ปกิณณกธรรม ตอนที่ 896


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๙๖

    สนทนาธรรม ที่ สวนสามพราน ริเวอร์ไซด์ จ.นครปฐม

    วันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ แล้วธรรมเป็นนามธรรมกับรูปธรรม อย่างหนึ่งอย่างใด ไม่ใช่ทั้ง ๒ อย่าง เพราะฉะนั้นคิดเป็นธรรมประเภทไหน มีแค่ ๒ อย่าง ให้เลือกให้เข้าใจถูกต้อง

    ผู้ฟัง ระหว่างรูปธรรมกับนามธรรมใช่ไหม คิดเป็นนามธรรม

    ท่านอาจารย์ คิดเป็นนามธรรม พูดได้ ตอบถูก แต่ยังไม่ถึงลักษณะที่ไม่ใช่เรา เพียงเกิดขึ้นคิดแล้วดับ สูญสิ้นไปเลยไม่กลับมาอีกเลย ต้องไม่ลืมคำนี้ กว่าจะละคลายการที่เคยไม่รู้ เพราะไม่รู้จึงยึดถือมั่นคงว่ามีเรา มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นจากไม่มีเลย แล้วมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏก็ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ ถ้าไม่มีเห็นจะติดข้องในสิ่งที่ปรากฏให้เห็นไหม ไม่เห็นจะไปติดข้องได้อย่างไร ถ้าไม่มีได้ยินจะติดข้องในเสียงไหม จะติดข้องในเสียงได้อย่างไร ในเมื่อเสียงไม่ได้เกิดขึ้น ไม่ได้ปรากฏ เพราะไม่มีได้ยิน เพราะฉะนั้นแต่ละธรรมก็สืบเนื่องติดต่อเกิดอาศัยกันและกันเร็วมากสุดที่จะประมาณได้ ที่เราไม่สามารถที่จะรู้ความจริงตามที่ได้ฟัง ก็เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเกิดดับเร็วจนไม่เห็นว่าอะไรเกิดอะไรดับเลย แต่ความหลากหลายปนกันไม่ได้เลย แต่ละหนึ่งนั่นก็แสดงอยู่แล้วว่าต้องอย่างหนึ่งที่ปรากฏหมดไปก่อน แล้วอีกอย่างหนึ่งจึงจะปรากฏได้ เพราะฉะนั้นอะไรเกิด ตอนเกิดทุกคนเกิดแล้ว แต่ตอนเกิด อะไรเกิด

    ผู้ฟัง น่าจะรูปธรรมใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ รูปธรรม รู้อะไรไหม

    ผู้ฟัง ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเกิดแล้วเป็นโต๊ะรู้อะไรไหม เกิดเป็นแข็งก็ไม่รู้ เกิดเป็นร้อนก็ไม่รู้ เกิดเป็นหวานก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังนั่งอยู่ตรงนี้ ต้องมีขณะที่เกิด ขณะแรกที่เราบอกว่าเกิดแล้ว อะไรเกิด คิดอีกนิดหนึ่ง ก็จะรู้ว่าอะไรเกิด ตอนเกิด มีไหม เกิดมีไหม ถ้าไม่มี ไม่มีใครอยู่ตรงนี้เลย แต่เกิดมาแล้ว แม้แต่เกิดมาแล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรเกิด เห็นไหม ความไม่รู้มากแค่ไหน แล้วไปนั่งปฏิบัติธรรมจะรู้ไหม ไม่รู้เลยใช่ไหม แต่ฟังธรรมอย่างนี้รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง แสดงความจริงให้คนอื่นได้รู้ด้วย

    ผู้ฟัง ถ้าดิฉันตอบว่า ทุกข์เกิด ถูกไหม

    ท่านอาจารย์ ตอนเกิดนั้นเป็นใคร

    ผู้ฟัง คำตอบยังไม่ใช่ทุกข์ใช่ไหม ไม่ใช่ทุกข์เกิด

    ท่านอาจารย์ นี่ก็ไปจำมา ไม่เอาเลย ฟังธรรมแล้วก็ไม่เข้าใจ ได้แต่จำเฉยๆ แต่นี่เป็นการเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ตามลำดับขั้น ตามลำดับขั้นนี่สำคัญ คือขอให้เริ่มตั้งแต่คำหนึ่ง แล้วก็เพิ่มขึ้นแต่ละคำที่พูดให้เข้าใจให้ถูกต้อง ไม่ใช่พูดไปโดยไม่เข้าใจ อย่างเมื่อสักครู่นี้ใช้คำว่าสติ เข้าใจหรือเปล่า ไม่เข้าใจแล้วพูดก็แสดงว่า พูดอีกกี่ครั้งก็ไม่เข้าใจ แต่เราจะไม่เป็นอย่างนั้น ถ้าได้ศึกษาธรรม คือต้องรู้ว่าธรรมเมื่อศึกษาคือฟังไตร่ตรองจนเข้าใจ จึงจะชื่อว่าศึกษาธรรม ตอบได้หรือยัง

    ผู้ฟัง กายหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ เริ่มพูดคำที่ไม่รู้จักต่อไปอีก ถ้ารู้จักจะต้องตอบได้ว่ากายคืออะไร

    ผู้ฟัง กายคืออะไร ขันธ์ ๕

    ท่านอาจารย์ มาอีกแล้วคำที่ไม่รู้จักทั้งนั้น ทิ้งไปได้เลยที่ไม่รู้จักจะเก็บไว้ทำไม ต่อไปนี้ถ้าใครเขาถามแล้วเราตอบว่าขันธ์ ๕ ทั้งๆ ที่เราไม่รู้เลยว่าขันธ์ ๕ คืออะไร

    ผู้ฟัง คำถามคือตอนเราเกิดมีอะไรเกิดใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ที่ว่าเกิดอะไรเกิด ที่ว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นนก เป็นตุ๊กแก เป็นอะไรก็ได้ อะไรเกิด ธรรมเกิด

    ผู้ฟัง ขอบคุณ

    ท่านอาจารย์ ถูกไหม เพราะบางทีเราคิดไม่ออกจริงๆ แต่ว่าคำที่เราฟังแล้ว เหตุผลของเรายังไม่พอที่จะไตร่ตรองด้วยตัวเอง ต้องอาศัยคำอื่นๆ มาทำให้ค่อยๆ มั่นคงขึ้น ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม จริงหมดเลย เพราะฉะนั้นเกิดมีจริงๆ ก็ต้องเป็นธรรม แต่ว่าธรรมอะไรเกิด เห็นไหม นี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าใจ แล้วไม่ต้องไปเปิดตำราอะไรที่จะไปนั่งอ่านด้วยตัวเอง แล้วก็ไม่เข้าใจ สนทนาธรรม การฟังธรรมเป็นมงคล ๑ ใน ๓๘ สนทนาธรรมเป็นมงคล ๑ ใน ๓๘ เพราะว่าทำให้สิ่งที่เราได้ฟังแล้ว มั่นคงขึ้นจากการสนทนา ถ้าฟังแล้วกลับบ้าน เข้าใจแล้วแต่ไม่มีการสนทนาธรรมเลย ถ้าเขาถามจะตอบจะรู้เลยว่าเข้าใจหรือเปล่า เข้าใจแค่ไหน เพราะฉะนั้นไม่ลืมอะไรเกิด ธรรมเกิดแน่นอน ทุกอย่างเป็นธรรม เพราะฉะนั้นขณะที่เกิดต้องเป็นธรรมเกิด ธรรมอะไรเกิด ธรรมมี ๒ อย่าง ไม่ว่าโลกไหนที่ไหน จะพ้นจากสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรอย่างหนึ่งเป็นรูปธรรม อีกอย่างหนึ่งเป็นธาตุรู้ ถ้าไม่มีรู้ ไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน จะอยู่ตรงนี้ได้ไหม เห็นอะไรหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรม รูปธรรมมีลักษณะของตน แข็งเป็นแข็ง หวานเป็นหวาน หวานเป็นรู้หวานได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นนามธรรมกับรูปธรรม แยกขาดจากกันโดยเด็ดขาด เพราะเหตุว่านี่มีแต่รูปธรรมไม่มีธาตุรู้เลย ก็ยังมีได้ เพราะฉะนั้นรูปธรรมเป็นรูปธรรมไม่รู้ ใครจะเรียกว่าอะไร ใครจะบอกว่าอย่างไร ใครจะไปกระทบสัมผัส รูปธรรมไม่รู้อะไรเลย แต่ถ้ามีเพียงรูปธรรม ไม่มีอะไรปรากฏ ค่อยๆ ฟัง เพราะรูปไม่รู้อะไรเลย ต่อให้มีรูปเกิดขึ้นเต็มโลก ทั้งน้ำ ทั้งภูเขา ทะเล มหาสมุทร ไม่รู้อะไรเลย ถูกต้องไหม แต่ทำไมปรากฏว่ามี เมื่อมีธาตุรู้เกิดขึ้น ทางตากำลังเห็นเป็นธาตุรู้ เราเห็นตั้งแต่เด็กจนโตใช่ไหม แต่เราไม่รู้ เราก็ว่าเราเห็น แต่แท้ที่จริงเห็นเป็นธาตุที่รู้ เมื่อมีตา และสิ่งที่กระทบกันได้ กระทบกันเมื่อไหร่ ทำให้ธาตุรู้คือเห็นเกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นเห็นเดี๋ยวนี้เป็นธรรม เห็นเดี๋ยวนี้เกิดแล้วก็ดับ เพราะว่าขณะที่ได้ยินต้องไม่มีเห็น ทีนี้เข้าใจชัดเจน ไม่ได้มีแต่รูปธรรม ถ้าเป็นรูปธรรมก็เป็นแค่โต๊ะ ดิน ภูเขา แต่นี่เป็นคนเป็นสัตว์เป็นสิ่งที่มีชีวิต เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นสิ่งที่มีชีวิต ก็ต้องมีธาตุรู้เกิดด้วย เพราะฉะนั้นขณะที่ว่าเกิด ต้องเป็นนามธรรมและรูปธรรมเกิด ถ้าเป็นเนื้องอก อะไรเนื้องอก เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ธรรมอะไร

    ผู้ฟัง รูปธรรม

    ท่านอาจารย์ รูปธรรม เพราะไม่รู้อะไรเลย นี่ค่อยๆ มั่นคง ไม่ว่าต่อไปนี้ใครถามอะไรตอบได้หมดเลยว่า เป็นรูปธรรมหรือเป็นนามธรรม แค่ ๒ คำ แต่นามธรรมก็มีมาก รูปธรรมก็มีมาก รูปธรรมที่มองไม่เห็นมีไหม มีมาก มีรูปเดียวที่มองเห็น นอกจากนั้นรูปอื่นๆ ทั้งหมดไม่ว่ารูปอะไรทั้งสิ้นมองไม่เห็น จริงไหม เห็นไหม แต่ว่าก่อนนั้นไม่ได้คิดเลย อาจจะไปตามตำรา สิ่งที่ปรากฏทางตา สิ่งที่ปรากฏทางหู มีรูปๆ เดียวที่ปรากฏให้รู้ได้ ก็กำลังเป็นจริงอย่างนี้ เห็นแข็งได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ คือแข็งอย่างไร ก็ไม่มีใครมองเห็น เห็นแต่เพียงสิ่งที่อยู่ที่แข็ง แต่ไม่ใช่แข็ง นี่คือความลึกซึ้ง สิ่งที่ปรากฏทางตาอยู่ที่ไหน เห็นไหม การที่จะให้เข้าใจ ไม่ใช่ให้เข้าใจเผินๆ ศึกษาเยอะเลย จิตมีเท่าไหร่ เจตสิกเท่าไหร่ รูปเท่าไหร่ สอบได้ แต่ไม่เข้าใจ ถ้าเข้าใจอย่างนี้จะนำไปสู่การประจักษ์แจ้งความจริง ซึ่งทำให้รู้ว่าวาจาสัจจะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรงทุกคำ ขณะที่เกิดอะไรเกิด อีกครั้งหนึ่ง

    ผู้ฟัง ธรรมเกิด

    ท่านอาจารย์ ธรรมอะไร

    ผู้ฟัง รูปธรรม

    ท่านอาจารย์ อย่างเดียวหรือ

    ผู้ฟัง มาทั้งรูปทั้งนาม

    ท่านอาจารย์ ทั้งนามธรรมและรูปธรรม เป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ตั้งแต่เกิดแล้วไม่มีเรา แต่มีธรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นธรรมทั้งหมดเลย ไม่เรียกชื่อก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นธรรมไม่ต้องเรียกชื่อ เปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้ แต่ที่ใช้ชื่อเพราะจะได้รู้ว่าหมายความถึงธรรมอะไร ในเมื่อธรรมมีเยอะ นามธรรมหรือรูปธรรม เห็นแข็งได้ไหม

    ผู้ฟัง ที่ท่านอาจารย์ถามว่าเห็นแข็งได้ไหม แต่ในความคิดในความรู้สึกตัวเองว่าเห็นได้ จากการที่เราสัมผัส

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่จากเห็น ถูกต้องไหม ถ้าไม่สัมผัสเลยจะรู้ว่าแข็งหรือ

    ผู้ฟัง ถ้าไม่สัมผัสก็ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นสิ่งที่สามารถจะปรากฏเมื่อมีการสัมผัสคือลักษณะที่เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว เคยได้ยินคำว่ามหาภูตรูปไหม คนไทยสมัยโบราณก็จะมีคำว่าธาตุ ๔ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ๔ อย่างนี้ ใช้คำว่ามหาภูตรูป รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน ทั้งหมดไม่ว่ารูปอะไรทั้งหมด จะปราศจาก ๔ รูปนี้ไม่ได้เลย มองไม่เห็น หรือมองเห็นอย่างไร ไม่ว่าอะไรที่เป็นรูป ที่นั่นต้องมีมหาภูตรูป ๔ รวมอยู่ด้วย แต่ที่จะปรากฏได้ทางกาย เพียง ๓ รูป ธาตุดิน ไม่ใช่ดินปลูกต้นไม้ ลักษณะใดก็ตามที่อ่อนหรือแข็ง กระทบสัมผัสได้ รู้ได้ แล้วก็ธาตุไฟ เย็นหรือร้อน แล้วก็ธาตุลม ตึงหรือไหว เวลาที่กระทบสัมผัส แล้วก็มีอีกธาตุหนึ่ง เพราะนี่แค่ ๓ ธาตุใช่ไหม ที่กล่าวถึงธาตุดิน ปฐวี ภาษาบาลี แข็งหรืออ่อน ธาตุไฟ เตโชธาตุ ภาษาบาลี ทีละคำก็ได้ไม่จำก็ได้ แต่ว่าชินหูบ่อยๆ ก็จำได้เอง เพราะฉะนั้นเตโช นี่ก็คือเย็นหรือร้อนต้องกระทบสัมผัส แล้วก็อีกธาตุหนึ่งก็คือวาโย ธาตุลมที่เราใช้คำว่าลม คือตึงหรือไหว ๓ ธาตุปรากฏเมื่อกระทบ แต่อีกธาตุหนึ่ง อาโป ธาตุน้ำไม่ใช่น้ำที่เรารับประทาน แต่เป็นธาตุที่เกาะกุมซึมซาบธาตุทั้ง ๓ นี้ไว้ เพราะฉะนั้นเวลากระทบสัมผัส ธาตุน้ำไม่ปรากฏ เพราะเกาะกุมธาตุทั้ง ๓ นี้ไว้ ปรากฏแต่เพียงธาตุดิน แข็งหรืออ่อน ธาตุไฟ เย็นหรือร้อน ธาตุลม ตึงหรือไหว อยู่ที่ตัว อยู่ที่ไหนทุกแห่งเลยต้องมีมหาภูตรูป

    ผู้ฟัง ๔ ธาตุที่ท่านอาจารย์กล่าวมานี้ คือเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ แน่นอน

    ผู้ฟัง แต่เป็นความรู้สึก หรือความคิดของเราใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่มีจริงๆ หรือ

    ผู้ฟัง คือหรือว่าเป็นสิ่งที่อยู่ในธรรม ตรงนี้ไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่อยู่ในธรรม สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม มีจริงคือเป็นธรรม แข็งเป็นธรรม เย็นเป็นธรรม ไหวเป็นธรรม ทุกอย่างที่มีจริงมีลักษณะเฉพาะของตนของตน เป็นแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ไปรวมกันเรียกหนึ่ง คือเห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว แต่พอแยกออกมาเป็นแต่ละหนึ่ง จะไม่มีอะไรที่ยั่งยืนเลย ที่ตัวตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า มีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่อย่างละเอียดยิบทุกกลุ่มเล็กๆ ของรูปที่มองไม่เห็น ถูกต้องไหม

    ผู้ฟัง ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ แตกแยกทำลายเมื่อไหร่ก็ได้ ที่โต๊ะมีอากาศธาตุแทรกคั่นไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ที่ไมโครโฟนมีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างหมด มีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ เพราะฉะนั้นที่ตัว มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม และก็มีอากาศธาตุแทรกคั่นทุกกลุ่มเล็กๆ แล้วเป็นเราหรือ เห็นไหม เริ่มรู้ความจริง กว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้ความจริงอย่างนี้ บำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ แต่เราไม่ต้องถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงฟังและก็รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประเสริฐที่สุด เป็นรัตนะสูงสุด เพราะทำให้เราจากไม่เคยเข้าใจอะไรเลย แล้วก็เข้าใจถูกในสิ่งที่มี ไปขอให้คนอื่นเขาบอกได้ไหม ไม่มีทาง เริ่มเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นทุกคำต้องไตร่ตรองว่า เรากระทบแข็งได้ แต่ไม่เห็นแข็ง เพราะหลับตาสามารถกระทบแข็งได้ ลืมตามีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นไม่แข็ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่แข็งจะปรากฏต่อเมื่อมีการกระทบสัมผัส กายปสาทรูป เห็นไหม เพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว ทรงแสดงธรรมละเอียดยิบทั้งนามธรรมและรูปธรรม เพื่อให้เข้าใจถูกต้องในความเป็นธรรม เพราะฉะนั้นที่ตัวของทุกคน จะมีรูปๆ หนึ่งที่ซึมซาบอยู่ทุกส่วน เป็นรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่อ่อนหรือแข็ง แต่ว่ากายปสาทรูป รู้อะไรหรือเปล่า กายปสาทรูปได้ยินคำนี้แล้ว รู้อะไรไหมตัวกายปสาทรูป

    ผู้ฟัง ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้เพราะเป็นรูป แต่ถ้าไม่มีรูปนี้ และไม่มีแข็งอ่อนมากระทบ ธาตุรู้ก็เกิดไม่ได้ที่จะไปรู้ว่าขณะนั้นอ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน เพราะฉะนั้นธรรมก็เป็นเรื่องที่ละเอียด แล้วก็มีอยู่ทุกขณะด้วย แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ตอนนี้เข้าใจมั่นคงหรือยังว่า มีสิ่งเดียวที่ปรากฏให้เห็นได้ คือสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะที่เห็น นอกจากนั้นแล้วธรรมทั้งหมดอยู่ในความมืด หลับตาแล้วแข็งก็ปรากฏ คิดก็มี ชอบก็มี ทั้งหมดไม่มีสีสันวัณณะที่จะปรากฏ

    ผู้ฟัง ธรรมที่กล่าวมานี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เรารู้ รู้อะไร รู้ว่า เราต้องพึ่งตัวเอง หรือว่า

    ท่านอาจารย์ อย่าลืมทีละคำ สอนให้รู้ว่าเป็นธรรม

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ไม่มีเรา

    ผู้ฟัง สอนให้รู้เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ สอนให้รู้ว่าเป็นธรรม คืออะไร คือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ซึ่งแยกขาดจากกัน รูปธรรมเป็นรูปธรรม นามธรรมเป็นนามธรรม นามธรรมไม่ใช่เรา รูปธรรมไม่ใช่เรา ธรรมทั้งหมดไม่ใช่เราเป็นอนัตตา ทุกคำสอดคล้องกันหมดเลย แม้แต่คำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เปลี่ยนไม่ได้ ต้องสอดคล้องกันหมดทุกคำ คำต่อๆ ไปจะค้านกับคำนี้ก็ไม่ได้

    ผู้ฟัง จะถามท่านอาจารย์ว่า การที่ไปทำบุญที่วัด ไปถวายข้าวพระ ไปนั่งปฏิบัติธรรม หรือว่าไปนั่งสวดมนต์ อันนี้ถือว่าเป็นธรรมที่ควรปฎิบัติด้วยไหม

    ท่านอาจารย์ ถือไม่ได้ ต้องเป็นความจริง ถูกคือถูก ผิดคือผิด เมื่อสักครู่นี้ถามว่าเป็นธรรมหรือเปล่าไม่ใช่หรือ

    ผู้ฟัง ใช่ เป็นธรรมด้วยไหม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไปทีละคำถาม การไปวัดสวดมนต์ทำบุญเป็นธรรมหรือเปล่า ขณะที่ไปวัด อะไรมีจริงๆ เหมือนเดี๋ยวนี้ไหม ไปวัดใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไป

    ท่านอาจารย์ อะไรไป แล้วจริงหรือเปล่าที่ไปวัดนั่นจริงหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เราตัวเราที่ไป

    ท่านอาจารย์ ตัวเรามีหรือ เราบอกแล้วทุกคำต้องสืบเนื่องต่อไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้เป็นธรรมทั้งหมด ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่ซ้ำกัน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ก่อนไปวัด เป็นไปวัดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ยังไม่ได้ไป

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก่อนไป คิดว่าจะไปวัดใช่ไหม เพราะฉะนั้นขณะนั้นอะไรจริง

    ผู้ฟัง คิด

    ท่านอาจารย์ คิดจริง เพราะฉะนั้นเวลาที่บอกว่าไปวัด อะไรไป

    ผู้ฟัง ตัวไป

    ท่านอาจารย์ ใจไปด้วยหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ใจไปด้วย

    ท่านอาจารย์ เป็นเราหรือเปล่า ร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เราจะไม่รู้เลยว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แต่บางรูปเกิดจากกรรม รูปคือสิ่งที่ไม่ใช่สภาพรู้ แล้วก็ละเอียดจนกระทั่งมองไม่เห็นเลย แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังเกิดพร้อมกันคือมหาภูตรูปทั้ง ๔ แยกกันไม่ได้ และที่มหาภูตรูปจะต้องมีรูปอื่นอาศัยเกิดกับมหาภูตรูปด้วย อันนี้คือความที่เราข้ามไป เราจะไม่ได้เข้าใจละเอียดใช่ไหม แต่ทีนี้เวลามีคำถามมา เราก็ต้องย้อนกลับไป เพื่อที่จะได้เพิ่มเติมว่า มหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน รูปมีทั้งหมดมากกว่ามหาภูตรูป ๔ แต่รูปอื่นๆ นอกจากนี้ต้องอาศัยเกิดกับมหาภูตรูป แยกจากมหาภูตรูปไม่ได้เลย อยากรู้ภาษาบาลีไหม อุปาทารูป หรืออุปาทายรูป หมายความว่ารูปนี้อาศัยเกิดกับมหาภูตรูป เกิดตามลำพังไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นที่ใด มีเย็นร้อน อ่อนแข็ง ที่นั่นมีสิ่งที่สามารถกระทบตาได้ เรียกอะไรดี วัณณะวัณโณ นิภา หรืออะไรก็ได้ ไม่เรียกเลยก็ได้ คือสิ่งที่กำลังปรากฏอยู่ที่มหาภูตรูป นี่มีมหาภูตรูป แล้วก็มีสิ่งที่กระทบตาได้ แต่พอไม่มีมหาภูตรูป ไม่มีสิ่งที่กระทบตาแล้ว

    เพราะฉะนั้นที่ใดก็ตามที่มีมหาภูตรูป ที่นั่นต้องมีสิ่งที่เราเรียกว่าสีสันวัณณะ พูดแต่ละคำยาวไปอีกตั้งเยอะ ไม่รู้ว่าจะเข้าใจได้แค่ไหน ก็ขอพูดเป็นทีละคำ ทีละคำ ทีละคำขึ้น เพราะฉะนั้นขณะที่ไปวัด อะไรไป รูปไปอย่างเดียวได้ไหม ธาตุรู้ นามธาตุ จิตไปอย่างเดียวได้ไหม ไปไหนไม่ได้เลย จิตไปไหนไม่ได้เลย รูปก็ไปไหนไม่ได้ แต่เกิดดับสืบต่อตามเหตุตามปัจจัย ยากไหม ยากที่สุดหรือเปล่า ลึกซึ้งที่สุดหรือเปล่า นี่แค่ฟังไม่กี่คำ เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงทำให้ผู้ฟังเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น จนมั่นคง จนรอบรู้ อย่างขณะนี้พอได้ยินคำว่าธรรม รู้ว่าหมายความถึงสิ่งที่มีจริง ไม่เปลี่ยนเลย อะไรก็ตามที่จริง เพราะฉะนั้นรอบรู้ในคำว่าธรรม ถ้ากล่าวว่าธรรมที่มีจริง มีลักษณะที่ต่างกันเป็น ๒ อย่าง สภาพธรรมอย่างหนึ่งไม่ใช่สภาพรู้ เปลี่ยนให้รู้ไม่ได้ แต่สภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นต้องรู้ ไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลย นี่แสดงความต่างของสภาพธรรม ๒ อย่าง สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรก็ใช้คำว่ารูปธรรม สภาพธรรมซึ่งเกิดขึ้นต้องรู้ก็ใช้คำว่านามธรรม รอบรู้ไหม ยังไม่ต้องไปถามใคร งงเมื่อไหร่ขณะนั้นไม่รอบรู้ แต่เพียงแค่แต่ละคำ รอบรู้ เพื่อว่าเวลาได้ยินคำอื่นต่อไปก็เข้าใจเพิ่มขึ้น ละเอียดขึ้นมากขึ้น ก็รอบรู้ในแต่ละคำเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นรอบรู้ทีละคำ และมีคำเพิ่มขึ้นก็รอบรู้ทุกคำที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นถ้าจะเขียนเรื่องธรรม ก็ต้องเข้าใจธรรม แต่ถ้าไม่เข้าใจธรรมเขียนเรื่องธรรมเป็นอย่างไร ไม่เข้าใจแล้วเขียน เพราะฉะนั้นเป็นอย่างไร ผิด

    ผู้ฟัง ใช่ผิด

    ท่านอาจารย์ ผิดแน่นอน เพราะว่าไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นแต่ละคำเผินไม่ได้เลย ฟังคืออะไร ตั้งต้นด้วยคำว่าคืออะไรทั้งหมด แล้วก็จะเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย มั่นคงจริงขึ้นว่าเป็นธรรมที่เข้าใจ เพราะฉะนั้นฟังคืออะไร มีจริงๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ คืออะไร

    ผู้ฟัง ฟังคืออะไร

    ท่านอาจารย์ ฟังคืออะไร กำลังฟังอยู่แท้ๆ แล้วฟังคืออะไร

    ผู้ฟัง ฟังคือธรรม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ธรรมอะไร ลืม ๒ อย่างไม่ได้เลย นามธรรมหรือรูปธรรม

    ผู้ฟัง นามธรรม

    ท่านอาจารย์ นามธรรม หมายความว่าขณะนั้นกำลังได้ยินเสียงใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นในขณะที่ได้ยินเสียง ยังไม่รู้เลยว่าหมายความว่าอะไร สั้นอย่างนั้นเลย แค่ได้ยินแล้วดับ แต่ฟังจนกระทั่งเข้าใจความหมาย เหมือนอย่างเด็กที่เกิดใหม่ๆ ใครไปพูดกับเขา เขารู้เรื่องไหม เขาก็มีหู แล้วก็มีเสียง แล้วก็มีได้ยิน แต่เขารู้เรื่องไหม ไม่รู้เรื่อง หรือว่าพูดกันคนละภาษาใช่ไหม เราพูดภาษาหนึ่ง แล้วอีกคนเขาก็พูดภาษาหนึ่ง ได้ยินแต่เสียงแต่ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าฟังคืออะไร ฟังคือต้องมีได้ยินแน่นอน แล้วก็มีเสียงด้วย แต่ขณะนั้นไม่ได้เข้าใจความหมายของเสียง เพียงแค่ได้ยินกับเสียง ดับแล้ว อะไรเป็นนามธรรม อะไรเป็นรูปธรรม ขณะได้ยิน อย่าเพียงแต่ตอบ เพราะบางคนตอบได้เลย เร็วด้วย แต่เป็นชื่อ แต่ถ้าไตร่ตรองจะทำให้เราเข้าใจมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ได้ยิน กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ อะไรเป็นนามธรรม อะไรเป็นรูปธรรม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 178
    4 ก.ค. 2568