พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 800


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๐๐

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๕


    อ.คำปั่น ท่านอาจารย์ก็เริ่มที่ คำว่าปริยัติ เพราะฉะนั้นแล้ว ก็ต้องสำคัญที่ความเข้าใจพระธรรมตั้งแต่ต้น กว่าจะไปถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ที่จะสามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น

    ท่านอาจารย์ ปัญญาที่เจริญขึ้นก็ต้องมาจากทีละเล็กทีละน้อย ถ้าเดี๋ยวนี้ไม่มีความเข้าใจก็ติดตังไป แต่ว่าถ้ามีความเข้าใจขึ้นๆ ก็สามารถที่จะมียา ที่สามารถที่จะทำให้พ้นจากตัง แต่ก็ยังมีอกุศลที่ยังไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉจ เพราะเหตุว่า จะต้องถึงกับการรู้ว่านายพรานอยู่ที่ไหน และก็สามารถที่จะมีกำลังพอที่จะทำลายนายพรานได้ จากนายพรานซึ่งมีกำลังมาก จนกระทั่งอ่อนลง อ่อนแอลงๆ เพราะกำลังของลิง ตอนนี้ยอมเป็นลิงไหม แม้แต่พระธรรมที่กล่าวถึงเรื่องลิงเป็นมรณสติหรือเปล่า ไม่มีใครรู้เลย ใครจะหายไป พรุ่งนี้ก็เป็นไปได้ ถึงจุดหมายปลายทางที่เดินอยู่ทุกวัน คือ ถ้าเดินไปทางอกุศลก็ถึงที่ ที่เป็นอบายภูมิ แต่ถ้าเดินไปในทางกุศล ก็ถึงที่ที่ปลอดภัย และถ้าเดินในหนทาง ที่จะทำให้รู้แจ้งสภาพธรรม ก็จะพ้นจากภัยทั้งหมดได้

    อ.ธิดารัตน์ ท่านอุปมาจิตเหมือนลิงด้วยเหมือนกัน เพราะว่า ความเป็นไปของจิตที่รวดเร็วเหมือนกับลิงที่กระโดดไปยังต้นไม้โน้นต้นไม้นี้ ในที่นี้ลิงที่ท่านอาจารย์ได้พูดถึงพระสูตร หมายถึง จิตด้วยหรือเปล่า เพราะว่า ท่องเที่ยวไปในอารมณ์ที่ไม่ควร

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีจิต ก็ไม่มีลิง ไม่มีมนุษย์ ไม่มีอะไรเลย

    อ.ธิดารัตน์ เรียกว่าสามารถจะเทียบเคียงกันได้ ระหว่างอุปมาในสูตรอื่นด้วย ใช่หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องแน่นอน ตรงที่สุด แท้ที่สุด ก็คือ จิต เจตสิก รูป ไม่เป็นลิง ก็เป็นจิต เจตสิก รูป เดี๋ยวนี้เลย แต่ก็ยังเป็นเรา เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า แม้จะกล่าวว่าไม่มีเราเลย ที่กำลังเห็น ที่เคลื่อนไหว ที่คิดนึกทั้งหมดนี้ ก็คือ จิต เจตสิก รูป เมื่อไหร่จะเป็นอย่างนี้จริงๆ

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ ยาที่จะทาให้พ้นจากตัง มีระดับ มีประสิทธิภาพอย่างไรบ้าง ที่จะเป็นปัจจัยให้พ้นไปได้ ตั้งแต่เบื้องต้นจนพ้นไปได้จริงๆ ไม่คิดที่จะไปติดอีก

    ท่านอาจารย์ ถ้าพูดถึงตามความเป็นจริง ก็คือว่า ความรู้มีหลายระดับขั้น ซึ่งต้องค่อยๆ สะสมตั้งแต่ปริยัติ ความเข้าใจอย่างมั่นคงจริงๆ ว่าขณะนี้ เป็นสิ่งที่เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่สามารถที่จะเข้าใจตามความเป็นจริงได้ มิฉะนั้น ก็ตังมาทาไว้อีกแล้ว ใช่ไหม ก็ติดข้องในสิ่งนั้น แต่ถ้ารู้จริงๆ เข้าใจจริงๆ ว่า ละไม่ได้ละความยินดีติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะก่อน แต่ต้องละความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ นี่จึงพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน จนกว่าจะเริ่มเข้าใจในความเป็นปรกติ เพราะเหตุว่า การละต้องละในขณะนี้ตามปรกติ ถึงจะเป็นปัญญาที่ละได้จริงๆ แต่ถ้าไม่ใช่ความรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏตามปกติ ไม่มีทางที่จะไปละ เมื่อไหร่ จะละเมื่อไหร่ เพราะเมื่อไหร่ๆ ก็ไม่รู้ทั้งนั้น ถ้าไม่รู้เดี๋ยวนี้ต่อไปจะรู้ได้ยังไง

    เพราะฉะนั้น จากปริยัติที่ได้ฟัง ก็จะทำให้รู้ว่าตลอดชีวิต กิจอื่นที่สำคัญไม่เท่ากับกิจที่เข้าใจพระธรรม สำคัญกว่ามีประโยชน์กว่า หลงไปทำกิจอื่น คิดว่ากิจอื่นสำคัญกว่า แต่จะหายไปจากโลกนี้เมื่อไหร่ก็ได้ โดยกิจนั้นก็ยังไม่เสร็จ แต่ว่ากิจที่ควรทำยังไม่ได้ทำ เพราะฉะนั้น กิจที่ควรทำ ก็คือ เข้าใจสิ่งที่มีจริง ที่สามารถจะเข้าใจได้ ในชาติที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และมีโอกาสได้ฟังพระธรรม เพราะว่า จากขณะนี้ไปก็ไม่แน่นอนเลยว่ามีโอกาสอีกเมื่อไหร่ จะช้าหรือจะเร็ว จะมากหรือจะน้อย

    เพราะฉะนั้น ประโยชน์สูงสุด คือ เข้าใจสิ่งที่มีจริง จากการที่ฟังธรรมทีละหนึ่งให้เข้าใจจริงๆ จะได้ไม่สับสนเท่านั้นเอง แล้วก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น กำลังทำกิจที่ควรทำ หรือเปล่าขณะนี้ แน่นอน ทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่กิจอื่น แต่กิจที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่ใช่กิจที่ควรทำ คือ เข้าใจธรรม ทำกิจอะไรทราบไหม โลภะทำกิจของโลภะ เจตสิกแต่ละหนึ่งก็ทำกิจของเจตสิกนั้นๆ ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่มีเรา แต่ขณะนี้กำลังมีธรรมที่ทำกิจของธรรมนั้นๆ มีสิ่งที่มีจริงกำลังทำหน้าที่นั้น ผัสสเจตสิกก็กำลังกระทบกับสิ่งที่ปรากฏ และจิตเกิดขึ้นรู้สิ่งนั้นทุกขณะเลย ทำหน้าที่แล้วใช่ไหม หน้าที่ของผัสสะ ถ้าเป็นโลภะก็ทำกิจติดข้อง ถ้าเป็นอโลภะก็ไม่ติดข้อง

    เพราะฉะนั้น ไม่มีใครที่จะทำอะไร แต่ทำทุกขณะแต่ไม่ใช่เราทำ ทำจริงๆ แต่กิจนั้นเป็นกิจที่ควรทำหรือเปล่า ถ้าทำด้วยโลภะ หรือทำด้วยโทสะ ทำด้วยโมหะ เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่าทุกขณะกำลังทำกิจ แต่ไม่ใช่เราทำ แต่เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นทำกิจนั้นๆ ของตนๆ

    อ.คำปั่น ทุกครั้งที่ได้ฟังพระธรรม ก็จะมีข้อความที่เป็นเครื่องเตือน ในการที่จะทำให้เป็นผู้ที่มีความเพียร มีความอดทน ในการที่จะฟัง ที่จะศึกษาพระธรรมต่อไป แม้กระทั่งได้ยกพระสูตร คือ เรื่องของลิง ท่านอาจารย์ก็ไม่ลืมที่จะเตือนพวกเรา ในเรื่องของความตาย ก็ไพเราะทีเดียวว่า อาจจะเป็นพรุ่งนี้ก็ได้ ที่จะละจากโลกนี้ไป และในช่วงหลังๆ นี้ท่านอาจารย์ก็จะมีข้อความที่เตือนอยู่เสมอ เพื่อความเป็นผู้ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต แม้แต่ในการฟังพระธรรมแต่ละครั้งก็จะไม่ขาดเลย อย่างเช่น เมื่อสัปดาห์ที่แล้วท่านอาจารย์ก็ได้ให้ข้อคิดว่า โอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมในชาตินี้นั้นเหลือไม่มาก เพียงแค่นี้เพิ่มพูนความเพียรแล้วใช่ไหม ที่จะไม่ท้อถอยในการที่จะฟัง ที่จะศึกษาอบรมเจริญปัญญาต่อไป และเมื่อวานประโยชน์ของการมีชีวิตอยู่เพียงชั่วคราว ก็คือ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงตามความเป็นจริง ทั้งหมดก็รวมลงอยู่ใน ฟังพระธรรมด้วยดีนั่นเอง ก็คือ ฟังเพื่อความเข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง ซึ่งก็เป็นโอกาสที่หาฟังได้ยาก เพราะฉะนั้น ทุกๆ ท่านก็เป็นผู้ที่ได้สะสมเหตุที่ดีมาแล้วทั้งนั้น จึงมีโอกาสได้ฟัง ได้สะสมในสิ่งที่ประเสริฐ ก็คือ สะสมปัญญา ความรู้ความเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง

    อ.อรรณพ จริงยิ่งกว่านั้น เกิดมาเพื่อที่จะติดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็รอเวลาที่จุติจะเกิด แล้วก็ตาย นี่ก็เตือนมรณสติ แล้วก็เห็นถึงพระมหากรุณาคุณที่พระองค์ท่านทรงอนุเคราะห์ที่จะค่อยๆ ให้คนที่ยังติดอยู่ได้พ้นไป

    ผู้ฟัง เรียนสนทนากับท่านอาจารย์ว่า จริงๆ แล้วถ้าฟังธรรมเข้าใจ ความเข้าใจนั้นเขาก็จะปฏิบัติกิจละอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย หรือว่าเจริญกุศลแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะขอความกรุณาท่านอาจารย์ให้รายละเอียดตรงนี้ว่า ไม่มีเราไปละอกุศล หรือว่าเจริญกุศลได้ แต่ความเข้าใจธรรมก็จะปฏิบัติกิจของเขาเอง

    ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดจึงจะเข้าใจธรรม ได้ยินคำว่าธรรมคุ้นหู แต่ก็ยังไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่าคืออะไร แล้วก็ได้ยินคำว่าอภิธรรมด้วย ใช่ไหม ก็ยิ่งมากกว่าธรรม รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ควรอย่างยิ่งที่จะเข้าใจในอภิธรรม และก็ประเพณีของเราก็มีการสวดพระอภิธรรม ทุกคนได้ยินคุ้นหูเลย แต่ถามว่า อภิธรรม คือ อะไรจะตอบได้ไหม ก็ตอบไม่ได้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อให้คนอื่นได้รู้ความจริง ตามที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ นี่เป็นพระมหากรุณาอย่างยิ่ง ถ้าเข้าใจอย่างนี้ เราจะฟังธรรมเพื่ออะไร เพราะเหตุว่า ถ้าไม่ใช่เพื่อความเข้าใจของเราเองจริงๆ ในสิ่งซึ่งไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจมาก่อน ก็จะเห็นได้ว่า เป็นสิ่งซึ่งคนอื่น แม้จะสอนให้เราเป็นคนดีนานาประการด้วยประการทั้งปวง แต่ก็ไม่สามารถที่จะสอนเราให้เข้าใจความจริง ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้

    เพราะฉะนั้น ความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องต่างจากผู้อื่นสุดที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้น ประโยชน์อย่างยิ่งที่จะได้รับก็คือ ได้ความเข้าใจจากการฟัง ถ้าเพียงแค่เป็นคนดี ใครก็สอนได้ แต่ว่าที่จะรู้จักแม้แต่คำซึ่งชินหู และก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า คืออะไร ก็จะได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องโดยธรรม ผู้ที่เรียนพระอภิธรรมก็สนใจที่จะเข้าใจยิ่งขึ้นในคำที่ได้ยินได้ฟัง หรือว่าบางคนอาจจะคิดว่า ก็น่าเรียน น่าฟัง ว่าคืออะไร ใช่ไหม แต่ว่าใครก็ตามที่เรียนพระอภิธรรม กำลังเรียนอะไร รู้ไหมว่าคนที่กำลังเรียนพระอภิธรรม กำลังเรียนอะไร

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ ตามความเข้าใจ ก็คือ เรียนความจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏขณะนี้ เห็นขณะนี้

    ท่านอาจารย์ คนที่เรียนพระอภิธรรม คิดอย่างนั้นหรือเปล่า เข้าใจอย่างนั้นหรือเปล่า ที่เรียนพระอภิธรรมมาแล้ว เข้าใจว่าอย่างไร ที่เรียนพระอภิธรรม รู้หรือเปล่า แม้แต่คำว่าธรรมก็ยังไม่รู้ ที่เรียนพระอภิธรรม เรียนด้วยความต้องการหลายอย่างต่างๆ กันไป บางคนก็เรียนเพราะว่า ได้ยินว่า มีที่สอนที่ไหนก็อยากจะไปฟังไปเรียนเท่านั้นก็ได้ แต่ว่าบางคนเรียนเพราะอยากเป็นผู้ที่รู้พระอภิธรรมก็ได้

    มีชาวต่างประเทศท่านหนึ่ง ท่านเป็นนักสอนศาสนา พอได้ยินคำว่าอภิธรรม และก็รู้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของพระไตรปิฎกที่น่าสนใจมาก ท่านขอเรียนด้วย แต่ว่าท่านก็ยังคงเป็นนักสอนศาสนา เพราะฉะนั้น ท่านจะสามารถเข้าใจประโยชน์ของการเรียนไหม เพราะท่านจำจิตได้มีเท่าไหร่ เจตสิกเท่าไหร่ ท่านก็จำได้ แต่ว่าไม่สามารถที่จะทำให้เห็นคุณประโยชน์ของการที่ได้รู้สิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน เพราะฉะนั้น ความละเอียดก็คือว่า ผู้ที่เรียนพระอภิธรรมควรจะเรียนด้วยความเข้าใจถูกต้อง ตั้งแต่คำแรก คือ ธรรมคือ อะไร เพราะฉะนั้น คนที่เรียนพระอภิธรรมจะตอบได้ไหมว่า ธรรม คือ อะไร หรือว่า เดี๋ยวนี้ที่ได้ทราบว่า คำว่า ธรรมเป็นภาษาบาลี หมายความถึง สิ่งที่มีจริงๆ ในภาษาไทย คนไทยเข้าใจได้ ใช่ไหม สิ่งที่มีจริงนั่นคือ เป็นธรรมในภาษาบาลี

    เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีความสงสัยว่า ต้องไปหาธรรมที่ไหน เพราะเหตุว่า เดี๋ยวนี้ก็มีธรรม เกิดมาก็เป็นธรรม ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ก็จะรู้ว่ากำลังเรียนเพื่อเข้าใจอะไร เพราะเหตุว่า มีสิ่งที่มี แต่ว่าถ้าถามใครว่า คือ อะไรก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ แต่ว่าจากการฟัง และพิจารณาก็รู้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่กำลังมีตามความเป็นจริงในขณะนี้ เห็นธรรมดาๆ พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของเห็น ได้ยินปรกติ ตรัสรู้ความจริงของได้ยิน คิดนึกทุกสิ่งทุกอย่างที่มีแล้วในชีวิตประจำวัน ซึ่งคนไม่เคยรู้เลยว่าเป็นอะไร แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงว่าที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันจริงๆ ทุกอย่างที่มีจริง เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง เพราะเหตุว่า ถ้าไม่รู้ก็ยึดถือสิ่งนั้นๆ ว่าเป็นเรา เพราะความไม่รู้

    เพราะฉะนั้น ศึกษาพระอภิธรรมเพื่อเข้าใจความจริง ที่ละเอียดยิ่งของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ กำลังฟังอย่างนี้ ฟังพระอภิธรรมหรือเปล่า หรือไม่ได้ฟังพระอภิธรรม

    ผู้ฟัง ถ้าศึกษาจากท่านอาจารย์ก็จะเข้าใจว่า สิ่งที่ท่านอาจารย์พร่ำสอนก็ให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ เห็นขณะนี้ ได้ยินขณะนี้

    ท่านอาจารย์ และข้อสำคัญที่สุดเรียนไปทำไม เข้าใจไปทำไม เพราะว่า หลายคนก็เรียนมานานพอสมควร แต่เรียนไปทำไม

    ผู้ฟัง สิ่งแรกเลยก็คือ ละความเข้าใจผิด ความไม่รู้

    ท่านอาจารย์ และต่อไป

    ผู้ฟัง เมื่อละแล้ว คือสามารถที่จะรู้ว่า ความไม่รู้ทำให้เกิด ถ้าสามารถดับกิเลสได้ ก็ไม่ต้องเกิดอีก

    ท่านอาจารย์ บางคนก็บอกว่าเพื่อรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เพราะว่าเคยได้ยินคำนี้มาแล้ว แล้วเดี๋ยวนี้ล่ะ อะไร ก็ไม่รู้อีกใช่ไหม เต็มไปด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความที่ละเอียดก็จะทำให้รู้ได้ว่า จากการฟังอะไรแล้วเข้าใจสิ่งนั้นขึ้น เป็นสิ่งที่มีจริงๆ จากการไม่เข้าใจเลยเป็นการที่ค่อยๆ เข้าใจ และเห็นความละเอียดลึกซึ้งขึ้น เพราะเหตุว่า พูดเรื่องเห็นแล้วก็บอกว่าเห็นเกิดดับ เข้าใจได้ใช่ไหม เรียนเพื่อประจักษ์ความจริงนี้ หรือเปล่า หรือเรียนไปอย่างนั้นเอง ได้ยินในขณะนี้ จากไม่มีได้ยิน แล้วเกิดได้ยิน แล้วได้ยินก็ดับไป เรียนเพื่อรู้ ได้ยินที่เกิด และดับขณะนี้หรือเปล่า เพราะเป็นความจริง

    เพราะฉะนั้น จะพ้นจากธรรมได้หรือไม่ ไม่ว่าที่ไหน เพียงแต่ว่าอวิชชาก็ฉาบทาไว้ไม่ให้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฎ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม และก็เห็นความละเอียดความลึกซึ้งว่า แม้แต่คำว่าสิ่งที่มีจริงก็ไม่ได้บอกว่าเป็นคนนี้เป็นคนนั้น หรือว่าเป็นสิ่งนี้หรือว่าเป็นสิ่งนั้น แต่เป็นแต่ละหนึ่งที่มีจริงๆ แต่ละอย่าง ศึกษาอย่างนี้อภิธรรม หรือเปล่า สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งไม่ปะปนกัน แล้วก็ขณะนี้ที่ว่าเป็นเรา หรือว่าจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ถ้าไม่มีธรรมแต่ละหนึ่ง เช่น ไม่มีเห็นหนึ่ง ไม่มีได้ยินหนึ่ง ไม่มีคิดนึก ไม่มีแข็ง ไม่มีโกรธ ไม่มีทุกอย่าง ที่เคยรวมกันว่าเป็นเรา แล้วจะมีเราได้ไหม เพราะฉะนั้น ตามความเป็นจริงก็คือว่า เป็นธรรมแต่ละหนึ่งจริงๆ ซึ่งไม่เคยคิดเลย ว่าแต่ละหนึ่ง เป็นหนึ่งซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป จึงหลากหลาย ฟังอย่างนี้เป็นอภิธรรม หรือเปล่า และขณะนี้ความจริงเป็นอย่างนี้หรือเปล่า หลากหลายก็ไม่รู้ตัว ผ่านไปแล้ว หมดไปแล้ว เห็นก็หลากหลายมาก สิ่งที่ปรากฏ ได้ยินก็หลากหลายมากก็ดับไปโดยไม่รู้ แต่ว่าเรียนแล้วเข้าใจตามความเป็นจริง ไม่ใช่เรียนจำ แต่ว่าเรียนให้รู้ว่าสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ สามารถที่จะเข้าใจได้ ยิ่งขึ้น ละเอียดขึ้น จนกระทั่งสามารถประจักษ์ความจริงของทุกคำที่ได้ยิน และทุกคำที่กล่าวตามว่าเป็นความจริง เช่น สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง กล่าวตามได้ ใช่ใหม แต่ว่าต้องรู้จริงๆ ในแต่ละหนึ่งจนครบถ้วนที่มี ที่ปรากฏ จึงจะสามารถที่จะละการยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นตัวตนได้ นี่คือศึกษาพระอภิธรรมหรือเปล่า และอีกประการหนึ่ง ขณะนี้เป็นธรรมไม่เหมือนกัน เห็นก็อย่างหนึ่ง ได้ยินก็อย่างหนึ่ง เสียงก็อย่างหนึ่ง แข็งอย่างหนึ่งหลากหลายมาก ใช่ไหม และสิ่งที่ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก แม้แต่แข็งที่ปรากฏอีกครั้งหนึ่งก็เป็นแข็งใหม่ แม้แต่เห็นเดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่เห็นเมื่อสักครู่นี้แล้ว

    เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าสภาพธรรม เกิดแล้วก็หมดไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีสืบต่อปรากฏให้รู้ว่าหลากหลาย และในความหลากหลาย ถ้าจะเข้าใจความเป็นจริงของแต่ละอย่าง จะหลากหลายอย่างไรก็ตาม ก็ต่างกันเป็นลักษณะสองอย่าง คือ อย่างหนึ่งมีลักษณะที่เป็นอย่างนั้น แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เช่น แข็งเป็นแข็ง เสียงเป็นเสียง เสียงเป็นแข็งได้ไหม แข็งเป็นเสียงได้ไหม เสียงเกิดแล้วดับหรือเปล่า ฉันใดแข็งที่ปรากฏก็ต้องเกิดดับฉันนั้น ต้องเป็นผู้ตรง เพราะฉะนั้น เรียนเพื่อเข้าใจตัวธรรม จากการที่ได้ฟังเรื่องราวของธรรมนั้น จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น และตอนนี้จะจำเป็นอะไร ไม่ต้องใช้คำอะไรเลยก็ได้ ใช่ไหม แต่ว่าความที่ธรรมหลากหลายมาก ก็จำเป็นที่จะต้องใช้คำ และใช้คำใดก็จะต้องหมายถึง สิ่งที่มีจริงๆ นั่นแหล่ะ เช่น สิ่งที่ไม่รู้อะไรเลยมีมากหลากหลาย ก็ใช้คำว่ารูปธรรม หรือรูปะ กับ ธรรม ส่วนสภาพที่เป็นธาตุรู้ที่กำลังเห็น ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฎอย่างนี้ ไม่ใช่อย่างอื่น หรือว่าเสียงที่กำลังปรากฏ มีธาตุที่ได้ยินเสียงนั้น ไม่ใช่เสียงอื่นเลย แต่ละเสียงๆ เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่มีจริงๆ สามารถที่จะแสดงความต่างกันเป็นสองอย่าง คือ สภาพธรรมอย่างหนึ่งไม่รู้อะไรเลยเป็นรูปธรรม และสภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้ ไม่ใช่รูปใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่เกิดเมื่อไหร่ ธาตุรู้ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด จึงจะปรากฏว่า มีสิ่งนี้ในขณะนี้ เพราะเหตุว่า มีธาตุรู้

    เพราะฉะนั้น สภาพที่เป็นธาตุรู้เป็นนามธรรม เป็นเราหรือเปล่า เมื่อใช้คำว่ารูปธรรมกับนามธรรม ถ้าเข้าใจอย่างนี้ เข้าใจตัวธรรมเดี๋ยวนี้ แล้วก็รู้ว่า อภิธรรม ก็หมายความถึง ธรรมเดี๋ยวนี้เอง ที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ และก็ถ้ามีใครบอกว่า เห็นเป็นนาม สิ่งที่ปรากฏเป็นรูป เราก็พูดไปท่องไป แล้วเข้าใจเห็นที่กำลังเห็นขณะนี้หรือเปล่า ว่าต่างกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น หรือจะบอกว่า ได้ยินเป็นนาม เสียงเป็นรูป ก็พูดได้ แต่สามารถที่จะรู้ลักษณะที่เป็นธาตุ ที่ได้ยินเสียง ฟังเพื่อเข้าใจอย่างนี้ ไม่ใช่ฟังเพื่อไปจำไว้ แต่ว่าฟังเพื่อให้เข้าใจตามความเป็นจริง ในขณะที่ธรรมปรากฏทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรม ก็รู้ว่าเดี๋ยวนี้มีธรรม ศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ จะไม่เรียกอะไรก็ได้ แต่ที่เรียกก็เพราะเหตุว่า แสดงความต่าง แม้แต่ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรมวินัย ก็แสดงความต่างของ วินัยกับธรรม แต่ว่าทั้งสองอย่าง ต้องสอดคล้องกัน เพราะเหตุว่า วินัย ก็คือ กำจัด แล้วธรรม ก็คือ ความจริง

    เพราะฉะนั้น เวลาที่มีผู้ที่มีศรัทธา แล้วก็ต้องการที่จะเจริญอบรมความรู้ในเพศบรรพชิตจำเป็นต้องมีข้อประพฤติปฏิบัติที่กำจัดกิเลสของชีวิตปกติ ที่เคยเป็นคฤหัสถ์จะต่างกับเพศคฤหัสถ์มาก แต่ว่าถ้าไม่มีธรรม คือ ไม่มีความเข้าใจ จะเอาอะไรไปกำจัด เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นปัญญานั่นเองซึ่งเป็นธรรม ที่สามารถจะกำจัดความประพฤติทางกาย ทางวาจา ที่ไม่เหมาะสม ไม่ดีงามได้ และภายหลังเมื่อมีการสังคายนา ทุกอย่างเป็นธรรม ถ้าไม่มีธรรมจะมีวินัยหรือไม่ ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีธรรมเลย ก็ไม่มีอะไรเลย แต่ใครจะห้ามธาตุ ซึ่งเป็นธาตุซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ซึ่งต้องเกิดเมื่อมีปัจจัย ถ้ามีปัจจัยทำให้เกิดจะไม่เกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่เกิด เกิดตามปัจจัย ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่เป็นธรรมที่ทรงแสดงทั้งหมด ก็สามารถที่จะประมวลเป็นหมวดหมู่ ว่าธรรมใดที่แสดงถึงบุคคลต่างๆ สถานที่ต่างๆ เป็นส่วนใหญ่ ก็เป็นพระสูตรต่างๆ ส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานที่เลย พูดถึงแต่เฉพาะตัวธรรมล้วนๆ ให้เข้าใจ ส่วนนั้นก็เป็นอภิธรรม

    เพราะฉะนั้น ก็คือธรรมนั่นเอง แต่ว่าแยกความต่างของการที่ได้ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ที่จะประมวลให้เห็นว่า ทั้งหมดเป็นธรรม แต่เป็นธรรมโดยประการใด ถ้าโดยพระวินัย ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องข้อประพฤติปฏิบัติของบรรพชิต ถ้าเป็นพระสูตรส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องราวที่ได้ทรงแสดงพระธรรมเป็นหลักฐาน ว่ากับใคร ที่ไหน ด้วยเรื่องอะไร สำหรับพระอภิธรรมก็คือว่า ตัวธรรมล้วนๆ ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น แต่ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงทุกกาลสมัย


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    15 ม.ค. 2567