พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 828


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๒๘

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖


    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้กำลังสะสมอะไร

    ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้ก็สะสมความเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ กับที่เคยสะสมความไม่รู้ และกิเลสมาแล้วอะไรมากกว่ากัน

    ผู้ฟัง กิเลสมากกว่า

    ท่านอาจารย์ ผู้ที่เป็นพระโสดาบันคือปัญญาที่รู้ความจริงของทุกอย่างละความลังเลสงสัยไม่มีความสงสัยใดๆ ในสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งที่มีจริงชั่วคราวเกิดแล้วก็ดับไปแล้วชาติหน้าจะมาถึงเมื่อไหร่

    ผู้ฟัง ก็ไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ จะเป็นพระโสดาบันชาตินี้ได้ หรือยัง

    ผู้ฟัง ก็ยังครับ

    ท่านอาจารย์ จะได้คิดเสียทีว่าจะเป็นพระโสดาบันโดยที่ว่าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฎ หรือว่าวันหนึ่งเมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นก็เป็นพระโสดาบันตามเหตุตามปัจจัยโดยไม่ต้องไปอยาก หรือว่าต้องการจะเป็นในชาตินี้ชาติไหนก็ได้ที่ปัญญาสมบูรณ์ขึ้น

    อ.ธิดารัตน์ กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่าเวลาท่านอธิบาย และท่านก็ยกผัสสะแต่จริงๆ แล้วสภาพของผัสสะในชีวิตประจำวันก็ไม่ได้ปรากฏแต่จะเข้าใจอย่างไรว่าต้องอาศัยผัสสะโดยความเป็นเหตุ

    ท่านอาจารย์ ทราบว่าธรรมที่เป็นจิตก็มีเป็นเจตสิกก็หลากหลายถึง ๕๒ ประเภทแต่ก็ทรงยกผัสสเจตสิกเป็นอาหารปัจจัยหมายความว่าเพราะผัสสะเป็นสภาพที่กระทบอารมณ์เป็นปัจจัยให้ธรรมอื่นเช่นจิต และเจตสิกที่เกิดร่วมกันเกิดได้ในขณะนั้นก็จะมีปัญหาว่าแล้วเจตสิกอื่นก็น่าจะเหมือนกันกับผัสสะคือถ้าเจตสิกนั้นไม่เกิดจิตก็เกิดไม่ได้แม้ผัสสะก็เกิดไม่ได้เพราะผัสสะก็เป็นเจตสิกด้วยแต่ถ้าจะพิจารณาว่าจิตเป็นธาตุรู้เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ซึ่งต้องเกิดพร้อมกับเจตสิกที่เกิดกับจิตประเภทนั้นๆ ตามสมควรตามสมควรแต่ขาดผัสสเจตสิกไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเวลาที่ผัสสเจตสิกกระทบแล้วจิต และเจตสิกอื่นทั้งหมดที่เกิดในขณะนั้นต้องเกิดพร้อมกันด้วยแต่ว่าสำหรับเจตสิกอื่นนอกจากสัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗ บางกาลก็เกิดบางกาลก็ไม่เกิดแล้วแต่ปัจจัยถ้าจะพิจารณาในบรรดาเจตสิก ๗ ที่เกิดกับจิตว่าเหตุใดผัสสเจตสิกจึงเป็นผัสสาหารเพราะแม้ว่าโลภะไม่เกิดได้แต่ผัสสะต้องเกิด และสภาพของเจตสิกที่ต่างไปอีก ๖ ประเภทก็กระทำหน้าที่ของเจตสิกนั้นๆ ตามประเภทของเจตสิกนั้นๆ ด้วยเวลาที่ผัสสะกระทบสิ่งที่ปรากฏทางตาจิตได้ยินเกิดได้ไหมไม่ได้แม้ว่าเจตสิกอื่นเกิดได้พร้อมกับจิตประเภทนั้นๆ แต่ไม่ใช่จิตที่ได้ยินด้วยเหตุนี้ผัสสะกระทบสิ่งใดจิต และเจตสิกอื่นๆ ก็รู้อารมณ์นั้นด้วยเหตุนี้จึงกล่าวว่าผัสสะเป็นผัสสาหารนำมาซึ่งสภาพธรรมซึ่งเกิดพร้อมกันไม่ว่าจะเป็นจิต และเจตสิกในขณะนั้นพอจะเข้าใจแต่จริงๆ ก็คือให้ทราบว่าปัญญาของแต่ละคนยังไม่สามารถที่จะรู้จักผัสสะจริงๆ ในผัสสะกำลังกระทบเดี๋ยวนี้เลย หรือแม้แต่มนสิการ หรือชีวิตินดริยก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้เพราะเหตุว่าแม้จิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏซึ่งต่างกับเจตสิกอื่นๆ ก็ยังไม่รู้ว่าไม่ใช่เราเป็นแต่เพียงธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นรู้สิ่งที่ปรากฏโดยอุปัติแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นก็ต้องอบรมณ์เจริญปัญญาเพื่อที่จะรู้ตามความเป็นจริงว่าจะเข้าใจธรรมได้แค่ไหนทั้งๆ ที่ธรรมก็กำลังปรากฏ และทรงแสดงความจริงของสภาพธรรมนั้นๆ ตามความเป็นจริงด้วยขอถามคุณพัชวัฒน์อีกครั้งหนึ่งว่าต้องการที่จะเป็นพระโสดาบันในชาตินี้ หรือว่าเมื่อมีการเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นแล้วก็จะต้องเป็นพระโสดาบันแน่เมื่อปัญญาถึงความสมบูรณ์ซึ่งไม่รู้ว่าชาติไหนซึ่งไม่รู้จริงๆ ไม่มีใครรู้ว่าชาติหน้าคือเมื่อไหร่การที่จะเป็นพระโสดาบันใครจะรู้ว่าชาติไหนถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจในเหตุ และผลตามความเป็นจริง และไม่มีความเป็นตัวตนที่ต้องการปรารถนาที่จะทำทุกอย่างให้ถึงด้วยความเป็นตัวตนแต่รู้ว่าอกุศลทั้งหลายจะลดน้อยลงได้เมื่อมีความเห็นที่ถูกต้องถ้ามีความเข้าใจธรรมเมื่อไหร่ก็ค่อยๆ ละความไม่รู้ และอกุศลอื่นๆ เท่าที่จะเป็นไปได้จนกว่าสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตรงตามที่ได้ยินได้ฟังจนสามารถที่จะละคลายความติดข้องประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงตามกำลังของปัญญาตามลำดับขั้นจนกว่าจะถึงความเป็นพระโสดาบันเมื่อไหร่ก็แล้วแต่เหตุเพราะเหตุว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง ขอบพระคุณครับ

    อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์คะอย่างที่ท่านผู้ถามได้ถามว่าเรื่องของผัสสะซึ่งผัสสะก็เป็นปัจจัยของเวทนาโดยนัยของปฏิจจสมุปบาท ปฏิจจสมุปบาทก็มีทั้งฝ่ายข้างเกิด และฝ่ายข้างดับท่านทิ้งคำถามไว้คือสงสัยว่าผัสสะที่เกิดกับโลกุตระจิตจะเป็นปัจจัยแก่ทุกข์ไหมจริงๆ เป็นข้างฝ่ายดับใช่ไหมคะท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ผัสสเจตสิกที่เกิดกับโลกุตตรจิตเป็นปัจจัยแก่อะไรคะ

    อ.ธิดารัตน์ เป็นปัจจัยแก่โลกุตรธรรม

    ท่านอาจารย์ แก่โลกุตระจิต และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย

    อ.ธิดารัตน์ ซึ่งเป็นฝ่ายข้างดับดับทุกข์ดับวัฏฏะก็จะไม่เป็นปัจจัยแก่การเกิดใช่ไหมคะท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ โลกุตระจิตคือโสตาปัติมรรคจิตดับเป็นปัจจัยให้จิตอะไรเกิดต่อ

    อ.ธิดารัตน์ โสตาปัตติผล

    ท่านอาจารย์ โดยไม่มีระหว่างขั้นเลยนั่นคือผลของโสดาปัตติมรรคจิต

    อ.ธิดารัตน์ ไม่เป็นปัจจัยแก่ปฏิสนธิจิตเพราะว่าผลจิตไม่ทำกิจปฏิสนธิเพราะเป็นฝ่ายข้างดับแต่ถ้าเป็นผัสสะที่เป็นไปในจิตประเภทอื่นๆ เช่นกุศลจิตกุศลกรรมก็เป็นปัจจัยแก่ปฏิสนธิจิตนำมาซึ่งทุกข์เพราะอย่างในข้อความที่ท่านอธิบายถ้าพูดถึงปฏิจจสมุปบาทก็ต้องเป็นฝ่ายข้างเกิด

    ท่านอาจารย์ คุณวิชัยคะมาถึงเรื่องปัจจัยค่ะ

    อ.วิชัย ถ้าเราพิจารณาว่าธรรมทุกอย่างที่เกิดขึ้นต้องอาศัยเหตุปัจจัยไม่ว่าธรรมใดก็ตามที่เกิดธรรมนั้นต้องอาศัยปัจจัยนั้นเป็นไปถ้าเราพิจารณาว่าแม้ขณะนี้ก็มีธรรมที่กำลังเกิดขึ้น และด้วยความเข้าใจว่าธรรมที่กำลังเกิดขณะนี้ต้องอาศัยปัจจัยเป็นไปด้วยถ้าละเอียดลงไปอีกว่าธรรมอะไรการศึกษาก็ต้องพิจารณาให้ละเอียดลงไปถึงลักษณะของธรรมอย่างเช่นขณะที่เห็นก็ขณะหนึ่งขณะที่ได้ยินก็เป็นอีกขณะหนึ่งขณะที่คิดก็เป็นอีกขณะหนึ่งธรรมถ้ากล่าวทีละลักษณะก็จะเป็นความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นถ้าจะกล่าวถึงเหตุการณ์ตอนนั้นตอนนี้ก็ยังไม่ชัดเจนเพราะเหตุว่ายังไม่ถึงลักษณะจริงๆ ของธรรมที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ก็มีธรรมที่กำลังเกิดอย่างเช่นได้ยินขณะนี้เกิดเพราะมีเสียงดังนั้นเสียงก็เป็นปัจจัยให้ได้ยินเกิดขึ้น และเมื่อสักครู่นี้ที่ท่านอาจารย์สนทนากับคุณพัชวัฒน์ก็ได้กล่าวถึงเจตสิกเจตสิกหมายถึงธรรมที่ประกอบกับจิตเป็นธรรมเป็นนามธรรมแต่ว่าเกิดร่วมกันกับจิต ประกอบกับจิตรู้อารมณ์เดียวกันกับจิตขณะที่ได้ยินขณะนี้มีธรรมที่เป็นเจตสิกเกิดร่วมกับจิตได้ยินมีผัสสะกระทบเสียงไม่ได้ทำกิจอื่นเลยแต่ทำกิจกระทบกับเสียงเวทนาความรู้สึกถ้าเกิดกับจิตได้ยินก็เป็นอุเบกขาเวทนาธรรมก็ค่อยๆ พิจารณาว่าแม้ขณะได้ยินก็ต้องอาศัยปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้นทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นจิตขณะไหนก็ตามก็เกิดขึ้นก็ต้องอาศัยปัจจัยให้เป็นไปอันนี้ก็เป็นเบื้องต้นก่อนที่จะรู้ถึงความเป็นปัจจัยของธรรมก็ไม่ใช่ขณะอื่นเลยแต่ว่าหมายถึงขณะนี้ที่ธรรมกำลังเกิดขึ้นเป็นไปอยู่

    อ.ธิดารัตน์ มีข้อความในสัมมาทิฏฐิท่านก็อธิบายว่ามรรคสัมมาทิฏฐิย่อมกำจัดวัฏฏะผลสัมมาทิฏฐิย่อมห้ามภพวิปัสสนาสัมมาทิฏฐิถ้าหากว่าก่อนที่มรรคจิตผลจิตจะเกิดก็ต้องมีวิปัสสนาญานเกิดท่านก็แสดงอธิบายว่าวิปัสสนาญาณที่เป็นปัจจัยให้บรรลุเป็นพระอรหันต์ไม่เป็นปัจจัยแก่ปฏิสนธิจิตเข้าใจอย่างนี้แต่จริงๆ แล้วถ้าอยากเป็นพระโสดาบันเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏละเอียดพอ หรือยังพื้นฐานของพระอภิธรรมที่เราเรียนไม่ใช่เข้าใจแค่ชื่อแค่เรื่องเข้าใจลักษณะสภาพธรรมที่เกิดอกุศลธรรมขณะนี้เป็นอย่างไรกุศลจิตกับอกุศลจิตขณะใดเป็นกุศลขณะใดเป็นอกุศลรู้ชัดตามความเป็นจริง หรือยังยังไม่ต้องพูดถึงวิปัสสนาญานอย่างสูงๆ ขณะนี้ลักษณะของนามธรรมเป็นยังไงรูปธรรมเป็นยังไงสิ่งที่ปรากฏเข้าใจชัด หรือยังกราบเรียนท่านอาจารย์ช่วยกรุณาเพิ่มเติมด้วยค่ะเพราะข้อความในพระสูตรที่ท่านมีก็หลากหลายสูตรมากมายก็จะเป็นปัจจัยให้สามารถเข้าใจธรรมในชีวิตประจำวันได้อย่างไร และการฟังธรรมของเราท่านก็ใช้คำว่าตั้งตนไว้ชอบในการฟังธรรมค่ะท่านอาจารย์ควรจะตั้งตนไว้ชอบในขณะฟังธรรมอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นเรื่องควรทั้งนั้นเลยในฝ่ายดีแต่ว่ากำลังความเข้าใจของเราแค่ไหน และสามารถที่จะเป็นผู้ตรงทั้งๆ ที่รู้ว่ากุศลดีแล้วกุศลจิตจะเกิดอย่างที่ต้องการได้ หรือเปล่า เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องฝันแต่เรื่องจริงคือความจริงเดี๋ยวนี้เป็นวิปัสสนาญาน หรือเปล่าถ้าไม่เป็นจะเป็นได้อย่างไรไม่ใช่วิปัสสนาญาณก็ยังไม่เกิดแต่ว่าผัสสะกับวิปัสสนาญาน หรือว่าอะไรต่างๆ เหล่านี้จะเป็นปัจจัยให้เกิดโน่นเกิดนี่ หรือเปล่าก็คือไม่สามารถจะเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏเสียเวลาไหมคะแทนที่จะได้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏก็ไปคิด เพราะฉะนั้นเวลาที่อ่านพระไตรปิฎกแล้วคิดถึงเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นยังไม่มีแทนที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่มีในขณะนั้นแต่ละคำที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกก็ต่างกันแล้วถ้าสามารถที่จะไตร่ตรองให้เข้าใจขึ้นในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังเพราะเหตุว่าปัญญาขั้นต้นยังไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมได้โดยตลอดแต่ว่าเพียงเริ่มที่จะได้ยินได้ฟังแล้วเข้าใจแต่ละคำก็เป็นสิ่งที่ควรไตร่ตรองไม่ใช่ผ่านไปคุณธิดารัตน์กรุณาอ่านตั้งแต่ต้นอีกค่ะจะได้รู้ว่าเราควรที่จะเข้าใจอะไร และเราข้ามอะไร และถ้าข้ามไปจะเข้าใจได้ไหม และจะเข้าใจได้เมื่อไหร่ในเมื่อสิ่งที่มีขณะนี้ก็ยังไม่เข้าใจ

    อ.ธิดารัตน์ คือเป็นข้อความที่ท่านอธิบายว่าถ้าวิปัสสนาญานสัมมาทิฏฐิที่อบรมไว้แล้วอาจให้บรรลุพระอรหัตต์ในปัจจุบันได้ไซร้ก็เป็นการดีอันนี้ท่านอธิบายในหัวข้อของวิปัสสนาญานสัมมาทิฏฐิจะไม่ชักมาซึ่งปฏิสนธิ

    ท่านอาจารย์ ถ้ามีความเห็นถูกจะเป็นอกุศลจะไปสู่อกุศลได้ไหม

    อ.ธิดารัตน์ ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แต่ที่ไปอยู่ทุกขณะที่เป็นอกุศลเพราะขณะนั้นไม่ได้เห็นถูกต้องตามความเป็นจริง

    อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์ท่านก็แสดงว่ามรรคจิตไม่เป็นปัจจัยแก่ภพอยู่แล้วเพราะว่าแม้กระทั่งรายละเอียดโสตาปัตติมรรคจิตก็ห้ามภพก็คือจะไม่มีภพที่แปดอยู่แล้วถ้าโดยรายละเอียดคือศึกษาเพื่อเข้าใจก็จะไม่มีปัญหาอะไร

    ท่านอาจารย์ แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีโสตาปัตติมรรคจิต เพราะฉะนั้นที่ว่าตั้งตนไว้ชอบตั้งตนไว้ชอบตั้งตนไว้อย่างไรแล้วจะตั้งได้ไหมถ้าโดยความเป็นตัวตนไม่ได้แต่รู้เหตุจากการที่ไม่มีศรัทธาเลยตั้งตนไว้ชอบคือเริ่มเห็นประโยชน์ของการที่จะได้เข้าใจความจริงถ้ายังไม่เห็นประโยชน์ของการที่จะเข้าใจความจริงยังไงๆ ก็ตั้งตนไว้ชอบคือให้มีศรัทธาไม่ได้จากการที่ไม่มีศรัทธาเลย เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เป็นสิ่งที่ดีงามเริ่มต้นตั้งแต่ศรัทธาสภาพจิตที่ผ่องใส และรู้ประโยชน์ว่าขณะนั้นไม่มีอกุศลใดๆ เมื่อเห็นประโยชน์อย่างนี้ก็รู้หนทางว่าทำยังไงศรัทธาจะมั่นคงคนที่ไม่มีศรัทธาในทานมีไหมคะ

    อ.ธิดารัตน์ ก็มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ ไม่มีศรัทธาในศีล

    อ.ธิดารัตน์ มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ ไม่มีศรัทธาในการฟังธรรม

    อ.ธิดารัตน์ ก็มีเยอะเลยค่ะ

    ท่านอาจารย์ มีทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นฝ่ายไม่มีศรัทธาแต่ถ้าทางฝ่ายที่เป็นกุศลก็คือฝ่ายที่มีศรัทธาแล้วจะทำยังไงกับคนที่ไม่มีศรัทธาที่จะให้มีศรัทธาเป็นไปได้ไหมเพราะว่าไม่สามารถที่จะไปบังคับไปชักชวน หรือไปทำอะไรคนที่ไม่มีศรัทธาได้แต่ในขณะใดก็ตามผู้ที่จะมีศรัทธาก็เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นศรัทธาในเรื่องใดก็ตามถ้ามีศรัทธาในการฟังธรรมต้องเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์แล้วว่าการฟังธรรมทำให้ได้ยินได้ฟังสิ่งซึ่งไม่เคยได้ยินได้ฟัง และเป็นการที่จะได้รู้ความจริงว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังถูกต้องไหม และเมื่อมีความเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วมีประโยชน์ไหมต้องเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ และมีความเข้าใจถูก และมีความตั้งตนไว้ชอบในการที่จะเป็นผู้ที่สะสมกุศลให้มากขึ้นไม่ใช่ว่าใครอยากจะตั้งตนก็ตั้งได้ขณะนั้นก็ตั้งตนไว้ในอกุศลแท้ๆ เลย

    อ.วิชัย กราบเรียนถามท่านอาจารย์ท่านอาจารย์ครับพระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องของอภิสังขารสามคือปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาพิสังขารหมายถึงเจตนาอย่างเช่นถ้ากล่าวถึงอกุศลเจตนาขณะที่ยินดีพอใจเช่นดอกไม้สวยซึ่งท่านก็จำแนกว่าอปุญญาภิสังขารหมายถึงเจตนาที่ประกอบ หรือเกิดกับอกุศลจิต ๑๒ ประเภทถ้ากล่าวถึงเช่นความยินดีพอใจในดอกไม้อะไรต่างๆ ซึ่งตามความเข้าใจคือไม่ได้เป็นเหตุที่จะให้เกิดวิบากการกล่าวถึงกำลัง หรือว่าลักษณะของอภิสังขารที่จะให้ผลได้คืออย่างไรครับ

    ท่านอาจารย์ ก็มีสองคำคำว่าสังขารกับอภิสังขารเจตนาเป็นสังขาร หรือเปล่า

    อ.วิชัย เป็นครับ

    ท่านอาจารย์ ผัสสะเป็นสังขาร หรือเปล่า

    อ.วิชัย เป็นครับ

    ท่านอาจารย์ มนสิการเป็นสังขาร หรือเปล่า

    อ.วิชัย ก็เป็นครับ

    ท่านอาจารย์ อะไรเป็นอภิสังขารถึงแม้ว่าธรรมทั้งหลายจะเป็นสังขารธรรมเป็นสภาพธรรมที่ปรุงแต่งเป็นปัจจัยทำให้เกิดขึ้นแต่ในบรรดาสังขารธรรมทั้งหมดสังขารธรรมใดเป็นอภิสังขารปรุงแต่งอย่างยิ่งจึงสามารถทำให้ผลคือวิญญาณเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้นทุกวันๆ ทุกคนมีอกุศลแน่นอนกุศลมีบ้างไม่ใช่ว่าไม่มีเสียเลยซึ่งบางคนอาจจะไม่มีเลยก็ได้ในวันนั้น หรือตลอดชาตินั้นอาจจะไม่มีเลยก็ได้ก็แล้วแต่ปัจจัยที่สะสมมาแต่อย่างไรก็ตามวันหนึ่งๆ อกุศลมีเสมอทันทีที่เห็นก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดพอใจ หรือไม่พอใจไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เห็นได้ในขณะนี้ทางตาเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ หรือว่าเป็นเสียงแค่เสียงได้ยินรู้ไหมว่าอกุศลเกิดแล้วพอใจ หรือไม่พอใจอย่างนี้จะเป็นอภิสังขารได้ไหมเพียงแค่ได้ยินแล้วอกุศลเกิดแล้วโดยไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นอกุศลขณะนั้นที่จะเป็นโลภะ หรือโทสะ หรือโมหะก็ตามแต่จะเป็นอภิสังขารได้ไหมเป็นสังขารธรรมเป็นแน่แต่จะเป็นอภิอภินะคะ ปรุงแต่งอย่างยิ่งคือสามารถที่จะทำให้ผลคือวิบากของอกุศลนั้นเกิดได้ไหม

    อ.วิชัย ก็ไม่สามารถให้ผลเกิดได้เพียงแค่พอใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเป็นสังขารธรรมแต่ถ้าเมื่อไหร่ถึงความเป็นกรรมบทมีการกระทำทางกายทางวาจาซึ่งเนื่องด้วยใจขณะนั้นก็สามารถที่จะเป็นปัจจัยที่ทำให้วิณญาณคือปฏิสนธิเกิดได้โดยนัยของปฏิจจสมุปบาท เพราะฉะนั้นวิบากทั้งหลายมาจากอภิสังขารคือเจตนาที่ถึงความเป็นกรรมแต่ก็จะมีปัจจัยอื่นด้วย ไม่ใช่มีแต่เฉพาะกรรมปัจจัยแต่แสดงให้เห็นว่าแม้เจตนาเป็นสังขารก็จริงแต่ว่าเมื่อไหร่ที่ถึงมีกำลังทำให้เกิดอกุศลกรรมบท หรือกุศลกรรมบทก็ตามก็ย่อมให้ผลทำให้วิบากจิตซึ่งเป็นผลของกรรมนั้นๆ เกิดขึ้นแต่ประมาทอกุศลไม่ได้เพราะเหตุว่าแม้อกุศลเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็สะสมจนกระทั่งมีกำลังสามารถที่จะกระทำกรรมได้

    อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์คะที่ท่านใช้คำว่าเจตนาเป็นอภิสังขารซึ่งปรุงแต่งอย่างยิ่งหมายถึงว่าแม้กระทั่งเป็นปัจจัยแก่ปฏิสนธิจิตแล้วกรรมก็ยังเป็นปัจจัยแก่วิบากจิตอื่นๆ ในซึ่งเรียกว่าทั้งชีวิตเรามีกรรมเป็นปัจจัยมากเลยใช่ไหมคะท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ วิบากทั้งหมดต้องมีกรรมเป็นปัจจัยแต่ว่าขณะแรกของชีวิตที่เป็นปัจจัยคือทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดปฏิสนธิจิตก็เป็นวิบากจิตเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้วแต่ว่าไม่ได้สิ้นสุดแค่นั้นเลยเกิดแล้วก็ยังต้องรับผลของกรรมอีกทางตาหูจมูกลิ้นกายสภาพธรรมใดที่เป็นวิบากสภาพธรรมนั้นๆ เกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์คะอย่างนั้นเจตนาที่มีกำลังไม่ว่าจะเป็นอกุศลเจตนา หรือว่ากุศลเจตนาที่เป็นไปในภูมิสามให้ผลปฎิสนธิเมื่อไหร่นั่นก็คือเพราะว่าเจตนานั้นเป็นกรรมบทที่ให้ผลนั่นเองจึงนำมาซึ่งทุกข์เพราะว่าตราบใดที่มีการเกิดก็ต้องเจ็บต้องแก่ต้องตายแต่ถ้าเป็นเจตนาที่เกิดกับโลกุตรธรรมซึ่งเป็นธรรมที่ไม่นำมาซึ่งปฏิสนธิวิญญาณเลย เพราะฉะนั้นนี่ก็คือเจตนาที่เป็นฝ่ายดีที่เป็นสัมมาปฏิปทา

    ท่านอาจารย์ โลกุตรคือมรรคจิตทั้งหมดไม่เป็นปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิ เพราะฉะนั้นพระโสดาบันเกิดที่ไหนในสวรรค์ชั้นใดก็เป็นผลของกรรมอื่นซึ่งไม่ใช่โสดาปัตติมรรคจิตทำให้พระโสดาบันเกิดในที่ต่างๆ ได้

    พระโสดาบันบางท่านก็เกิดในรูปพรหมภูมิบางท่านก็เกิดในอรูปพรหมภูมิบางท่านก็เกิดในสวรรค์ขั้นต่างๆ แล้วแต่ว่ากรรมใดเป็นปัจจัยแต่กุศล และอกุศลที่เกิดแม้เพียงเล็กน้อยประมาทไม่ได้เลยเพราะเหตุว่าเมื่อเกิดแล้วดับไปก็เป็นปัจจัยสืบต่อในจิตขณะต่อไปซึ่งเกิดเพราะจิตขณะก่อนเป็นปัจจัยโดยเป็นปกตูปนิสสยปัจจัยจะสังเกตได้ว่าเราชอบในสิ่งที่น่าพอใจไม่ว่าจะเป็นทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายเล็กน้อยไม่หวั่นไหวไม่มากมายจนถึงกับกระทำทุจริตกรรม หรือกุศลกรรมเลยก็ได้แต่ว่าเมื่อมากขึ้นๆ ก็เป็นปัจจัยให้กระทำกุศลกรรม หรืออกุศลกรรมได้อาศัยจากการที่สะสมทีละเล็กทีละน้อยเป็นปกตูปนิสสยปัจจัยเป็นปกติของสภาพธรรมซึ่งเมื่อเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ย่อมมีกำลัง เพราะฉะนั้นชีวิตของแต่ละคนก็สะสมทั้งฝ่ายกุศล และอกุศลที่ใช้คำว่าอาสยานุสย อาสยทั้งฝ่ายกุศล และอกุศลทำให้แต่ละคนมีอัธยาศัยแม้ในกุศลก็ต่างๆ กันไปแต่ทางฝ่ายอกุศลใช้คำว่าอนุสย อนุสัย เป็นสิ่งที่สามารถจะดับได้ด้วยปัญญาที่ถึงขั้นรู้แจ้งในอริสัจธรรมเป็นพระอริยบุคคลแต่ว่าแต่ละหนึ่งขณะของกุศล และอกุศลที่เกิดแล้วดับจะสะสมอยู่ในจิต


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    12 ม.ค. 2567