พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 830


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๓๐

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๖


    ท่านอาจารย์ ใครเปลี่ยนสิ่งที่สามารถกระทบตาแล้วปรากฏให้เห็นขณะนี้ให้เป็นอื่นไม่ได้ให้เป็นของใครก็ไม่ได้เพียงแค่ทุกคนเห็น หรือว่าเห็นเกิดเมื่อไหร่ก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเท่านั้นจริงๆ สิ่งนั้นจะเป็นอื่นไม่ได้เลยนอกจากสิ่งนั้นมีจริงกำลังปรากฏให้เห็นแล้วก็ไม่ใช่ของใครทั้งสิ้นพอที่จะละความเข้าใจว่ามีเรา และของเราได้บ้างไหมเพียงสิ่งนี้ปรากฏว่ามีเมื่อเห็นเกิดขึ้นปรากฏให้เห็นแล้วก็ดับหมดไปตามความเป็นจริงแต่การที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดแล้วก็ดับเร็วมากไม่ปรากฏเลยว่าดับไปจนกว่าจะหายไปหมดไปตายไปเปลี่ยนไปเมื่อนั้นก็จะเห็นว่าสิ่งนั้นหมดไปหายไปแล้วแต่ความจริงทุกขณะสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดแล้วสิ่งนั้นดับเปลี่ยนไปโดยไม่มีใครรู้ถึงตอนเย็นดอกบัวนี้แห้งเหี่ยวแน่ไม่อยู่ถึงพรุ่งนี้เช้าเลย และถ้าไม่มีการค่อยๆ เปลี่ยนไปแต่ละหนึ่งขณะสั้นๆ จะมีสภาพอย่างนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรจากตอนเช้าเป็นอย่างนี้ และตอนเย็นก็เป็นอีกอย่างหนึ่งไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงแต่ละขณะเลยแต่เมื่อเปลี่ยนแปลงโดยเวลานานก็สามารถจะทำให้เห็นสภาพที่ปรากฏทางตาว่าไม่ใช่เดิมแล้วแสดงให้เห็นว่าความรู้ความเข้าใจของเราไม่พอแม้ว่าจะได้ยินได้ฟังจากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้วเป็นความจริงอย่างนั้นแต่เรายังไม่สามารถที่จะรู้ความจริงอย่างนั้นเพียงได้ยินได้ฟังสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นต้องอาศัยปัจจัยปรุงแต่ง ทำให้เป็นสิ่งนั้นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่นเมื่อเป็นอย่างนั้นชั่วคราวสั้นมากแล้วก็ดับไปสืบต่อ จนกระทั่งไม่ปรากฏว่ามีการเกิดดับเลยตั้งแต่ขณะแรกที่เกิดจนถึงขณะนี้เกิดดับไปนานเท่าไรไม่เคยรู้เลยสักขณะเดียวแม้ขณะนี้ก็เป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้น จากการที่สภาพธรรมมีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปแสดงความไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นเรา หรือเป็นตัวตน หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงเป็นแต่สิ่งนั้นเท่านั้นที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วแต่สืบต่อจนกระทั่งลวงเหมือนกับว่าไม่ดับเลยแล้วก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นการฟังธรรมเท่าที่ได้ฟังมากี่ภพกี่ชาติก็ตามเพื่อให้มีความมั่นคงในการที่จะรู้ว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงเกิดแล้วดับไปไม่ใช่เราไม่ใช่ของใครทั้งสิ้นทุกชาติจะค่อยๆ สะสมไปจนกว่าจะได้ฟังคำนี้จากการที่ฟังแล้วเข้าใจแล้วละคลายแล้วถึงเวลาที่จะรู้ความจริงก็คือว่าไม่มีอะไรบังการเกิดขึ้น และดับไปของขณะนี้ซึ่งคร่าวๆ พอรู้ได้ว่าสิ่งที่ปรากฏต้องปรากฏไม่พร้อมกัน และทีละอย่างเช่นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาไม่ใช่เสียงสิ่งที่ปรากฏทางตาจะเป็นเสียงได้ยังไงเสียงก็เป็นเสียงเสียงไม่ได้ปรากฏให้เห็นเลยแต่สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ไม่แข็งด้วยก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งก็เป็นแต่ละหนึ่งทั้งๆ ที่บอกว่าไม่เที่ยงปัญญาไม่พอที่จะเห็นการเกิดขึ้นของสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นแล้วดับก่อนที่เสียงจะปรากฏได้

    แสดงให้เห็นว่าปัญญามีตั้งแต่ขั้นฟังจะเข้าใจมากน้อยเท่าไหร่ผู้นั้นเป็นผู้ที่รู้ว่าสะสมมาพอที่จะเห็นถูกต้องแม้ขั้นฟังในสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟังจนกว่าสามารถที่จะเข้าใจกว่านี้จนกระทั่งประจักษ์แจ้งได้แต่ละครั้งที่ได้ยินได้ฟังคือการสะสมความเห็นถูกว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏแต่ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เคยเข้าใจว่าเป็นคน หรือว่าเป็นวัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใดแต่เป็นสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้เป็นไงคะเดี๋ยวนี้ถึงไหนกำลังเห็นเคยเป็นคุณอรรณพเป็นเพียงสิ่งปรากฏให้เห็นได้ถูกไหมต้องเข้าใจก่อนเป็นดอกไม้ในความคิดซึ่งคิดมานานเพราะความจำแต่ว่าความจริงแท้ถึงที่สุดปรมัตถธรรมสัจจะที่เป็นอริยะก็คือว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้แค่หลับตาก็ไม่มีถึงจะบอกจะฟังจะได้ยินสักกี่ครั้งหลับตาลงไปก็ไม่ปรากฏจริงๆ ว่ามีแต่ความไม่รู้ยังมากมายไม่สามารถที่จะประจักษ์ว่าแม้ไม่หลับตา สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ก็เกิด เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้รู้ได้ไหม แต่ต้องอดทนขันติ วิริยะ เพียรฟังจนกว่าจะเข้าใจสัจจะเป็นผู้ที่ตรงต่อความจริง

    อธิษฐานคือมั่นคงรู้ว่าธรรมคือสิ่งที่กำลังมีรู้เมื่อไหร่มีสิ่งใดปรากฏไม่ลืมไม่ลืมคำที่ได้ฟังจนกว่าจะรู้ว่าถึงแม้ว่าจะนานได้ยินตั้งแต่อาทิตย์ก่อน หรือนานมาแล้วแต่เดี๋ยวนี้กำลังเริ่มเข้าใจว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เพราะได้ยินบ่อยๆ จนกระทั่งไม่ลืมจนกระทั่งแม้กำลังเห็นเมื่อไหร่ก็อาจจะเกิดความเข้าใจถูกต้องขณะนั้นว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากการที่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดตลอดเวลาที่เห็นแต่ก็ยังมีการที่เริ่มเข้าใจจนกระทั่งสามารถที่จะเมื่อไหร่ที่ไหนก็มีความเข้าใจว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ก่อนที่จะถึงปัญญาขั้นต่อๆ ไปจากปริยัติเป็นปฏิบัติ หรือว่าเป็นปฏิเวท

    อ.อรรณพ การสนทนาธรรมก็มุ่งอยู่ที่ความเข้าใจอย่างเราสนทนาพื้นฐานพระอภิธรรมถ้าเราสนทนากันแบบตำราว่าสังขารธรรมคืออะไรตอบอย่างนี้ว่าสังขารธรรมก็คือจิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘ ละเอียดดีไหมครับแล้วก็บอกไปเลยว่าจิต ๘๙ มีอะไรเจตสิก ๕๒ มีอะไรรูป ๒๘ มีอะไรซึ่งผิด หรือเปล่าที่ตอบอย่างนี้ผิดไหมไม่ผิดแต่ว่าจะสื่อไปถึงความเข้าใจจริงๆ หรือเปล่า หรือเป็นเพียงแค่ตำราตำราไม่ผิดแต่ว่าต้องมีความเข้าใจท่านอาจารย์ได้ให้ความเข้าใจจริงๆ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นลอยๆ สีขณะนี้สีปรากฏเพราะสีต้องเกิดขึ้นการเห็นมีเห็นเห็นต้องเกิดขึ้นแล้วไม่ใช่ลอยๆ จิตเห็นสภาพเห็นไม่ใช่ว่าไม่มีที่เกิดก็ต้องมีที่เกิด และที่เกิดนั้นก็ไม่ใช่เกิดขึ้นลอยๆ อย่างจักขุประสาทต้องมีกรรมเป็นปัจจัย เพราะฉะนั้นทุกอย่างมีปัจจัยจึงเกิดขึ้นจริงๆ ไม่ใช่สีที่ตั้งอยู่ตรงนั้นไม่มีธาตุดินน้ำไฟลมเลยแล้วจะไปอาศัยอะไรก็ต้องอาศัยธาตุดินน้ำไฟลมเป็นปัจจัยปรุงแต่งด้วยให้สีนั้นมีอยู่ ณ ตรงนั้นแล้วก็มีปัจจัยที่มีจักขุประสาทจักขุประสาทก็ต้องอาศัยปัจจัยปรุงแต่งเป็นอย่างนี้หมดทุกอย่างเลยทุกๆ อย่างทีละอย่างทีละหนึ่งเป็นอย่างนี้หมด เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่อาศัยปัจจัยปรุงแต่งแล้วก็เกิดขึ้นแล้วก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปด้วยเกิดแล้วดับแต่ไม่รู้อย่างนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อได้ฟังอย่างนี้ก็เป็นการสะสมความเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เราแค่ไปจำว่าสังขารธรรมก็คือจิตเจตสิกรูปขันธ์ห้าก็ได้อะไรก็ได้ก็พูดไปเรื่อยๆ แต่ว่าขณะนี้มีสภาพธรรมที่ปรากฏอยู่ และสภาพธรรมที่ปรากฏแล้วเกิดต้องมีปัจจัยจึงเป็นพื้นฐานความเข้าใจไม่ใช่อยู่ดีๆ จะโดดไปแล้วก็ไปรู้ความเป็นปัจจัยปัจจยปริคคหญาณคือปัญญาที่รู้ในความเป็นปัจจัยของสภาพธรรมโดยขาดความเข้าใจในขั้นการฟัง และความเข้าใจความจริงจริงๆ โดยขั้นฟังแล้วคิดนึกจะต้องเป็นปัจจัยจริงๆ เพราะถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้จะไปรู้ความเป็นปัจจัยอะไรก็ไม่ได้ถ้าเราเพียงแต่ศึกษาแบบตำราก็จะไม่มีความเข้าใจแต่คิดลวงว่ารู้แล้วแต่ความเข้าใจในความจริงจริงๆ โดยที่อาจจะไม่ต้องใช้คำศัพท์อะไรมากแต่เมื่อเข้าใจแล้วค่อยๆ มีคำศัพท์มาก็จะเข้าใจพื้นฐานความจริงที่ละเอียดยิ่งเมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ก็ประกาศความเป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริงที่อาศัยปัจจัยให้เกิดขึ้นแต่ละอย่างๆ เป็นธรรมคือเป็นความจริงที่ละเอียดยิ่งก็คือเป็นอภิธรรม

    อ.กุลวิไล เชิญคุณอรวรรณค่ะ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะฟังท่านอาจารย์กล่าวว่าคำว่าสังขารธรรมก็คือขณะนี้ให้เข้าใจความจริงที่กำลังปรากฎแต่ไม่ใช่สนใจคำมีโอกาสได้คุยผู้ที่ศึกษาด้วยกันเขาก็จะรู้สึกว่าการศึกษาพระอภิธรรมยากมากๆ เพราะว่าคำศัพท์เพื่อใช้อธิบายลักษณะสภาพทำที่กำลังปรากฏมากมายจริงๆ อย่างท่านอาจารย์มีปัญญามากแล้วก็จะสามารถรู้ได้ว่าเป็นธรรมแต่ละลักษณะซึ่งไม่ต้องอาศัยคำแต่ในผู้เริ่มศึกษา หรือศึกษายังไม่รู้อะไรมากก็ดูเหมือนจะต้องไปเสียเวลากับคำที่ใช้อธิบายลักษณะสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ไม่มีคำ หรือไม่ให้พูด หรือไม่ให้ทำอะไรแต่ว่านั่งเฉยๆ อย่างนี้ และก็มีเห็นแล้วจะพูดยังไงให้เข้าใจเห็น หรือไม่ต้องพูดก็เข้าใจได้แต่ว่าไม่ใช่ไปจำคำโดยไม่ได้ไตร่ตรองไม่ได้คิดถึงความจริงอย่างคำว่าธรรมไม่ยากเลยแค่คำเดียวว่าธรรมคนที่ได้ยินก็จำได้แล้วค่ะธรรมแต่ว่าธรรมคืออะไรจริงๆ บางคนก็กล่าวว่าเป็นพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงคำสอนอะไรก็เป็นสิ่งซึ่งต้องเข้าใจไม่ใช่เขาบอกอย่างนี้เราก็จำอย่างนี้ว่าธรรมสิ่งที่มีจริงขณะนี้เป็นธรรมแล้วก็ไปจำต่ออีกว่าทุกอย่างเป็นธรรมแล้วก็ไปจำต่ออีกว่าธรรมเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแค่นี้แล้วเราจะเข้าใจธรรมไหนคะเวลานี้ต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนว่าถ้ากล่าวว่าสิ่งที่มีจริงเห็นมีจริงๆ ต้องใช้คำว่าธรรมไหม หรือว่าเพราะได้ยินคำว่าธรรมจึงเข้าใจว่าเห็น หรือเพราะเป็นสิ่งที่มีจริงจึงรู้ว่ามีจริงก็เป็นสิ่งซึ่งแสดงให้เห็นว่าได้ยินได้ฟังเท่าไหร่ก็ไม่ใช่ไปเพียงจำ และคิดว่าเข้าใจแล้วแต่คำนั้นหมายความถึงอะไรคำว่าธรรมคำเดียวหมายความถึงอะไรต้องพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ อย่างที่บอกว่าถ้าไม่จริงจะพูดถึงทำไมจะไปรู้ได้ยังไงเพราะเหตุว่าไม่ได้มีจริงๆ เลยแต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้กำลังพูดถึงสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นเห็นมีจริงๆ กำลังพูดเรื่องสิ่งที่มีจริงจะต้องให้บอกไหมคะว่ากำลังพูดธรรมถ้าบอกว่ากำลังพูดธรรมแต่ ไม่รู้ว่ากำลังพูดเรื่องเห็นนี่แหล่ะใช่แล้วก็จะคิดว่าพูดเรื่องเห็นไม่ใช่ธรรมต้องพูดเรื่องธรรมชื่อต่างๆ จึงจะเป็นธรรมแต่ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้องอะไรมีจริงขณะนี้นั่นคือความหมายของคำว่าธรรมคือสิ่งนั้นมีจริงๆ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะถ้าศึกษาฟังมากๆ ก็เข้าใจว่าเห็นเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้แต่ทุกคนก็คิดแล้วก็จำไปแล้วว่าเป็นท่านอาจารย์ท่านวิทยากรแล้วก็ดอกไม้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอย่าลืมเห็นกำลังเห็นแล้วคุณอรวรรณจะกล่าวว่ายังไง

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กล่าวถึงเห็นที่ไม่ใช่ได้ยินก็ต้องใช้คำแต่ให้เข้าใจลักษณะว่าเห็นไม่ใช่ได้ยิน หรือว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่เสียงท่านอาจารย์คะอันนี้ต้องฟังนานมากพอจะเข้าใจเช่นนี้แล้วก็รู้ว่าเข้าใจเช่นนี้กว่าจะรู้ตรงลักษณะก็ยิ่งยากกว่าที่เข้าใจเช่นนี้แต่ก็

    ท่านอาจารย์ เป็นความจริง หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ใช่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เป็นความจริงก็ถูกต้องน่าสรรเสริญความเห็นถูกไม่เห็นผิดว่าง่าย

    ผู้ฟัง ค่ะแต่เวลาศึกษาท่านอาจารย์คะขอยกตัวอย่างที่ท่านอาจารย์ยกคำว่าสังขารธรรมท่านอาจารย์ก็จะอธิบายว่าให้รู้ว่าเป็นขณะนี้อย่างเช่นอย่างดอกบัวเขาจะเกิดมีสีมีสิ่งที่ปรากฏทางตาก็จะต้องรู้เป็นเพราะว่าจะต้องมีมหาภูตรูปที่เป็นปัจจัยให้เขาเกิดตรงนี้ต้องความเข้าใจที่ฟังมากพอถึงจะสามารถเข้าใจว่าสิ่งที่ปรากฏเพียงปรากฏต้องมีปัจจัยปรุงแต่ง

    ท่านอาจารย์ สาวกคือใคร

    ผู้ฟัง ผู้ฟัง

    ท่านอาจารย์ แล้วไงคะเป็นสาวก หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะที่จะเรียนสนทนาหมายความว่าเวลาฟังท่านอาจารย์อย่างช่วงหลังท่านอาจารย์จะไม่มีศัพท์บาลี และก็พูดภาษาไทยให้เข้าใจว่าอะไรกำลังปรากฏแต่เวลาอย่างอาจารย์อรรณพบอกว่าถ้าบอกว่าจิต ๘๙ ก็ไม่ผิดรูป ๒๘ ก็ไม่ผิดการศึกษาเพื่อให้รู้ว่าขณะนี้กับรูป ๒๘ หรือจิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ ก็คืออันเดียวกันตรงนี้เหมือนกับต้องยังไง

    ท่านอาจารย์ เข้าใจจิต หรือยัง

    ผู้ฟัง เข้าใจขั้นฟัง

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจเห็นเป็นจิตหนึ่งแล้วได้ยินเป็นจิตหนึ่งแล้วคิดนึกเป็นจิตหนึ่งแล้วมีโลภะเกิดร่วมด้วยเป็นอีกจิตหนึ่งแล้วมีโทสะเกิดร่วมด้วยเป็นอีกจิตหนึ่งแล้วมีศรัทธาเกิดร่วมด้วยเป็นอีกจิตหนึ่งแล้วมีปัญญาเกิดร่วมด้วยเป็นอีกจิตหนึ่งแล้วนับไปถ้าอยากจะนับแต่ว่าตามความเป็นจริงคือเข้าใจคำไหนอย่างจิตเข้าใจ หรือยัง หรือว่ายังไม่ได้เข้าใจเรื่องจิตก็ ๘๙ มาแล้วจำไว้ทำไมในเมื่อยังไม่รู้เลยว่าจิตคืออะไรเดี๋ยวนี้เป็นจิตหนึ่งจะบอกว่าไม่ใช่ได้ไหมได้ยินก็เป็นอีกจิตหนึ่งจะบอกว่าไม่ใช่ได้ไหม เพราะฉะนั้นก็เข้าใจสองจิตแล้วแล้วยังจิตคิดอีกแล้วจิตที่มีโลภะก็เข้าใจแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งประมวลแล้วก็คือว่า ๘๙ หรือ ๑๒๑ ประเภทประมวลแต่ถ้าหลากหลายจริงๆ นับไม่ถ้วนเพราะว่าจิตหนึ่งขณะเกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลยขณะต่อไปไม่ใช่ขณะก่อน เพราะฉะนั้นแม้ปัญญาขั้นฟังก็ไม่ใช่ปัญญาขั้นประจักษ์แจ้งถึงแม้จะประกอบด้วยปัญญาก็จริงแต่ก็ต่างขั้นด้วยเหตุนี้เมื่อสภาพธรรมเป็นจริงอย่างไรจึงมีคำที่บ่งถึงว่าหมายถึงสภาพธรรมอะไรแม้แต่คำว่าจิตก็ต้องมีชื่อเพื่อแสดงความหลากหลายแต่ไม่มีความจริงก็หลากหลายอยู่แล้วอย่างจิตเห็นกับจิตได้ยินถ้าเข้าใจถูกต้องว่าจิตเห็นไม่ใช่จิตได้ยินจะเรียกอะไร หรือไม่เรียกอะไรก็ต่างกันอยู่แล้วแต่เวลาที่ใช้คำว่าจิตเห็นในภาษาไทยชาวมคธไม่มีคำนี้จึงใช้คำว่าจักขุวิญญาณแล้วเราก็ไปนั่งจำจักขุวิญญาณกุศลวิบากอกุศลวิบากเป็นสองอะไรอย่างนี้แต่ว่าไม่ได้เข้าใจขณะที่กำลังเห็น เพราะฉะนั้นคำว่าจักขุวิญญาณหมายถึงความถึงขณะนี้ที่มีธาตุรู้เกิดขึ้นเห็นเพื่อที่จะรู้ว่าเป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็แล้วก็ไม่ใช่ของใครแค่นี้ก็รวมคำว่าสังขารธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาแล้วแต่ถ้าเราไม่เข้าใจอย่างนี้เราก็กล่าวว่าสังขารธรรมเป็นอนัตตาสังขารธรรมทั้งหลายไม่เที่ยงแต่ความจริงต้องหมายความว่าเดี๋ยวนี้เราเข้าใจ หรือเปล่าว่าแม้เห็นแม้เห็นเดี๋ยวนี้ชั่วขณะที่เห็นก็ต้องอาศัยปัจจัยที่ทำให้เห็นเกิดขึ้นไม่อย่างนั้นเห็นก็เกิดขึ้นไม่ได้แล้วแล้วจะเป็นเราได้ยังไงเพราะเห็นแล้วก็ดับไปนี่คือเข้าใจ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์โดยทั่วไปถ้าจะมาฟังธรรม หรือศึกษาธรรมเป็นเรื่องลึกลับแต่ถ้าฟังท่านอาจารย์ก็คือเห็นขณะนี้ได้ยินขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริงที่ควรที่จะเข้าใจ และรู้

    ท่านอาจารย์ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมในภาษามคธีเราก็พูดภาษาไทยตรงกันหมดเลยไม่ได้ผิดกันสภาพธรรมเกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาภาษาบาลีไม่ได้พูดอย่างภาษาไทยก็พูดเป็นภาษาบาลีเท่านั้นเอง

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะเมื่อฟังท่านอาจารย์ก็จะโยงไปถึงที่ได้ฟังเมื่อวานว่าการได้ฟังธรรมก็เหมือนกับสามารถพลิกชีวิต หรือว่าเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ตอนเช้าฟังท่านอาจารย์ก็จะคิดว่าก็ฟังเรื่องเห็นเรื่องได้ยินไม่ฟังก็มีเห็นมีได้ยินอยู่แล้วการฟังเช่นนี้จะสามารถเปลี่ยนแปลง หรือว่าพลิกชีวิตอะไรยังไงเป็นเรื่องที่เข้าใจยากมาก

    ท่านอาจารย์ จากไม่เข้าใจเป็นเข้าใจก็พลิกแล้วใช่ไหมใส่พลิกอะไรนักหนาค่อยๆ เปลี่ยนจากความไม่รู้เป็นความรู้แน่นอนค่ะจากไม่เคยเข้าใจเลยก็เข้าใจขึ้นก็เปลี่ยนแล้วไงพลิกแล้วไง

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์แต่ว่าเมื่อวานกลับไปก็ได้สนทนาโทรศัพท์กับสหายธรรมจะมีความรู้สึกว่าอย่างเมื่อวานท่านอาจารย์ย้ำบอกว่าสิ่งที่น่าสนใจคือจิตนี้ไม่ใช่จิตอื่นแต่ก็ไม่เห็นความแตกต่างระหว่างผู้ที่ศึกษาธรรมกับไม่ศึกษาธรรมในการสนทนาก็จะเป็นเรื่องการนินทา หรืออะไรที่ค่อนข้างไร้สาระ และไม่สร้างสรรค์ก็มาคิดว่าไม่สนใจจิตนี้แล้วก็ไม่พลิกชีวิตท่านอาจารย์คะยังไงคะทำให้รู้สึกว่าการเข้าใจธรรมไม่ได้ช่วยให้ชีวิตประจำวันดีขึ้นเลยค่ะท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ดีขึ้นแค่ไหน

    ผู้ฟัง ดีขึ้นแค่ไหน

    ท่านอาจารย์ แค่ไม่พูดอะไรเลยพูดแต่ธรรม หรือไงคะ หรือว่าตามความเป็นจริงรู้ว่าความเป็นจริงเป็นอย่างนี้เกิดแล้วแล้วเป็นธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงในขณะนั้นแน่นอนเกิดแล้วดับแล้วนี่คือประโยชน์จากการฟังไม่ใช่ฟังไปแล้วจะไม่พูดเรื่องนั้นเรื่องนี้จะไม่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้อนัตตาลืมอีกแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็เกิดแล้วด้วยแต่ปัญญาก็สามารถที่จะเข้าใจถูกว่าขณะนั้นเกิดแล้วเป็นอนัตตาไม่มีใครสามารถจะไปบังคับบัญชาได้

    ผู้ฟัง เมื่อวานก็มีการสนทนาว่าจิตอื่นรู้ไม่ได้ที่รู้ได้ก็คือจิตนี้

    ท่านอาจารย์ ถูก หรือเปล่าต้องเข้าใจว่าถูก หรือเปล่าเท่านั้นเป็นความเข้าใจของผู้ที่ฟัง และผู้ที่สนทนากันว่าแต่ละคำที่ได้ยินถูกไหมเข้าใจไหมถ้ายังไม่เข้าใจก็สนทนากันต่อไปเพื่อที่จะได้รู้ว่าความจริงคืออย่างไร

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะไตร่ตรองตามก็เป็นเช่นนั้นเพราะว่าถ้าไม่ทราบว่าจิตเป็นกุศล หรืออกุศลจิตตัวเองไม่มีประโยชน์ที่จะไปสนใจจิตผู้อื่นเพราะไม่มีวันรู้อยู่แล้วว่าจิตผู้อื่นเขาเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ แล้วความจริงขณะนั้นอะไรเกิดจิตเกิดแล้วไม่รู้จิตนี้ที่เกิดแล้วจะรู้จิตไหน

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นในการศึกษา หรือฟังท่านอาจารย์ให้เข้าใจก็เข้าใจจิตตัวเองซึ่งไม่เคยรู้ถ้าไม่ฟัง

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าทั้งโลกถ้าไม่มีจิตนี้โลกจะปรากฏไหม

    ผู้ฟัง ไม่ปรากฏแน่นอน

    ท่านอาจารย์ จะมีคนอื่นไหม

    ผู้ฟัง ไม่มีแน่นอน

    ท่านอาจารย์ จะมีเรื่องนั้นเรื่องนี้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่มีแน่นอน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเพราะจิตนี้เองต่างหากเฉพาะจิตนี้

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นถ้าศึกษาแล้วสนใจจิตนี้ไม่ใช่ไปใส่ใจคำก่อนแต่ให้สนใจความจริงที่กำลังปรากฏ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    12 ม.ค. 2567