ปกิณณกธรรม ตอนที่ 870


    ตอนที่ ๘๗๐

    สนทนาธรรม ที่ ราวินโฮม รีสอร์ท จ.นครนายก

    วันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ ตามความเป็นจริง ก็คือว่า ติดข้องในอะไรมากที่สุด

    อ.อรรณพ ที่เกี่ยวกับตัวเรา

    ท่านอาจารย์ แน่นอน คุณอรรณพอาจจะให้เสื้อผ้าใครก็ได้ แต่เอาหูไปให้ใคร เอาตาไปให้ใคร เอาไหม

    อ.อรรณพ ถ้าเป็นส่วนที่เป็นของตัวเรา เราก็จะหวงมาก

    ท่านอาจารย์ ใช่ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีสักกายทิฏฐิ จากอัตตานุทิฏฐิ แต่ความจริงก็คือ อัตตานุทิฏฐิ นั่นแหละ แต่แสดงตรงตามความเป็นจริงว่า อัตตานุทิฏฐิทั้งหลาย ก็ไม่รักเท่าตัวเอง จึงใช้คำว่า สักกายทิฏฐิ

    อ.อรรณพ แล้วก็ส่วนใหญ่เราก็จะคิดถึงเรื่องของตัวเราเอง อย่างที่ท่านอาจารย์ถาม บางทีมีคนเขาคุยกัน ผมฟังดู ทุกคนก็พูดเรื่องของตัวเอง ของเขาก็อย่างนี้นะ อีกคนของเขาก็อย่างนี้นะ ก็คือไม่ค่อยฟังว่าอีกคนหนึ่งพูดอะไร จะพูดเรื่องของตัวเอง

    เพราะฉะนั้น ความติดข้องในส่วนที่เป็นเรานั้น มากจริงๆ เพราะฉะนั้น ความยึดถือด้วยความเห็นผิดนี่ ในส่วนที่เป็นกายเรา เป็นชีวิตจิตใจของเรานี่ มากมายมหาศาล ท่านจึงได้แสดงสักกายทิฏฐินี่ เฉพาะลงมาอีก

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องทราบว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ใครไปทำอะไร แต่สิ่งที่มีอยู่แล้ว ไม่เข้าใจ ไม่เห็นถูกต้อง เพราะฉะนั้น ก็ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ให้รู้ตามความเป็นจริง คือทำอะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้น เพราะมีปัจจัย แล้วเกิดแล้วทั้งนั้น ไม่ว่ากำลังคิด คิดอย่างนี้ ก็ต้องมีปัจจัยที่ทำให้ความคิดนี้เกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ ทุกอย่างหมด ที่มีจริงๆ ก็คือว่า เกิดแล้ว จึงมี แต่สิ่งที่ยังไม่เกิด ต้องเกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เพราะใครคนใดคนหนึ่งไปทำให้เกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้น ที่ถามเรื่องของอุปาทาน ๔ ตั้งแต่ต้น ๑.กามุปาทาน ความยึดมั่นในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ต่างกับ กามวัตถุ (กา-มะ-วัด-ถุ) เพราะเหตุว่าถ้าเป็นกามวัตถุ ไม่ใช่เฉพาะรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ แต่รวมทุกอย่างที่ติดข้อง อันนั้นก็เป็น กามวัตถุ

    อยากเกิดในสวรรค์ อยากเป็นรูปพรหม อยากไม่เกิดอีก หรืออะไรก็แล้วแต่ ก็เป็นเรื่องของความอยาก ชื่อว่า อยาก แล้ว อยากในอะไร สิ่งนั้นทั้งหมดเป็นวัตถุที่ตั้งของความอยาก เพราะว่าวัตถุ หมายความถึง ที่ตั้งที่เป็นอารมณ์

    เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจ กาม ได้แก่ โลภะเจตสิก กามอารมณ์ อารมณ์ที่น่าใคร่ น่าพอใจ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งปรากฏตลอดวัน และกามวัตถุ ก็คือว่า ไม่ใช่ว่าโลภะจะพอใจเพียงเท่านี้ ไม่ว่าอะไรอื่นอีกทั้งหมดที่โลภะติดข้องต้องการ เป็นกามวัตถุ ที่ตั้งของโลภะ

    จบเรื่องกามวัตถุ จบเรื่องกามุปาทาน ก็มาถึงทิฏฐุปาทาน พูดไปแล้ว ทั้งอัตตานุทิฏฐิ สีลัพพตปรามาส และทิฏฐุปาทาน ธรรมดาสีลัพพตะ คือ ความประพฤติซึ่งเกิดเพราะความเห็นผิด ถ้าไม่มีความเห็นผิด ก็ไม่มีสิ่งอื่นที่เข้าใจว่าเป็นมงคล เพราะรู้ว่าสิ่งอื่นไม่เป็นมงคล นอกจากธรรมที่ได้ทรงแสดงแล้ว ซึ่งต้องศึกษาว่า สิ่งที่จะเป็นมงคลมีอะไรบ้าง ๓๘ ประการ

    อ.อรรณพ ทรงพระมหากรุณาธิคุณ จำแนกทิฏฐิเป็นอุปาทาน ๓ อย่างนี่ เพื่อที่จะให้สัตว์โลกได้มีความเข้าใจที่ละเอียดขึ้นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เริ่มจากอัตตวาทุปาทาน เมื่อเห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่เห็นการเกิดดับเพราะว่าสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เกิดดับอย่างเร็ว และไม่มีใครรู้ เพราะฉะนั้น จึงปรากฏเหมือนพร้อมกันกับนิมิต

    “นิมิต” (นิ-มิ-ตะ) ที่นี่ หมายความถึง รูปร่าง สัณฐาน ถูกต้องไหม

    เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นนิมิตสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว ก็มีความติดข้องในสิ่งนั้น จึงทำให้เข้าใจว่ามีสิ่งหนึ่ง คือ อัตตา และถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เป็น เรา ก็ใช้คำว่า สักกายะ อันนี้เข้าใจแล้วนะคะ

    อัตตานุทิฏฐิ กับ สักกายทิฏฐิ เพราะรักตัว หาทุกสิ่งทุกอย่างให้ตัว รดน้ำมนต์ทำไม ก็เพื่อตัว รดแล้วทำชั่ว มีประโยชน์ไหม จะเข้าใจว่าน้ำมนต์นั้นศักดิ์สิทธิ์หรือ แต่ที่ศักดิ์สิทธิ์ คือ คำสอน เรื่องสิ่งที่มีจริงซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้

    เพราะฉะนั้น จากความรักตัว ก็ทำให้เกิด สีลัพพตปรามาส และยึดมั่นว่าต้องทำอย่างนั้นจริงๆ ก็เป็นอุปาทาน ก็เป็นสีลัพพตุปาทาน สีลัพพตะ กับ อุปาทาน รวมเป็น สีลัพพตุปาทาน ความยึดมั่นในสิ่งซึ่งไม่ใช่มงคลว่าเป็นมงคล แล้วก็ถึง ทิฏฐุปาทาน นี่ก็เป็นความเชื่อของคนในโลก ซึ่งมีความเชื่อต่างๆ กัน ในคำสอนต่างๆ กัน เชื่อเจ้ากรรมนายเวรไหม

    อ.อรรณพ แต่ก่อนเชื่อ แต่เดี๋ยวนี้เข้าใจแล้วว่า กรรมคืออะไร ก็ไม่ได้มีความเห็นอย่างนั้น ไม่ได้มีความยึดมั่น ถือมั่น ด้วยความเห็นผิดอย่างนั้นว่า เอ๊ะ มีเจ้ากรรมนายเวรกำลังคอยจ้องอยู่ มีโอกาสก็จะทำให้เกิดทุกข์โทษ อะไรต่างๆ ถ้าเข้าใจถูกก็ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ความเห็นผิด ความเชื่อผิดๆ ทั้งหมดนี้ ก็เป็น ทิฏฐุปาทาน ถ้าไม่ละความเห็นผิดนั้น ยึดมั่น เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ใครสักคน แต่เป็นสภาพของจิต ซึ่งเกิดดับ สืบต่อนานแสนนานนับไม่ถ้วน และทุกครั้งที่ไม่ว่าจะเกิดโลภะ หรือโทสะ หรือความเข้าใจธรรมทั้งหมด ดับแล้ว แต่สะสมอยู่ในจิต ซึ่งเกิดสืบต่อ ไม่มีระหว่างคั่นเลย

    เพราะเหตุว่า โลภมูลจิตที่ทรงแสดงไว้ คือประมวลไว้ทั้งหมดเป็น ๘ ประเภท แต่ ๘ ประเภทนี้ นับไม่ได้เลย แม้แต่หนึ่งก็หลากหลายมากมาย แต่ว่านั่นก็คือกำลังคิดถึงเรื่อง แต่การศึกษาธรรมนั้น ถ้าเราศึกษาทีละคำ เพื่อที่จะเข้าใจจริงๆ ไม่สับสนว่า ตอนนี้พูดถึงเรื่องอุปาทานขันธ์ ตอนนี้พูดถึงเรื่องกามุปาทาน หรืออุปาทานพวกนี้ ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าเราเข้าใจแต่ละคำอย่างมั่นคงจริงๆ เราจะเข้าใจไปโดยตลอด

    เพราะฉะนั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือว่า ถ้าชื่อมากๆ แล้วก็ชื่อคล้ายๆ กัน แล้วความเข้าใจไม่พอตั้งแต่ต้น ต้องสับสนแน่นอน แต่ว่าถ้าเรามีความเข้าใจตัวธรรมจริงๆ ว่า โลภะนี่เป็นสภาพธรรมที่ติดข้อง และติดข้องในอะไรบ้าง กล่าวโดยประเภทๆ ว่า ถ้ากล่าวโดยการติดข้องในสิ่งซึ่งมี แต่ชั่วคราว แล้วก็ดับไป

    กล่าวโดยนัยของขันธ์ คือ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นขันธ์ทั้งนั้น จิตเกิด เป็นขันธ์ เพราะเกิดดับ เจตสิกเกิด เป็นขันธ์ เพราะเกิดดับ รูปเกิด เป็นขันธ์ เพราะเกิดดับ นี่คือ เรากำลังศึกษาคำว่า ขันธ์ เพราะฉะนั้น ต้องศึกษาแต่ละคำ

    ขันธ์ หมายความถึง สภาพธรรมที่ว่างเปล่าจริงๆ จากการเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเหตุว่าไม่มีเห็น แล้วมีเห็น แล้วไม่มีเห็นอีกเลย มีสิ่งที่ถูกเห็น แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่มีอีกเลย นี่คือการที่เราจะเข้าใจเฉพาะคำเดียวว่า ขันธ์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในพระไตรปิฎก กล่าวถึงสภาพซึ่งไม่เป็นสาระ ชั่วคราว เกิดแล้วดับ ที่อยู่ภายใน คือ ที่ตัวเองก็มี ภายนอกก็มี เป็นอดีตคือดับแล้วก็มี เป็นอนาคตคือยังไม่มาถึงก็มี กำลังเป็นปัจจุบันที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ก็มี ที่มีจริงๆ ลักษณะหลากหลาย หยาบก็มี ละเอียดก็มี เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นนรก เป็นอะไรพวกนี้ ก็แยกออกไป ไกล ใกล้ ที่จะรู้ได้ หรือว่า รู้ยาก ถ้าเราเข้าใจแต่ละคำชัดเจนแล้ว เราไม่มีทางที่จะสับสนเลย

    เพราะเหตุว่าพูดถึง ขันธ์ ธรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย เกิดแล้วดับไป ไม่ว่าจะหยาบก็เป็นขันธ์ ละเอียดก็เป็นขันธ์ ภายในก็เป็นขันธ์ ภายนอกก็เป็นขันธ์ เพราะ “ขันธ์” กล่าวถึงสภาพธรรมที่เกิดดับทั้งหมด เมื่อทั้งหมดแล้ว ก็แยกออกมาเป็นอุปาทาน อาสวะ กามาสวะ ซึ่งได้แก่ อกุศลเจตสิก ๑๔ ซึ่ง ๑๔ นี้ไม่เท่ากัน บางอย่างไม่ได้เกิดบ่อยๆ มากมาย แต่ว่าบางอย่างก็เกิดไม่หยุด หรือว่าเป็นอกุศลทุกประเภทได้ เช่น โลภะ ก็มีทั้งที่เป็นอนุสัย นอนเนื่อง พอเห็นแล้วชอบ ก็สะสมแล้วที่จะชอบสิ่งนั้นต่อไป ชอบสีแดง ก็สะสมไว้ บ้านคนนั้นก็มีหลายๆ อย่างที่เป็นสีแดง รถยนต์ก็แดงบ้าง อะไรก็แดงบ้าง ก็แล้วแต่ นี่ก็คือการสะสมเป็นอุปนิสัย

    เพราะฉะนั้น เราก็ต้องเข้าใจในแต่ละคำจริงๆ ว่า โลภะเป็นอนุสัย ทันทีที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ทางตา หรือ หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โลภะเกิดแล้ว ไม่เว้นว่างเลย ไม่ว่าจะเป็นกองไหน เว้นที่ไม่เกิดก็คือ เมื่อเป็นโสภณธรรมเกิด จึงไม่ใช่อกุศล เพราะว่าจะเกิดพร้อมกันไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาธรรมตามลำดับ โดยไม่ประมาท โดยเข้าใจจริงๆ ในแต่ละคำ และก็รู้ว่าที่กล่าวถึงกำลังมีเดี๋ยวนี้ด้วย ยิ่งเป็นประโยชน์ เช่นกล่าวถึงสิ่งซึ่งไม่มี เงียบ แล้วมีเสียง แล้วหมดไป อย่างนี้เราก็จะเข้าใจขันธ์ได้ คือ ชีวิตประจำวัน ไม่ต้องไปนั่งท่อง นั่งทำอะไรเลยทั้งสิ้น ขอว่าเมื่อได้ยินคำไหน รู้เข้าใจคำนั้นจริงๆ

    เพราะฉะนั้น คำว่า ขันธ์ จากวันนี้ที่ได้ฟัง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏต้องเกิด เกิดโดยไม่มีปัจจัยไม่ได้ เห็นต้องเกิดเพราะอาศัยตา ได้ยินต้องเพราะอาศัยหู จะสลับกันก็ไม่ได้ นี่คือธรรม ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แล้วใครก็จะไปเปลี่ยนแปลงธรรมอย่างนี้ ให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ นี่คือตั้งต้นด้วยคำว่า ธรรม

    แล้วตั้งต้นด้วยคำว่า ขันธ์ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย โลกก็ไม่ปรากฏ อะไรๆ ก็ไม่มี อะไรๆ ก็มีไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ที่มีได้ เพราะเกิด แต่เกิดพร้อมกันเร็วมากเลย ปรากฏเป็นโลกทั้งโลก มีต้นไม้ มีคน มีทะเล มีอะไรหมด ก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครว่าให้ทำอันนี้ให้เกิดก่อน ให้ทำอันนั้นเกิดทีหลัง ไม่ใช่อย่างนั้นเลย

    เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจแต่ละคำ ขันธ์เข้าใจแล้ว ปรมัตถ์ธรรมเข้าใจแล้ว แล้วก็อกุศลไม่ใช่กุศล เพราะฉะนั้น เมื่อกล่าวถึงอกุศลก็มีหลายประเภท และในอกุศลหลายๆ ประเภท ซึ่งเป็นอกุศลเจตสิก ๑๔ นี่ ก็สามารถที่จะรู้ว่าแต่ละหนึ่งนี่ต่างกันโดยฐานะที่เป็นอะไรบ้าง แล้วก็จะไม่สับสน

    เพราะฉะนั้น ที่เป็นอาสวะไม่ได้ ก็มีใช่ไหม ที่เป็นอนุสัยไม่ได้ก็มีใช่ไหม นี่ใครรู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นก็ศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพ คือ แต่ละคำไม่สับสน แล้วก็แต่ละคำถ้าเข้าใจอย่างนั้นแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เป็นอย่างนั้นตลอดทั้งพระไตรปิฎก เพราะเหตุว่าถึงที่สุดของการรู้แจ้งความจริงของสภาพธรรมนั้นๆ

    เพราะฉะนั้น ถ้าจะพูดถึงอนุสัย ก็ต้องรู้ว่าหมายความถึงอกุศล เท่านั้น แต่อกุศลเจตสิก ๑๔ ก็มีลักษณะและหน้าที่กิจการงานต่างกัน บางอย่างก็เป็นอุปาทานไม่ได้ เพราะอุปาทานจริงๆ ที่ยึดมั่นจริงๆ นี่ ก็คือโลภะกับทิฏฐิ ก็ค่อยๆ เข้าใจเหตุผลในคำสอน ในชีวิตประจำวัน ซึ่งทำให้สามารถที่จะละคลายความเป็นตัวตนได้ ในขั้นของการฟัง แต่ว่ายังดับไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า กิเลสที่สะสมมา ยังมีมากกว่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าเราเพียงไปใช้ชื่อ แล้วก็พยายามที่จะเข้าใจความเป็นต่างๆ ของชื่อต่างๆ นี่ ไม่เหมือนกับขณะที่เราเข้าใจทีละคำ

    เดี๋ยวนี้อกุศลประเภทไหน เห็นไหม เรียนเรื่องเรียน เพื่อรู้ แต่ยังไม่รู้เพราะเหตุว่า ยังไม่ถึงปัญญาระดับขั้นที่จะถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ด้วยการฟังที่เข้าใจอย่างมั่นคงเท่านั้นที่จะเป็นเหตุให้สติปัฏฐานเกิด

    เพราะฉะนั้น จะกล่าวถึงสติปัฏฐาน โดยไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจอะไรเลย ไม่มีทางที่จะเป็นสติปัฏฐานได้ เป็นแต่ชื่อ ที่จำไว้เท่านั้นเอง

    อ.กุลวิไล ซึ่งคนทั่วไป ถ้าอ่านพระไตรปิฎก เขาก็คิดว่า มีแน่นอนข้อปฏิบัตินี้ ต้องมีศีลก่อน แล้วก็มีสมาธิ แล้วก็มีปัญญา

    ท่านอาจารย์ ยากไหม พระธรรม

    อ.กุลวิไล ยากมาก

    ท่านอาจารย์ ลึกซึ้งไหม

    อ.กุลวิไล แน่นอน

    ท่านอาจารย์ กว่าจะเข้าใจแต่ละคำ คิดเสียอย่างนี้ แต่ว่าเราไปรวมมาหมดเลยทุกเรื่อง แล้วคิดหรือว่าเราจะได้เข้าใจจริงๆ หรือเพียงแค่จำคำที่ได้ยิน แล้วก็กล่าวตามคำที่ได้ยิน เพราะฉะนั้นผู้ที่เคารพในการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่ประมาทในการศึกษาเลย แต่ละคำจริงๆ ขอให้เข้าใจ

    เพราะฉะนั้น ถ้ายังไม่มีพื้นที่มั่นคง จะสับสนแน่ เวลาฟังคนโน้นก็พูดอย่างนี้ คนนี้ก็พูดอย่างนั้น เดี๋ยวคนนี้ก็พูดเรื่องนั้น เดี๋ยวคนนี้ก็พูดเรื่องนี้ แล้วเราเข้าใจอะไร ไม่สามารถที่จะเข้าใจอะไรได้เลย นอกจากเริ่มต้นเห็นคุณของการที่จะได้เข้าใจพระธรรมแต่ละคำ แล้วก็ทีละคำ จนกระทั่งรอบรู้จริงๆ เช่น ธรรม มีอะไรบ้าง ยังไม่รู้ ได้ยินแต่คำว่าธรรม และบางคนแค่ธรรม ก็ตอบไม่ได้ ว่าธรรมคืออะไร

    นี่เป็นเหตุที่ทำให้ท่านผู้หนึ่ง ท่านเริ่มฟังธรรม เพราะว่าถามว่าธรรมคืออะไร ท่านตอบไม่ได้ อันเป็นเหตุที่ทำให้ ณ บัดนี้ท่านฟังธรรมมาตลอด โดยสม่ำเสมอ เพราะไม่ประมาทจริงๆ เพียงแค่คำเดียวที่ไม่รู้ แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจได้อีกมาก เพราะว่าทุกอย่างเป็นธรรม ก็เป็นเรื่องที่แต่ละคน ที่เมื่อได้ยิน แค่ได้ยิน สะดุดหู สนใจ มีประโยชน์ รู้ได้ แต่ว่าต้องไม่ประมาท คิดว่าง่าย ไม่ใช่เลย แม้แต่ในขั้นฟังก็ยังยาก แต่ว่าถ้าไม่มีการฟังเลย ไม่มีทางที่จะรู้จักพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เมื่อพระองค์ทรงแสดงธรรมแล้ว คนที่ไม่ศึกษาด้วยความเคารพ ก็ทำให้เลอะเลือนไปหมด สับสนไปหมด นี่เป็นอะไร นั่นเป็นอะไร บางคน บางแห่ง บางที่ ท่องพระไตรปิฎกได้ทั้ง ๓ ปิฎก เป็นที่สรรเสริญ หรือว่าเป็นที่สงสัย ลองคิดดู ท่องแล้วเข้าใจหรือเปล่า ท่องแล้วพูดแต่ละคำออกมานี่ให้ชัดเจน ให้เข้าใจได้ไหม หรือว่าตื่นเต้นมากเลย ไม่เคยมีใครที่จะมีความจำถึงอย่างนี้ว่า ท่องพระไตรปิฎกได้ทั้ง ๓ ปิฎก เป็นที่เลื่อมใส

    แต่เลื่อมใสโดยยังไม่รู้ความจริง เพียงแค่ท่องพระไตรปิฎกได้ เท่านั้นหรือ ที่เป็นพระพุทธประสงค์ ที่จะให้คนได้ท่องพระไตรปิฎก ไม่ใช่ แต่คนยุคนี้คิดว่าท่องพระไตรปิฎกนี่ ถูกต้อง ดีมาก แต่ว่าจริงๆ แล้ว แค่หนึ่งคำเข้าใจไหม เข้าใจโดยถ่องแท้ ลึกซึ้งจริงๆ หรือเปล่า

    เพราะฉะนั้น พระพุทธประสงค์ของการบำเพ็ญพระบารมี สำหรับพระองค์นี้ ๔ อสงไขยแสนกัป ไม่ใช่เพื่อให้ใครท่อง ไม่ใช่เพื่อให้ใครสวด แต่เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงยิ่งขึ้น จนกระทั่งสามารถ ที่จะเข้าใจคำที่พระองค์ทรงแสดง แต่ละคำ สอดคล้องตามความเป็นจริง เพราะว่าเป็นความจริง ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ ถึงที่สุด เช่น คำว่า ธรรม ถ้าคนที่ไม่ได้ฟังเลย ถามว่า ธรรม คืออะไร จะตอบอย่างไร

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมนี่ต้องศึกษาด้วยความเคารพจริงๆ ว่าไม่ใช่คำของคนอื่น ต้องเป็นคำที่ต่างจากคนอื่น คนอื่นสอนเรื่องศีล เว้นต่างๆ บอกให้เว้น แต่พระสัมมาสัมเจ้าทรงแสดงศีลคืออะไร ยังไม่รู้จักเลยว่าคืออะไร แล้วจะไปทำอะไร เพื่ออะไร

    เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่มีเหตุผล และก็ตรงจริงๆ ทุกคำของพระพุทธศาสนาเป็นคำที่เป็นปัญญา เมื่อได้ฟัง ได้เข้าใจแล้ว ก็เป็นความเห็นที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น แต่ละคำนี่ ต้องตั้งต้นว่า คืออะไรก่อน เพราะว่าถ้ายังไม่รู้ ก็ต้องเป็นเรา แล้วพระพุทธเจ้าสอนว่า มีเราหรือ แค่คำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ก็ไม่รู้ แล้วก็จะรักษาศีลเพื่ออะไร เพื่อตัวเองหรือเปล่า

    เพราะเหตุว่า ศีลมีก่อนการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ศีลนั้นไม่นำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เดี๋ยวนี้ มีศีลไหม ตอบถูก ถ้าบอกว่ามี แต่ถ้าถามว่าศีลอะไร บางคนก็บอกว่ากุศลศีล ทราบหรือว่าเป็นกุศล เพราะจิตเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ เพียงแต่รู้เรื่องศีล แต่ตัวศีลจริงๆ เดี๋ยวนี้ ไม่รู้ เพราะว่าปัญญายังไม่ถึงขั้น ใครที่ไม่เข้าใจธรรม อย่าได้คิดถึงคำว่า วิปัสสนา หรือว่า ปฏิบัติธรรม เพราะยังไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร

    อ.กุลวิไล อย่างสมาธิเหมือนกัน เขาจะแยกกันระหว่างศีลกับสมาธิ สมาธิก็ต้องมีเราที่ไปทำเหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ แล้วมิจฉาสมาธิ มีในพระไตรปิฎกไหม

    อ.กุลวิไล มี

    ท่านอาจารย์ ก็ทำไมไม่พูดว่าศีลไหน สมาธิไหนเป็นมิจฉา หรือว่าเป็นสัมมา

    นี่ก็แสดงว่าไม่ได้เข้าใจพระธรรม เพียงแต่ได้ยินคำสองคำ เช่น สมาธิ คืออะไร ยังไม่รู้ ก็ทำ ด้วยความเป็นเรา เมื่อเป็นเรา ก็ไม่ใช่สมาธิในพระพุทธศาสนา เพราะสมาธิในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่เรา ตราบใดที่ยังเป็นเรา ใช่ไหม ผู้นั้นทำตามคำสอนหรือเปล่า แต่ผู้ที่จะทำตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือผู้ที่ศึกษา เพราะไม่รู้ และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร เมื่อมีโอกาสที่จะได้พบ ได้ยิน ได้ฟังคำของพระองค์ จะทิ้งโอกาสนั้นหรือ ไม่มีโอกาสอื่นอีกที่จะได้รู้จักผู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ได้ศึกษาคำที่ได้ยิน โดยรอบคอบเดี๋ยวนี้

    อ.กุลวิไล แล้วบางท่านก็อาจจะพบข้อความว่า ศีลเป็นเหตุใกล้ของปัญญา ก็ดูเหมือนว่า ทำสมาธิแล้วจะมีปัญญาที่จะเห็นตามความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ ใครเชื่อ

    อ.กุลวิไล คือเขาไม่ได้ศึกษาพระธรรม พอท่านใดสอน ก็ทำตามเลย

    ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นก็ถามผู้นั้นว่า ปัญญารู้อะไร ทำไมไม่ถาม ทำไมเชื่อ ทำไมไม่เข้าใจเสียก่อน แล้วค่อยรู้ว่าจริงหรือเปล่า นี่ไม่ถามอะไรเลยทั้งสิ้น ถูกบอกให้ทำอะไร ก็ทำไปเลย บอกว่าศีลสมาธิปัญญา ก็ต่อกันไปเลยศีล สมาธิ ปัญญา แต่ศีล คืออะไร สมาธิ คืออะไร ปัญญารู้อะไร ไม่พูด แล้วจะเข้าใจหรือ ในเมื่อผู้ที่ไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้รับฟังคำที่ทำให้จารึกสืบทอดกันมา เป็นพระไตรปิฎก มีครบถ้วน แล้วไม่เอาความจริงจากธรรมที่พระองค์ตรัส แต่ไปเอาคำของคนอื่น ซึ่งไม่ตรงกับคำที่พระองค์สอน เช่น ถ้ากล่าวถึง ศีล สมาธิ ปัญญา ถามว่าปัญญา คืออะไร คนนั้นตอบได้ไหม ตอบไม่ได้ เชื่อไหม ทำตามไหม แต่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีลคืออะไร สมาธิคืออะไร ปัญญาคืออะไร เพื่ออะไร เพื่อผู้ฟังจะเกิดปัญญาของตนเอง นี่เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด

    เพราะเหตุว่า ถ้าฟังแล้วไม่เกิดปัญญา มีประโยชน์อะไร ใครเอาอะไรมาให้ก็ไม่รู้ แต่ว่าถ้าฟังแล้วเข้าใจ นั่นคือพุทธประสงค์ ให้ผู้ฟังเกิดปัญญา ความเห็นถูกของตนเอง

    จริงๆ แล้วก็คือว่า ต้องเป็นผู้ที่มีตนเป็นที่พึ่ง คือเป็นผู้ที่สะสมความเห็นถูก สิ่งที่มีเหตุผล ถ้าเพียงแต่ได้รับคำบอกเล่า แล้วเชื่อ นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 178
    1 ก.ค. 2568