พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 834


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๓๔

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๖


    ท่านอาจารย์ ขณะใดก็ตามที่ปรากฏลักษณะที่เป็นธรรมจริงๆ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้นลักษณะนั้นจะปรากฏดีไหมคะไม่มีอะไรมาเจือปนมาเข้าใจว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้แต่ตัวธรรมแท้ๆ ที่ปรากฏเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นที่ใช้พยัญชนะว่าสภาพธรรมปรากฏด้วยดีในกาลนิดหน่อยจริงไหมคะเพราะว่าการที่จะเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมไม่นานเลยเพียงแค่ชั่วขณะซึ่งมีความเข้าใจขั้นฟังเข้าใจขึ้นๆ โดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่สภาพธรรมนั้นจะปรากฏอย่างนั้นเพียงอย่างเดียวจริงๆ พร้อมกับมีความเห็นที่ถูกต้องเข้าใจไหมว่าสิ่งนั้นปรากฏเพียงเล็กน้อยแต่ก็ลักษณะนั่นเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งจะเป็นสิ่งอื่นไม่ได้เลย

    ด้วยเหตุนี้สภาพธรรมขณะนี้ปรากฏด้วยดี หรือเปล่าปรากฏดี หรือเปล่าผู้ฟังเข้าใจเมื่อไหร่ขณะนั้นก็เป็นความเห็นถูกจะใช้คำว่าสัมมาทิฏฐิก็ได้จากการฟังทีละเล็กทีละน้อยถ้ามีความเข้าใจว่าขณะนี้ธรรมปรากฎดี หรือเปล่าตอบตามความเป็นจริงคือปัญญาแต่ถ้ายังไม่รู้ฟังแล้วก็ยังไม่รู้ตัดสินใจไม่ได้น่าจะดีก็ผิดแล้วถ้าขณะนั้นไม่มีการที่สภาพธรรมจะปรากฏลักษณะแท้ๆ ซึ่งเคยเข้าใจว่าลักษณะนั้นเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดมาก่อนเช่นจะเป็นโต๊ะเป็นแขนเป็นมือเป็นอะไรก็ตามแต่ขณะนั้นไม่มีแต่มีลักษณะนั้นที่ปรากฏความเป็นสิ่งนั้นด้วยดีเพียงเล็กน้อย

    เพราะฉะนั้น สภาพธรรมไม่ปรากฏดีเมื่อมีความติดข้องพอความติดข้องเข้าไปติดข้องแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าขณะนั้นเป็นอะไรตามความเป็นจริงที่ละอย่าง และสภาพธรรมจะปรากฏดีโดยส่วนเดียวคือไม่เปลี่ยนเลยเมื่อเป็นการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเมื่อปัญญาเกิดขึ้นตามลำดับถึงความเป็นพระอรหันต์ไม่มีขณะที่จะไม่ปรากฏด้วยดี หรือว่าไม่ปรากฏดีเพราะเหตุว่าพระอรหันต์ไม่ว่าจะเห็นได้ยินได้กลิ่นลิ้มรสรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสไม่มีกิเลสใดๆ เลยทั้งสิ้นนี่ก็เป็นความต่างของการฟังเข้าใจอบรมเจริญปัญญาความรู้ถูกต้องจนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสจริงๆ ตามลำดับขั้นถึงความเป็นพระอรหันต์เห็นแล้วสภาพธรรมก็ปรากฏเป็นธรรมดีแต่ว่าถ้าศึกษาละเอียดต่อไปไม่ใช่พร้อมกับปัญญาเสมอไปเป็นสิ่งที่ละเอียดยิ่งที่จะต้องเข้าใจความต่างว่าการฟังทำให้มีความเห็นถูกในสภาพธรรมที่ปรากฏถ้าสามารถที่จะรู้เฉพาะลักษณะหนึ่งที่ปรากฏ

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับคือบุคคลที่ยังไม่ใช่พระอริยบุคคลพระโสดาบันขึ้นไปก็ยังมีทิฐานุสัยอยู่ และท่านอาจารย์กล่าวถึงเรื่องของขณะที่ยินดีพอใจเช่นท่านอาจารย์ยกตัวอย่างเกี่ยวกับเรื่องของดอกไม้สวย หรือว่ามีความยึดถือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดขณะนั้นย่อมไม่รู้ว่าเป็นธรรมแต่ขณะที่ฟังก็เพียงเริ่มแค่เข้าใจขึ้นบ้างแต่หลังจากนั้นก็ยังรู้ว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้บุคคลนั้นบุคคลนี้อยู่ครับ

    ท่านอาจารย์ ถ้าเราคิดเองได้พระผู้มีพระภาคจะไม่ทรงแสดงความละเอียดยิ่งให้รู้ขณะจิตที่ต่างกันเพราะเหตุว่าขณะนี้นับขณะจิตไม่ได้เลยปรากฏเพียงนิมิตของธาตุรู้แต่ละทางเช่นในขณะที่กำลังเห็นเห็นเกิดดับไปเท่าไหร่ และหลังจากที่เห็นดับไปแล้วก็มีจิตเกิดสืบต่อเท่าไหร่ก็ไม่ปรากฏว่าเห็นดับไปเลย เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าสภาพธรรมละเอียดยิ่งที่จะละคลายการยึดถือว่าเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดต้องเริ่มจากการฟัง และเข้าใจจริงๆ จึงทรงแสดงความต่างว่าขณะใดทั้งวันตั้งแต่เช้ามามีความพอใจสิ่งที่ปรากฏทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายใดๆ ก็ตามแต่ผู้นั้นจะเป็นผู้รู้ว่ามีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย หรือไม่ต่อเมื่อลักษณะของสภาพธรรมนั้นปรากฏทีละหนึ่งจึงจะกล่าวได้ว่าขณะนั้นมีความเห็นผิดว่าเป็นเราแข็งนี่ก็เป็นเราได้เพราะเหตุว่าขณะนั้นถ้าไม่มีความเห็นผิดจะละความเห็นผิดได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ความจริงไม่ใช่เพียงคร่าวๆ เล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ กว่าจะดับอนุสัยกิเลสซึ่งเป็นพืชเชื้อที่จะทำให้ความเห็นผิดเกิดขึ้น หรือว่าอกุศลทั้งหลายเกิดขึ้นก็ต้องเป็นความรู้จริงๆ และความรู้จริงๆ ก็แสดงให้เห็นว่าสำหรับคนทั่วไปเมื่อเห็นแล้วอกุศลจิตก็เกิดแต่ว่าคนที่ได้ฟังธรรมก็ยังมีกาลโอกาสที่เมื่อเข้าใจขึ้นพอธรรมปรากฏก็มีกุศลจิตที่เริ่มเห็นถูกเข้าใจถูกจนกระทั่งถึงความเป็นพระอรหันต์ไม่มีกิเลสไม่มีความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏใดๆ ทั้งสิ้นไม่มีความหวังผู้ที่ไม่หวังอะไรๆ ในโลกทั้งหมดก็เป็นผู้ที่ดับกิเลสแล้ว เพราะฉะนั้นสภาพธรรมก็ปรากฏดีเพราะขณะนั้นสติก็เป็นกิริยาเจตสิกทั้งหมด และจิตไม่เป็นกุศลเพราะเหตุว่าถ้ายังคงเป็นกุศลอยู่ก็จะทำให้เกิดผลคือวิบากแต่เมื่อเป็นกิริยาแม้เป็นสภาพธรรมที่ดีงามก็ไม่ทำให้เกิดผล

    อ.คำปั่น เมื่อวานในชั่วโมงการสนทนาช่วงวิชาการท่านอาจารย์ได้กล่าวข้อความหนึ่งซึ่งก็น่าพิจารณาทีเดียวว่าถ้าหากว่าคำใดก็ตามที่ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเก็บไว้ทำไมถ้าหากว่าตั้งใจที่จะฟังพระธรรมจริงๆ ก็ต้องทิ้งคำเหล่านั้นที่ไม่เป็นไปเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วเริ่มฟังพระธรรมด้วยความตั้งใจกราบเรียนท่านอาจารย์ถึงข้อความดังกล่าวว่านี้เพราะว่าแต่ละคนแต่ละท่านก็สะสมมาแตกต่างกันครับท่านอาจารย์ในเบื้องต้นนี้กราบเรียนท่านอาจารย์กล่าวถึงสาระสำคัญจากข้อความที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงด้วยครับ

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นเรื่องประโยชน์ของการฟังแต่ละขณะมีค่าเพราะเหตุว่าสามารถที่จะทำให้ได้เข้าใจสิ่งที่ไม่เคยฟังแต่ไม่ได้หมายความว่าได้ยินอะไรก็เชื่อแต่ต้องฟัง และก็พิจารณาว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังถูกต้อง และมีจริงๆ เป็นจริงอย่างนั้น หรือเปล่าต้องเป็นคนที่มีเหตุผลตั้งแต่ต้นจึงจะได้สาระจากพระธรรมมิฉะนั้นแล้วจะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่รู้ว่าแต่ละคำที่ตรัสมีความลึกซึ้งมากเพราะเหตุว่าบางทีเราได้ยินแล้วก็เผินผ่านไปแต่ทุกคำหมายถึงความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้ยากมากกว่าอย่างอื่นเพราะเหตุว่าสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงเกิดแล้วดับไปเร็วสุดที่จะประมาณได้ต้องรู้ความจริงว่าเดี๋ยวนี้ที่นั่งอยู่ที่นี่เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้แท้ที่จริงแล้วแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแสนสั้นสุดที่จะประมาณแต่เพราะซ้ำโดยความไม่รู้เลย และเพราะความเร็วจึงเหมือนกับหนึ่งขณะที่เห็นหนึ่งขณะที่ได้ยินแต่ความจริงแล้วหลายขณะมาก เพราะเหตุว่าแม้เห็นขณะนี้ใครจะรู้หนึ่งขณะที่เกิดขึ้นเห็นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าจิตที่จะปรากฏว่ามีให้คนอื่นสามารถที่จะเข้าใจได้เพราะเหตุว่าจิตเป็นสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อไม่มีระหว่างขั้น

    เพราะฉะนั้น เมื่อไม่มีระหว่างขั้นก็ไม่มีขณะไหนซึ่งปราศจากจิตเมื่อจิตเกิดสืบต่อโดยไม่มีระหว่างขั้นแสดงว่าเมื่อไหร่ที่สามารถจะเข้าใจจิตที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ย่อมได้เพราะเหตุว่าไม่มีขณะใดซึ่งไม่มีจิตเลยแต่แม้กระนั้นทั้งๆ ที่มีจิตจริงๆ เกิดจริงๆ ดับจริงๆ จะรู้ได้เมื่อเห็นแต่จะไม่เห็น หรือเข้าใจเห็นเพียงหนึ่งขณะหลายครั้งมากจนกระทั่งปรากฏเป็นนิมิตเพราะเหตุว่าซ้ำจนกระทั่งสิ่งที่ปรากฏปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานแต่ถ้ามีเพียงหนึ่งขณะที่มีสิ่งที่สามารถกระทบตาจักขุประสาทแล้วจิตเกิดขึ้นเห็นแล้วดับจะไม่มีสัณฐานใดๆ ปรากฏเลยเป็นเพียงสิ่งที่เกิดปรากฏแล้วก็หมดไปเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ความจริงก็ไม่ใช่ว่าเราจะไปรู้หนึ่งขณะจิตเริ่มเข้าใจถูกต้องว่าอยู่ในโลกของความไม่รู้มานานเท่าไหร่ และถ้าไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังเลยก็ไม่รู้จริงๆ ว่าแท้ที่จริงแล้วอยู่ในโลกของความไม่รู้ และหลงยึดถือสิ่งที่ปรากฏตลอดมาไม่ว่าขณะใดก็ตามเห็นอะไรก็ต้องเห็นเป็นคนเห็นเป็นสัตว์เห็นเป็นวัตถุสิ่งของต่างๆ แต่ว่าพระธรรมที่ทรงแสดงเพื่อให้เข้าใจถูกเห็นถูก เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้ยินได้ฟังข้อความที่กล่าวถึงความจริงของสิ่งที่มีจริงแต่ว่าให้ทำอะไรเพื่อที่จะประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะความเห็นถูกเข้าใจถูกเท่านั้นที่สามารถจะเริ่มเข้าใจความจริงในขณะนี้ทีละเล็กทีละน้อยจนคลายความติดข้องคลายความสงสัย และมีความเข้าใจความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมซึ่งขณะนี้แม้ปรากฏปัญญาไม่ถึงการที่จะรู้เลยว่าเห็นดับแล้วได้ยินเกิดต่อกันไม่มีระหว่างขั้นเลย ฟังเพื่อละความไม่รู้ละคลายความติดข้อง และยึดถือสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแค่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ไม่ถูก

    เพราะฉะนั้น ฟังจนกระทั่งเข้าใจขึ้นว่าในขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นขณะนี้มีจริงๆ กำลังปรากฏแต่เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้นจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกินกว่านี้ไม่ได้เมื่อค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมทีละหนึ่งละเอียดขึ้นทั่วขึ้นก็ไม่มีเราแต่ที่ไหนกว่าจะคลายด้วยความเข้าใจจนกระทั่งถึงขณะที่เป็นปรกติกำลังเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ เช่นแข็งขณะนี้มีให้รู้แต่ว่าไม่เคยเข้าใจถูกต้องว่าเป็นเพียงสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นทุกอย่างฟังเพื่อละคลายความไม่รู้ และความติดข้องซึ่งก็ต้องอาศัยกาลเวลาที่นานมากแล้วก็รู้ได้ด้วยตัวเองที่จะถามว่านานเท่าไหร่ไม่มีใครสามารถจะตอบได้เพราะเหตุว่าผู้นั้นเป็นผู้รู้ว่านานแค่ไหนตราบใดที่ยังไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงก็ต้องนานต่อไปอีกพรุ่งนี้ได้ไหมคะไม่มีทางเลยแต่ว่าสะสมแล้ว เพราะฉะนั้นการสะสมสำคัญที่สุดว่าสะสมอะไรบางคนก็คิดว่าสิ่งที่จิตกำลังรู้สำคัญ เพราะว่าทำให้เกิดความยินดีความติดข้องแต่ตามความเป็นจริงความยินดีความติดข้องอยู่ที่จิตไม่ใช่อยู่ที่อื่นไม่ว่าจะรูปเสียงอะไรก็ตามความยินดีทั้งหมดอยู่ที่จิต และสะสมความติดข้องมานานเท่าไหร่ต้องเข้าใจสภาพของจิตเป็นสิ่งที่ขณะนี้กำลังเกิดขึ้นทำหน้าที่เห็นบ้างได้ยินบ้างได้กลิ่นบ้างกว่าจะสะสมความเห็นถูกว่าขณะนี้แม้มีจิตก็ยังไม่รู้จริง หรือเปล่าคะต้องเป็นผู้ที่ตรงยอมรับความจริงจึงจะได้สาระว่าเมื่อฟังมากขึ้นอีกก็จะเริ่มเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงที่ละเล็กทีละน้อยสะสมไปแต่ละชาติจนกระทั่งความเข้าใจเพิ่มขึ้น แต่ละคนจะเข้าใจคนอื่นได้ไหมคะ

    เพราะฉะนั้น แต่ละคนที่ได้ฟังธรรมแล้วรู้จักตัวเองเพิ่มขึ้น หรือว่ารู้จักคนอื่นเพิ่มขึ้นไม่มีเราแล้วจะมีคนอื่นได้อย่างไรแต่ว่ากว่าจะไม่มีเราได้ก็ต้องมีการเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ ทีละหนึ่งซึ่งยากจริงๆ ที่จะเข้าใจแม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นก็ยากที่จะเข้าใจถูกต้องมีจริงแน่นอนคำว่ามีจริงแน่นอนเตือนให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้ หรือเปล่าต้องใช้คำมากมายหลายนัยเพื่อที่จะให้ไม่ลืมที่จะรู้ว่าปัญญาสามารถเข้าใจถูกมิฉะนั้นละความเป็นตัวตนไม่ได้บางคนก็บอกว่าก็ปรากฏให้เห็นเป็นคนปรากฏให้เห็นว่าเป็นโต๊ะปรากฏให้เห็นเป็นดอกไม้แล้วก็จะไม่ใช่ดอกไม้ไม่ใช่คนได้ยังไงนี่คือฟังไม่เข้าใจแต่ถ้าฟังเข้าใจแม้ในขณะนี้ก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นจริงๆ ไม่ได้พูดเหลวไหลไร้สาระแต่พูดเพื่อที่จะให้เข้าใจถูกต้องว่าขณะนี้แม้สิ่งที่กำลังปรากฏก็ปรากฏแต่เริ่มเข้าใจ หรือเปล่าแม้แต่เพียงเริ่มแล้วเริ่มอีกที่จะไม่ลืมว่าขณะนี้เป็นแต่สิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ถ้ายังไม่เข้าใจอย่างนี้ก็เป็นดอกไม้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นคนก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วจะละการยึดถือสภาพนั้นๆ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้อย่างไรนี่ก็แสดงระดับขั้นของปัญาว่า ปัญญาทั้งหมดเป็นเรื่องละเพราะรู้ แต่ถ้าไม่รู้ ละไม่ได้เลยไม่ว่าจะพูดว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเพียงแค่หลับตาแล้วไม่เห็นหลับตาลงก็จริงอีกแต่ปัญญาไม่พอเลยที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกตามพระธรรมแต่ละคำที่ได้ตรัส และทรงแสดงไว้โดยละเอียดยิ่งโดยนัยประการต่างๆ แม้แต่สิ่งปรากฏทางตาขณะนี้ก็เป็นเพียงสิ่งที่มีอยู่ที่มหาภูตรูปแข็งมีตรงไหนมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เมื่อกระทบตาแต่แข็งกระทบตาไม่ได้นี่คือไม่ได้เข้าใจชีวิตจริงๆ แต่ละขณะว่าไม่พ้นจากการเห็นการได้ยินการได้กลิ่นการลิ้มรสการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และการคิดนึก

    เพราะฉะนั้น ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ปัญญารู้ได้ และถ้าไม่รู้ก็ไม่สามารถละคลายการยึดถือสภาพธรรมที่จะประจักษ์ความจริงจนถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมก็เป็นไปไม่ได้แต่เรามักได้ยินคำว่ามรรคมีองค์แปดอริยสัจสี่แล้วประโยชน์อะไรแค่ได้ยินคำว่ามรรคมีองค์แปดกับอริยสัจสี่ในเมื่อเดี๋ยวนี้เป็นทุกขอริยสัจจะ หรือเปล่าแค่นี้ก็ไม่รู้ว่าจะไปหาทุกขอริยสัจจะที่ไหนเพราะเหตุว่าทุกขอริยสัจจะคือการเกิดขึ้น และการดับไปของสิ่งที่กำลังปรากฏมีลักษณะจริงๆ ที่เกิด และดับ เพราะฉะนั้นการพูดถึงมรรคมีองค์แปดลอยๆ พูดถึงทุกขอริยสัจจะลอยๆ รู้อะไรเดี๋ยวนี้ และเดี๋ยวนี้เป็นสัจจะ หรือเปล่าสามารถที่จะรู้จนถึงความรู้ยิ่งแทงตลอดตามคำที่ได้ฟังเป็นอริยสัจจะ เพราะฉะนั้นไม่มีหนทางอื่นเลยนอกจากเป็นผู้ที่ตรงว่ากว่าจะรู้ได้อย่างนี้ก็รู้แล้วเดี๋ยวนี้ไม่ต้องหวังว่าภายในเดือนหนึ่งปีหนึ่งชาติหนึ่งกว่าจะรู้ได้ เพราะว่าฟังมาก็นานคำก็เหมือนเดิมคือเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลยแต่กว่าจะเข้าไปจากผิวไปจรดเยื่อในกระดูกที่จะรู้แน่นอนว่าธรรมก็คือเท่านี้ทุกวันที่เห็นก็คือมีจิตเกิดขึ้น และเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาต่อจากนั้นก็คิดถึงรูปร่างสัณฐานเรื่องราวต่างๆ ทางหูก็มีเสียงจริงๆ ปรากฏจริงๆ ได้ยินจริงๆ แต่ก็คิดเรื่องราวต่างๆ มากมาย เพราะฉะนั้นในความมืดสนิทขณะที่ได้ยินได้กลิ่นลิ้มรสรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และคิดนึก จิตเต็มไปด้วยเรื่องของสิ่งที่ปรากฏแต่ละขณะแต่ละวันเป็นเรื่องราวต่างๆ มากมายแล้วก็ติดข้องในเรื่องแต่ว่าตัวจริงของสภาพธรรมแต่ละหนึ่งเกิดดับสืบต่อเหมือนมายากลที่ทำให้ไม่รู้ความจริงว่าทั้งหมดก็มาจากจิตที่ทำหน้าที่ต่างๆ กันเกิดขึ้นแค่เห็นใครคิดอย่างนี้บ้างทรงแสดงคำว่าอุปปัตติไว้เพื่ออะไรเพื่อเห็นความต่างกันชัดเจนระหว่างเห็นมีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ เดี๋ยวนี้กับไม่เห็นแต่จำสิ่งที่ปรากฏได้แล้วก็คิดนึกได้

    เพราะฉะนั้น เพียงสภาพธรรมที่ปรากฏเมื่อเห็นเมื่อได้ยินเมื่อได้กลิ่นเมื่อลิ้มรสเมื่อรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเป็นสิ่งที่มีลักษณะเฉพาะจริงๆ ที่ปรากฏว่ามี เพราะฉะนั้นโลกนี้ไม่ได้มีแต่คิดแต่ว่ามีเห็นด้วยแล้วก็ดับไปแล้วก็คิด เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วสภาพธรรมเกิดดับสืบต่อเร็วจนกระทั่งไม่สามารถที่จะรู้ความจริงถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีตรัสรู้แล้วทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมให้ทราบว่าแต่ละคำที่ได้ยินโดยตรงมาจากพระโอษฐ์ที่ตรัสถึงความจริงของสภาพธรรมเพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลกแต่สัตว์โลกก็มีอัธยาศัยต่างๆ กันคนที่ไม่ฟังธรรมจะไปเข็นให้ฟังได้ไหมไม่มีทางเป็นไปได้เลยแต่คนที่ฟังธรรมจะบอกว่าไม่ให้ฟังต่อไปนี้ไม่ต้องฟังได้ไหมก็ไม่ได้อีกก็จะเห็นความจริงของอนัตตาทุกขณะแต่ไม่เคยคิด และถึงแม้ว่าปรากฏว่าเป็นอย่างนั้นก็ไม่สามารถที่จะถึงการละคลายจนกระทั่งรู้ความจริงในขณะนั้นได้เช่นเห็นกับได้ยินใครบ้างไม่รู้ว่าต่างกันทั้งๆ ที่แสดงความเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตาเกิดแล้วดับขณะที่เห็นต้องดับจิตได้ยินจึงเกิดได้จิตได้ยินต้องดับจิตคิดนึกจึงเกิดได้ก็ไม่ได้รู้ความจริงเลย

    เพราะฉะนั้น ฟังธรรมเพื่อเข้าใจจนกว่าจะมั่นคงว่าเป็นอย่างนี้แค่นี้เองตั้งแต่เกิดจนตายก็จบไปชาติหนึ่งด้วยการไม่รู้ความจริงแต่ว่าขณะใดที่ได้ฟังแล้วเข้าใจก็จะต่างกับคนซึ่งไม่เคยฟังไม่เคยเข้าใจไม่เคยรู้ความจริงทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าจะถึงการประจักษ์แจ้งเป็นอริยบุคคลเป็นผู้ที่ประเสริฐเพราะเหตุว่าได้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงใครจะทำอย่างอื่นได้ไหมนอกจากฟังแล้วฟังอีกเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ แม้แต่ขณะนี้ยืนยันได้เห็นอะไรคะตอบได้ว่าเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้แต่จริงๆ แล้วก็ยังเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นความจริงที่สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยมีจริงที่อยู่กับธาตุดินน้ำไฟลมแข็งอยู่ตรงไหนอ่อนอยู่ตรงไหนก็มีสิ่งที่สามารถกระทบตาตรงนั้นแล้วก็หมดไปหมดไปหมดไป เพราะฉะนั้นฟังธรรมจึงต้องเป็นผู้ที่ละเอียดมีเหตุผล และเป็นไปเพื่อละความไม่รู้อันนี้สำคัญที่สุดต้องละความไม่รู้ก่อนสภาพธรรมจึงจะปรากฏตามความเป็นจริงได้

    อ.คำปั่น การอบรมเจริญปัญญาก็ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานที่ได้ยินกันอยู่เสมอๆ ก็คือจิรกาลภาวนาไม่ใช่เพียงแค่วันนี้วันเดียวชาตินี้ชาติเดียวแต่ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อยขณะนี้พระธรรมยังดำรงอยู่ผู้ที่เข้าใจธรรมก็ยังมีอยู่เป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่งที่จะได้สะสมปัญญาจากการได้ฟังพระธรรมในแต่ละครั้ง

    ท่านอาจารย์ บางคนพอได้ยินว่าอีกนานเศร้าใจไปเลยแต่นั่นคือความไม่เข้าใจแต่เวลาได้ยินว่าคำว่าอีกนานขณะนั้นรู้เลยค่ะละโลภะอยากจะละโลภะกันนักหนาแต่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าขณะที่กำลังเข้าใจอย่างนี้แหละคลายความหวังซึ่งเป็นโลภะคลายความติดข้องว่าเมื่อไหร่จะรู้แจ้งสภาพธรรม เพราะฉะนั้นโลภะละเอียดมากเลยซ่อนแอบอยู่ตรงนี้ตรงนั้นโดยที่ไม่ปรากฏเลยมิฉะนั้นพระผู้มีพระภาคจะไม่ทรงอุทานเมื่อตรัสรู้แล้วว่าเราได้พบนายช่างผู้สร้างเรือนคือโลภะพบยากมีอยู่ทั่วไปก็ไม่เห็นถูกบังสนิทมองไม่เห็นเลยขณะใดก็ตามที่มีความเข้าใจว่าธรรมยากละเอียดลึกซึ้งต้องเข้าใจจริงๆ และเห็นตามความเป็นจริงอย่างนั้นขณะนั้นกำลังค่อยๆ คลายจากความติดข้องที่อยากจะรู้เร็วๆ ที่เป็นตัวเราที่อยากจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ให้ทราบโลภะละเอียดมากลึกซึ้งมากด้วยแอบซ่อนอยู่ทุกที่ทุกแห่งแม้แต่ในคำถามแต่ละคำก็มีโลภะอยู่ตรงนั้นโดยที่ว่าไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่มีความเข้าใจถูกว่าจะละโลภะได้ซึ่งแยบยลมากก็ด้วยความเข้าใจ เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจนั่นคือหนทางที่จะละโลภะตั้งแต่ขั้นการฟัง


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    12 ม.ค. 2567