พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 798


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๙๘

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๕


    ท่านอาจารย์ ปรกติเป็นอกุศลวิตกแน่นอนทั้งวัน แล้วกว่าจะเป็นกุศลวิตก แม้แต่คิดที่จะเป็นคนดี ยากไหม เพราะฉะนั้น วิตกวันหนึ่งๆ ก็ไปสู่อารมณ์ที่เป็นอกุศล เป็นอกุศลวิตก แต่กำลังฟังธรรมแล้วเข้าใจ วิตกก็เป็นกุศลวิตก ไม่ได้ไปคิดเรื่องอื่น แต่ฟังเมื่อไหร่ เข้าใจเมื่อไหร่ ขณะนั้นวิตกก็เกิดกับกุศลจิต แล้วต่อไปกุศลวิตกขั้นฟัง จากการที่ฟังแล้วเข้าใจขึ้น ก็จะเกิดพร้อมจิตที่เป็นสัมมาสังกัปปะ ขณะที่กำลังเริ่มรู้ และเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงทรงแสดงตามอัธยาศัยของคนที่มากด้วยกิเลส ว่าวันหนึ่งๆ ไปสู่อกุศลทั้งนั้น กว่าจะค่อยๆ น้อมวิตกให้มาสู่การที่จะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ก็ต้องอาศัยพระธรรมเทศนามากมาย ให้เห็นประโยชน์ของกุศลแต่ละขั้นตามความเป็นจริง เพราะถ้าอกุศลเกิดทั้งวันโอกาสที่วิตกจะเป็นกุศล ได้ไหม เดี๋ยวก็เป็นอกุศลอีก เดี๋ยวก็เป็นอกุศลอีก เพราะฉะนั้น ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการที่อะไรที่เกิดบ่อย ก็สามารถที่จะค่อยๆ สะสมมากขึ้น เพราะฉะนั้น ขณะนี้ที่ฟังกำลังสะสมสัมมาทิฏฐิ และกุศลวิตก ที่จะเริ่มเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม แต่เมื่อไหร่ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้น จะเห็นความเป็นอนัตตาคิดเพราะอกุศลที่สะสมมา จึงเป็น (นาทีที่ ๐๒.๐๒ ทำ) ให้วิตกนึกถึงสิ่ง หรือเรื่องที่เป็นอกุศล ผัสสเจตสิกก็กระทบเรื่องนั้นอยู่ตลอด เพราะฉะนั้น สภาพธรรมทั้งหลายที่เกิดพร้อมกันก็ต่างทำกิจหน้าที่ในขณะนี้เอง เพราะฉะนั้น จะเข้าใจธรรมในขณะนี้ จะเข้าใจอะไร จะเข้าใจวิตกเจตสิกได้ไหม มีคนที่บอกว่าได้ และก็มีคนที่บอกว่าไม่ได้ วิตกเจตสิกไม่ใช่ชื่อ แต่ถ้าไม่รู้ว่าลักษณะนั้นเป็นธาตุรู้ จะรู้ หรือไม่ว่าธาตุรู้ขณะนั้นมากมาย ไม่ได้มีแต่เฉพาะวิตกเจตสิก ขณะที่เพียงเห็น ก็จะต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยถึง ๗ จะรู้เจตสิกไหนใน ๗ เห็นไหม

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของปัญญา ว่าแม้แต่การเจริญขึ้นของปัญญาก็ต้องตามลำดับขั้น ก่อนอื่นไม่ลืมว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรมแต่ลืมบ่อยๆ ก็แสดงว่ายังไม่มีปัจจัยพอที่จะเข้าใจว่า ทั้งหมดเป็นธรรม แต่ว่าเวลาที่ฟังมากๆ ขึ้นก็เข้าใจได้ ว่าเดี๋ยวนี้เองเป็นธรรมที่ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อเข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น แทนที่จะคิดเรื่องอื่น วิตกก็อาศัยปัญญาที่เข้าใจถูก เริ่มที่จะรู้ว่าตลอดชีวิต อะไรประเสริฐที่สุด เข้าใจพระธรรม เข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะทุกสิ่งที่คิดว่าสำคัญ หรือว่าดีที่ชอบมากๆ ก็หมดแล้ว และไม่กลับมาอีกเลย และโอกาสที่จะได้เข้าใจพระธรรมไม่นาน ใช้คำว่าไม่นาน เพราะชีวิตมนุษย์ไม่นาน แล้วมนุษย์แต่ละคน ก็ไม่มีการที่จะรู้ล่วงหน้าเลย ว่าจะจากความเป็นบุคคลนี้เมื่อไหร่ ลองคิดถึงโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมอีกไม่นาน ก็จะทำให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาท แล้วก็เห็นประโยชน์ของการที่ขณะนี้กำลังสะสมความเห็นถูก เพื่อที่จะนำวิตกมาสู่สภาพธรรมที่กำลังปรากฏที่ได้เข้าใจ จึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ และไม่ต้องไปพากเพียรที่ไหนเลย ขณะนั้นวิริยเจตสิกก็ต้องเกิดพร้อมกันแล้ว เพราะว่าทรงแสดงโดยละเอียดว่า วิริยเจตสิกไม่เกิดกับจิตอะไรบ้าง เพราะฉะนั้น ส่วนใหญ่วิตกก็เกิดพร้อมกับวิริยเจตสิก ไม่ต้องไปทำความเพียร แม้แต่จิตที่ตั้งมั่นเอกัคตาเจตสิก ซึ่งใช้คำว่าสมาธิก็ไม่ต้องไปทำสมาธิอื่น เพราะว่าเกิดพร้อมกันอยู่แล้วมรรค ๕ องค์ นี่ก็คือ การที่ได้ฟัง และก็จะเป็นผู้ที่รู้ด้วยตัวเองว่าเริ่มเข้าใจ และเริ่มรู้ลักษณะที่ได้ฟังบ้าง หรือไม่ และลักษณะอะไร ก็เป็นผู้ที่ตรง เพราะฉะนั้น ปัญญาความเห็นถูกตรง ไม่เห็นผิดเลย

    อ.กุลวิไล ซึ่งท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจแม้แต่ขณะนี้เอง ฟังเรื่องราวของลักษณะของธรรมที่มีจริงในขณะนี้ เป็นการสะสมความเห็นถูกที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้แม้นแต่วิตกเป็นกุศล และจะเป็นปัจจัยให้เป็นสัมมาสังกัปปะที่รู้ลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้

    ท่านอาจารย์ คนที่ยังไม่ได้ฟังธรรมเลยได้ยินคำว่าวิตก ชอบไหมคำว่าวิตก เป็นห่วงกังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ความจริงไม่ใช่เลย ความเป็นห่วงกังวลไม่ใช่วิตกเจตสิกแต่เป็นเจตสิกอื่น เพราะฉะนั้น ในขณะจิตหนึ่งก็จะมีเจตสิกมาก เป็นนามธาตุไม่มีรูปร่างใดๆ เจือปนเลย และก็เป็นสภาพธรรมที่ละเอียดยิ่ง เพราะเหตุว่า แม้ไม่มีรูปร่างที่จะแยกออกไปให้เห็นลักษณะที่ต่างๆ กัน แต่ความต่างของนามธาตุแม้เกิดพร้อมกันก็มี นี่เป็นความละเอียดที่จะเห็นได้ว่าธรรมต่างกัน ที่เป็นรูปธรรม แม้ว่า กล่าวว่าหยาบเพราะปรากฎ แต่ก็ไม่เห็น เช่น เสียง เพียงแต่รู้ว่ามีแต่ไม่เห็น

    เพราะฉะนั้น รูปทั้งหมดก็จะมีประเภทที่เป็นรูปหยาบกับรูปละเอียด ในชีวิตประจำวันรูปที่ปรากฏให้รู้ได้ ให้รู้ได้ คือ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นรูปหยาบ เพราะปรากฏให้รู้ว่ามี แม้มองไม่เห็น นอกจากรูปเดียว คือ สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้

    อ.กุลวิไล ซึ่งเมื่อวานท่านอาจารย์ก็เน้นให้ฟังว่า จุดประสงค์ของการศึกษาพระธรรม ก็เพื่อความเข้าใจถูกว่าไม่มีเรา เมื่อวานท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า ถ้าศึกษาแล้วยังมีเรา ถูก หรือผิด ซึ่งหลายท่านก็คงทราบ จุดประสงค์ของการศึกษาธรรม เพื่อรู้ว่าไม่มีเรา คือ เป็นธรรมทั้งหมด กราบเรียนท่านอาจารย์ แม้แต่คำถามนี้หลายท่านก็อาจจะไม่เข้าใจว่า ที่ศึกษาอยู่นี้ก็ดูเหมือนว่าเราก็ศึกษาธรรม แต่ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า ถ้าศึกษาแล้วยังมีเรา ถูก หรือผิด กราบเรียนท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ความจริงเป็นเรา หรือป่าว ถ้าไม่ใช่แล้วยังเข้าใจว่าเป็นเรา ขณะที่เข้าใจว่าเป็นเราทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรา ถูก หรือผิด

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์แต่ผู้ที่ศึกษา ถ้าไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมบางครั้งก็ไม่รู้ว่า การศึกษาของเขาด้วยความเป็นเราท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ศึกษาธรรมแล้วไม่รู้ เพราะว่า ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟังเท่านั้นเอง ไม่ใช่ให้รู้มากกว่านั้น เพียงแต่ว่า กำลังมีสิ่งที่มี และก็ไม่เคยรู้แค่นี้ แล้วสามารถจะรู้ได้ทั้งๆ ที่เกิดมาก็ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องคิดนึก ก็เป็นของธรรมดา แต่ไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปทำอะไรด้วยตัวเอง ขวนขวายที่จะไปทำเพื่อที่จะรู้อะไร ในเมื่อสิ่งที่มีขณะนี้ ใครรู้ และทรงแสดงให้ผู้อื่นสามารถเริ่มเข้าใจ เริ่มเข้าใจถูกแต่ไม่ได้หมายความว่า ทันทีที่เข้าใจถูก ก็หมดกิเลสไปได้เลย แต่หมายความว่าฟัง และรู้ตามความจริงว่า ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ และพูดเรื่องสิ่งที่มีจริง ใครจะบอกว่าไม่เข้าใจก็แปลก เพราะว่า เห็นก็มีจริงๆ และก็ไม่ได้พูดเรื่องอื่น ก็พูดเรื่องเห็น ได้ยินก็มีจริงๆ และพูดเรื่องได้ยิน และจะบอกว่าไม่เข้าใจ ได้ยังไง ไม่ได้พูดเรื่องอื่นที่ยาก ที่ไม่มีแต่ว่าขณะนี้ สิ่งนี้กำลังมี แล้วเริ่มเข้าใจถูกค่อยๆ พิจารณาว่า ขณะนี้ที่เห็นกำลังเห็นจริงๆ เป็นสิ่งที่มีจริง ที่กำลังเห็น แค่นี้ เป็นสิ่งที่มีจริงที่กำลังเห็นแต่ก็ลืม ต้องฟังบ่อยๆ ฟังบ่อยๆ แล้วก็จะได้เข้าใจถูกต้องว่าวันหนึ่งๆ ไม่ได้คิดถึงสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง แต่คิดเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏที่เห็น ให้ได้ยิน ให้ได้กลิ่น ให้ลิ้มรส ให้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส

    เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังไม่ได้รู้ความจริงของเห็น ของได้ยิน เป็นต้น จะหมดความเป็นเราได้ไหม ในเมื่อขณะเห็นนี่เอง ที่เข้าใจว่าเราเห็น ขณะที่ได้ยินก็เป็นเราได้ยิน และถ้ายังไม่ได้มีการเริ่มที่จะค่อยๆ เข้าใจเห็น ที่กำลังเห็นขณะนี้ ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ที่กำลังเห็น แต่ฟังเท่านี้ไม่พอ ๔๕ พรรษา ที่ทรงแสดงให้เห็นว่า ประโยคเดียว คือ สิ่งที่มีจริง ขณะนี้เกิดแล้วก็ดับไป ถ้าไม่ดับอย่างอื่นปรากฏได้ไหม ไม่ได้เลย แต่นี่ไม่ได้มีแต่เห็น อย่างอื่นก็มี ก็แปลว่าอย่างอื่นก็เกิดด้วย แต่จะเกิดพร้อมๆ กันไม่ได้ เพราะเหตุว่า ธาตุรู้ คือ จิตเป็นสภาพที่เกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะเท่านั้น จะไม่มีจิตซ้อนกันได้เลย จนกว่าจิตที่เกิดนั้นดับหมดไปทั้งสามอนุขณะ คือ อุปาทะ การเกิดขึ้นขณะที่เกิดขึ้นเป็นอุปาทะ และขณะที่ตั้งอยู่ยังไม่ดับก็เป็นฐีติขณะ แล้วก็ดับไปสั้นแค่ไหน กำลังเกิดดับเป็นอย่างนี้ ฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ไม่ต้องไปทำอะไร แล้วอย่างนี้ไม่เข้าใจ หรือ เห็นขณะนี้เกิดแล้วดับ และก็ทรงแสดงความจริงของเห็น มากมายหลากหลาย โดยนัยของขันธ์ โดยนัยของธาตุ โดยนัยของอายตนะ โดยนัยของอริยสัจจ์ สำหรับให้เห็นจริงๆ ว่า ถ้าจะพูดถึงสิ่งที่มีจริงขณะนี้เอง ไม่ต้องไปเข้าใจเรื่องอื่น แต่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะพูดเรื่องเห็น เรื่องได้ยิน เรื่องได้กลิ่น เรื่องลิ้มรส เรื่องคิดนึกเท่านี้เอง เข้าใจ หรือเปล่า เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง แล้วจะฟังต่อไปอีกจนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าเห็นขณะนี้เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครสามารถที่จะไปทำให้เห็นเกิดขึ้นได้เลย แล้วเห็นขณะนี้เกิดแล้วก็ดับด้วย เท่านี้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น มั่นคงขึ้น

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์ มีผู้ที่เขียนมาเรียนถาม ถึงสภาพธรรมที่เป็นสิ่งที่ปรากฎทางตา เพราะบ่อยครั้งมากที่ได้ยิน ได้ฟัง ถึงลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา และเผชิญหน้าอยู่อย่างนี้ด้วย แต่ยากแก่การเข้าใจ กราบเรียนท่านอาจารย์ถึงความชัดเจนอีกครั้ง

    ท่านอาจารย์ เริ่มจากการที่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่เป็นคน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเสมอถูก หรือผิด คือ ต้องเริ่มจะเข้าใจให้ถูก แม้แต่เพียงขั้นจะคิดว่าที่เราเข้าใจอย่างนี้ถูก หรือผิด เพราะว่า ความจริงสิ่งที่กำลังปรากฏทางตามีจริงๆ แต่เป็นอื่นไม่ได้เลย จะเป็นอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น นอกจากสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ อย่างอื่นไม่สามารถที่จะปรากฏให้เห็นได้ แข็งกำลังปรากฏแต่มองไม่เห็นแข็ง เพราะฉะนั้น ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตามี และไม่ใช่แข็ง ซึ่งถ้าไม่มีตาจักขุปสาท รูปที่สามารถกระทบจนกระทั่งจิตเกิดขึ้น และกำลังเห็น สิ่งที่ว่ากำลังมีกำลังปรากฎในขณะนี้ ก็ไม่ปรากฏเลยว่ามี ลองคิดถึง ไม่ปรากฏว่ามี ทั้งๆ ที่คนอื่นที่เห็น สามารถที่จะรู้ได้ในรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นต้องให้เข้าใจจริงๆ ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เรื่องอื่นทิ้งไว้ก่อนที่เคยเป็นคนนั้นคนนี้ ก็ยังต้องเป็นคนนั้นคนนี้อยู่ เพราะเหตุว่า จิตที่เห็นต้องดับ และก็มีจิตอื่นเกิดสืบต่อ และก็มีสภาพที่จำรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ก็รู้ได้ บัญญัติ คือ สิ่งที่ปรากฎเป็นนิมิต ทำให้รู้ได้ว่าหมายความถึงอะไร และเป็นอะไร จะรู้ว่าเป็นดอกไม้ จะรู้ว่าเป็นคน กับกำลังเห็น ไม่เหมือนกัน ถูกต้องไหม กำลังรู้ว่าเป็นดอกไม้ เป็นคน กับเพียงเห็น ไม่เหมือนกัน นี่คือความละเอียด

    เพราะฉะนั้น การที่ไม่รู้อะไร และก็จะไปเป็นพระอริยะบุคคล รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นไปไม่ได้เลย นอกจากเริ่มเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ให้มั่นคงขึ้น สัญญาความจำที่มั่นคง คือทั้งๆ ที่เห็นคนนี้ จำได้ว่าเป็นคนนี้ เพราะไม่รู้เลยว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่อะไรเลยทั้งสิ้น ถ้าไม่จำ จะเป็นอะไรได้ไหม ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นความละเอียดว่าในวันหนึ่งๆ เราไม่รู้อะไรบ้าง ไม่รู้ในขณะที่เห็นเลย ไม่รู้ในขณะที่ได้ยิน ไม่รู้ความจริงในขณะที่กลิ่นปรากฏ รสปรากฏ ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เพียงในขณะที่ปรากฏแล้วก็หมดไป คือ ต้องไถ่ถอนการที่จะไปจำไว้อย่างมั่นคง ว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ที่เที่ยง นี่ก็ผิดแล้ว เพราะเหตุว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดดับไม่เที่ยงเลย และขณะนี้สิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ สิ่งนั้นต้องดับ ไม่ใช่ให้ใครไปทำอะไร แต่ว่าฟังแล้วเข้าใจอย่างนี้ว่าถูก หรือผิดก่อนอื่น จนกระทั่งมีความเข้าใจที่มั่นคง ยังคงเห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ขณะที่รู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ใช่เห็น เห็นต้องไม่มี ยากมากเลยใช่ไหม เห็นต้องไม่มี ในขณะที่จำ และรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏรูปร่างสัณฐานนั้นเป็นอะไร เพราะฉะนั้น เห็นแล้วไม่ต้องเห็นอีกนึกถึงได้ไหม ได้เพราะเคยเห็น แต่ถ้าไม่เคยเห็นเลย จะนึกยังไงก็นึกไม่ออก เพราะไม่เคยเห็น แต่เวลาที่เห็นแล้ว จากการที่เห็นแล้ว ก็จะทำให้สามารถที่จะนึกถึงสิ่งที่เห็นได้ แต่ว่าไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ก็ธรรมดามาก และก็เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ และใครก็จะเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยทั้งสิ้น ฟังเพื่อเข้าใจความจริง ละกิเลส หรือเปล่า ละ หรือยัง ยัง แต่เริ่มรู้

    เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าเหมือนคนที่อยู่กับสิ่งที่มี แต่ไม่เคยรู้จักสิ่งนั้นเลย แต่เวลาที่ฟังแล้วเริ่มรู้ว่าถูกต้อง แต่กว่าจะเห็นตามความเป็นจริงอย่างนั้น ลืม แล้วจะเห็นอย่างนี้ได้ไหม ฟังครั้งเดียวแล้วลืม แต่ถ้าฟังอีกบ่อยอีก จนกระทั่งเดี๋ยวนี้เอง วันก่อนก็ฟัง ฟังมาประมาณสักหลายเดือน แล้วก็เดี๋ยวนี้หลังจากที่ฟังแล้วเริ่มเข้าใจว่า ขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น อย่างนี้ถูกต้องเพียงแค่นิดเดียวก็สะสมแล้ว เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีการเข้าใจจริงๆ แล้วจะละการยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏถูกต้องตามความเป็นจริงได้อย่างไร ก็คิดว่าละ เข้าใจว่าละ แต่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะไม่รู้แล้วจะละ ได้อย่างไร

    อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงเรื่องของการเห็น กับการที่รู้ว่าเป็นดอกไม้ หรือว่าเป็นบุคคลต่างๆ ที่ท่านอาจารย์กล่าว มุ่งหมายจะให้เข้าใจถึงสภาพธรรมที่มี คือ การเห็นกับการคิดในสิ่งที่เห็น หรือว่า ให้รู้ความต่างของการเห็นกับการคิดถึงในสิ่งที่เห็น

    ท่านอาจารย์ เห็นไม่ใช่คิด เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นไม่ใช่คิด ก็ต้องรู้ว่าเห็นเป็นเห็น และก็คิดเป็นคิด

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์กล่าวเมื่อสักครู่ว่า ขณะที่คิดไม่มีเห็น

    ท่านอาจารย์ แน่นอน และก็ไม่ใช่มีแต่เห็นกับคิด ยังมีได้ยินด้วย ใช่ไหม เพราะฉะนั้น แสดงถึงการเกิดดับอย่างเร็วมาก ซึ่งดูเสมือนว่าไม่ได้ดับไปเลยสักอย่างเดียว

    อ.วิชัย คือ การเริ่มที่จะเข้าใจถูก ท่านอาจารย์เริ่มกล่าวถึงว่า สิ่งที่มีจริง คือ อะไรให้เริ่มเข้าใจ และกล่าวถึงความเกิดดับอย่างรวดเร็ว

    ท่านอาจารย์ เพราะว่า ถ้าจะกล่าวถึงคำมากมายในพระไตรปิฎก แต่ว่าไม่ได้เข้าใจลักษณะของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ก็ไร้ประโยชน์พูดไปเรื่องขันธ์ เรื่องธาตุ เรื่องอายตนะ แล้วเวลานี้เห็นอะไรก็ยังไม่ได้รู้เลย ว่าแท้ที่จริงชั่วขณะที่เห็นจะไม่มีอะไรเลยนอกจากสิ่งที่ปรากฏให้เห็น มิฉะนั้น ธรรมก็ปะปนกันไม่ใช่แต่ละหนึ่ง แต่ละทาง ที่เข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือเข้าใจว่าเป็นเราต้องรวมหลายๆ ทาง ไม่ใช่เห็นอย่างเดียว ถูกต้องไหม แล้วก็ไม่ใช่คิดอย่างเดียว แล้วก็ไม่ใช่ได้ยินอย่างเดียว แต่ละหนึ่งๆ ๆ ที่ยังไม่ได้แยกเป็นแต่ละหนึ่งให้เห็นชัดว่า ไม่ใช่สิ่งที่ปะปนกันได้เลย

    เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังไม่รู้ชัดแต่ละหนึ่ง ก็ต้องรวมเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้น หนทางเดียวที่จะรู้ว่าพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ว่า ธรรมทั้งหลายเกิดแล้วดับหลายๆ อย่างรวมกันจะไปรู้อะไรเกิด อะไรดับใช่ไหม แต่หนึ่งที่ปรากฏนี่แหละดับ เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมที่มีประโยชน์จริงๆ คือ เข้าใจทีละคำ แล้วก็ศึกษาให้เข้าใจธรรมแต่ละอย่างที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ จนกระทั่งมีความเข้าใจ พอพูดถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา คนที่ฟังเข้าใจแล้วไปคิดเรื่องคิดว่าเป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ หรือเปล่า นี่ต่างกันแล้ว คนที่ไม่เคยฟังเลย ฟังยังไงจะไปแยกยังไง ระหว่างเห็นกับรู้ว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่คนที่ฟังจนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจได้ พอพูดคำว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ทางตารู้เลยทันที นี่คือ ประโยชน์ของการที่ฟัง

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใครก็ตาม ที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม ที่จะเกิดรู้ว่าเกิดแล้วดับจริงๆ ต้องเป็นคนที่ฟังธรรมเข้าใจ เข้าใจสิ่งที่มีจริงมานานแสนนาน จนกระทั่งพอใครพูดเรื่องอะไรก็สามารถที่จะเข้าใจเรื่องนั้นได้ ขณะนี้มีเห็นกับรู้ ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร แต่ถึงไม่เห็นก็ยังจำได้ ถึงสิ่งที่เคยเห็นว่าเป็นอะไร เพราะฉะนั้น ถ้าเอาเห็นออกไป ก็จะมีแต่ความจำว่าสัณฐานรูปร่างอย่างนี้เป็นอะไร แต่เพราะมีเห็นรวมอยู่ด้วย ก็เลยติดกันแน่น ไม่ได้แยกออกไป ใช่ไหม ก็เป็นเหมือนเห็นคนเห็นสัตว์เห็นสิ่งต่างๆ วัตถุต่างๆ แต่ถ้าฟังจนเข้าใจแล้ว ภาษาบาลีใช้คำว่า รูปารมณกับจักขุวิญญาณ จักขุวิญญาณ คือ จิตที่รู้โดยอาศัยตา ง่ายๆ ก็คือ เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นตรงตัวที่สุดในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเห็น และก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ถ้าฟังเข้าใจมานานแล้วไม่สงสัยเลย แต่ถ้าคนที่ยังไม่เข้าใจใช่ไหม ก็จะมานั่งคิดว่า แม้แต่สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่เห็น แยกยาก รู้ยากไหม ว่าธาตุรู้กำลังรู้สิ่งที่ปรากฏ คือ เห็น ขณะนี้ที่เห็นปรากฏ ถ้าเพียงไม่มีธาตุรู้ สิ่งที่ปรากฏขณะนี้ปรากฏไม่ได้ ฟังจนกว่าได้ยินเมื่อไหร่เข้าใจทันที ไม่สงสัยเลยในสภาพธรรมที่ปรากฏ นี่คือ การอบรม ถ้าพูดถึงมรรคมีองค์ ๘ หนทางเดียวที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม ที่จะถึงการดับกิเลสตามลำดับขั้น ขณะนี้กำลังอบรมที่จะให้เป็นความเห็นถูก ซึ่งในมรรคมีองค์ ๘ ปราศจากสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ขณะนี้กำลังอบรมที่จะเดินไปในทางที่จะเข้าใจถูก เห็นถูก ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่เอามรรคมีองค์ ๘ เอาชื่อมาท่อง แต่ไม่รู้ว่ารู้อะไร แต่ก็คือ รู้ และเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์ คือ ถ้าบุคคลที่เข้าใจเบื้องต้น ตามที่ฟังท่านอาจารย์ ไม่ใช่เป็นการพยายามที่จะรู้ถึงความต่างกันของเห็นกับการคิดในสิ่งที่เห็น แต่ว่าเมื่อมีการฟัง มีการพิจารณาไตร่ตรองว่า การเห็นก็เป็นขณะหนึ่ง การคิดนึกถึงสิ่งที่เห็นก็เป็นขณะหนึ่ง เมื่อมีการเข้าใจอย่างนี้เพิ่มขึ้น มีการสั่งสมสิ่งที่มีเป็นปรกติ คือ มีการเห็นบ้าง มีการคิดในสิ่งที่เห็นบ้าง ก็เริ่มที่จะพิจารณาถึงธรรมเหล่านั้นได้ ใช่ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่า ถ้าตั้งใจว่าเป็นเราฟังธรรม จะเอาเราออกไม่ได้เลยเพราะเป็นเราเข้าใจ และก็เราฟัง แต่ถ้าฟังธรรมรู้ว่าฟังให้เข้าใจ ความจริงของสิ่งที่มีจริง


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    6 ม.ค. 2567