พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 826


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๒๖

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖


    อ.ธิดารัตน์ ในจำนวนรูปหยาบ ๑๒ รูปก็มี ๗ รูป ที่ปรากฏในชีวิตประจำวันสีเสียงกลิ่นรส และสภาพที่เย็นร้อนอ่อนแข็งตึงไหวที่ปรากฏที่กาย และเจ็ดรูปท่านก็ใช้คำว่าวิสยรูป หรือว่าโคจรรูปคือรูปที่เป็นที่โคจรคือจิตรู้รูปนี้เนืองๆ ในชีวิตประจำวันจะไม่เรียกว่าหยาบไม่ได้เลยเพราะปรากฏอยู่ส่วนอีก ๕ รูปก็คือประสาทรูปถึงแม้จะเป็นรูปหยาบแต่ก็ไม่ใช่รู้ได้ง่ายเลยถ้าเรายังไม่รู้เจ็ดรูปซึ่งเป็นวิสัยวิสยรูป หรือเป็นวิสัยที่จะรู้ได้ หรือว่าเป็นรูปที่เป็นที่โคจรของจิตเนืองๆ ในชีวิตประจำวันประสาทรูปไม่ได้ปรากฏเลยแต่สิ่งที่ปรากฏทางตามีอยู่รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตาโดยความเป็นรูปธรรม หรือเป็นขันธ์ หรือยังรู้รูปรูปนี้ หรือยังสภาพเย็นเป็นเพียงลักษณะของรูปอย่างไรในชีวิตประจำวันก็ไม่ต้องคิดถึงแม้กระทั่งรูปหยาบที่เป็นประสาทรูปเลยท่านอาจารย์คะการศึกษาเหมือนกับมีสภาพธรรมที่ปรากฏอยู่แต่ทำไมถึงเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏได้ยาก

    ท่านอาจารย์ ใครเข้าใจก่อนที่บอกเรื่องความจริงของสิ่งที่ปรากฏ

    อ.ธิดารัตน์ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ เป็นเรา หรือเปล่าจะเห็นได้ว่าความต่างของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากับเราที่กำลังนั่งอยู่ตรงนี้ไกลกันแค่ไหน เพราะฉะนั้นที่บอกว่ายากถูก หรือผิด

    อ.ธิดารัตน์ ถูกค่ะ

    ท่านอาจารย์ มีใครบอกว่าง่ายบ้างคะ

    อ.ธิดารัตน์ คือวันนี้ก็สนทนากันก็มีหลายท่านบอกว่าท่านผู้ที่ร่วมสนทนาด้วยบอกว่าจริงๆ แล้วการที่จะรู้ลักษณะของรูปไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเหมือนมีแต่ไม่รู้ตามความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ แล้วจะรู้ได้ยังไงข้อสำคัญที่สุดคือทุกคนบอกว่ารู้ยากแน่นอนถูกต้องแล้วจะรู้ได้ยังไงอยู่ดีๆ ก็บอกว่ายากแล้วไม่บอกว่ารู้ยังไงจะมีประโยชน์อะไรใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นแม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงหนทางที่จะให้รู้ไม่ใช่ว่ากล่าวว่ายากแล้วก็ปล่อยไปแต่ว่าต้องมีหนทางที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้นหนทางที่จะรู้คืออะไร

    อ.ธิดารัตน์ ก็คือต้องศึกษาค่ะศึกษาธรรม

    ท่านอาจารย์ ปัญญาความเข้าใจถูกความเห็นถูกทีละเล็กทีละน้อยเริ่มจากการฟังฟังอย่างนี้แล้วหวังจะประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปของสภาพธรรม หรือเปล่า

    อ.ธิดารัตน์ ก็เข้าใจขึ้นเรื่อยๆ ค่ะท่านอาจารย์ตั้งแต่ขั้นการฟังจนมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทางอื่น

    ท่านอาจารย์ กำลังฟังเดี๋ยวนี้มีใครคิดว่าจะประจักษ์การเกิดขึ้นแล้วดับไปของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ หรือเปล่าเป็นไปไม่ได้เลยแต่ต้องสะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูกแล้วละความไม่รู้ และความติดข้องคงจะไม่ลืมที่กล่าวว่าทุกอย่างเป็นไปตามอำนาจจิตเพราะเหตุว่าจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏแล้วเดี๋ยวนี้ใครคิดถึงจิตบ้างไม่เห็นมีใครคิดถึงจิตเลยแล้วความจริงจิตที่ไม่ได้คิดถึงสะสมความไม่รู้ไว้มากแค่ไหนเพราะไม่รู้ก็เลยไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วกว่าจะแม้ฟังเข้าใจการที่จิตสะสมความไม่รู้ และความติดข้องทางตาหูจมูกลิ้นกายใจตลอดในแสนโกฏิกัปป์ในสังสารวัฏแต่ละวาระมากจนกระทั่งไม่มีการที่จะอุปมาให้เข้าใจได้เลยว่ามากแค่ไหนแม้เขาสิเนรุ หรือจักรวาลทั้งหมดมารวมกันก็ไม่เท่าความไม่รู้ และความติดข้องเป็นแผลใหญ่เน่าเหม็นมากแล้วก็จะรักษาให้หายได้อย่างไรเอาความไม่รู้ไปรู้ไปเข้าใจเป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก่อนอื่นก็คือว่ารู้ว่าจิตเต็มไปด้วยความไม่รู้มาก เพราะฉะนั้นความรู้ทีละเล็กทีละน้อยที่เข้าไปชำระล้างความไม่รู้ยังไม่ถึงขั้นที่จะชำระล้างเพียงแต่ว่ามีอุปกรณ์เครื่องมือพอที่จะสามารถรู้ว่าอะไรที่จะทำให้จิตนั้นสะอาดขึ้นได้ทีละเล็กทีละน้อยเหมือนปริยัติแต่ถ้าไม่เข้าใจ หรือว่าสภาพธรรมไม่ได้ปรากฏกับปัญญาเพราะว่าปัญญายังไม่ได้อบรมที่จะรู้สภาพธรรมนั้นก็ยังไม่ได้ลงมือขัดเกลาอะไรเลยเพียงแต่ว่ามีความรู้ที่เริ่มจะขัดเกลาเมื่อไหร่เท่านั้นเองไม่ต้องไปคิดถึงว่าชาติไหนเมื่อไหร่แต่คิดถึงบารมีของสาวกทั้งหลายท่านพระสารีบุตรท่านพระโมคคัลลานะก่อนที่จะได้มีการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระโสดาบันแม้เป็นพระโสดาบันกี่กัปมากไหมค่ะ

    อ.วิชัย ก็มากครับ

    ท่านอาจารย์ นับชาติไม่ได้เลยนับวาระไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก็เข้าใจประโยชน์ที่สุดของการเกิดมาเป็นมนุษย์มีโอกาสได้ฟังพระธรรมซึ่งเป็นลาภานุตริยะเป็นลาภที่ประเสริฐยิ่งคือสะสมความเข้าใจจริงๆ ในความเป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งไม่ใช่ของใครเป็นอนัตตาไม่ว่ากี่พระสูตรจะกล่าวถึงโดยนัยโดยโวหารประการใดๆ พระอภิธรรมจะกล่าวถึงจิตแต่ละหนึ่งขณะโดยละเอียดยิ่งพร้อมเจตสิกโดยฐานะของการเป็นปัจจัยอย่างไรก็เพื่อให้เข้าใจให้ถึงความไม่ใช่เราความเป็นสิ่งที่มีจริงชั่วคราวแล้วก็ดับไปไม่ใช่หมายความว่าเราจะมาจำพระสูตรที่เราฟังทุกเสาร์แล้วพอจะตายเราก็นึกออกว่าข้อไหนหน้าไหนไม่ใช่เลยค่ะแต่ทั้งหมดที่ฟังคือไม่ลืมว่าขณะนั้นเดี๋ยวนั้นคือสิ่งที่มีจริงแล้วก็เกิดแล้วด้วย และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาด้วยไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตามเดี๋ยวนี้มีสิ่งนี้ที่ปรากฏขณะต่อไปไม่รู้เลยว่าอะไรจะปรากฏ เพราะฉะนั้นเวลาจะตายจริงๆ ใครจะรู้แต่ว่าได้สะสมความเข้าใจมาเรื่อยๆ ที่จะรู้ว่าแม้สิ่งที่มีในขณะนี้ก็เกิด และปรากฏ และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาพร้อมที่ว่าเมื่อถึงกาลที่ปัญญาสมบูรณ์อะไรจะปรากฏแม้แต่ถ้อยคำของท่านพระอัสชิขณะนั้นปัญญาก็สามารถเข้าใจถูกต้อง และคลายความยึดถือสภาพธรรมก็ประจักษ์แจ้งตามความเป็นจริงตามที่ได้ฟัง และรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ เพราะฉะนั้นตลอดชีวิตก็คือสะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูกในความจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฎ

    อ.ธิดารัตน์ เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่าก่อนจะละความไม่รู้ต้องคลายก่อน

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ

    อ.ธิดารัตน์ คลายในอะไรคะคลาย

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ไม่รู้อะไร

    อ.ธิดารัตน์ สิ่งที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้สิ่งที่ปรากฏแล้วจะคลายความไม่รู้ได้อย่างไร หรือว่าจะละความไม่รู้เลยทั้งๆ ที่ได้ยินคำว่าเพียงปรากฏให้เห็นได้คำนี้ไม่เปลี่ยนเลยเดี๋ยวนี้สิ่งที่กำลังปรากฏเพียงปรากฏให้เห็นได้หลับตาแล้วมีไหมชัดเจนอยู่แล้วในความเป็นอนัตตาในการที่ใครจะไปบังคับให้หลับตาแล้วก็ให้เหมือนอย่างนี้เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นความไม่รู้ในความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ได้ยินกี่วันแล้วละ หรือยังละได้ไหมไม่ต้องพูดถึงละคลายบ้าง หรือยังถ้าไม่คลายเลยจะละกันตอนไหน

    อ.ธิดารัตน์ หมายถึงว่าคลายจากที่เคยยึดถือ หรือยึดมั่นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    ท่านอาจารย์ คลายความไม่รู้ว่าแท้ที่จริงก็เป็นเพียงแค่ความจริงแท้ๆ ก็คือปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเองจะเป็นอะไรก็ตามเพชรนิลจินดาดอกไม้เสื้อผ้าทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้คลาย หรือยังคะ

    อ.วิชัย เพียงเข้าใจขึ้นบ้างครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เข้าใจขึ้นแต่ยังไม่คลายความเป็นผู้ตรงบารมีสัจจะบารมีจะบอกว่าคลายต้องมีเหตุด้วยนะไม่ใช่บอกว่าคลายแล้วจะเชื่อแต่ว่าคลายเพราะอะไรไม่ใช่ว่าพอบอกว่าคลายก็คลายไม่จริงไม่เป็นเหตุเป็นผล เพราะฉะนั้นเพียงแต่เข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อยยังไม่ได้แม้คลายเพราะอะไรเพราะเหตุที่จะให้คลายยังไม่มี และอะไรเป็นเหตุให้ละคลายก็ต้องมีอีกคือพระผู้มีพระภาคทรงแสดงทุกอย่างตามความเป็นจริงโดยละเอียดยิ่งเพื่อไม่ให้หลงเข้าใจผิด

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์บอกว่าถ้าเราเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่มีจริงแม้ฟังธรรมไม่รู้เรื่อง และไม่สบายใจก็ไม่ต้องเดือดร้อนใจว่าขณะนั้น

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่อย่างนั้นปัญญาสามารถเข้าใจถูกเห็นถูกได้ว่านี่คือความจริงเกิดแล้วเป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างอื่นหายไปแล้วใช่ไหมคะเมื่อกี้นี้ที่เป็นอย่างนั้นอยู่ที่ไหนไม่กลับมาอีกเลย

    ผู้ฟัง แม้แต่การที่จะมาศึกษาธรรมเพื่อความเข้าใจก็ยังมีความต้องการแอบแฝงอยู่เหรอครับท่านอาจารย์ครับ

    ท่านอาจารย์ มีเห็นไหมคะ

    ผู้ฟัง มีเห็นครับ

    ท่านอาจารย์ มีได้ยินไหม

    ผู้ฟัง มีได้ยินครับ

    ท่านอาจารย์ มีคิดนึกไหม

    ผู้ฟัง มีคิดนึกครับ

    ท่านอาจารย์ มีอยากมาฟังไหม

    ผู้ฟัง มีครับ

    ท่านอาจารย์ มีฟังแล้วไม่รู้เรื่องไหม

    ผู้ฟัง มีครับ

    ท่านอาจารย์ ก็ทุกอย่างก็เป็นจริงตามเหตุตามปัจจัย

    ผู้ฟัง เป็นไปได้ยังไงครับเรามาโดยที่เราไม่มีความหวังความต้องการอะไรเลยครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อนนะคะ เราไหนฟังเพื่อที่จะรู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไปแล้วไม่กลับมาอีกเราไหน

    ผู้ฟัง ไม่มีเราใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ

    ผู้ฟัง แล้วถ้าผมเลือกที่จะไปบอกเขาได้ไหมครับว่าที่อยู่ในห้องนี้อย่าโกรธเลยพอจะได้ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อนนะคะ ผมกับเขาเป็นเรา หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็เป็นเราแต่เราเลือกที่จะทำอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ไม่ได้เข้าใจตามความเป็นจริงว่าขณะนั้นคิดมีเห็นหนึ่งซึ่งไม่ใช่ได้ยินไม่ใช่ได้กลิ่นไม่ใช่ลิ้มรสไม่ใช่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสไม่ใช่คิดด้วยไม่ใช่โลภะไม่ใช่โทสะสภาพธรรมที่เกิดแต่ละหนึ่งเป็นหนึ่งจะเป็นสอง หรือจะเหมือนกับอย่างอื่นไม่ได้เลยแต่ละหนึ่งเกิดแล้วก็ดับไป

    ผู้ฟัง เข้าใจแล้วแม้แต่ผมผู้เจ็บผมออกไปฟังธรรมข้างนอกก็เป็นธรรมเลือกไม่ได้แล้วก็ไม่มีใครบังคับได้

    ท่านอาจารย์ แน่นอนแต่ไม่ใช่เพียงพูดว่าเป็นธรรมเพราะนั่นจำแต่ต้องเข้าใจจริงๆ ในแต่ละธรรมจะเข้าใจอะไรจะเข้าใจเห็น หรือจะเข้าใจคิด หรือจะเข้าใจแข็ง หรือจะเข้าใจความต้องการโลภะความติดข้องทุกอย่างเลยปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ได้

    ผู้ฟัง งั้นสิ่งที่ปรากฏความจริงกับผมทุกอย่างเป็นธรรมเป็นขันธ์แต่เมื่อผมไม่รู้ผมก็เป็นเราที่เดือดร้อนใจ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะจนกว่าจะรู้จริงๆ ว่าไม่มีคุณนิรันดร์

    อ.วิชัย เมื่อสัปดาห์ก่อนผมก็ยังจำที่คุณนิรันดร์กล่าวว่าต่อไปนี้จะไม่เห็นว่าจะไปมีมีสัตว์บุคคลตัวตนอีกใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ไม่โกรธด้วยคุณนิรันดร์บอกคราวก่อนใช่ไหมคะแต่ก็พิสูจน์ความจริงว่าธรรมไม่ใช่คุณนิรันดร์ เพราะฉะนั้นเมื่อมีปัจจัยที่จะโกรธโกรธเป็นธรรมไม่ใช่คุณนิรันดร์

    ผู้ฟัง ขอถามท่านอาจารย์สุจินต์ค่ะจำความหมายที่ดิฉันฟังท่านอาจารย์จำก็คือจำเพื่อลืมจริงๆ แล้วก็หมดไปเกิดขึ้นแล้วก็หมดไปหน้าที่ของตัวที่จำค่ะ

    ท่านอาจารย์ ชาติก่อนคุณสุพิชชาจำอะไรไว้บ้าง

    ผู้ฟัง ไม่ได้เลยค่ะ

    ท่านอาจารย์ เห็นไหมคะตอนที่เป็นชาติก่อนนั้นจำใช่ไหมคะ และเดี๋ยวนี้ลืม

    ผู้ฟัง แล้วชาตินี้จำก็ต้องลืมเหมือนกันด้วย

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ

    ผู้ฟัง แล้วตัวเวทนาค่ะท่านอาจารย์ก็คือความรู้สึกแต่ถ้าพอเป็นเวทนาขันธ์เวทนาขันธ์ก็ต้องเป็นความรู้สึกเหมือนกันะใช่ไหมคะท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนะคะ เวทนาเป็นความรู้สึกเวทนาก็ต้องเป็นขันธ์เหมือนกันเราจำคำแต่ว่าเวทนามีจริงๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ เวทนาเกิดขึ้น หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เกิดค่ะ

    ท่านอาจารย์ เวทนาดับไป หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ดับค่ะ

    ท่านอาจารย์ แล้วจะถามว่าแล้วเวทนาเป็นเวทนาขันธ์ หรือเปล่าถามได้ยังไงคะในเมื่อขันธ์คือสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับไปทั้งหมดเลยนี่เป็นเหตุที่เราเอาภาษาบาลีมาบังความเข้าใจธรรมเพราะแม้แต่เวทนาก็คือความรู้สึกทำไมเราใช้ภาษาไทยว่าเสียใจดีใจเราไม่ได้เห็นบอกว่าโทรมนัสเวทนา หรือว่าโสมนัสเวทนาแต่ลักษณะต่างกันดีใจก็อย่างหนึ่งเสียใจก็อย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นสภาพธรรมปรากฏโดยไม่ต้องเรียกชื่อแต่ที่เรียกเพื่อแสดงความต่างว่าขณะที่ดีใจไม่ใช่ขณะที่เสียใจแต่ดีใจเกิดแล้วจะเปลี่ยนเป็นเสียใจไม่ได้ดีใจเกิดแล้วก็ดับไปด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดแล้วดับไปแล้วไม่กลับมาอีกเป็นแต่ละหนึ่งที่ว่างเปล่าจากสาระต้องไม่ลืมว่าแทนที่เราจะใช้คำว่าขันธ์นั้นขันธ์นี้เวทนาขันธ์รูปขันธ์สัญญาขันธ์ว่างเปล่าจากสาระเมื่อใช้คำว่าขันธ์หมายความว่าพอพูดถึงรูปสิ่งที่เกิดขึ้นไม่รู้อะไรก็ว่างเปล่าเพราะเหตุว่าเพียงเกิดแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจจะใช้คำว่าขันธ์เมื่อไหร่ต้องไม่ลืมความหมายด้วยว่าเราไปจำว่ามีขันธ์ห้าอย่างนั้นไม่ใช่แต่ขันธ์คือสิ่งที่เกิดดับไม่มีสาระว่างเปล่าจากความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ถือว่าเป็นเรา หรือเป็นเขาได้เพราะเหตุว่าเกิดแล้วดับไปแล้วไม่กลับมาอีกจะเป็นเราเป็นเขาเป็นใครได้อย่างไรแต่ละคำที่พูดไม่ลืมจะใช้ความรู้สึกก็ใช้ความรู้สึกจะใช้เวทนาก็ใช้เวทนาถ้าจะใช้คำว่าขันธ์ก็ต้องเข้าใจคำว่าขันธ์ด้วยว่ากำลังพูดถึงสภาพธรรมที่มีจริงที่เกิดดับที่เป็นความรู้สึกภาษาบาลีพูดว่าเวทนาขันธ์แต่ภาษาไทยคือพูดถึงสภาพความรู้สึกซึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป และไม่กลับมาอีก

    ผู้ฟัง เจ็บนี่เป็นอะไรคะท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ มีใครไม่เคยเจ็บบ้าง

    ผู้ฟัง เคยค่ะ

    ท่านอาจารย์ เคยไม่ต้องเรียกชื่อก็รู้จักเจ็บเสียยิ่งกว่าจะไปเรียกว่าอะไรอีกเพราะกำลังเจ็บใช่ไหมคะเจ็บเกิดขึ้นใช่ไหมคะจึงเจ็บแล้วเจ็บก็หมดไปว่างเปล่าจากการที่เป็นเรา หรือเป็นเขา หรือเป็นใครทั้งสิ้นภาษาไทยพูดว่าอย่างนี้ภาษาบาลีไม่มีภาษาไทยสักคำก็พูดว่าเวทนาขันธ์

    อ.ธิดารัตน์ ขอสนทนาด้วยที่จริงที่ใช้คำว่าความรู้สึกท่านถึงได้แยกเวทนาออกเป็นห้าอย่างรู้สึกอะไรรู้สึกดีใจรู้สึกเสียใจ หรือว่ารู้สึกเจ็บ หรือสุขกาย หรือเฉยๆ ไม่ใช่ว่าแยกเวทนาออกไปอย่างหนึ่ง และอีกห้าอย่างเป็นอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นความรู้สึกจึงจำแนกออกเป็นห้าอย่างก็คือเวทนาทั้งนั้นเลยคือความรู้สึกทั้งอย่างนั่นแหละ

    ผู้ฟัง ทุกข์ใจล่ะคะก็เวทนาเหมือนกันเหรอคะ

    อ.ธิดารัตน์ ทุกข์ใจก็คือโทรมนัสเวทนาขณะที่ไม่สบายใจไม่สบายใจก็คือทุกข์ใจ

    ผู้ฟัง ไม่สบายใจก็เป็นเวทนาหรอคะขอให้ท่านอาจารย์อธิบายหน่อยค่ะ

    ท่านอาจารย์ นี่แสดงให้เห็นว่าภาษาเป็นเครื่องกั้นแต่ตัวธรรมเป็นธรรมไม่ว่าจะใช้ภาษาอะไรก็ตามภาษาบาลีไม่มีคำว่าความรู้สึกเลยแต่ใช้คำว่าเวทนา เพราะฉะนั้นเวลาที่ฟังเราก็ต้องรู้ว่าเรากำลังพูดภาษาอะไรอย่างความรู้สึกดีใจเคยมีไหมสบายใจมีไหมคะ

    ผู้ฟัง มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องเรียกก็ได้เปลี่ยนความรู้สึกให้เป็นเห็นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นความรู้สึกเป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่งเกิดรู้สึกเสียใจแล้วก็ดับแล้วก็ไม่กลับมาอีกเสียใจวันหลังก็ไม่ใช่เสียใจที่เคยเกิดแล้วคราวก่อนกลับมาเกิดไม่ใช่อย่างนั้นเลยแต่ละหนึ่งที่จะเกิดขึ้นมาได้ก็เพราะเหตุว่ามีปัจจัยธรรมที่เกื้อกูลอาศัยกัน และกันทำให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่นนี่คือภาษาไทยล้วนๆ เลยที่จะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจ เพราะฉะนั้นไม่ต้องคำนึงว่าบาลีจะเป็นอะไรใช่ไหม หรืออะไรแต่ความรู้สึกมีจริงๆ แน่นอนเป็นธรรม หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นค่ะ

    ท่านอาจารย์ เกิดแล้วดับ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ดับค่ะ

    ท่านอาจารย์ เป็นขันธ์ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะบอกว่าภาษาสองภาษาดีใจขันธ์ได้ไหมเช่นใช้คำว่าเห็นภาษาบาลีไม่มีคำว่าเห็นเลยแต่มีคำว่าจักขุวิญญาณจิตที่รู้โดยอาศัยตาถ้าไม่มีตาก็ไม่สามารถที่จะเห็นได้ก็หมายความถึงเห็นเดี๋ยวนี้มีจริงๆ มีจริงๆ ภาษาบาลีก็เป็นธรรมเป็นสัจจะลักษณะของเขาก็คือเกิดจึงมีถ้าไม่เกิดก็มีไม่ได้ และสภาพที่เกิดนั้นเกิดแล้วก็ดับด้วยภาษาไทยเข้าใจอย่างนี้ถูกต้องไม่ต้องใช้ภาษาอื่นเลยภาษาบาลีไม่มีคำอย่างภาษาไทยก็ใช้คำว่าขันธะว่างเปล่าจากการที่จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดนอกจากแข็งเป็นแข็งเห็นเป็นเห็นโกรธเป็นโกรธเป็นแต่ละหนึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่มีจริงคือธรรม เพราะฉะนั้นพอพูดถึงความรู้สึกความรู้สึกไม่ใช่จำจำไม่ได้เลยรู้สึกเป็นเจ็บ หรือสบาย หรือว่าสุข หรือว่าทุกข์สบายใจ หรือว่าเสียใจนี่ก็ต่างกันภาษาบาลีจะเรียกอะไรก็แล้วแต่แต่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติคำเรียกสภาพธรรมนั้นว่าเวทนาทั้งหมดเลยดีใจเป็นความรู้สึกใช่ไหมคะเสียใจก็เป็นความรู้สึก เพราะฉะนั้นคำว่าเวทนาก็หมายความถึงสภาพที่มีจริงที่เป็นสภาพรู้สึกจิตจะมารู้สึกไม่ได้โกรธจะมารู้สึกไม่ได้ความติดข้องจะมารู้สึกไม่ได้สภาพที่รู้สึกเกิดเมื่อไหร่รู้สึกทำอย่างอื่นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นรู้สึกก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริงหนึ่งเกิดขึ้นดับไปก็เป็นขันธ์ว่างเปล่าจากการที่จะเป็นเราเจ็บแล้วก็หายเจ็บสุขแล้วก็เป็นทุกข์เป็นสองภาษาเท่านั้นเองแล้วแต่ว่าเราจะใช้ภาษาไหนแต่ต้องเข้าใจว่าหมายความถึงสภาพธรรมนั่นเองเวทนาก็คือความรู้สึกต่างๆ ในภาษาไทยเสียใจ หรือว่าสบายใจทุกข์กาย หรือทุกข์ใจ หรือว่าเฉยๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขภาษาบาลีก็พูดว่าอทุกขมสุขก็คืออีกภาษาหนึ่งเท่านั้นเองแต่ว่าสภาพธรรมก็คือเป็นขันธ์แน่นอนเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปแล้วไม่กลับมาอีกคือเข้าใจคำในภาษาที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงกับชาวเมืองที่ใช้ภาษานั้นแต่พอถึงภาษาไทยของเราที่ดีที่สุดคือเข้าใจในภาษาที่เราใช้อยู่แล้วก็จะรู้ว่าต่างกันที่ภาษาแต่สภาพธรรมไม่ต่างเลยอย่างแข็งภาษาไทยเรียกแข็งภาษาบาลีไม่มีคำนี้เลยมีคำว่าปฐวีธาตุก็หมายความถึงลักษณะนั้นที่แข็ง

    อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์คะการที่จะไม่ทำบาปทั้งสิ้นใช้คำว่าบาปแม้กระทั่งท่านผู้ที่ฟังใหม่ก็อาจจะไม่ทราบว่าคำว่าบาปมีความละเอียดอย่างไรค่ะท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ศึกษาธรรมเราก็จะไม่มีความเข้าใจอย่างชัดเจน และละเอียดด้วยเช่นได้ยินคำว่าบาปเราก็เคยได้ยินมาแล้วคำว่าบาปกับคำว่าบุญก็ตรงกันข้ามกันบาปก็เป็นฝ่ายไม่ดีส่วนบุญก็เป็นฝ่ายดีก็เป็นธรรมดาๆ แต่ความลึกซึ้งอยู่ที่ว่าเดี๋ยวนี้บาป หรือเปล่าเพราะเหตุว่าชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่วหนึ่งขณะจะมีสองขณะพร้อมกันไม่ได้เลยขณะหนึ่งที่เกิดขึ้นดับไปแล้วการดับไปของขณะก่อนก็เป็นปัจจัยให้ขณะต่อไปเกิดได้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เองก็มีจิตซึ่งเกิดดับสืบต่อนับไม่ถ้วนเลยแต่ก็ไม่ได้รู้ความจริงตามที่เราได้เอ่ยคือบุญ หรือบาปโดยความถูกต้องชัดเจนเพียงแต่ว่าได้ยินเรื่องของบุญ และบาป และเวลานี้ก็มีสภาพธรรมที่บุญก็มีเกิดแล้วก็ดับไปบาปก็มีเกิดแล้วก็ดับไปแต่ก็ไม่มีความชัดเจนว่าขณะนั้นบาปขณะไหน และบุญขณะไหนด้วยเหตุนี้การศึกษาธรรมเป็นการศึกษาเพื่อเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังมีจริงๆ ด้วยแต่กว่าจะเป็นอย่างนั้นก็ยากเพราะเหตุว่าสภาพธรรมโดยเฉพาะจิตเจตสิกนามธรรมเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้จนปรากฏเหมือนกับว่าขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏหลากหลายมากแต่ถ้าจิตไม่เกิดขึ้นทีละหนึ่ง และดับสืบต่อความหลากหลายขณะนี้ก็ปรากฏว่าเป็นความหลากหลายอย่างนี้ไม่ได้นี่คือประโยชน์ของการฟังสิ่งที่เคยได้ฟังแล้วบ่อยๆ ไม่ว่าจะในชาติก่อนๆ หรือว่าในชาติต่อไปแต่ก็ไม่ลืมที่จะเข้าใจความลึกซึ้งของธรรมที่ว่าคำใดก็ตามที่เป็นคำจริงคำนั้นสามารถที่จะเข้าใจพิสูจน์ได้รู้แจ้งได้แต่ว่าก็ต้องเป็นผู้ที่ตรงว่าขณะนี้เข้าใจแค่ไหนกำลังฟัง และกำลังอบรมความเข้าใจความเห็นถูกซึ่งสำคัญมากเพราะเห็นว่าทุกคนละเลยสิ่งที่สำคัญที่สุดคือจิตใช่ไหมคะ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    12 ม.ค. 2567