆ ว่ายากที่จะเข้าใจธรรมว่าไม่ใช่เรา แล้วก็อย่าหวัง ว่าสามารถที่จะละทิ้งความเป็นเราได้ โดยไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏทีละหนึ่ง และการที่จะเกิดความเข้าใจ ก็ต้องมีปัจจัยที่จะทำให้เข้าใจในขณะนั้นด้วย ถ้าไม่มีการฟัง จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่มีหนทางเลยที่จะเข้าใจความเป็นสิ่งที่มีจริง เพียงเกิดขึ้นแล้วก็หมดไปของสิ่งที่กำลังมีอยู่ในขณะนี้ได้

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่อดทน และก็รู้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงตรัสสรู้ สิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏในขณะนั้น เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นปรากฏ ชาติไหน เมื่อไหร่ เหตุการณ์ใด ก็คือ เป็นสิ่งที่เกิดมีจริงในขณะนั้น ซึ่งปัญญาสามารถที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกได้ ถ้าค่อยๆ เข้าใจในขณะนี้ ว่าแม้เป็นสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ก็อย่าพึ่งคิดว่า จะละความเป็นเราจากสิ่งที่มีจริง จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อยๆ ไม่มีใครที่สามารถที่จะรู้ธรรมได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ฟัง นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมีมา สมควรแก่การที่จะรู้อย่างนั้นได้

    อ.วิชัย เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์กล่าวว่า การจะรู้หรือว่า เข้าใจธรรม ก็คือ รู้ทีละหนึ่งอย่างที่ปรากฏ ดังนั้น ถ้าตามการที่ศึกษาก็รู้ว่าว่าจิตเกิดดับอย่างรวดเร็วมาก หรือแม้ในส่วนของรูป แม้เกิดช้ากว่าจิตก็เร็วเช่นเดียวกัน ดังนั้น การที่จะเข้าใจในสิ่งที่มีจริง ที่เกิดดับอย่างรวดเร็วขณะนี้ ทีละอย่าง คือ อย่างไร

    ท่านอาจารย์ จิต คือ อะไร เห็นไหม ถ้าตั้งต้นที่คำว่า คืออะไร ก็ต้องเป็นทีละหนึ่งแน่นอน

    อ.วิชัย เป็นธาตุรู้ เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์

    ท่านอาจารย์ จิตเป็นโกรธหรือเปล่า โกรธเป็นจิตหรือเปล่า หรือว่าจิตเป็นโกรธหรือเปล่า

    อ.วิชัย ไม่ใช่ เป็นคนละอย่าง

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น โกรธเป็นโกรธ และก็จิตเป็นจิต ไม่ปะปนกัน ก็ทีละหนึ่ง ไม่ว่าจะอะไรทั้งหมด เอ่ยมาก็เป็นทีละหนึ่ง เสียงไม่ได้ปะปนกับสภาพธรรมอื่นเลย ได้ยินก็ไม่ใช่เห็น ก็เป็นหนึ่ง แต่ละหนึ่งๆ

    อ.วิชัย คือ ไม่ต้องไปคิดถึงว่า จิตเกิดดับอย่างรวดเร็ว แต่ว่า รู้สิ่งที่มีใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ฟังแล้วก็ทราบ หรือว่าเข้าใจได้เลย ว่าจิตไม่เที่ยง และจะรู้ได้อย่างไรว่าจิตไม่เที่ยง เพราะว่าจิตหลากหลาย ใช่ไหม อย่างเห็นเป็นธาตุรู้หนึ่งชนิด อาศัยตา รูปพิเศษ ที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เป็นปัจจัยให้มีธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น นี่คือ แสดงความเป็นอนัตตาของทุกสิ่งทุกอย่าง ว่าธาตุรู้ไม่ได้มีมาก่อนเลย ไม่ใช่ไปรอคอยอยู่ที่ไหน ต่อเมื่อใดที่มีธาตุที่สามารถกระทบจักขุปสาท คือ รูปพิเศษ แล้วถึงกาลที่กรรมหนึ่งจะให้ผล ถ้าเป็นกุศลกรรม สิ่งที่ปรากฏที่กระทบจักขุปสาทก็เป็นสิ่งที่น่าพอใจ จะให้จิตเห็นเกิดขึ้นเห็น สิ่งที่ไม่น่าพอใจ ได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น นี่ก็แสดงความเป็นหนึ่งในหนึ่งขณะ ที่เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย ว่าจะต้องเห็นสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งอื่น เพราะฉะนั้น ก็เป็นแต่ละหนึ่งๆ ไป สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ไม่ใช่เห็น ก็เป็นหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏทางตามีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะแล้วดับ เป็นหนึ่งหรือไม่ สิ่งที่ปรากฏทางตาใหม่เป็นหนึ่งหรือเปล่า เพราะว่าไม่ใช่เก่า

    เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วก็เพียงแต่ละหนึ่งที่แสนสั้นจริงๆ แต่ว่า เกิดติดต่อกันจนกระทั่งไม่ปรากฏ ว่าดับไป เหมือนอันเดียวกัน ใช่ไหม อย่างเห็นคนที่เราจำได้ว่าเป็นใคร ก็เหมือนเห็นคนนั้นอยู่ ยังเห็นคนนั้นอยู่ แต่ถ้าเข้าใจตามความเป็นจริง ว่าจิตเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ซึ่งมีอายุเพียงแค่ ๑๗ ขณะจิตที่ดับ แล้วจะเป็นคนนั้นได้อย่างไร เพราะว่า มีสิ่งที่ปรากฏใหม่ เป็นอีกหนึ่งไม่ใช่หนึ่งเก่า และก็จิตเห็นก็เป็นจิตเห็นใหม่ด้วย ไม่ใช่จิตเห็นเก่า เพราะฉะนั้น ทั้งจิตเห็นก็เป็นหนึ่งตลอดเวลา ที่เกิดแล้วดับไปก็เป็นหนึ่ง เกิดอีกก็เป็นหนึ่ง ดับไปทุกขณะก็เป็นหนึ่ง แต่ละหนึ่ง

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์ ถ้ากล่าวถึงขณะนี้ก็ดูเหมือน เห็นตลอดเวลา ไม่ดับเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ ถ้ารู้ก็ไม่ต้องฟัง ใช่ไหม ฟังแล้วก็ไม่ใช่ต้องเชื่อ แต่ต้องค่อยๆ พิจารณาว่า ใครรู้จึงทรงแสดง ต้องมีผู้ที่รู้อย่างนี้แน่นอน แต่ว่าผู้ไม่รู้ก็ไม่รู้ ไม่สามารถที่จะรู้อย่างนั้นได้ แต่โดยเหตุผล ก็จะเห็นได้ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ ความจริงเหมือนเดิม ดูเหมือนเดิม เพราะว่าเป็นสิ่งที่กระทบตาแล้วก็ดับซ้ำๆ กัน แต่ว่าความจริงไม่ใช่หนึ่งก่อน ที่ดับไปแล้ว เป็นหนึ่งใหม่ แต่ละหนึ่งๆ

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์ เมื่อกล่าวถึงสติที่ระลึก คือ แม้ระลึกในลักษณะที่เป็นธาตุรู้ แต่ว่าก็ ดูเหมือนว่า ขณะนั้นก็มีกำลังเห็นอยู่ เป็นความรวดเร็วของจิต หรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้ กว่าจะรู้จริงๆ นี่แค่กว่าจะฟังให้เข้าใจ ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ พอเข้าใจแล้วก็ กว่าจะรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏจริงๆ เพียงทีละหนึ่งแล้วจะเหลือความเป็นเราที่ไหน อะไรจะเป็นเราได้ ในเมื่อเพียงปรากฏว่าเป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดเป็นอย่างนั้นแล้วก็ดับไป ค่อยๆ คลายความเป็นเรา ด้วยความรู้ตามระดับขั้น ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็จะไปสามารถละความเป็นเราได้เลยโดยไม่รู้อะไร แต่ต้องรู้จริงๆ มีหลายคน ก็เล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์หลายๆ อย่าง แต่ไม่รู้เลยว่า ขณะนั้นก็เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปสืบต่ออย่างรวดเร็ว

    อ.อรรณพ ในขั้นการศึกษาพระธรรมคำสอน ยังไม่ถึงขั้นการจะรู้ว่าเป็นแต่ละขณะ ก็ต้องเข้าใจ เข้าใจทีละคำ ว่าแต่ละหนึ่งๆ ของแต่ละคำ มีความหมายอย่างไร จะไปเข้าใจอรรถความหมายที่ลึกซึ้งไป ก็เป็นไปไม่ได้ และถ้าไม่มีการสะสมความเข้าใจอย่างนี้ จะไปรู้ได้ยังไงว่า ขณะนี้ แต่ละขณะเป็นธรรม เป็นแต่ละหนึ่งๆ เพราะฉะนั้น ก็คือ มาอยู่ที่ การฟังด้วยดี

    ท่านอาจารย์ แต่ละหนึ่ง ยากที่จะเข้าใจ แต่ว่าเข้าใจแต่ละหนึ่งห่างๆ ก่อนก็ได้ แต่ว่าตามความเป็นจริง แต่ละหนึ่งละเอียดยิบรวดเร็วสั้นมาก ต้องเป็นการที่ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจากการฟังก่อน และก็สติปัญญาของใครสามารถที่จะรู้แต่ละหนึ่งได้ ระดับไหนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ว่าระดับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือท่านพระสารีบุตร หรือท่านพระมหาโมคคัลลานะ หรือพระมหาสาวก แต่สำหรับการฟัง เพื่อให้คิดได้ พอที่จะเข้าใจว่า แต่ละหนึ่งไม่ผิดแน่นอน เช่น ก่อนเห็นเป็นเห็นหรือเปล่า ก่อนเห็นเป็นอะไร ยังไม่ได้บอก แต่ว่าก่อนเห็นเป็นเห็นหรือเปล่า ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น ก่อนเห็นเป็นหนึ่งที่ไม่ใช่เห็น แค่นี้ก็พอจะเห็นได้ แน่นอนต้องมีก่อนเห็น และก่อนเห็นก็เป็นหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เห็น ขณะที่กำลังเห็น มีได้ยินไหม เดี๋ยวนี้ หรือว่าเห็นดับไปเลย และก็ได้ยินถึงจะเกิดขึ้นปรากฎว่าเป็นได้ยิน ก็ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะความรวดเร็ว

    เพราะฉะนั้น ธรรม คือ ฟังแล้วจะได้รู้ว่าตามความเป็นจริง ที่ยากที่จะได้เข้าใจตรงตามความเป็นจริง ก็ต้องเริ่มจากการที่เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้น แม้กำลังเห็นอย่างนี้ ยังไม่ได้มืดดับหายวับไปเลยก็มีได้ยิน แต่ว่า ได้ยินก็เป็นหนึ่ง เห็นก็เป็นหนึ่ง และก็มีคิดไหม คิดมีแน่นอน คิดแล้วก็หมด เรื่องยังไม่จบเลย ใช่ไหม ต้องคิดตั้งหลายคำ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งกว่าจะเป็นเรื่อง หรือว่าเพียงแค่คำเดียวก็เป็นเรื่องได้ ไม่ได้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น แม้แต่เรื่องยาวๆ เดี๋ยวนี้ ก็เป็นแต่ละหนึ่ง ก็พอที่จะเห็นได้ ว่าหนึ่งจริงๆ คือ อย่างไร ต้องละเอียดกว่านี้มาก นี่แค่หนึ่งหยาบๆ แต่ว่าพระผู้มีพระภาคก็ทรงแสดงแต่ละหนึ่งละเอียดยิบ ที่จะให้เข้าใจได้จริงๆ ว่าจะเป็นอื่นไม่ได้แม้แต่ก่อนเห็น ก็เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่ใช่เห็น แต่ต้องมีแน่ๆ และเมื่อเห็นเกิดขึ้น ก็ไม่ใช่จิตขณะต่อไป อีก ๒-๓ ขณะถึงจะชอบหรือไม่ชอบในสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งชอบหรือไม่ชอบก็ห่างแล้ว แต่ก็เป็นแต่ละหนึ่ง หรือว่าไม่รู้ความจริงก็เป็นแต่ละหนึ่งอีก

    เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วก็คือว่าธรรมเป็นหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย และเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก แต่จากการฟังค่อยๆ เข้าใจความต่าง เพื่อที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา แต่ละหนึ่งเป็นแต่ละหนึ่ง จึงไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร และก็เกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยก็เกิดไม่ได้

    อ.กุลวิไล กราบเรียนท่านอาจารย์ถึงสภาพธรรมที่จะเป็นปัจจัย ให้เป็นผู้สงวนตนที่จะบรรลุคุณพิเศษ ทั้งที่เป็นโลกิย และโลกุตระ

    ท่านอาจารย์ สงวนตน ไม่ให้เป็นอกุศล ให้เป็นกุศล เพื่อที่จะได้มีความมั่นคง ที่จะอบรมเจริญกุศลจนกว่าจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ซึ่งก็หมายความว่า เพื่อดับกิเลส เพราะฉะนั้น เวลาที่พูดถึงนิพพาน โดยที่ไม่รู้ว่าหมายความถึงอะไร ความอยากถึง จะถึงได้ไหม เพราะอยากเป็นกิเลส เพราะฉะนั้น ถ้าทราบว่าฟังพระธรรม เพื่อถึงการดับกิเลสเป็นสมุจเฉท คือ ไม่เกิดอีกเลย ก็จะทำให้รู้จุดประสงค์ว่า ทุกวันนี้มีอกุศลมากไหม มีกิเลสมากไหม แล้วมีหนทางที่จะดับกิเลสหรือยัง ถ้าไม่มีปัญญาความเห็นถูกความเข้าใจถูก ก็ไม่มีทางเลย ที่จะทำให้กิเลสนั้นลดน้อยลงไปได้ เพราะเหตุว่า กิเลสมีหลายระดับ ระดับที่อยู่ในใจ ยังไม่ได้เกิดขึ้น แต่เป็นพืชเชื้อที่จะทำให้ ไม่ว่าอะไรจะปรากฏกระทบ ให้รู้ว่าสิ่งนั้นมี ก็มีความต้องการติดข้องในสิ่งนั้นแล้ว

    เพราะฉะนั้น ก็ยากแสนยาก ที่จะรู้ว่าสะสมความไม่รู้มานานแสนนาน เมื่อมีความไม่รู้ก็มีความติดข้องมากมาย และก็มีกิเลสอื่นอีกมากด้วย ไม่ใช่มีแต่เฉพาะความไม่รู้กับความติดข้อง เพราะฉะนั้น ผู้ที่เห็นโทษของอกุศล และรู้ว่ามีหนทางที่จะทำให้อกุศลเบาบาง จนกระทั่งสามารถที่จะดับหมดได้ โดยไม่ต้องคิดถึงนิพพานเลย เพียงคิดถึงว่าเดี๋ยวนี้มีอกุศลหรือเปล่า และหนทางที่จะทำให้อกุศลลดน้อยลงได้ ก็คือ การได้ฟังพระธรรมจากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรม ที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ทรงพระมหากรุณาแสดงความจริงให้คนอื่นได้รู้ ได้เข้าใจตามความเป็นจริงด้วย เพราะฉะนั้น การสนทนาธรรม เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ก็เป็นมงคลสูงสุดประการหนึ่ง

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์ อกุศลธรรม จะทำให้เกิดปัญหาอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ปัญหาทั้งหมดต้องมาจากอกุศลธรรม เพราะเหตุว่า มีการไม่รู้ จึงมีอกุศล ถ้ามีปัญญา เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ก็จะค่อยๆ ละอกุศล คือ ความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะปรากฏตามความเป็นจริง การศึกษาธรรม บางคนก็คิดว่า คำตอบยาวๆ ก็ดูเหมือนจะทำให้เข้าใจ แต่ความจริง ยิ่งยาว ยิ่งงงก็ได้ ยิ่งยาว ยิ่งไม่รู้ก็ได้ ยิ่งยาว ยิ่งสับสนไปหมดเลยก็ได้ แม้ว่าจะเป็นคำสั้น แต่ต้องไตร่ตรองถึงที่สุด คือ แม้แต่คำถามที่ว่า ปัญหาอยู่ที่จิต ใครเคยคิดบ้าง ปัญหามีมากทุกอย่าง ตั้งแต่ตื่นก็มีปัญหาแล้ว หรือใครไม่มี ดูเหมือนไม่มี แต่ความจริงก็เป็นปัญหาเล็กปัญหาน้อยอยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะถึงปัญหาใหญ่ๆ เพราะฉะนั้น คำตอบที่ทุกคนก็ควรจะได้คิดซึ่งตรงที่สุด ก็คือ ว่าๆ เมื่อกล่าวว่าปัญหาอยู่ที่จิต ถ้าไม่มีจิตก็ไม่มีปัญหา นี่แน่นอนที่สุด เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม เพื่อถึงความไม่มีจิต ไม่มีทุกอย่าง ซึ่งเป็นธาตุรู้สภาพรู้ เพราะมีสิ่งที่ปรากฏให้รู้ ด้วยความไม่รู้ จึงเกิดปัญหาด้วยความติดข้อง ด้วยความต้องการ และเกิดการยึดมั่นมากมาย ในความเป็นเรา ในความเป็นเขา ในความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งดูเหมือนเที่ยง ผิดแล้วใช่ไหม เดี๋ยวนี้ทุกสิ่งที่ปรากฏ ดูเหมือนเที่ยง ไม่มีอะไรที่เกิดดับเลย แค่นี้ก็ผิดแล้ว

    เพราะฉะนั้น ปัญหาที่จะไม่มีความเห็นผิด ก็ต้องมี ว่าทำอย่างไร หรือว่าอะไรจะเป็นสิ่งที่ทำให้ปัญหาหมดไปได้ เพราะฉะนั้น ก็คือว่า การฟังพระธรรม ฟังเพื่อเข้าใจความจริงที่ไม่ใช่เรา แล้วก็ไม่มีเรา แต่ถ้าเป็นเราฟัง จะเป็นอีกแบบหนึ่ง ใช่ไหม คือ เราฟังแล้วเริ่มเข้าใจแล้ว เริ่มเป็นคนดีแล้ว เริ่มละสิ่งที่คนอื่นบอกว่าเราไม่ดี แต่ว่าถ้าไม่มีการฟังพระธรรม เราก็จะไม่รู้สึกตัว เพียงเขาบอก แต่ถ้าได้มีความเข้าใจจริงๆ ว่า ไม่ดีก็เป็นธรรม เกิดขึ้นปรากฏ ซึ่งขณะนี้แต่ละคำ ถ้าฟังไตร่ตรองให้เข้าใจขึ้น ปรากฏเพียงชั่วคราว คำนี้ตรงที่สุด เพราะว่า เห็นไม่ใช่ได้ยิน แต่เดี๋ยวนี้เหมือนเห็น และได้ยิน ก็แสดงว่าความไม่รู้มีมากแค่ไหน ปัญหาก็ต้องมากด้วย ปัญหา คือ ความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ถ้ารู้แล้วก็จะไม่เกิดปัญหา

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจว่า ปัญหาอยู่ที่จิต อกุศลธรรมเกิดกับจิตแน่นอน ขณะที่อกุศลธรรมเกิด ขณะนั้นมีปัญหา

    ท่านอาจารย์ มองเห็นหรือยัง ว่าถ้าไม่รู้มีปัญหา ปัญหาว่า แล้วเราจะรู้ได้ยังไง มาแล้วใช่ไหม แค่นี้ มีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็ฟังเรื่องสิ่งที่กำลังปรากฏแท้ๆ ก็ยังมีปัญหาว่า แล้วเราจะรู้ได้ยังไง เพราะฉะนั้น ปัญหามีมากด้วยความไม่รู้ โดยที่ว่าไม่ได้คิดถึงเลย ว่านั่นแหล่ะ คือ ตัวปัญหาเพราะมีเรา เพราะว่า ไม่ได้รู้ตามความเป็นจริงว่าแท้ที่จริง ถ้าจะบอกว่ากรุณาฟังบ่อยๆ ไตร่ตรองว่าเป็นความจริงหรือเปล่า ว่าทุกสิ่งทุกอย่างขณะนี้ ปรากฏเพียงชั่วคราว สั้นจนไม่รู้ว่าจะเปรียบกับอะไร เช่น เห็นกับได้ยิน เห็นต้องชั่วคราวแน่ ได้ยินก็ต้องชั่วคราวแน่ เพราะว่า ทั้งสองอย่างจะเกิดพร้อมกันในขณะเดียวกันไม่ได้ เพราะฉะนั้น ความไม่รู้จะมากสักแค่ไหน เพราะฉะนั้น การฟังเพื่อเข้าใจให้ถูกต้อง ว่าไม่มีเรา เป็นธรรม ไม่ใช่ฟังแล้ว เราจะรู้ได้ยังไง เราจะต้องทำอะไรถึงจะรู้ได้ นั่นก็เป็นปัญหา ซึ่งเป็นความไม่รู้ เพราะฉะนั้น จะแก้ได้ด้วยความรู้ ความเห็นถูกเท่านั้น


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    26 ม.ค. 2567