พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 839


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๓๙

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๖


    ท่านอาจารย์ กำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงสองอย่างคือสิ่งซึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยแม้ว่ามองไม่เห็นเช่นเสียงกลิ่นรสมองไม่เห็นเลยแต่ว่ามีเมื่อมีธาตุรู้เกิดขึ้นรู้สิ่งนั้นเข้าใจไปพรุ่งนี้ไม่ลืม หรือว่าเย็นนี้ก็ไม่ลืม หรือว่าออกจากห้องนี้ไปแล้วก็ยังคงเข้าใจความหมายของธาตุรู้กับธาตุซึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้ว่าเป็นธาตุไม่ใช่เราพอที่จะเริ่มเข้าใจความไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราเพราะว่าเป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นแสนสั้นแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลยฟังอย่างนี้อีกร้อยครั้งก็ยังละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราไม่ได้อีกพันครั้งก็ยังละไม่ได้อีกกี่ครั้งก็ยังละไม่ได้จนกว่าจะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏแล้วจึงจะประจักษ์ได้ว่าสิ่งนั้นเป็นจริงอย่างที่ได้ฟังคือเกิดขึ้นมีชั่วคราวแล้วก็ดับไปกว่าจะค่อยๆ คลายการที่เคยเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยความเป็นเราได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจจุดประสงค์จริงๆ ฟังเพื่อเข้าใจความจริงเพราะยังไงๆ ต้องตายต้องจากโลกนี้ไปช้า หรือเร็วเมื่อไหร่ก็ได้แต่จะไปโดยที่ว่าไม่เข้าใจอะไรเลย หรือมีความเข้าใจถูกแล้วค่อยๆ สะสมจนกระทั่งปัญญาเจริญขึ้น และเมื่อนั้นจะเข้าใจว่าประโยชน์ที่สุดของการเกิดมามีชีวิตในชาตินี้คืออะไรพอจะตอบได้ไหมคะ หรือยังตอบไม่ได้ประโยชน์สูงสุดจริงๆ ของการที่เกิดมาในชาตินี้แล้วก็ต้องจากโลกนี้ไปคืออะไรทรัพย์สมบัติของใครแค่เห็นจับต้องจำได้แล้วก็เข้าใจว่าของเราแต่ความจริงถ้าไม่เห็นอีกเลยจากโลกนี้ไปแล้วของเรา หรือเปล่าถ้าไม่กระทบสัมผัสอีกเลยของใครไม่มีใครเป็นเจ้าของแม้แต่เห็นก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของสมบัติใดๆ จะมีใครเป็นเจ้าของกายตั้งแต่ศรีษะจรดเท้าก็ไม่ใช่ของใครเลยทั้งสิ้นแต่ยังเคลื่อนไหวได้พูดได้ทำกิจการงานได้เพราะธาตุรู้เกิดที่นั่นจึงทำให้รูปนั้นเป็นรูปที่มีชีวิตแต่พอธาตุรู้ไม่เกิดสิ้นชีวิตรูปนั้นจะเป็นของใครตามมาเอาไปดีไหมตายวันนี้แล้วยังเป็นของเราอยู่ใช่ หรือเปล่าจะตามมาเอารูปนี้ไปคิดอย่างนั้น หรือเปล่าเอา หรือไม่เอาคะรูปนี้ไม่มีใครต้องการอีกเลยมีคำกล่าวว่าแม้มารดาก็ยังไม่ต้องการแล้วคนอื่นล่ะแล้วตัวเองก็เห็นว่ารูปที่ไม่มีชีวิตไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไปแต่ตราบใดที่ยังมีจิตยังมีชีวิตยังต้องการรูปนี้อย่างมาก และยังมีความติดข้องในรูปนี้อย่างมาก เพราะฉะนั้นเกิดมาจริงๆ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมจะไม่รู้เลยว่าชีวิตแต่ละขณะเกิดขึ้นเป็นไปตามที่เป็นคือการที่ได้สะสมมาเปลี่ยนแปลงใครได้ไหมไม่ได้เลยเพราะว่าสะสมมาที่จะเห็น และชอบบางสิ่งบางอย่างไม่ชอบบางสิ่งบางอย่างตามการสะสมก็ต้องเป็นอย่างนี้จนกว่าจะเข้าใจพระธรรมขึ้น และก็จะเห็นประโยชน์จริงๆ เพราะฉะนั้นไม่ทราบประโยชน์ที่สูงที่สุดของการเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ก่อนจะจากโลกนี้ไปคืออะไรยังคิดไม่ออก หรือว่าพอที่จะรู้ว่าประโยชน์จริงๆ คืออะไร

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับพูดถึงประโยชน์ในชีวิตซึ่งทุกอย่างที่เราสนทนาไม่เกินไปจากพระไตรปิฎกเลยแม้ที่สนทนาอยู่นี้ท่านก็มีอธิบายครับท่านอาจารย์ในขุททกนิกายปฏิสัมภิทามรรคที่ท่านแสดงถึงการมีชีวิตอยู่ด้วยความเป็นผู้ที่มีจิตที่มั่นคงในการที่จะอบรมเจริญปัญญาต่อไปก็คงจะเป็นคำตอบตรงนี้ได้ว่าประโยชน์ในชีวิตก็คือการที่มีชีวิตคือการที่มีการสืบต่อของจิตเจตสิกที่จะเป็นไปในการมั่นคงในการอบรมเจริญปัญญาซึ่งตรงนี้ก็ขออาจารย์คำปั่นสักนิเพราะเป็นศัพท์ภาษาบาลีครับภาวนาธิษฐานชีวิตัง

    อ.คำปั่น ภาวนาธิษฐานชีวิตังมีคำรวมกันดังนี้คือคำว่าภาวนาคำหนึ่งอธิฐานคำหนึ่ง และชีวิตะ หรือชีวิตคำหนึ่งรวมกันเป็นภาวนาธิษฐานชีวิตังซึ่งภาวนาคือการอบรมเจริญปัญญาจากที่ไม่เคยรู้ก็ค่อยๆ รู้ขึ้นค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนกระทั่งถึงความสมบูรณ์พร้อมของปัญญาในที่สุดส่วนอธิษฐานก็คือมั่นคง หรือความตั้งใจมั่น และชีวิตในที่นี้มุ่งหมายถึงชีวิตที่ดีงามชีวิตที่สุจริตทั้งทางกายทางวาจา และทางใจ เพราะฉะนั้นภาวนาธิษฐานชีวิตังเมื่อแปลรวมกันแล้วก็คือมีชีวิตที่สุจริตพร้อมกับมีความตั้งใจมั่นที่จะอบรมอบรมเจริญปัญญาต่อไปซึ่งก็ตรงกับคำถามที่ท่านอาจารย์ได้ถามเมื่อสักครู่สูงสุดว่าประโยชน์สูงสุดของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์คืออะไรเมื่อวานมีสหายธรรมสามท่านคือลูกสาวคุณแม่ และคุณป้ามาที่มูนิธิท่านบอกว่าท่านได้ฟังรายการแนวทางมาหลายสัปดาห์ท่านก็พูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่านี่แหละคือสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับมนุษย์ซึ่งทุกๆ ท่านก็คงเป็นในลักษณะอย่างนี้ก็คือเห็นว่าความเข้าใจพระธรรมเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดในชีวิต

    ท่านอาจารย์ ทุกท่านมีคำตอบแล้วใช่ไหมคะจะตอบภาษาไทย หรือจะใช้คำใหม่ในภาษาบาลีซึ่งเข้าใจแล้วก็คือภาวนาธิษฐานชีวิตังถ้าใครถามว่าต่อไปจะมีชีวิตอย่างไรที่จะเป็นประโยชน์ในชาตินี้ตอบสั้นๆ ภาวนาธิษฐานชีวิตังถ้าเขาไม่เข้าใจก็จะได้สนทนากันแต่ก็เป็นคำที่ถูกต้องแน่นอนมีชีวิตที่จะอบรมเจริญปัญญาเพื่อที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมโดยเป็นชีวิตที่สุจริตไม่เป็นไปในทางเสื่อม

    อ.อรรณพ กราบเรียนถามท่านอาจารย์คือก่อนหน้านี้ได้สนทนาว่าชีวิตท่านอาจารย์บอกคือเห็นได้ยินขณะนี้ เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจชีวิตจริงๆ ก็คือเข้าใจเห็นเข้าใจได้ยินขณะนี้

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ภาวนา หรือเปล่าแม้แต่คำที่ใช้ที่จะตอบว่าภาวนาธิษฐานชีวิตังก็ต้องรู้ว่าขณะใดก็ตามที่ฟังธรรมเข้าใจนั่นคือภาวนาให้สิ่งที่ยังไม่เคยเกิดเกิดขึ้นให้สิ่งที่เกิดแล้วเจริญขึ้น เพราะฉะนั้นภาวนาไม่ใช่ไปทำอื่นเลยพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของความเห็นถูกความเข้าใจถูกโดยตลอดตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด เพราะฉะนั้นภาวนาอบรมความเห็นถูกความเข้าใจถูกไม่ใช่อย่างอื่นไม่ใช่อบรมอย่างอื่นธิษฐานมาจากคำว่าอธิษฐานมั่นคงฟังพอ หรือยังกินยากินมื้อเดียว หรือว่าจนกว่าจะหายโรคนั่นคือว่ามั่นคงจริงๆ ที่จะเข้าใจว่าที่พึ่งสูงสุดไม่มีอื่นนอกจากพระรัตนตรัย และจะพึ่งเมื่อไหร่เมื่อเข้าใจไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจก็พึ่งจะพึ่งได้ยังไงเมื่อไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นชีวิตที่มีอยู่ประเสริฐสุดก็คือภาวนาธิษฐานชีวิตังทุกครั้งที่ฟัง หรืออ่าน หรือไตร่ตรอง และเข้าใจธรรมขึ้นนั่นคือภาวนาการอบรมความเห็นถูกจนกระทั่งสามารถรู้ความจริงของสิ่งที่ได้ฟังว่าเป็นจริงอย่างนี้ที่ได้ฟังมาแล้วนั่นเอง

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์คะบางท่านพอฟังธรรมแล้วมีความกังวลเกี่ยวกับชื่อของสภาพธรรมที่มีมากมายอย่างเช่นเมื่อวานนี้มีการสนทนาเกี่ยวกับเรื่องของสติปัฏฐานสูตรท่านกล่าวถึงโพชฌงค์เจ็ดผู้ที่ศึกษาก็มีความกังวลว่าแล้วจะเข้าใจอย่างไรดูเหมือนว่าจะเป็นชื่อของกุศลธรรมอันเป็นอริยะค่ะท่านอาจารย์กราบเรียนท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่รู้จักว่าขณะนี้เป็นธรรมจะรู้จักโพชฌงค์ไหมคะก็ต้องเข้าใจก่อนตามลำดับการศึกษาต้องเป็นไปตามลำดับค่ะ

    อ.กุลวิไล แน่นอนโพชฌงค์ก็ไม่ได้มีในชีวิตประจำวันในขณะนี้แต่ถ้าผู้ศึกษาธรรมจะสนใจที่จะไปรู้ชื่อของโพชฌงค์แต่ก็ไม่รู้ตัวจริงของธรรมที่ปรากฏในขณะนี้ก็ไม่สามารถที่จะถึงความที่จะตรัสรู้องค์ธรรมที่เป็นโพชฌงค์ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะนั้นศึกษาอะไร หรือเปล่า

    อ.กุลวิไล และแม้แต่ความกังวลก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรมค่ะท่านอาจารย์เพราะว่าขณะที่ศึกษาความเป็นตัวตนมาแล้วว่ายากมากชื่อก็ยาว

    ท่านอาจารย์ ก็ลืมคำที่เคยได้ยินว่าทุกอย่างที่มีจริงมีจริงๆ ภาษาบาลีใช้คำว่าธรรมไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ไม่มี เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะมีลักษณะอย่างไรความกังวลมีแน่นอนขณะนั้นเกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัยเป็นสิ่งที่มีจริงใครสามารถที่จะบันดาลให้เกิดขึ้น หรือยับยั้งไม่ให้เกิดได้ไหมก็ไม่ได้จึงมีความเข้าใจลักษณะที่กังวลตามที่ได้ฟังว่านี่แหละตัวธรรมไม่ใช่ไปจำชื่อไว้ว่าทุกอย่างเป็นธรรมแต่พอกังวลเกิดขึ้นก็เป็นเราอีกแล้วนั่นคือไม่ได้เข้าใจจนกระทั่งสามารถที่จะไม่ได้ท่องแต่รู้จริงๆ ว่าสิ่งที่มีจริงขณะนั้นเป็นธรรมซึ่งบังคับบัญชาไม่ได้เพราะอะไรเดี๋ยวนี้ก็มีสิ่งที่มีจริงแต่ก็ยังไม่ได้เข้าใจอะไรสักอย่างว่านั้น หรือนี้คือธรรมเช่นเห็นเดี๋ยวนี้คิดเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นธรรมแต่ได้ฟังบ่อยๆ จนกว่ากังวลเมื่อไหร่รู้เลยว่าสภาพนั้นปรากฏความเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้นแต่ลักษณะนั้นเกิดขึ้นแล้วต้องเป็นอย่างนั้นฉันใดขณะนี้ก็ต้องฉันนั้นไม่ว่าจะเป็นเห็นเป็นได้ยินเป็นคิดนึกเป็นโกรธเป็นอะไรก็ตามแต่เป็นสิ่งที่มีจริงเกิดแล้วปรากฏให้รู้ว่ามีจริงๆ แต่ปัญญาไม่พอที่จะละการยึดถือว่าเป็นเราแล้วก็ห่วงใย เพราะฉะนั้นกว่าที่จะเป็นปกติแล้วเข้าใจขึ้นจนถึงวันที่สามารถได้ยินคำนี้บ่อยๆ ว่าปล่อยวางแต่ปล่อยวางด้วยความเป็นตัวตนคือไม่รู้อะไรเลยไม่เข้าใจอะไรเลยแล้วก็ไม่สำเร็จด้วยไปนั่งทำสิ่งที่ไม่สำเร็จทำไมแต่จะสำเร็จได้เมื่อมีความเข้าใจขึ้นไม่ว่าอะไรก็ตามที่ได้ฟังแล้วขณะนี้กำลังปรากฏแต่ปัญญาไม่พอเลยที่จะเข้าใจในความไม่เที่ยงเพียงเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอยู่ตลอดเวลาทั้งๆ ที่เห็นก็ไม่ใช่ได้ยินก็เข้าใจแล้วเห็นก็ต้องดับในขณะที่ได้ยินเกิดขึ้น หรือว่าได้ยินก็ต้องดับในขณะที่คิดเกิดขึ้นทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลงเป็นความจริงซึ่งไม่เปลี่ยน เพราะฉะนั้นธรรมเป็นปรม ปรมัตธรรมเป็นลักษณะซึ่งใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้เป็นสภาพธรรมที่เป็นอย่างนั้นใช้คำว่าปรมหมายความถึงยิ่งใหญ่ก็ได้เพราะว่าไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยจากสิ่งละอันพันละน้อยคำนั้นบ้างคำนี้บ้างที่ได้ยินได้ฟังแล้วก็เริ่มเข้าใจว่าถ้าไม่มีธรรมอะไรๆ ก็ไม่มี และเมื่อธรรมเกิดขึ้นใครก็เปลี่ยนแปลงบันดาลไม่ได้จึงเป็นปรมัตถธรรม และปรมัตถธรรมลึกซึ้งจริงๆ กว่าจะเข้าใจถูกต้องว่าขณะนี้ทุกสิ่งที่ปรากฏแสนสั้นเหมือนมายากลดับไปแล้วหมดแล้วทั้งนั้นเลยเพียงแค่ปรากฏก็ดับแล้ว เพราะฉะนั้นจึงเป็นอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยเมื่อได้ยินคำไหนขอให้เข้าใจคำนั้นขึ้น

    อ.ธิดารัตน์ ขออนุญาตกราบท่านอาจารย์นะคะ เพราะว่าถึงแม้เราจะสนทนาชั่วโมงของพระสูตรก็ตามที่ผ่านมาแต่พระสูตรสูตรที่แล้วได้กล่าวถึงเรื่องของกรรมค่ะท่านอาจารย์พื้นฐานจะเข้าใจเรื่องกรรมอย่างไรดีคะ

    ท่านอาจารย์ พื้นฐานคือเข้าใจธรรมค่ะไม่ว่าจะได้ยินคำอะไรทั้งหมดในพระไตรปิฎกก็เป็นธรรมซึ่งกำลังปรากฏทางตาหูจมูกลิ้นกายใจเราลืมเราฟังธรรมเพื่ออะไร และเราก็ได้ยินซ้ำบ่อยๆ ฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังฟังก็มีคำถามต่อไปอีกได้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟังทำไมถ้าจะถามก็มีทำไมไปได้เรื่อยๆ เพื่อรักษาจิตประโยคนี้ลืมกัน หรือเปล่าว่าทุกคนมีจิตซึ่งควรอย่างยิ่งที่จะต้องรักษาเพราะอะไรคะเพราะจิตเป็นโรค และจิตบริโภคขยะแล้วจิตที่สืบต่อมาก็เต็มไปด้วยสิ่งที่ควรจะดับให้หมดไม่ควรจะให้มีแม้เพียงเล็กน้อยนี่คือประโยชน์ของการฟังจะได้ตรงจุดประสงค์เราไม่ได้ฟังเพื่อหวังอะไรแต่ว่าฟังเพราะรู้ความจริงว่าแต่ละคนที่เกิดมาเพราะจิตเกิดถ้าไม่มีจิตเกิดจะไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งที่มีชีวิตเลยแต่ไม่รู้เลยว่าจิตที่เกิดนี่สะสมอะไรมาบ้างในสังสารวัฏนานแสนนานแล้วก็ดูชีวิตคือจิตที่เกิดดับสืบต่อในชาตินี้ได้ว่ามากไปด้วยอกุศล หรือมากไปด้วยกุศลแม้ในชาตินี้แล้วชาติก่อนๆ จะไม่เป็นอย่างนี้ หรือ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมก็เป็นบุญที่ได้สะสมมาที่มีศรัทธาที่จะได้ยินได้ฟังสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในชีวิตเพราะเหตุว่าอย่างอื่นไม่สามารถที่จะรักษาจิตเพราะไม่รู้เลยว่าจิตควรแก่การรักษาระดับไหนเมื่อวานนี้เป็นยังไงคะจิต

    อ.ธิดารัตน์ ส่วนใหญ่ป่วยค่ะ

    ท่านอาจารย์ ก็แสดงให้เห็นว่าทั้งๆ ที่มีจิตแล้วจิตนั่นเองเกิดดับไม่ใช่ใครเลยสักคนเดียวแต่ก็ยังไม่รู้การที่จิตเกิดดับสืบต่อตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำเมื่อวานนี้สะสมอะไรไว้บ้างบริโภคอะไรไว้บ้างเป็นพิษ หรือว่าเป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นก็ถึงเวลาที่จะรักษาจิตด้วยการฟังพระธรรมให้เข้าใจไม่ใช่ไปหวังอย่างอื่นเลยเพราะเหตุว่าทำไมฟังพระธรรมแล้วธรรมก็กำลังปรากฏแต่ก็ยังไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตรงตามที่ได้ยินได้ฟังทั้งๆ ที่มีความเข้าใจว่าจิตขณะนี้เกิดแล้วก็ดับแล้วก็สืบต่อทางตาเห็นแล้วยังไม่รู้อีก หรือว่าเป็นโรคมีความไม่รู้ และมีความติดข้องทุกขณะที่มีการเห็นการได้ยินด้วยเหตุนี้จึงเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการฟังพระธรรมไม่ใช่เลือกจะเข้าใจเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่อยากจะเข้าใจแต่เข้าใจสิ่งที่มีว่าสิ่งที่มีแม้จะได้ยินได้ฟังว่าไม่ใช่เราแต่ก็เป็นเพียงคำที่ได้ยินมาตลอดไม่ว่าชาติไหนก็จิตไม่ใช่เราเจตสิกไม่ใช่เรารูปไม่ใช่เราแต่ละอย่างก็เป็นเพียงสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วดับไปมีใครไม่ได้ยินบ้างในห้องนี้มีแล้วทั้งนั้นแต่ยังไม่พอที่จะรู้จักจิตเจตสิกรูปที่กำลังเห็นกำลังมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นมีความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ หรือว่ามีการเริ่มเข้าใจถูกตามความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏซึ่งไม่มีทางจะเข้าใจถูกได้เลยถ้าไม่มีการฟังพระธรรมซึ่งเป็นเรื่องของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ตามความเป็นจริงโดยไม่เลือกว่าอยากจะเข้าใจเรื่องนั้น หรือว่าอยากจะเข้าใจเรื่องนี้แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือทั้งหมดในพระไตรปิฎกก็กล่าวถึงเรื่องจิตเจตสิกรูปสิ่งที่มีจริงทางตาหูจมูกลิ้นกายใจเหมือนขณะนี้ เพราะฉะนั้นก็อยู่ที่ว่าการฟังจะเข้าใจเพื่อที่จะรู้ประโยชน์จริงๆ ว่าเข้าใจอะไรเข้าใจอะไรเข้าใจธาตุที่เป็นธาตุรู้ที่กำลังเกิดขึ้นเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งซึ่งขณะนี้สิ่งที่จิตรู้แจ้งปรากฏเช่นสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นสีสันวรรณะต่างๆ เพราะจิตเกิดขึ้นขณะที่จิตเห็นเกิดไม่ได้มีกิเลสใดๆ เกิดร่วมด้วยเพราะเป็นการอุปปัตติเกิดขึ้นของเหตุที่ได้กระทำแล้วซึ่งเราจะใช้คำว่ากรรมก็ได้ถ้าหมดกรรมไม่มีกุศลกรรมอกุศลกรรมเวลาที่จิตขณะสุดท้ายเกิดทำกิจพ้นจากความเป็นบุคคลนี้ก็จะไม่มีการเกิดของจิตใดๆ อีกเลยได้แก่ปรินิพพานของพระอรหันต์แต่กว่าจะถึงวันนั้นก็ต้องมีความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อยๆ แม้แต่เรื่องของกรรมเราก็พูดจิตเจตสิกรูปจิตขณะไหนเป็นผลของกรรมพูดถึงผลที่เกิดเพื่อจะได้รู้ว่าต้องมีเหตุที่ทำให้เกิดแต่ถ้าเราจะพูดถึงเหตุแล้วเมื่อไหร่ผลจะเกิดขึ้นแต่เดี๋ยวนี้เองผลกำลังปรากฏให้รู้ว่าที่เห็นถ้าไม่มีกรรมที่ได้กระทำไว้ในอดีตเห็นเกิดขึ้นไม่ได้เลยด้วยเหตุนี้ใครตั้งแต่เกิดมาแล้วไม่เห็นบ้างเกิดแล้วต้องเห็นไม่เห็นไม่ได้แล้วมีใครบ้างที่เกิดแล้วไม่ได้ยินถ้าไม่ใช่คนหูหนวกก็ต้องมีการได้ยินได้กลิ่นลิ้มรสรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสนี่แหละคือผลของกรรม เพราะฉะนั้นกรรมก็คือหลังจากที่เห็นแล้วได้ยินแล้วเป็นกุศล หรือเป็นอกุศลซึ่งถ้าไม่มีการฟังพระธรรมจะไม่รู้เลยเช่นในขณะนี้เห็นก็เป็นส่วนเห็นได้ยินก็เป็นส่วนได้ยินฟังเรื่องราวของธรรมก็เป็นการฟังเรื่องราวของธรรมแล้วขณะไหนเป็นกุศล หรืออกุศลถ้าไม่เข้าใจเดี๋ยวนี้จะเข้าใจเรื่องกรรมไหมก็เป็นแต่เพียงชื่อให้รู้ว่ากรรมก็ได้แก่กุศลจิต หรืออกุศลจิตแต่ก็มีความละเอียดมากขึ้นแต่ความละเอียดทั้งหมดในพระไตรปิฎก และคำต่อๆ ไปที่จะได้ยินได้ฟังต้องมาจากการเข้าใจสิ่งที่มีในขณะนี้ว่าเป็นธรรมคือมีจริงๆ เกิดแล้วดับด้วย และไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังเกิดดับฟังแต่ฟังเพื่อเข้าใจขึ้นถ้ามีความเข้าใจเกิดขึ้นจิตสะอาดขึ้นพร้อมที่จะเข้าใจข้อความอื่นๆ มากมายในพระไตรปิฎกแต่ว่าไม่ใช่ว่าเจาะจงว่าจะตั้งใจเข้าใจเรื่องนั้นเรื่องนี้

    อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์คะก็มีข้อความที่กล่าวว่ามโนสัญเจตนาหารเมื่อประมวลไว้ด้วยสามารถแห่งกุศลกรรม และอกุศลกรรมอยู่นั่นแหละชื่อว่ามีอยู่เพื่อการดำรงอยู่แห่งสัตว์ทั้งหลาย

    ท่านอาจารย์ ก็ครบถ้วนถูกต้องไหมคะทุกขณะจิตมีเจตนาเจตสิกเกิดร่วมด้วยแล้วแต่ว่าในขณะนั้นเจตนาจะเป็นเจตนาซึ่งเป็นผลของกรรมมีกรรมทำให้จิต และเจตสิกที่เกิดร่วมกันรวมทั้งเจตนาด้วยเป็นผลของกรรม และขณะใดที่ไม่ใช่วิบากจิตไม่ใช่กิริยาจิตเจตนาที่เกิดกับกุศลจิต และอกุศลจิตตราบใดที่ยังเป็นกุศลเจตนา หรืออกุศลเจตนาก็ยังทำให้ชีวิตดำรงต่อไป

    อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์คะแล้วท่านอธิบายอีกนะคะ ว่ามโนสัญเจตนาหารเป็นปัจจัยของวิญญาณความว่าเกิดร่วมกันใช่ไหมคะเจตนาเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิต

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ตราบใดที่ยังเป็นกุศล และอกุศลมโนสัญเจตนาหารก็เป็นปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิจิตเมื่อปฏิสนธิจิตเกิดแล้วไม่ได้เกิดขณะเดียวก็ต้องมีจิตต่อๆ ไปเกิดด้วย เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจ

    อ.ธิดารัตน์ คุณคำปั่นลองช่วยอธิบายด้วยว่ามีกรรมเป็นของตนอย่างไร และเป็นทายาทของกรรมด้วยแล้วก็เป็นภัณฑะของสัตว์ทั้งหลาย


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    12 ม.ค. 2567