ปกิณณกธรรม ตอนที่ 853


    ตอนที่ ๘๕๓

    สนทนาธรรม ที่ ภูพานเพลส จ.สกลนคร

    วันที่ ๑๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ พอจากโลกนี้ไปไม่มีอะไรเลย แม้แต่ร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ที่เข้าใจว่าเป็นเรา ไม่มีอะไรที่จะเป็นของเราเลยค่ะ ธรรมเป็นธรรม จิตเป็นจิต เจตสิกเป็นเจตสิก รูปเป็นรูป เราอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นเมื่อรู้ว่าสัตว์โลกไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริงนี้ได้ พระโพธิสัตว์ก็บำเพ็ญเพียร ที่จะรู้ความจริง ที่สามารถที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย โดยการทรงแสดงธรรม เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีการศึกษาธรรม ซึ่งเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้แต่รู้ไม่ได้ แน่นอนยังไม่ได้ฟังพระธรรม ก็เริ่มเห็นว่าทุกคำเป็นเรื่องของปัญญา

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมมีธาตุรู้ใช่ไหมคะ จิต เจตสิก รูปไม่รู้อะไรเลย แล้วศีลเป็นอะไร ก่อนอื่นนะคะ ทุกคำเป็นอะไร ถ้ายังไม่รู้ก็คือว่าไม่รู้อยู่นั่นแหละ เข้าใจผิดอยู่นั่นแหละ ไม่มีทางจะเข้าใจถูกได้เลย แต่สิ่งที่มีจริงสามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นพอพูดถึงศีลเป็นอะไร ในเมื่อความจริงที่เกิดขึ้น จะพ้นจากจิตหรือเจตสิกหรือรูปไม่ได้เลย แม้จะหลากหลายสักเท่าไหร่ เป็นจิต หรือว่าเป็นเจตสิก หรือว่าเป็นรูป จะเป็นคนเป็นสัตว์บุคคลไม่ได้เลย ในความเป็นจริง ซึ่งเป็นปรมัตธรรมเปลี่ยนไม่ได้ เป็นอภิธรรมที่ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นได้ยินคำว่า ศีล เนี่ย เป็นอะไร คืออะไร เห็นไหมคะ เมื่อเช้านี้เราพูดถึงจิต เจตสิก รูป ทุกขณะ ต้องเป็น ๑ คือเป็นจิต หรือเป็นเจตสิก หรือเป็นรูป เพราะฉะนั้นศีลเป็นอะไร ไม่อย่างนั้นเราก็พูดไปไม่เข้าใจไป ห้ามไป คิดไป ทำไป ไม่ได้ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะเข้าใจให้ถูกต้องว่า ความจริงคืออะไร คิดเองไม่ได้เลยค่ะ ต้องศึกษานะคะ เพราะฉะนั้น ได้ฟังแล้วเข้าใจแล้วว่าไม่มีเรา แต่มีจิต เจตสิก รูป

    ผู้ฟัง มีหลายคนที่จะถามว่า แล้วไอ้ที่เราพูดคุยกันอยู่เนี่ย เราศึกษาถูกต้องมั้ย ละเอียดมั้ย

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อนนะคะ

    ผู้ฟัง แล้วถูกต้องแล้ว

    ท่านอาจารย์ เราศึกษาอะไรกันนะคะ เนี่ย มานั่งอยู่ตรงเนี้ย พูดกันเรื่องอะไร และศึกษาเรื่องอะไร ที่จะว่าถูกหรือผิดเนี่ยค่ะ

    ผู้ฟัง ในการตีความคำ อะไรทำนองนั้น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่คำนะคะ มีความจริงรึเปล่า ไม่ใช่เราพูดเรื่องคำนี้ หมายความว่าอย่างงั้น ประกอบด้วยคำนั้น อยู่ข้างหน้าข้างหลังเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ ไม่ใช่เลยค่ะ แต่ทุกคำส่องถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ อย่างนี้ผิดหรือถูก ไม่ใช่คำที่ไร้ความหมาย แต่เป็นคำที่บ่งถึงลักษณะที่มีจริง ให้เข้าใจให้ถูกต้องแต่ละคำ เพราะฉะนั้นตอนนี้ทุกคนเข้าใจคำว่าธรรมมีจริงๆ กำลังมีด้วย แต่ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมจะรู้มั้ย ไม่รู้ เพราะฉะนั้นทุกคำที่ไม่รู้ ศึกษาแล้วรู้ ถ้าไม่ศึกษาไม่รู้ เพราะฉะนั้นเพียงได้ยินคำว่าศีลนะคะ ศีลคืออะไร ก่อนฟังพระธรรมรู้มั้ย แต่พูดแล้วใช่ไหมคะ ๕ ข้อ, ๘ ข้อ, ๑๐ ข้อ, ๒๒๗ ข้อ, แต่คืออะไร

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้ เพื่อให้คนจำ เพื่อให้คนทำ เพื่อให้คิดว่าเป็นเราสามารถที่จะทำได้ เว้นได้ ทุกประการ แต่ทรงแสดงความจริงให้เข้าใจถูก ว่าความจริงไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมดเลยค่ะ หลากหลายมาก จิตเป็นจิต เจตสิกเป็นเจตสิก รูปเป็นรูป พ้นจากจิตเจตสิกรูปไม่ได้ นะคะ ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นที่พูดต้องเป็นจิตหรือเป็นเจตสิกหรือเป็นรูป เพราะฉะนั้นเมื่อได้ยินคำว่าศีล อย่าคิดว่าเข้าใจ หรืออย่าคิดว่าเราคิดว่าอย่างนี้ เราถือว่าอย่างนั้นนั่นคือคิด และถือ แต่ความจริงเป็นยังไง รู้ได้ยังไง พิสูจน์ได้ยังไง แต่ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นวาจาสัจจะ สามารถเข้าใจได้นะคะ เพราะฉะนั้นก่อนอื่น ต้องละเอียด ได้ยินคำไหนคืออะไร แล้วจะเข้าใจถูกต้องขึ้น แต่ถ้าไม่รู้ว่าคืออะไร ไม่มีทางที่จะเข้าใจ และไม่มีทางที่จะถูกต้อง

    เพราะฉะนั้นศีลคืออะไรคะ คือไม่ลืมคำ ที่ได้ฟังแล้วนะคะ ธรรมแน่นอนใช่ไหมคะ ศีลเป็นธรรมแน่นอน แต่ธรรมมี ๓ จิตเจตสิกเป็นสภาพรู้ธาตุรู้ รูปไม่รู้อะไรเลย รูปไปฆ่าใครได้ไหม รูปพูดไม่จริงได้ไหม รูปทำอะไรล่ะค่ะ ทำอะไรๆ ที่ไม่ดีไม่ดีได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แล้วทำอะไรที่ดีๆ ได้ไหมคะ ไม่รู้เลย ไม่รู้ต้องไม่รู้ ไม่สามารถที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้นที่เคลื่อนไหวไปเนี่ยนะคะ ถ้าไม่มีจิต รูปไม่สามารถที่จะเคลื่อนไหวได้เลย สักนิดเดียวก็ไม่ได้ แค่ขยับก็ไม่ได้ แต่ว่าเมื่อมีจิตแล้วนะคะ รูปเป็นไปตามจิต ไม่ใช่จิตสั่งนะคะ ใช้คำก็ผิดละ คำทั้งหมดที่ผิดเพราะไม่รู้ แต่พอเข้าใจขึ้นนะคะ จะเว้นคำพูดนั้นๆ เพราะเข้าใจ จะไม่พูดเลยว่าจิตสั่ง เพราะจิตเกิดขึ้นรู้แล้วดับ ถ้าสั่งต้องมีผู้ที่ถูกสั่ง รู้คำสั่งใช่ไหมคะ เนี่ยค่ะก็เป็นสิ่งซึ่ง ธรรมต้องละเอียดมาก และใครห้ามใครให้เป็นผู้ละเอียด และตรงรึเปล่า ห้ามได้ไหมคะ แต่ใครก็ตามที่จะเป็นผู้ไม่ละเอียด แล้วก็ไม่ตรงก็เป็นอย่างนั้น เพราะเป็นธรรมใครก็จะไปเตือน ไปบอกว่าอย่างนั้นไม่ได้ ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ธรรมเป็นเรื่องละเอียด ไม่ใช่เรื่องผิวเผิน ไม่ใช่เอามานั่งพูดนั่งท่อง แต่ไม่เข้าใจอะไรเลย ชวนกันไม่รู้น่ะเป็นมงคลหรือเปล่า คะ มงคลคือสิ่งที่นำความเจริญนะคะ มาสู่ชีวิตที่เกิดมาเนี่ยค่ะ แต่ละข้อเพราะว่าเป็นสิ่งที่มีจริง เริ่มตั้งแต่คำแรก มงคลแรก ไม่คบคนพาล ต่อไปจนถึงที่สุดคือรู้แจ้งอริยสัจจิตธรรม เป็นที่สุดของมงคล

    เพราะฉะนั้นคบคนพาล ไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรม ไม่มีทางที่จะดับกิเลสได้ ธรรมเป็นเรื่องจริงนะคะ เพราะว่าคนพาลไม่เข้าใจธรรม คนพาลพูดอะไรก็พูดไป แล้วเราต้องเชื่อหรือ เรามีเขาเป็นที่พึ่ง หรือว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่บอกให้รู้ว่าศีลคืออะไร แล้วปัญญาจะเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ก็บอกว่าทุกอย่างเป็นธรรม แต่พอถึงศีลเป็นเรา และต้องเว้นนี้ห้ามนั่น อย่างนั้นตรงมั้ย สอดคล้องกันหรือเปล่า ความจริงเปลี่ยนไม่ได้ค่ะ ความจริงต้องเป็นความจริงทุกกาลสมัย อดีตนานแสนนานมาแล้ว แข็งก็เป็นแข็ง เสียงก็เป็นเสียง เดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนั้น ต่อไปก็เป็นอย่างนั้น ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าศึกษาธรรมซึ่งเป็นมงคล แน่นอนนะคะ เพราะเหตุว่าเป็นความเข้าใจถูก ซึ่งถ้าไม่มีการฟัง ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรม เข้าใจธรรมต่างหากล่ะที่เป็นมงคล ไม่ใช่การพูดคำที่ไม่รู้จัก เพราะฉะนั้นขณะนี้นะคะ พูดคำว่าศีลเนี่ยจะเป็นมงคลเมื่อไหร่ เห็นไหมคะทุกอย่างต้องสอดคล้องกันค่ะ เมื่อเข้าใจถูกว่าศีลคืออะไร แต่ละคำข้ามไม่ได้เลยนะค่ะ จะข้ามไปถึง ๕ ข้อ ๘ ข้อ ๑๐ ข้อ ๒๒๗ ข้อ โดยความตั้งใจ โดยอะไรต่างๆ ทั้งหมด โดยไม่รู้ว่าศีลคืออะไร ก็คือความไม่เข้าใจอยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้นสภาพธรรมมี ๒ อย่าง อย่าง ๑ เกิดไม่รู้อะไร อีกอย่าง ๑ เป็นสภาพรู้ สภาพรู้ที่เกิดขึ้นก็มี ๒ อย่าง คือจิตเป็นใหญ่เป็นประธานกำลังรู้แจ้ง สิ่งที่ปรากฏทางตาเห็น ทางหูได้ยินเป็นต้น แต่สภาพอื่นทั้งหมดเป็นเจตสิกนอกจากนี้ เพราะว่าจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง ไม่รู้แจ้งแล้วนะคะ ชอบเกิดขึ้นติดข้องเกิดขึ้น ไม่ใช่จิตค่ะ เจตสิกแต่ละ๑ แต่ละ๑ หลากหลายมาก

    เพราะฉะนั้นศีลคืออะไร ทุกคำนะคะ นำมาซึ่งความเห็นถูกความเข้าใจถูก ซึ่งเมื่อเห็นถูกเข้าใจถูกแล้วนะคะ ไม่หายไปไหน และก็ไม่เปลี่ยนด้วย และก็มั่นคงด้วย และก็สามารถที่จะนำไปสู่การหมดจดดับกิเลสได้ เพราะเว้นการคบคนพาลคือคนที่ไม่รู้ แล้วก็กล่าวถึงสิ่งต่างๆ นะคะ ด้วยความไม่รู้ และยังเข้าใจผิดด้วย ถ้าไม่ตรงตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นยังไม่ข้ามไปไหนเลยนะคะ ไม่พาไปไหนอ่ะคะ พาไปก็ไม่รู้ แต่ให้เข้าใจถูกค่ะ สิ่งที่มิตรที่ดีกัลยาณมิตรจะให้คนอื่นก็คือสิ่งที่จริง ไม่ให้สิ่งที่ไม่จริง นั่นคือไม่ใช่มิตร แต่ถ้าเป็นมิตรจริงๆ นะคะ หวังดี เพราะว่าถ้าใครเข้าใจพระธรรมผิด มีแต่โทษ นำไปต่อไปโทษทั้งนั้นเลย แต่ถ้ามีความเข้าใจถูก นำไปสู่ความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้น และก็ตรงตามที่ได้ฟังด้วย ไม่ผิดกันเลยค่ะ ตรงทุกคำด้วย แต่กว่าจะถึงวันนั้นนะคะ ก็ถือว่าไม่ใช่เราอยาก แต่ว่ามีความเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้นตรงกันข้ามกันเลยนะคะ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นไปเพื่อละความไม่รู้ ละความติดข้อง แต่คำสอนที่ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นไปเพื่อตัวตน ที่จะได้มาให้ทำอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ แต่ไม่เข้าใจอะไรเลย แม้แต่ห้ามฆ่าสัตว์ ก็พูดไปนะคะ ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามได้หรือ ห้ามไม่ได้ คนพูดก็ฆ่า หรือคนพูดก็ทำทุจริตต่างๆ เพราะอะไรคะ ยังมีความไม่รู้ และยังมีกิเลส เพราะฉะนั้นถ้าได้เข้าใจถูกต้อง จะนำมาสู่ความเข้าใจที่ถูกต้องขึ้น แต่ต้องเริ่มจากความเป็นผู้ละเอียด ถ้าจะพูดคำไหนเข้าใจคำนั้น คือก่อนนี้พูดด้วยความไม่เข้าใจแน่นอนใช่ไหมคะ จะเข้าใจได้ยังไง ไม่ได้ฟังพระธรรม ฟังแต่คำอื่นมาทั้งนั้น แต่พอฟังพระธรรมเข้าใจแล้วนี่ค่ะ ก็จะไม่พูดผิด เพราะไม่ได้เข้าใจผิดเพราะเป็นผู้ละเอียด ที่จะต้องเข้าใจจริงๆ ทุกคำ แม้แต่คำว่าศีลนี่ ถ้าไม่บอกให้เข้าใจ มีประโยชน์ไม่พูดอะไรกันนะ พูดตั้งเยอะ แล้วมันคืออะไรก็ไม่รู้

    เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างกับคำสอนอื่นทั้งหมด เพราะทรงตรัสรู้ความจริง ด้วยเหตุนี้นะคะ ผู้ที่ฟังคำสอน ต้องเข้าใจค่ะทุกคำ เช่นศีลคืออะไร ฟังแล้ว พิจารณา ขอเวลาหน่อย ไม่ใช่ว่าจะตอบไม่ได้นะคะ เพราะมีคำตอบค่ะ เป็นอะไรคะรูปธรรมหรือนามธรรม เป็นจิตหรือเป็นเจตสิกแค่นี้ค่ะ มีเท่านี้ให้เลือก จะไปตอบอย่างอื่นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะรู้ว่าความจริง มีเพียงเท่านี้ แล้วจะไปตอบอย่างอื่นได้ยังไง เพราะฉะนั้นนะคะ ศีลคืออะไร ศีลเป็นธรรมแน่นอน มีจริงแน่นอน การฆ่ามีจริงไหม การไม่ฆ่ามีจริงไหม ๒ อย่างต่างกันแล้วใช่ไหมคะ รูปธรรมทำอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้อะไรแล้วจะไปโกรธใคร จะไปฆ่าใครได้ยังไง เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นจิต และเจตสิก แต่จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง เพราะฉะนั้นอื่นๆ ทั้งหมด นอกจากนี้เป็นเจตสิก แต่เกิดร่วมกันเสมอนะคะ ไม่ได้แยกจากกันเลย

    เพราะฉะนั้นศีลคืออะไร เป็นจิตเป็นเจตสิก แล้วทำไมเป็นศีลล่ะ เห็นมั้ยคะ ไม่จบง่ายๆ โดยคิดว่าพอแล้ว เข้าใจแล้ว ไม่มีเลยค่ะ จนกว่ารอบรู้คือเข้าใจจริงๆ ในคำนั้น ทำไมเป็นจิตเป็นเจตสิก เพราะว่ามีจิตเจตสิกหลากหลายมาก ตามเหตุตามปัจจัยไม่ใช่ไม่มีนะคะ เพราะฉะนั้นศีลก็คือปกติ ความเป็นไปของจิต และเจตสิกที่เกิดขึ้น ห้ามไม่ให้เป็นไปได้ไหม เจตสิกต่างๆ เนี่ยไม่ให้เกิดติดข้อง ไม่ให้เกิดความโกรธได้ไหมคะ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นสภาพของจิตซึ่งมีเจตสิกใดเกิดร่วมด้วย ก็เป็นศีลประเภทนั้น เพราะฉะนั้นในพระไตรปิฎกนะคะ มีคำว่า อกุศลศีล กุศลศีล อัพยากตศีล เมื่อเช้านี้เราพูดถึงกุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรม รวมหมดเลย ต้องแยกนะคะ นั่นคือธรรม นี่คือศีลมีความต่างกันหรือเปล่า ถ้าเป็นกุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรม ไม่พ้นจากจิตเจตสิกรูปใช่ไหมคะ ธรรม เพราะฉะนั้นอกุศลธรรมคืออะไร อกุศลเจตสิกซึ่งเกิดพร้อมกับอกุศลจิต ทั้งหมดขณะนั้นแยกกันไม่ได้เลย ให้มีแต่เจตสิกไม่ให้มีจิตได้ไหม ไม่ได้ เมื่อจิตนั้นมีเจตสิกประเภทนั้นๆ เกิดแล้ว จะให้เป็นอย่างนั้นได้ไหม ให้เป็นจิตดีแต่เจตสิกไม่ดีเกิดพร้อมกันได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นอกุศลธรรมก็คือจิตเจตสิกที่ไม่ดี รูปเป็นอกุศลได้ไหมคะ นี่ค่ะคือปัญญาไม่ใช่สวดมนต์นะคะ แต่ว่าเมื่อมีความเข้าใจแล้วเนี่ย ก็จะสามารถทบทวนความเข้าใจ จะตามลำดับหรือไม่ตามลำดับ เรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง หรือว่าจะเปล่งออกมาเป็นคำ หรือไม่เป็นคำก็ได้ใช่ไหมคะ ก็แล้วแต่ แต่ไม่ลืมว่าคิดขณะใด ก็คือสภาพที่จำเสียงตามความคิดว่าคิดถึงอะไร เพราะฉะนั้นพอที่จะรู้ได้แล้วใช่ไหมคะว่า ศีลคือปกติของจิต และเจตสิก ที่จะต้องประพฤติเป็นไป เกิดแล้วไม่เห็น ไม่ชอบไม่อะไรไม่ได้ ใครจะไปยับยั้งได้ เป็นสิ่งที่มีจริงๆ เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย

    เพราะฉะนั้นทรงแสดงพระธรรมให้เข้าใจถูก ว่าไม่ใช่เรา และไม่มีเรา มีแต่ธรรม เช่นถ้าเป็นกุศลธรรมก็ได้แก่จิต และเจตสิก ที่มีกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย ถ้าเป็นอกุศลธรรมก็ได้แก่จิต และเจตสิก ซึ่งมีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย และสภาพธรรมที่ไม่ใช่กุศล และไม่ใช่อกุศลทั้งหมดเป็นอัพยากตธรรม นี่จะต้องแยกละ พอถึงกุศลศีล อกุศลศีล อัพยากตศีล เห็นไหมคะ นี่คือความละเอียดของธรรม ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ก็ปะปนกัน ผิดๆ ถูกๆ มาแล้ว เพราะฉะนั้นก็จะมีคำซึ่งไม่ถูก หรือว่าถูกคำเดียว ผิดเยอะ แต่ว่าถ้าเป็นอย่างนั้น ก็คือว่าไม่เข้าใจธรรม แต่ถ้าเข้าใจธรรมต้องไม่มีผิด ทุกคำต้องถูก แต่คำใดก็ตามหนังสือใดๆ ก็ตามคำพูดใดๆ ก็ตาม ซึ่งไม่สอดคล้องกัน คัดค้านกันอยู่ในตัว ผู้ไม่มีปัญญาก็คิดว่าถูก แต่ว่าถ้ามีปัญญาก็พิจารณาละ ไม่ตรง ใช่ไหมคะ

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำนี่ค่ะ เคารพอย่างยิ่งว่า ทำไมทรงแสดงธรรมหลากหลาย แม้แต่กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรม ก็ต้องเข้าใจว่า ธรรมที่เป็นฝ่ายกุศลนะคะ เป็นกุศล และธรรมที่ไม่ดีไม่งามเป็นฝ่ายอกุศล ก็เป็นอกุศลธรรม แล้วอัพยากตธรรมคืออะไร อัพยากต ไม่พยากรณ์ว่าเป็นกุศล และอกุศล พยากรณ์ไม่ใช่ว่าเดาหรือทายนะคะ แต่เป็นปัญญาที่รู้ชัด ที่จะบอกว่านั่นไม่ใช่กุศล และอกุศล เพราะฉะนั้นอะไรล่ะคะที่ไม่ใช่กุศล และอกุศล เห็นไหมคะ ฟังแล้วไม่ใช่หยุดแค่นั้น แต่ฟังแล้วสามารถที่จะเข้าใจต่อไปอีก ต่อไปอีก จนหมดความสงสัย หมดความไม่รู้ ขณะนี้ค่ะสภาพธรรมเกิดดับ ความไม่รู้ปิดบังหมดเลย ไม่มีซักคำที่จะไปเปิดของที่ปิด ใช่ไหมคะ เพราะอะไรปิดอวิชาความไม่รู้ และความติดข้องทำหน้าที่เลยค่ะ ปิดสนิททั้งๆ ที่เกิดดับชอบ พอชอบแล้วจะไปเห็นการเกิดดับไปได้ยังไง เพราะเหตุว่าไม่มีเหลือที่จะให้ชอบ ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นชอบอยู่ เพราะคิดว่ายังอยู่ ยังมีอยู่ ก็คือว่าไม่ได้เข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดงโดยละเอียดยิ่ง เพื่ออุปการะให้สัตว์โลก มีความเห็นที่ถูกต้อง ตามความเป็นจริง ซึ่งยากที่จะเข้าใจนะคะ เพราะลึกซึ้งละเอียด แต่เข้าใจได้ มั่นคง มีผู้ที่รู้แจ้งแล้วค่ะ ด้วยความอดทน ด้วยความเห็นถูกต้อง ในบารมีทั้ง ๑๐ ว่า ถ้าไม่มีคุณความดีนั้นๆ ที่จะสละความไม่ดีออกไป ที่อยู่ในจิตเนี่ย แล้วอกุศล และความติดข้องที่หนาแน่น จะเบาบางลงได้อย่างไร เครื่องปิดกั้นมีอยู่ทุกขณะ แต่ว่าถ้ามีความเข้าใจก็ค่อยๆ จางลง จนกว่าจะหงายของที่คว่ำ เข้าใจคำนี้ลึกซึ้งว่านะคะ ขณะนี้อะไรคว่ำ อะไรไว้ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เป็นเรื่องราว เป็นคน เป็นอะไรทั้งหมด ไม่ทำให้เข้าใจว่า มีจิต และเจตสิกเท่านั้น ที่กำลังรู้สิ่งนั้น สิ่งนั้นจึงปรากฏได้ เพราะฉะนั้นคว่ำไว้สนิทไหมฮะ ไม่รู้เลย ว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีใครค่ะ มีจิตเจตสิกซึ่งกำลังเห็น กำลังคิดถึงรูปร่างสัณฐานต่างๆ กำลังชอบไม่ชอบ ในสิ่งที่กำลังปรากฏ กำลังคิดล่วงหน้าด้วย ว่าจะทำอะไรทั้งวัน ไม่มีสักขณะเดียว ที่ไม่ใช่จิตเจตสิก เมื่อไรขณะไหนไม่มีจิตเจตสิก คือสภาพใดๆ ก็ไม่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ทุกคำนะคะ พระมหากรุณาคุณ นโมตัสสะ ภควะโต อรหะโตสัมมาสัมพุทธัสสะ เมื่อนอบน้อมในพระคุณ ที่สามารถที่จะทำให้คนอื่นนี่ได้เข้าใจแต่ละคำ แม้แต่กุศลธรรม อกุศลธรรม อพยากตธรรม ให้ผู้ฟังเข้าใจนะคะ เพราะฉะนั้นเข้าใจหรือยัง ถ้ายังไม่เข้าใจ อย่าเพิ่งไปไหนไปปฏิบัติอะไร ไปทำอะไรที่ไหนคะ ไม่มีทางที่จะเข้าใจ สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ได้ เพราะฉะนั้นไม่ข้ามแต่ละคำนะคะ เมื่อกี้เราพูดถึงศีล ตอนนี้กลับมาพูดถึงธรรม คือกุศลธรรม รู้แล้วนะคะ อะไร อกุศลธรรมรู้แล้วใช่ไหมค่ะ แล้วอัพยากตธรรมล่ะคืออะไร ไม่ใช่ถือนะคะ ถือคือความเห็นของตัวเอง แต่ความจริงไม่ต้องถือค่ะ ใครจะรู้หรือไม่รู้ ความจริงก็ต้องเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นตอนนี้น่าสนใจนะคะ สวดศพได้ยินทุกที ไม่รู้สักที กับเริ่มเข้าใจนิดนิดหน่อยๆ คือเข้าใจว่ากุศลธรรมมีคืออะไร อกุศลธรรมมีคืออะไร แล้วยังมีอัพยากตธรรมมา แค่ ๓ คำ แต่พระธรรมที่ทรงแสดงไว้เกิน ๓ คำ เพราะฉะนั้นก็มีอีกมาก ที่จะทำให้ปัญญาเจริญขึ้นค่ะ จากที่ไม่รู้เลยว่าเป็นอย่างนี้ ไม่เคยรู้มาก่อน แต่สามารถที่จะเข้าใจ จนกระทั่งเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น มั่นคงเป็นสัจจญาณ ก่อนที่จะถึงกิจจญาณซึ่งเป็นปฏิปัตติ ก่อนที่จะถึงปฏิเวธค่ะซึ่งเป็นกตญาณ เพราะฉะนั้นทรงแสดงธรรมประกอบไว้ไม่ให้หลงผิด ปริยัตติคือความรอบรู้ในพระพุทธพจน์ รอบรู้ไม่ใช่เพียงแค่คำเดียวธรรม ทั้งหมดนี่ทั้งวันเนี่ย ไม่สงสัยว่าไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน เป็นจิตหรือเป็นเจตสิกหรือเป็นรูปแค่นี้อ่ะค่ะ ที่ปัญญาจะไตร่ตรอง แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจขึ้น แต่ถ้ายังไม่เข้าใจนะคะ ทิ้งไปเลยดีไหม หรือว่าเข้าใจได้แน่ ถ้าได้ฟังต่อไป อยู่ที่ว่าจะให้ปัญญาเจริญขึ้น หรือว่าไม่สนใจ อยู่ไปในโลกวันๆ นี่ก็สนุกดีนะคะ เดี๋ยวทุกข์เดี๋ยวสุข ก็ทนได้ อยู่ไปด้วย " ความไม่รู้ "

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 178
    14 เม.ย. 2567