พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 814


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๑๔

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๕


    อ.กุลวิไล กราบเรียนท่านอาจารย์ ถึงโลกตามความเป็นจริง เพราะว่า ตอนนี้ทุกท่านก็คงได้ยินคำว่า วันสิ้นโลก แล้วโลกจะสิ้นได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ยังไม่รู้จักโลก แต่ก็พูดว่า โลกจะสิ้นวันไหน อย่างไร ใช่ไหม ก็เป็นสิ่งซึ่งพูดในสิ่งที่ไม่รู้จัก และไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น ทุกคำให้พิสูจน์จริงๆ ว่า เดี๋ยวนี้มีโลกหรือเปล่า ไม่เคยคิดใช่ไหม คิดแต่ว่าโลกอย่างนั้น โลกอย่างนี้ แต่ว่าเดี๋ยวนี้โลกอยู่ไหน และเดี๋ยวนี้กำลังอยู่ในโลกหรือเปล่า หรือว่าเดี๋ยวนี้เป็นโลกหรือเปล่า ธรรมต้องเป็นสิ่งที่เข้าใจ ได้ยินคำไหนก็ควรที่จะได้รู้ว่า ได้เข้าใจคำนั้นจริงๆ โลกภูมิศาสตร์ หรือว่าโลกของแต่ละหนึ่งคน คนละโลกๆ ต่างกันไป แต่ความจริง คือ โลกเป็นโลก ไม่ได้เป็นอย่างอื่นเลย หมายความว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่มีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ไม่เที่ยงเลยดับไป ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้สิ่งนั้นที่เกิด จะมีโลกไหม แต่ที่ว่ามีโลก ก็เพราะว่ามีแต่ละสิ่ง แต่ละหนึ่งเกิดขึ้น แต่ที่ไม่รู้ ก็คือว่า ไม่รู้ว่าแต่ละสิ่ง แต่ละหนึ่งที่เกิดขึ้น เกิดแล้วดับไป เพราะฉะนั้น อะไรจริง หรือว่าอะไรจะจริงกว่ากัน ในความหมายของโลกของคนที่ไม่รู้จักโลก แต่ผู้ที่รู้จักโลก ก็รู้ว่าขณะนี้เอง ถ้าไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้นเกิดขึ้นปรากฏ โลกไม่มี แต่เมื่อใช้คำว่าโลก ก็ต้องหมายความถึง สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นปรากฏ รวมๆ กันหลายๆ อย่าง เพราะไม่รู้ความจริงว่าเป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละโลก ก็เลยเข้าใจว่าเป็นโลกเดียว โลกของอะไรก็แล้วแต่ แต่ความจริง ถ้าไม่มีอะไรเลยแม้สักหนึ่ง โลกมีไม่ได้เลย แต่เมื่อมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น มีโลกแล้ว เพราะเกิดขึ้น ต้องเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะไม่เป็นโลกแล้วจะเป็นอะไร ในเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น แล้วเข้าใจว่ามีโลก มีโลกก็ต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดปรากฏ มิฉะนั้น โลกจะมีได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจว่ามีโลก ก็เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นปรากฏ นั่นแหละโลก และสิ่งนั้นก็ไม่เที่ยงเลย เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจโลกขึ้นไหม ถ้าไม่มีอะไรเลย โลกก็ไม่มี แต่ว่าไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น แม้เพียงหนึ่งที่มี นั่นก็เป็นโลก เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่มีที่ปรากฏ ก็คือ โลกแต่ละหนึ่ง แต่เพราะไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ก็มารวมกันเป็นโลก ในความหมายต่างๆ แต่ความจริงแก่นแท้ ก็คือว่า ต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นจึงมีโลก และสิ่งนั้นเกิดแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้น โลก ก็คือ สิ่งที่เกิดมีขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น จะไปคิดว่าโลกจะแตกดับวันไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ก็เป็นเรื่องของการไม่รู้จักโลก แต่ถ้ารู้จักโลกจริงๆ ก็สามารถที่จะรู้ถึงแก่นของความจริงแท้ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เวลาที่ใครพูดว่ารู้จักโลกไหม คนที่รู้จักโลกจริงๆ ก็สามารถที่จะบอกได้ว่า โลก คือ อะไร

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น โลกก็ไม่พ้นสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏในขณะนี้ และสิ่งเหล่านี้เกิดก็ดับไป เพราะฉะนั้น ก็ต้องไม่กลัวกับการสิ้นโลก

    ท่านอาจารย์ แม้แต่กลัว ก็ไม่รู้ว่ากลัว คือ อะไรพูดอะไรไปทั้งหมด ก็ไม่รู้ทั้งนั้นเลย กลัวเป็นอะไร ก็ไม่รู้ แล้วก็จะไม่กลัวโลก เพราะรู้เพียงว่า โลก คือ สิ่งที่เกิดแล้วดับ นี่ คือ การเผินมาก ไม่มีทางที่จะรู้จักความจริง ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้น การที่เกิดมา แล้วก็มีทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏ แล้วก็หมดไปแต่ละวัน แล้วก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น ก็จะเป็นความสุขที่แท้จริงไม่ได้ เพราะเหตุว่า ไปสุขกับสิ่งที่เพียงปรากฏแล้วหมดไป แค่นั้นเอง เพราะฉะนั้น จะเป็นความสุขที่แท้จริงก็ไม่ได้แต่สัจจะ ความจริง ไม่เคยทรยศ ไม่เคยเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ไม่ใช่เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้แล้วก็กลับเป็นไม่จริงตามนั้น แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จริง เป็นจริงแน่นอน ไม่เปลี่ยนแปลง และใครก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจความจริง ว่าความจริงก็เป็นอย่างนี้ ยิ่งรู้ความจริงมากเท่าไหร่ จะเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น ไม่สามารถจะมีใครไปบังคับบัญชาได้ เมื่อสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นก็ต้องเป็นอย่างนั้น จะมั่นคง จะไม่หวั่นไหว และก็จะลดคลายความเดือดร้อนลงไปได้ไหม เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใครจะคิดยังไงก็คิดตามประสาที่ไม่รู้จักโลก และไม่ได้เคยฟังธรรมเลย แต่พระธรรมที่ทรงแสดง แสดงความจริงแท้ ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลง และก็ต้องเป็นไปตามธรรมตา คือ ตามธรรมดาที่โลกต้องเป็นอย่างนี้ ใครจะเดือดร้อนกับโลกบ้างไหม ถ้าเข้าใจ เดือดร้อนไปทำไม ในเมื่อโลกก็เป็นอย่างนี้ ใครไปเปลี่ยนแปลงได้ แต่เพราะไม่รู้ความจริง จะเป็นสุขได้ไหม ก็ต้องเดือดร้อนไปตามความคิดของการไม่รู้จักโลก

    อ.กุลวิไล มีท่านหนึ่งที่มาใหม่ และเขียนมาเรียนถามท่านอาจารย์สุจินต์ว่า ดิฉันมีสองคำถาม คำถามแรก ดิฉันสูญเสียทรัพย์จากการลงทุนกับเพื่อน ทำให้ดิฉันเจ็บใจเสียใจอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งทำใจไม่ได้ ที่ถูกเพื่อนทรยศ ทุกวันนี้ดิฉันลำบากมาก ทำอะไรก็ไม่ขึ้น ได้แต่คิดเรื่องเก่าๆ ชีวิตไม่มีความสุขเลย ไม่ทราบว่าพระธรรมจะช่วยดิฉันได้อย่างไร เพราะตอนนี้ ดิฉันลำบากจริงๆ และท่านก็ถามนัยที่ว่า และอริยทรัพย์ คือ อะไร

    ท่านอาจารย์ เป็นความทุกข์ ใช่ไหม เพราะไม่รู้ความจริง และไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จะพึ่งใคร หรือจะพึ่งอะไร ใครก็ทำให้หมดทุกข์หมดโศกไม่ได้เลย แต่ปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง ก็จะทำให้สามารถค่อยๆ ละคลายความทุกข์ เพราะรู้ว่า ทุกข์อยู่ที่ไหน เพื่อนทรยศใช่ไหม เป็นทุกข์ เพราะเพื่อนทรยศ แต่ไม่ใช่เพราะเพื่อนทรยศแน่นอน แต่ต้องเกิดเพราะกิเลส ความที่ติดข้อง และก็มีความสารพัดอย่าง ที่เป็นสิ่ง ซึ่งเกิดจากการไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมนั่นเอง ที่ทำให้เป็นทุกข์

    เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ ใครที่ว่าทุกข์เพราะคนอื่น ก็ขอให้เข้าใจความจริงว่า ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ได้เลย แน่นอน แต่ว่า เพราะกิเลสความไม่รู้ความจริง ที่มีอยู่นั่นเอง ทำให้เกิดความทุกข์ เพราะฉะนั้น ถ้าจะเข้าใจว่าจะลดทุกข์ลงได้ ก็ต้องเกิดจากปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง ความเห็นที่ถูกต้องเกิดเองไม่ได้แน่นอน ไม่มีใครสามารถที่จะเกิดเข้าใจธรรม ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ถูกต้องตามความเป็นจริงได้ จนกว่าจะได้ยินได้ฟังพระธรรม จากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเริ่มเข้าใจ เพราะฉะนั้น ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็ยังมีเพื่อนทรยศ แต่ถ้าเข้าใจแล้ว ใครก็ทำให้คนนั้นเป็นทุกข์เดือดร้อนไม่ได้เลยทั้งสิ้น นอกจากความไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม เพราะฉะนั้น ที่จะหมดทุกข์ได้จริงๆ เพื่อนทรยศเป็นเพียงเหตุการณ์เดียว แล้วก็ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นทุกข์ไหม และอีกสารพัดอย่างจะเป็นทุกข์ไหม เพราะฉะนั้น ทุกข์ที่แต่ละคนเคยได้รับ ก็มีคำที่เขาเคยถามกัน บอกว่าเอามาแลกกันไหม คนนี้ก็มีทุกข์มาก คนโน้นก็มีทุกข์มาก มาร่วมกันแล้วก็แลกกันเอาไหม ไม่มีใครเอา ก็เพราะเหตุว่า ทุกข์ที่มีอยู่ก็พอจะทนได้ แต่ถ้าลองไปแลกของคนอื่นมา มันอาจจะมากกว่าที่ตัวเองคิดก็ได้

    ด้วยเหตุนี้ ทั้งหมดก็มาจากการที่ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย ตั้งแต่เกิดมาก็เต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆ เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ แล้วก็จากโลกนี้ไป แล้วก็ลืมหมดเลย เสียเวลาไหมเกิดมาสุขมาทุกข์ แล้วก็เดือดร้อนบ้างอะไรบ้าง แล้วก็จากโลกนี้ไป โดยลืมสนิท ไม่มีใครจำโลกก่อนชาติก่อนได้เลย แล้วประโยชน์อะไรที่จะต้องเดือดร้อนในชาตินี้ ในเมื่อเขายังสามารถที่จะค่อยๆ ละกิเลส แล้วก็มั่นคงจริงๆ ว่า ที่พึ่งอันแท้จริงต้องเป็นพระรัตนตรัยเท่านั้น

    อ.กุลวิไล ชีวิตประจำวัน ถ้าไม่รู้ธรรมตามความเป็นจริง เต็มไปด้วยทุกข์ แล้วทุกข์นี้ก็ยังเนื่องด้วยวัฏฏะด้วย ไม่สามารถที่จะเป็นสุขได้ แต่สุขที่แท้จริงก็ต้องออกจากวัฏฏะได้

    ท่านอาจารย์ คิดถึงเพื่อนทรยศเมื่อไหร่ ก็เป็นทุกข์ทุกที แต่ก็ห้ามความคิดไม่ได้ เดี๋ยวก็คิดเรื่องนั้นก็เป็นทุกข์ เดี๋ยวก็คิดเรื่องนี้ก็เป็นทุกข์ เพราะยังไม่มีเรื่องที่คิดแล้วไม่เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น สำคัญที่ความคิด ถ้ามีเหตุที่จะทำให้คิดดี เราจะไม่ไปคิดในทางที่เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น สำคัญอยู่ที่ว่า บังคับความคิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น ความคิดก็ต้องมีเหตุปัจจัยที่จะเกิดขึ้นว่า ก่อนฟังธรรมคิดแต่เรื่องอกุศล ใช่ไหม แต่พอฟังธรรมแล้ว จริงๆ ถ้าเห็นประโยชน์ จะไตร่ตรองคำที่ได้ยินได้ฟัง และมีการเข้าใจขึ้น ไม่มีการจะเสียเวลาไปคิดเรื่องเพื่อนทรยศ เพราะว่า ได้ยินได้ฟังธรรม ก็เป็นปัจจัยให้ไตร่ตรองในสิ่งที่ได้ฟัง เช่น ไม่สบายใจ สำคัญเหลือเกิน คือ ใจ แล้วแต่ว่าใจจะสบาย หรือว่าไม่สบาย ถ้าใจไม่สบาย เดือดร้อนแน่ กำลังเดือดร้อนเพราะคิดเรื่องอย่างนั้นอย่างนี้ก็ไม่สบายใจ แต่ก็บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก็ค่อยๆ เข้าใจความจริงว่า ตั้งแต่เกิดมา บังคับให้เกิดก็ไม่ได้ เลือกเกิดก็ไม่ได้ เกิดแล้วจะให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็ไม่ได้ ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ที่ได้สะสมมา แม้ในขณะนี้ก็เลือกไม่ได้ ที่จะไม่คิดที่จะให้เป็นกุศลหรืออกุศล หรือเดือดร้อนใจ

    เพราะฉะนั้น ก็ค่อยๆ เข้าใจว่าตั้งแต่เกิดจนตาย มีสิ่งที่มีจริงแน่นอน แต่ใครก็ไม่สามารถที่จะไปสร้างทำให้เกิดขึ้นได้ แต่ทุกอย่างที่เกิดในชีวิตของแต่ละคน ต้องมาจากเหตุ เพราะฉะนั้น ชีวิตที่หลากหลายของแต่ละคน สุขบ้าง ทุกข์บ้าง สุขมากบ้าง ทุกข์น้อยบ้าง หรือทุกข์มากบ้าง สุขน้อยบ้าง ใครเลือกได้ ไม่มีใครสามารถจะเลือกได้เลย เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ รู้ว่า เกิดมาเพียงชั่วคราว จะแบกโลก จะแบกทุกข์ไว้ทำไม ใช่ไหม ในทางที่ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย เพราะฉะนั้น ถ้ามีหนทางที่รู้ว่าอะไรจะช่วยให้คิดในสิ่งที่ดี ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และรู้ว่าสิ่งนั้น คือ อะไร เช่น พระรัตนตรัย รัตนมีค่าสูงสุด แม้กำลังเจ็บไข้ได้ป่วย รัตนอื่นไม่สามารถที่จะทำให้คลายทุกข์ได้เลย แต่รัตนนี้ ไม่ว่าจะสุข จะทุกข์ก็สามารถ ที่จะทำให้เข้าใจถูก เห็นถูกได้จริงๆ

    ด้วยเหตุนี้ จะรู้ได้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระพุทธรัตน เพราะพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ พึ่งได้จริงๆ แต่ไม่ใช่พึ่งโดยการไปกราบไหว้วิงวอน ขอร้องให้หมดทุกข์ แต่พึ่งเพราะทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อที่จะอนุเคราะห์สัตว์โลก ให้มีความเห็นถูก ให้มีความเข้าใจถูก ในความจริงของชีวิตที่สั้นๆ ที่เกิดมา แล้วก็ไม่รู้จะจบลงวันไหน ขณะไหน เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นความเป็นรัตนว่า พึ่งพระองค์โดยการพึ่งพระปัญญา ด้วยการฟังพระธรรม ซึ่งพระธรรมก็มีหลากหลาย แต่พระธรรมที่เป็นรัตน คือ ธรรมที่จะนำไปสู่การรู้แจ้งความจริง ของสิ่งซึ่งขณะนี้ก็มี แต่ไม่ได้รู้ความจริง ว่าความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เป็นอย่างไรจนกว่าสามารถที่จะดับความไม่รู้ และการยึดถือสภาพธรรม และดับกิเลสเป็นลำดับขั้น ถึงความเป็นสังฆรัตน

    อ.คำปั่น ก็เป็นที่น่าพิจารณาว่า ชีวิตของแต่ละคน แต่ละท่านก็เป็นไปตามการสะสม ความทุกข์ ความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น ก็เป็นธรรมที่เกิดขึ้น เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น การที่จะมีทรัพย์สมบัติ หรือว่าการที่จะสูญเสียทรัพย์สมบัติ ก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสกับพราหมณ์ท่านหนึ่ง ที่สูญเสียสมบัติของตน ก็คือ ไร่นาเสียหายจนหมด พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทรัพย์สมบัติบางคราวก็บริบูรณ์ บางคราวก็วิบัติ ถึงคราวบริบูรณ์ก็ไม่ควรยินดีพอใจฟูใจ ถึงคราววิบัติก็ไม่ควรเสียใจ นี้คือ พระดำรัสที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสให้ได้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ถึงเหตุ ถึงผลที่เกิดขึ้นเป็นไป

    เพราะว่าทรัพย์สมบัติไม่มีใครที่จะนำติดตามไปในภพหน้าได้ และประการที่สำคัญ ชีวิตของผู้ที่มีความทุกข์ ก็ยังจำแนกออกเป็น ๒ ส่วนใหญ่ๆ ก็คือ มีความทุกข์แล้ว กระทำอกุศลกรรม เป็นผู้ประมาทมัวเมา อีกประเภทหนึ่ง ก็คือ มีทุกข์แล้วแสวงหาที่พึ่ง แสวงหาหนทางที่จะเป็นไป เพื่อขัดเกลาความเดือดร้อน ขัดเกลาความไม่รู้ ขัดเกลากิเลสประการต่างๆ ก็มาพึ่งพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง และพระธรรมก็จะเกื้อกูลผู้นั้น ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องตามความเป็นจริงยิ่งขึ้น ก็เป็นที่น่าอนุโมทนา ที่จะได้สะสมปัญญาจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมต่อไป เป็นชีวิตที่มีค่า เป็นชีวิตที่ประเสริฐยิ่งขึ้น แม้จะมีความทุกข์ ความเดือดร้อนก็ตาม เพราะว่าจริงๆ แล้ว ชีวิตก็ไม่มีใครที่จะเลือกได้ ถ้าเลือกได้ก็มีแต่ความสุข มีแต่ความสบายทั้งหมดเลย แต่ทุกอย่างก็เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

    อ.กุลวิไล สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งแท้จริงทั้งชาตินี้ ชาติหน้า และตลอดชาติอย่างยิ่ง ดังที่ผู้เขียนๆ มาถามว่า อริยทรัพย์ คือ อะไร

    อ.วิชัย ทรัพย์ ก็หมายถึง เครื่องปลื้มใจ ซึ่งทุกท่านก็คงจะมีทรัพย์ ที่เป็นภายนอก ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทองต่างๆ แต่ว่าทรัพย์ที่เป็นภายนอก ก็ย่อมพินาศไปด้วยไฟ ด้วยน้ำ ด้วยอะไรต่างๆ ที่เป็นเหตุให้ทรัพย์ต่างๆ ที่เคยมีแล้วก็พินาศไป แต่ว่าทรัพย์ที่บุคคลใดๆ ที่ไม่สามารถลักขโมยได้เลย ก็คือ อริยทรัพย์ ก็มีศีลบ้าง สุตตะ จาคะ ปัญญา หิริโอตตัปปะ ศรัทธา ซึ่งต่างๆ เหล่านี้ก็เป็น ทรัพย์ คือ คุณความดี และจะคิดถึงว่า ขณะแต่ละขณะไม่ใช่เพียงกล่าวว่าเป็นอริยทรัพย์ แต่ว่าขณะนี้กำลังสะสมอริยทรัพย์หรือเปล่า ซึ่งเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งก็ต้องเคยสะสมมา แต่ว่าจะมีปัจจัยให้เจริญขึ้นไหม แม้ในศรัทธา ก็เป็นทรัพย์อย่างหนึ่ง ซึ่งทุกท่าน แต่ละท่านที่ไปนมัสการสังเวชนียสถานที่อินเดียที่ผ่านมา จะมีก็กล่าวถึงท่านต่างๆ ว่าได้มาศึกษา หรือว่าฟังธรรมอย่างไรบ้าง แต่ละท่านก็กล่าวถึงว่า การเป็นไปของการที่จะมาได้ยิน ได้ฟังจากวิทยุบ้างต่างๆ เหล่านี้ก็เป็นเหตุอย่างหนึ่ง แต่ที่สุด คือ แต่ละบุคคลที่ได้ยิน ได้ฟังพระธรรมก็ต้องมีการที่สะสมศรัทธา และมีปัจจัยที่ให้ได้ยินได้ฟังพระธรรม และสะสมศรัทธาเจริญยิ่งขึ้น ซึ่งเราก็คงจะทราบว่า ทุกข์ เมื่อสักครู่ท่านผู้ถาม ก็ถามถึงว่ามีทรัพย์ อาจจะถูกเพื่อนที่ทรยศ ทำให้ท่านต้องเสียทรัพย์ไป ก็เห็นถึงว่า เหตุจริงๆ ที่จะต้องให้สูญเสียทรัพย์นี้ คือ อะไร ถ้าบุคคลนั้นไม่ได้ทำกรรมมา ที่จะเป็นเหตุให้ทรัพย์สูญเสีย ทรัพย์ก็สูญเสียไม่ได้ แต่เพราะเหตุว่า ได้กระทำเหตุมาแล้ว ที่จะต้องเป็นเหตุให้ทรัพย์นั้นสูญเสียไป แต่ว่าความเข้าใจเพียงแค่นี้ ฟังแค่นี้ จะคลายความทุกข์ใจได้ไหม เพียงแค่นี้ แต่ต้องเป็นผู้ที่เริ่มมีความเห็นถูกก่อน ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะให้กิเลสที่สั่งสมมา ความพอใจต่างๆ ที่ติดข้องมานานแสนนาน จะให้คลายได้ ก็เป็นสิ่งที่ยากที่จะเป็นไปได้ เพราะเหตุว่า ไม่ใช่เป็นตัวเราที่จะพยายามให้ความทุกข์ที่มีแล้วหายไป จะคิดจะทำสิ่งต่างๆ ก็เป็นไปด้วยความไม่รู้ ซึ่งไม่ใช่เป็นเหตุ ที่จะให้ความทุกข์ต่างๆ นั้นหมดสิ้นไปได้ แต่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงหนทาง ให้ถึงความสิ้นทุกข์ ด้วยความรู้ ความเข้าใจถูก แต่ทุกอย่างที่จะถึงความสิ้นทุกข์ ก็ต้องมีการที่จะเริ่มต้น ด้วยความเห็นถูก คือ ต้องมีความเข้าใจว่าอะไรที่เป็นทุกข์จริงๆ หรืออะไรที่จะเป็นเหตุให้ถึงสุข คือ ความสิ้นทุกข์ คือ ความไม่มีทุกข์เลย ขณะนี้มีทุกข์หรือเปล่า เห็นไหม ถ้าบุคคลที่ไม่เข้าใจ ก็เหมือนสบายดี แต่จริงๆ แล้ว คือ มีธรรมที่เกิดแล้วด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ แล้วก็ดับไป โดยไม่มีบุคคลตัวตนที่จะบังคับบัญชาได้เลย นี้คือ เป็นทุกข์ที่เกิด และก็มีขณะนี้ แม้เห็นขณะนี้ก็เป็นทุกข์ แม้ได้ยินขณะนี้ก็เป็นทุกข์ แต่แม้มี แต่ก็ยังไม่รู้เลยว่าเป็นเห็น และได้ยินว่าเป็นทุกข์อย่างไร แต่ก็ต้องเริ่มจากความที่รู้ว่า อะไรเป็นทุกข์จริงๆ มีลักษณะจริงๆ ไหม ที่จะเข้าใจถูกว่า ขณะนี้เป็นธรรมแต่ละอย่าง พระธรรมแสดงถึงสภาวะ หรือลักษณะของธรรมต่างๆ โดยละเอียดให้บุคคลที่ฟัง สามารถที่จะเริ่มเข้าใจถูกต้องในพระธรรมได้ ถ้าไม่มีการสะสมการฟังบ่อยๆ เนืองๆ ความรู้ ความเข้าใจถูกก็ไม่มีเหตุปัจจัย ที่จะให้ปัญญานั้นเจริญขึ้นเลย

    ถ้าพิจารณาในชีวิตประจำวัน ความคิดเป็นไปในเรื่องใดบ้าง ให้เกิดความเข้าใจถูกในธรรมหรือเปล่า หรือว่าก็มีเรื่องราวต่างๆ ให้คิดไป ในแต่ละวัน แล้วก็หมดไป ผ่านไป โดยในแต่ละวันไม่มีความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีขณะนี้เลย ดังนั้นพระธรรม ก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐ คือ แสดงให้เห็นว่าขณะนี้นี่แหละ ไม่ใช่ตัวเราเลย แต่ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่าง ที่มีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นไป ดังนั้น ก็จะเห็นคุณของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์สาวก ซึ่งเป็นพระรัตนตรัย ดังนั้น การที่จะถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ก็ต้องมีความเข้าใจถูกในพระรัตนตรัยก่อนว่า คือ อะไร ทรงตรัสรู้อะไร ธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง แสดงถึงอะไร และพระภิกษุสงฆ์สาวกที่ปฏิบัติดีโดยชอบ ตรงต่อธรรม คือ บุคคลใด นี้จะให้เหตุ (นาทีที่ ๒๑.๐๗ แก้เป็น "เห็น") ถึง การที่จะมีทรัพย์ คือ แม้ขณะนี้ไม่ใช่เพียงจำว่า อริยทรัพย์มีอะไร ๗ ประการ คือ อย่างไร แต่ว่าขณะนี้สะสมทรัพย์ คือ ศรัทธา การฟังแต่ละครั้ง ศรัทธาเกิด มีเหตุปัจจัยเกิด ก็สะสมแล้ว โดยที่ขณะนั้นไม่ต้องคิดเลยว่าเป็นศรัทธาไหม เป็นศีลไหม เป็นสุตตะ เป็นจาคะ ปัญญา หิริโอตัปปะไหม แต่ขณะนั้นก็เป็นธรรมที่เกิดแล้ว แต่ว่าสะสมเจริญในอริยทรัพย์เพิ่มขึ้นหรือเปล่า เห็นคุณของพระธรรมที่ให้อริยทรัพย์เจริญขึ้น

    อ.กุลวิไล กราบเรียนท่านอาจารย์ ถึงสิ่งที่ชาวโลกคิดว่าสุข แต่เป็นสิ่งที่เป็นทุกข์เพราะนับเนื่องด้วยวัฏฏะ

    ท่านอาจารย์ เป็นสุขแล้วอยู่ไหน สุขนั้น ทุกคนเคยเป็นสุข แต่สุขที่เป็นขณะนั้น เดี๋ยวนี้อยู่ไหน

    อ.กุลวิไล หมดไปแล้ว

    ท่านอาจารย์ หมดไปแล้ว ก็หาอีก มีอีก แล้วก็หมดไปอีก แล้วก็อยู่ไหน ก็ไม่มีเลยตามความเป็นจริงไม่เหลือเลย ชั่วคราวจริงๆ คือ แสนสั้น และก็หลงยึดติดด้วย เพราะฉะนั้น เมื่อวานนี้ก็พูดว่า ในบรรดาสังขารธรรมทั้งหลาย ปัญญาเป็นเลิศ เอาเงินซื้อได้ไหมปัญญา เงินเยอะๆ เลย ยังไงๆ ก็ไม่มีทางซื้อปัญญาได้ ขอแลกกับคนอื่นได้ไหมคนที่มีปัญญา ก็ไม่ได้ แต่ว่าปัญญาก็เป็นธาตุหรือเป็นธรรม ซึ่งต้องมีปัจจัยเกิดขึ้น คือ ถ้าไม่ใช่ผู้ที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็ต้องฟังพระธรรม เพื่อที่จะได้เข้าใจถูก เห็นถูก

    อ.กุลวิไล มีคำถามข้อที่ ๓ ดิฉันไม่แน่ใจว่า ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ ช่วยอธิบายให้เข้าใจด้วย แล้วชาตินี้ ดิฉันควรจะทำอย่างไร เพื่อให้ชาติหน้าไม่ต้องมาพบกับเหตุการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้อีก


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    3 ก.พ. 2567