พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 806


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๐๖

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕


    ท่านอาจารย์ ฟังธรรม เพื่อสะสมความเห็นถูกว่าเป็นธรรม จนกระทั่งไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นวันไหน ขณะใดก็สามารถที่จะมีความเข้าใจในสภาพธรรมนั้นๆ ว่าเป็นธรรม

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์ มีผู้ฝากคำถามมา พระพุทธศาสนาให้คุณประโยชน์สำหรับผู้ศึกษาอย่างไร และได้ฟังท่านอาจารย์กล่าวอยู่เสมอว่า พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องละตั้งแต่ต้น กราบเรียนท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เกิดมาไม่รู้อะไร มีแต่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรสทุกวัน แล้วก็ติดข้องแล้วก็จากโลกนี้ไป พอไหม แล้วไปไหนด้วย น่ากลัวมากเลย คือ ระหว่างที่อยู่ในโลกนี้ก็ยังสามารถที่จะรู้ และก็ได้ยิน ได้ฟัง แต่ว่าถ้าจากโลกนี้ไปแล้ว มีโอกาสที่จะได้มีความเข้าใจในสิ่งที่เป็นชีวิตนั้นๆ หรือเปล่า เป็นชาตินั้นๆ หรือเปล่า เพราะฉะนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่า เกิดมาแล้วไม่รู้ หรือว่าเกิดมาแล้วว่ายังมีโอกาสที่จะเข้าใจถูก เห็นถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ นั่นก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์ ที่กล่าวว่า พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องละตั้งแต่ต้น

    ท่านอาจารย์ ละความไม่รู้

    อ.กุลวิไล บางคนอาจจะละ ในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ ไม่ปรารถนา

    ท่านอาจารย์ นั่น พระพุทธศาสนา หรือเปล่า

    อ.กุลวิไล ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น คำสอน พุทธ คือ เข้าใจถูก เห็นถูก เป็นปัญญาที่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ มีใครไม่ต้องการรู้ความจริงบ้าง หรือว่าแม้สิ่งนี้กำลังปรากฏ แต่ว่าความจริงของสิ่งนี้ จริงๆ คือ อะไร ก็อยู่ที่ว่า ไม่รู้ไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่เป็นความจริง ก็ไม่รู้ว่าความจริงนั้นเป็นอย่างไร อย่างเห็น มีจริงๆ แล้วความจริงของเห็น คือ อะไร เป็นเราเห็น หรือว่าไม่ใช่เรา แต่ว่าเห็นเป็นเห็น ที่กำลังเห็นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น การศึกษาที่จะทำให้สามารถเข้าใจ ตั้งแต่เกิดจนตายมีสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าเราเรียนวิชาการอื่นๆ เหมือนรู้ เหมือนเข้าใจ เรื่องราวของสิ่งที่เกิดจากการคิดนึกทั้งหมด แต่แม้ในขณะนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราว แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก แล้วก็สะสมอะไรไว้ในชาตินี้ ซึ่งชาติต่อไปก็ต้องสืบเนื่องจากชาติที่กำลังสะสมเดี๋ยวนี้เอง

    อ.คำปั่น ก็จะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ ในการฟังพระธรรมแต่ละครั้ง ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะได้ยินชื่อของธรรม ศึกษาอย่างไร จึงจะไม่สับสนกับคำที่ได้ยินได้ฟัง

    ท่านอาจารย์ ได้ยินเพียงชื่อ หรือเข้าใจถูกต้องว่า ชื่อนั้น หมายความถึงอะไร ถ้าได้ยินเพียงชื่อก็ไม่เข้าใจอะไรเลย แต่ว่าแต่ละคำที่ได้ยินชื่อต่างๆ หมายความถึงสภาพธรรมอะไร มีจริงๆ หรือเปล่า แล้วขณะนี้หรือเปล่า หรือว่าสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ไม่ต้องรู้ แล้วก็ไปพยายามรู้สิ่งที่ไม่มีในขณะนี้ เพราะฉะนั้น แม้แต่เพียงคำว่าพระพุทธศาสนา ทุกคนก็เข้าใจถูก หมายความถึง คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ใคร เราเป็นใคร คิดว่าเพียงอ่านนิดหน่อยก็สามารถที่จะเข้าใจข้อความที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง อย่างที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ หรือเปล่า หรือว่าคิดเอาเองต่อจากที่เราได้ยิน ได้ฟัง เพียงบางข้อบางส่วน เช่น ขณะนี้ สิ่งที่มีจริงๆ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ทุกคำเป็นคำที่ว่า ถ้าไตร่ตรองแล้วก็จะรู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงธรรม ความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ โดยละเอียด โดยประการทั้งปวง เพื่อให้มีความเข้าใจถูกต้อง อย่างที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้

    เพราะฉะนั้น เมื่อกราบไหว้บูชาเคารพบุคคลใด ว่าเป็นผู้ที่ประเสริฐที่สุด ก็ควรที่จะได้รู้จักบุคคลนั้น โดยฟังคำพระพุทธพจน์ที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา โดยประการทั้งปวงที่จะทำให้ ผู้ที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเข้าใจ และก็ไม่สามารถที่จะคิดเองเข้าใจเองได้ ได้เห็นความลึกซึ้งของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น เช่น ถ้าใช้คำว่าธรรมเป็นคำภาษาบาลี คนไทยก็เอามาใช้ แต่คนไทยที่ใช้คำว่าธรรม รู้จักคำว่าธรรม หรือเปล่า เช่น พระธรรมเทศนา พระธรรมเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนเรื่องอะไร ก็ต้องสอนเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ และสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ใครรู้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย ถ้าไม่รู้พระธรรม แล้วจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ แล้วกราบไหว้บูชาใครที่ไม่รู้จัก ในคุณความดีที่ประเสริฐสุด ไม่มีบุคคลใดเทียบเท่าได้เลยในสากลจักรวาล เพราะเหตุว่า ในจักรวาลทั้งหลาย จะมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว แสดงให้เห็นถึงปัญญา ความรู้ยิ่ง ความรู้จริง ซึ่งบุคคลอื่น ไม่สามารถที่จะเข้าถึงได้โดยง่าย แม้แต่เพียงการฟัง ก็ต้องฟังด้วยเคารพ ด้วยความละเอียด ด้วยความเข้าใจถูกต้องจริงๆ เช่น ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงๆ เป็นภาษาบาลีว่าธรรม แต่ภาษาไทย ก็คือ เดี๋ยวนี้อะไรจริง ไม่ใช่เพียงแต่ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง และเดี๋ยวนี้อะไรจริงก็ไม่คิดเลย แต่ถ้าถูกถามว่าเห็นมีจริงไหม จริง

    พระพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของเห็นหรือเปล่า ก็ทรงแสดงความจริง แสดงให้เห็นว่า ทรงแสดงความจริงของทุกสิ่งทุกอย่างในโลก โดยละเอียดยิ่ง ที่จะทำให้เข้าใจถูกตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรม ใช้คำว่า ธรรม ก็คือ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นปรากฏอย่างละเอียด จนกระทั่งความรวดเร็วของการที่สิ่งนั้นเกิดแล้วดับไป ชาวโลกไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ด้วยตัวเอง แม้ในขณะนี้ การฟังพระธรรม ก็คือว่า พิสูจน์ความเข้าใจของตัวเอง คือ ผู้ฟัง ว่าเข้าใจธรรมแค่ไหน แม้ในขณะนี้ ทุกสิ่งที่ปรากฏเกิดแล้วดับ เร็วสุดที่จะประมาณได้ ไม่ได้รู้อย่างนี้เลย แต่ก็เริ่มฟัง เริ่มค่อยๆ เห็นว่า เห็นเกิดขึ้นเป็นเห็น แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น จะเป็นใครได้อย่างไร ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย เหมือนหายไปเลย แล้วก็ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้น ได้ยินไม่ใช่เห็น เพราะฉะนั้น ขณะนี้เหมือนเห็นกับได้ยิน ปรากฏพร้อมกัน ก็แสดงให้เห็นว่า เรายังไม่ได้เข้าใจความจริง ซึ่งสภาพธรรมที่ปรากฏ ปรากฏได้เมื่อมีธาตุรู้ คือ จิตเกิดขึ้นรู้ทีละหนึ่งอย่าง นี่ก็แสดงถึงความห่างไกลกันมาก ของผู้ที่เริ่มฟังพระธรรม และก็ได้เริ่มเห็นพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า แม้ในขณะนี้ สิ่งที่มีจริงทั้งหมดทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริงนั้น โดยประการทั้งปวง

    เพราะฉะนั้น ผู้ฟังธรรมก็รู้ได้เลยว่า เดี๋ยวนี้เอง เป็นสิ่งที่มีจริง ที่กำลังฟังเรื่องราวจนกว่าจะรู้อย่างนั้น ซึ่งรู้ได้ แต่ว่าไม่ใช่รวดเร็ว คิดถึงอวิชชา ความไม่รู้กับโลภะ ในแสนโกฏิกัปป์ และในชาติหนึ่ง เห็นกี่ขณะ นับไม่ถ้วน แต่พอเป็นแสนโกฏิกัปป์ ความไม่รู้ในเห็นจะมากสักแค่ไหน เพราะฉะนั้น บางคนก็คิดว่า เพียงฟังแล้วก็ขอวิธีที่จะทำให้รู้จักเห็นที่กำลังเกิดดับ ก็แสดงว่าไม่ได้เข้าใจเลย ว่าความจริงเป็นสิ่งซึ่งยากที่จะรู้ได้แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัป

    เพราะฉะนั้น ประมาทไม่ได้เลยว่า กำลังฟังสิ่งที่มีจริง ที่จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจความจริง เพราะละความไม่เข้าใจ และความไม่รู้ ในขณะที่ฟังเข้าใจเท่านั้น สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก นี่คือ รู้เพื่อละ และศึกษาธรรมเพื่อละความติดข้อง ความต้องการเพราะเหตุว่า เมื่อความรู้สะสมเพิ่มขึ้นขณะใด ขณะนั้นก็จะไม่มีความต้องการที่จะหวังว่า สิ่งนั้นจะเกิดขึ้น หรือว่าเป็นเราแต่จะค่อยๆ เข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทั้งหมดเป็นหนทางเพื่อละความไม่รู้ และละความติดข้อง และละความเห็นผิด

    มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีพระธรรมได้ไหม ไม่ได้ ใช่ไหม เพราะทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก เพื่อที่จะให้มีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูกจึงทรงแสดงพระธรรม เมื่อมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรมแล้วไม่มีสาวกได้ไหม ก็บำเพ็ญพระบารมีมา เพื่อนุเคราะห์สัตว์โลก โดยประการทั้งปวง และก็จะไม่มีสาวก ไม่มีผู้ฟังที่สามารถจะรู้ความจริงได้หรือ ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ทรงสามารถที่จะอุปการะ และอนุเคราะห์สัตว์โลก ผู้มากด้วยกิเลส คือ อวิชชา ความไม่รู้ และความติดข้อง จนค่อยๆ มีปัญญา ความเห็นถูก เห็นโทษของอกุศล ในขณะที่เห็นโทษ กว่าจะละได้ แต่ก็เริ่มจากการที่เห็นโทษของอกุศลก่อน มิฉะนั้น ถ้ายังไม่เห็นโทษก็ไม่ละ เช่น โลภะ โทษมากไหม อวิชชา ความไม่รู้ โทษมากไหม แต่เวลาที่โลภะเกิดไม่เห็นเลย ชอบโลภะ ชอบมากๆ ไม่อิ่ม ไม่เต็ม

    เพราะฉะนั้น จากพระธรรมที่ทรงแสดง ค่อยๆ รู้ว่าแสนโกฏิกัปป์มาแล้ว ก็เต็มไปด้วยอวิชชา และโลภะ แล้วยังชาตินี้ ยังจะเพิ่มเติมให้เต็ม ให้มากขึ้นอีก ด้วยความไม่รู้ หรือว่าเห็นโทษ แล้วก็ฟัง เพื่อที่จะรู้ความจริง ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้สามารถเข้าใจถูก และละความไม่รู้ จึงละคลายความติดข้องได้

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ละเอียด ไม่ต้องหวัง เหตุมี ผลต้องมี แต่เหตุแค่นี้นิดเดียวเทียบกับแสนโกฏิกัปป์ และก็จะให้หมดโลภะ ให้หมดอวิชชา เป็นไปไม่ได้เลย ถ้าฟังอย่างนี้เข้าใจ เข้าใจขันติบารมี ความอดทนที่จะฟังแล้วฟังอีก เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ พูดถึงเห็น กำลังเห็น ยังไม่เข้าใจเห็น แต่ฟังเรื่องเห็นต่อไปอีก จนกว่าเมื่อไหร่ที่เริ่มค่อยๆ เข้าใจ พูดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นขณะนี้ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้รู้ว่ามีจริงๆ ไม่ต้องคิด ขณะที่ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้คิดถึงชื่อ จักขุวิญญาณ หรือไม่ได้คิดถึงเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตเห็น เพียงเห็น และมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่ต้องนึกถึงคำว่า รูปารมณ์ หรือว่าสิ่งที่จิตกำลังรู้ แต่สิ่งนี้มี และเคยฟังมาแล้วว่า ถ้าจิตไม่เกิดขึ้นรู้ว่าสิ่งนี้เป็นอย่างนี้ปรากฏให้เห็นได้ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ จะปรากฏไม่ได้เลย เมื่อจิตเห็นไม่เกิดขึ้น ก็เห็นความเป็นอนัตตา ความที่ทุกสิ่งทุกอย่างบังคับบัญชาไม่ได้ เกิดขึ้นเป็นไปกับความไม่รู้มานานแสนนาน กับการที่เกิดขึ้นแม้ขณะนี้ แต่ความรู้ค่อยๆ เกิด ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ สะสม จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจได้ ว่าขณะนี้ สิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้แล้วดับไป จะเป็นใคร หรือจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้เลยทั้งสิ้น ถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็จะเห็นงานใหญ่ คือ การที่จะเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ เพราะแม้ฟังอย่างนี้ก็ยังเห็นเป็นคนนั้นคนนี้ และสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่เริ่มรู้ว่า ถ้าไม่มีสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ จะมีอะไรไหม จะมีคนนั้นคนนี้ หรือสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้ไหม

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้องจริงๆ เปลี่ยนสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เป็นคนได้ไหม มีหรือคน ถ้าไม่คิด แต่ว่ามีสิ่งที่มีจริง คือ สิ่งที่ปรากฏชั่วคราว แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ความไม่รู้มีมาก อย่าประมาท เพราะฉะนั้น กว่าความรู้ความเข้าใจ ในสิ่งที่มีจริง ที่เกิดขึ้นปรากฏในชีวิตประจำวัน ซึ่งปัญญาจะต้องเข้าใจจนทั่วโดยตลอดจนหมดความสงสัย จนสามารถที่จะประจักษ์ความเป็นจริง คือ การเกิดขึ้น และดับไปจึงจะละความเป็นเรา ความเป็นตัวตน หรือความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ ขณะนี้ เห็นเป็นเราเห็น เพราะว่ามีตาของเรา ใช่ไหม ไม่ใช่ตาของคนอื่น และก็มีสิ่งที่กระทบตา และขณะนี้จิตเห็นเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังเห็นอย่างนี้ มีความเข้าใจแค่ไหน ไม่ได้เข้าใจอย่างที่กำลังได้ฟัง ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้น ความเป็นเรายังมีอยู่ แต่ถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น จากการฟัง ด้วยการเข้าใจขึ้นๆ พูดถึงเห็น จะนึกถึงตาของเราหรือเปล่า เห็นไหม กว่าจะเข้าใจเห็น โดยที่ไม่คิดว่า เห็นที่ตา ก็คือ ขณะนั้น มีแต่เห็นให้เข้าใจความจริงว่า เห็นไม่ใช่อย่างอื่นเลย แต่กำลังเห็น

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเห็น จะอยู่ที่ไหน ในน้ำบนบก หรือว่าคนที่อยู่บนต้นไม้ เป็นลิงเป็นค่างมีเห็น สัตว์ทั้งหลายมีเห็น ก็เห็น ก็คือ เห็น ถ้าเข้าใจเห็น เพียงเห็นรู้เลยใช่ไหม เป็นเราได้หรือเปล่า เป็นตัวตนของใครได้หรือเปล่า เพราะว่าเพียงเห็น เกิดขึ้นเห็นแล้วดับ ยังไม่ต้องไปคิดถึงอะไรทั้งหมดเลย นั่นคือ ไม่ได้ไปจำว่ามีเราที่เห็น ไม่ยังคงจำว่า เป็นตาที่อยู่กลางตาที่ทำให้เห็นขณะนี้ ไม่ใช่ไปเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหลัง เพราะว่า ถ้าไม่มีจักขุปสาทที่กระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เห็นเกิดขึ้นไม่ได้เลย ตราบใดที่ยังมีเรากำลังนั่งแล้วเห็น ที่กลางตาของเรา ละความเป็นตัวตนไม่ได้ เพราะฉะนั้น กว่าจะเพียงเห็นอย่างเดียวจริงๆ ที่จะรู้ว่าไม่เป็นอย่างอื่น ขณะนั้น เห็นจึงไม่ใช่เรา แล้วก็ไม่ใช่เฉพาะเห็น ได้ยินด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างด้วย ทั้งหมดในชีวิต ก็จะปรากฏเพียงสิ่งที่มีจริงชั่วขณะที่เกิดตรงนั้น ไม่ต้องนึกถึงสถานที่ใดๆ เลย แต่ขณะนั้นก็มีเห็นแล้วก็ดับไป ขณะนั้นก็มีได้ยิน ตรงหูหรือเปล่า เห็นไหม ขณะนี้มีได้ยิน ตรงหูหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ได้ยินตรงหูเพราะขณะนั้น กำลังรู้ได้ยิน แต่ถ้าได้ยินตรงหู ก็เป็นเราที่กำลังได้ยินตรงหูของเรา เพราะว่า ยังมีเรา และก็มีหูของเรา เพราะฉะนั้น ได้ยินจึงเป็นเรา แต่ว่าถ้าได้ยินเกิดขึ้น แล้วไม่มีอะไรเลยนอกจากเสียง ธาตุรู้กำลังรู้เสียง และขณะนั้น ก็สามารถที่จะรู้ความต่างด้วย ธาตุรู้ไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่เสียงปรากฏเป็นเสียงสูงหรือต่ำ ดังหรือเบา ก็แสดงให้เห็นว่า ยังมีลักษณะที่ปรากฏที่หลากหลาย ยังมีความเป็นเสียงปรากฏ แต่ว่าธาตุรู้ไม่มีรูปใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่ว่าขณะนั้นกำลังได้ยิน ถ้าขณะนั้น ไม่มีหูของเรา ขณะนั้น ก็คือ กำลังรู้ลักษณะของได้ยิน และเสียงซึ่งต่างขณะกัน ขณะนั้นทั้งสองอย่างจึงไม่ใช่เรา เกิดขึ้นแล้วดับไป เพราะฉะนั้น หนทางที่จะละความเป็นตัวตนได้จริงๆ ก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อวิชชา ปกคลุมหุ้มห่อ ไม่ให้เห็นความจริงมืดสนิท เพราะเหตุว่า อวิชชาไม่สามารถจะรู้ความจริงได้ แต่จะค่อยๆ ละคลายทีละเล็กทีละน้อย เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น และเป็นผู้ที่ตรงว่ายังมีเราเหลืออยู่หรือเปล่า

    อ.กุลวิไล กราบเรียนท่านอาจารย์ สำหรับประเด็นที่ท่านแสดงว่า สิ่งที่เป็นธรรมว่างเปล่าจากตน และจากของๆ ตน ซึ่งท่านก็แสดงถึงสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ เพราะขณะนี้ต้องมีสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตาว่างเปล่าจากตน หรือจากของๆ ตนอย่างไร กราบเรียนท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก เป็นข้อความที่สั้นๆ แต่ลืมบ่อยๆ และก็ไม่นึกถึง จนกว่าจะมีความมั่นคงว่า ในขณะนี้เอง สิ่งที่กำลังปรากฏดับแล้ว และก็ปรากฏซ้ำ เกิดดับสืบต่อซ้ำ จนปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน ในขณะที่กำลังฟัง ก็เข้าใจสิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้ให้ตรงตามที่ได้ฟังด้วย คือ ขณะนี้กำลังเห็น และก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นตามความเป็นจริง ก็คือว่า เห็นดับเร็วมาก และสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็ดับเร็วด้วย เพราะฉะนั้น จะมีอะไรที่เหลือ เห็นเมื่อสักครู่นี้ดับแล้ว และไม่กลับมาอีก และสิ่งที่ปรากฏทางตาก็ดับด้วย แล้วก็ไม่กลับอีกด้วย แต่เห็นก็เกิดซ้ำอีก และสิ่งที่ปรากฏทางตาก็เกิดซ้ำอีก จนดูเสมือนว่าไม่ดับเลย เพราะฉะนั้น ที่เข้าใจว่าไม่ดับ ก็เป็นเพราะเหตุว่า สภาพธรรมเกิดดับสืบต่อเร็ว และสิ่งที่เหลือ ก็คือว่า นิมิต เพียงให้รู้ว่าสิ่งนั้นมี เช่น เห็นในขณะนี้ กำลังเห็น ดับแล้ว เพียงพูดว่ากำลังเห็น เห็นก็ดับแล้ว แล้วเพียงพูดว่าสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นในขณะนี้ ทางตาให้เห็นได้ ก็ดับแล้ว นี่คือความจริง นี่คือ วาจาสัจจะ แต่เพราะเหตุว่า เป็นความรวดเร็วอย่างยิ่ง ไม่มีใครรู้เลย ว่าขณะนี้ สภาพธรรมตามความเป็นจริงเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดดับเร็ว และซ้ำ ทั้งจิตเห็นก็เกิดซ้ำๆ ทั้งๆ ที่มีจิตอื่นเกิดก่อน และเกิดหลังมากมาย แต่ก็ปรากฏเสมือนว่าเห็นไม่ได้ดับเลย แสดงว่า เห็นเกิดดับซ้ำมากแค่ไหน จนปรากฏให้เข้าใจได้เดี๋ยวนี้ ว่ากำลังเห็น แต่แท้ที่จริงแล้ว ที่ว่ากำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ก็เป็นนิมิต เป็นสิ่งที่เพราะมีจิตที่เห็นเกิดแล้วดับสืบต่อ จึงปรากฏให้เสมือนว่า ขณะนี้ก็เป็นเห็นเดิมที่ไม่ได้ดับเลย ฉันใด พิจารณาสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ ให้เห็นได้ แข็งไม่ได้ปรากฏให้เห็นได้เลย เสียงก็ไม่ได้ปรากฏให้เห็นได้เลย แต่ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ทุกคนเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ไม่ต้องเรียกชื่อเลย ไม่ต้องไปคิดว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เป็นอะไรอยู่ที่ไหน ใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าสิ่งนี้มี เพราะสิ่งนี้มี ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่มีการเห็นแม้แต่จะรู้ว่าสิ่งนี้มี ก็มีไม่ได้

    นี่คือความละเอียดอย่างยิ่ง ที่จะเข้าใจได้ว่า โลกว่างเปล่า เพราะเหตุว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็ดับไป สืบต่ออย่างเร็วมาก เสมือนว่ามีคน มีโลกมีทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ได้ว่างเปล่าเลย แต่ความจริง ความว่างเปล่า ก็คือว่า มีธาตุที่เกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก ว่างแล้วจากการที่จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ นอกจากเป็นธาตุนั้น เช่น เห็นเกิดขึ้นเห็น แล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีก สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็เกิดปรากฏให้เห็น แล้วก็ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีก ทุกขณะเป็นอย่างนี้ก็ว่างเปล่าไปแต่ละขณะ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า กว่าเข้าใจความหมายของว่างเปล่า ก็คือว่า สิ่งที่กำลังมีนี่แหละ เกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีก

    ฟังแล้วเข้าใจแล้ว คิดยังไง ความคิดนี่หลากหลายมาก ฟังแล้วเข้าใจแล้ว คิดยังไงเห็นพระปัญญาคุณของพระอรหัตนสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม สามารถที่จะทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี ที่จะตรัสรู้ความจริง ใครจะได้ยินคำนี้บ้าง แม้แต่รู้ว่าขณะนี้มีเห็น ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เลยว่า เห็นมีจริงๆ เพราะเห็นเกิดขึ้น เพราะมีปัจจัยที่จะให้เห็นเกิดขึ้น แล้วเห็นก็ดับไป และก็ไม่กลับมาอีกเลย ได้ยินมีจริง เมื่อมีเหตุปัจจัย สภาพธรรมที่ได้ยินก็เกิดขึ้น แค่ได้ยิน เพียงได้ยิน ทำอะไรยิ่งกว่าได้ยินไม่ได้เลย แล้วได้ยินก็ดับไป

    เพราะฉะนั้น แต่ละขณะก็เป็นความจริงที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น เมื่อฟังเข้าใจก็เห็นพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิ์คุณ และพระมหากรุณาคุณ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    20 ม.ค. 2567