ปกิณณกธรรม ตอนที่ 855


    ตอนที่ ๘๕๕

    สนทนาธรรม ที่ ภูพานเพลส จ.สกลนคร

    วันที่ ๑๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ เมื่อจุติจิตขณะสุดท้ายดับไป ผลของกรรมหนึ่งถึงเวลาที่จะให้ผล ก็ทำให้จิตเจตสิกที่เป็นวิบาก เป็นสภาพรู้ที่เกิดขึ้นต้องรู้ แล้วแต่ว่ากรรมจะให้รู้อะไรทางไหน เพราะฉะนั้นขณะที่เกิดขณะแรก โลกนี้ไม่ปรากฏ เพราะไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึกเรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้น โลกมี ๖ โลกมีทางที่จะรู้โลกได้ ๖ ทาง แต่ขณะที่เกิดนี่ค่ะ โลกนี้ไม่ปรากฏ เพราะเพียงแค่เกิดสืบต่อ ยังไม่เห็น ยังไม่ได้ยิน ยังไม่ได้กลิ่น ยังไม่ได้รู้สึก แล้วจะรู้โลกนี้ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่โลกไม่ปรากฏ ขณะนั้นมีจิตประเภทเดียวกับปฏิสนธิจิต ซึ่งเกิดเพราะกรรมเดียวกัน ทำให้พอเกิดเป็นขณะแรก สืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน ปฏิสนธิจิตทำปฏิสนธิกิจสืบต่อแล้วนะคะ ๑ ขณะแล้วดับไป ไม่กลับไปอีกเลย เพราะฉะนั้นระหว่างที่มีชีวิตอยู่นะคะ จะมีปฏิสนธิจิตทำปฏิสนธิกิจอีกไม่ได้ เพราะต้องเกิดสืบต่อเฉพาะจากจุติจิตเท่านั้น อันนี้เห็นแล้วใช่ไหมคะ ใครก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากกรรม เพราะฉะนั้นเกิดมาทำไมแค่นั้นพอมั้ย เกิดมาแล้วก็ไม่มีอะไรปรากฏเลย จะเป็นงู จะเป็นคน จะเป็นเทพ จะเป็นพรหม ไม่มีการรู้เลย เพราะโลกอันนั้นไม่ปรากฏ แต่จิตต้องมีอารมณ์ถูกต้องไหมคะ และรู้ไหมว่าปฏิสนธิจิตนี่เกิดมีอารมณ์อะไร

    ผู้ฟัง ไม่ทราบครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้แน่นอนเพราะอะไร เพราะไม่เห็น เพราะไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก แล้วโลกนี้จะปรากฎได้ยังไง แต่มีจิตซึ่งต้องมีอารมณ์ ซึ่งใครก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ปฏิสนธิจิตมีอารมณ์เดียวกับจิตใกล้จะตาย ก่อนจุติจิตจะเกิด ห้ามไม่ได้เลยคะ เดี๋ยวนี้เราก็ห้ามไม่ได้ จะเห็นอะไรห้ามได้ไหม จะได้ยินอะไร ห้ามได้ไหมคะ มีปัจจัยแล้วที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น แม้ขณะแรกที่เกิด ก็ต้องเป็นไปตามปัจจัย จะเป็นอารมณ์อื่นไม่ได้เลย นอกจากอารมณ์เดียวกับจิตที่เกิดก่อนจุติจิต ซึ่งเมื่อเกิดขณะนั้นนะคะ เป็นผลของกรรม ที่ทำให้กุศลจิตหรืออกุศลจิตเกิดก่อนจุติ เพราะฉะนั้นไม่มีขณะใดเลย ซึ่งไม่มีจิตเจตสิต ซึ่งเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ต่างๆ เพราะไม่รู้ จึงเป็นคน จึงเป็นสัตว์ โดยยึดถือสภาพธรรมนั้นแหละ ว่าเป็นเรา เป็นคนที่มีชีวิต เพราะมีจิต แต่ความจริงก็คือว่า ถ้าจิตเจตสิกไม่เกิด ก็ไม่มีคนไม่มีสัตว์ใดๆ เลยทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้นผลของกรรมเพียง ๑ หนึ่งขณะที่เกิดสืบต่อ จากจุติชาติก่อนนะคะ เป็นขณะแรกของชาตินี้ เป็นคนใหม่ไม่ใช่คนเก่าเลย รูปซักรูปก็จะตามไปไม่ได้ จิตเก่าก็จะตามไปไม่ได้นะคะ แต่มีปัจจัยที่จะให้จิตที่เป็นผลเกิดขึ้น ทำกิจนั้นแล้วดับ ขาดจิตไหมเนี่ย จิตนั้นดับแล้ว จิตที่เกิดสืบต่อจากจุติจิตดับไป หมดหรือยัง

    ผู้ฟัง ก็ต้องเป็นปัจจัยให้จิตใหม่เกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ ไม่มีทางที่จิตจะหยุดเกิด เพราะว่านะคะ จิตเป็นธาตุรู้ซึ่งทันทีที่ดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด ไม่หยุด เพราะฉะนั้นปฏิสนธิจิต ๑ ขณะเป็นผลของกรรมดับแล้ว เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไป ซึ่งจะเป็นจิตอื่นไม่ได้ นอกจากผลของกรรมเดียวกับที่ทำให้เกิด คงเป็นบุคคลนั้นต่อไป จนกว่าจะสิ้นสุดกรรม ที่ถึงแก่กรรมที่ทำให้จากโลกนี้ไป

    เพราะฉะนั้นกรรมนั้นนะคะ ก็ทำให้ปฏิสนธิจิตประเภทนั้นเกิด เมื่อดับไปแล้ว ก็ยังทำให้ผลของกรรมนั้นแหละ ประเภทเดียวกันนั้นแหละกับปฏิสนธินะคะ ยังไม่เปลี่ยนเลยเป็นบุคคลนั้นสืบต่อ ระหว่างที่ยังไม่เห็น ยังไม่ได้ยิน ยังไม่ได้กลิ่น ยังไม่ได้ลิ้มรส ยังไม่ได้รู้สิ่งที่ปรากฏ ยังไม่ได้คิดนึก ระหว่างนั้นไม่รู้จักโลกนี้เลย อยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้เหมือนตอนหลับสนิท ไม่ใช่ขณะแรกซึ่งเกิดสืบต่อจากจุติจิต แต่เป็นขณะที่กรรมนั้นทำให้จิตประเภทนั้นแหละ เกิดดับสืบต่อ ไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น มีอารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิต เพราะเป็นผลของกรรมเดียวกัน สืบต่ออยู่เรื่อยๆ นะคะ โดยที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน แต่ดำรงภพชาติยังไม่เป็นบุคคลอื่น ยังไม่ตาย ทำภวังคกิจ ได้ยินคำว่าภวังค์บ่อยๆ ใช่ไหมคะ แต่หนังสือเล่มนั้นก็ว่าอย่างนี้ หนังสือเล่มโน้นก็ว่าอย่างนั้น แต่ความจริงคืออะไร เป็นธรรมที่มีจริง ซึ่งเป็นผลของกรรม ที่ให้ผลขณะเดียวไม่ได้ค่ะ เพียงแค่ให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นเท่านั้นไม่พอ กับการกระทำกรรมที่ได้ทำไปแล้วเนี่ยแหละ เกิดมาแล้วก็ไม่มีอะไรปรากฏ ให้รู้เลยเนี่ย ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ชื่อว่ายังไม่ใช่การที่จะได้รับผลของกรรมนั้นจริงจริง โดยการที่ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ดีหรือไม่ดี แต่ว่าให้ผลของกรรมคือให้อยู่ต่อไป ยังไม่จากโลกนี้ไปเพื่ออะไร เพื่อเห็น เพื่อได้ยิน

    เพราะฉะนั้นเห็น ได้ยิน เป็นผลของกรรม เดี๋ยวนี้ค่ะจะรู้ว่าผลของกรรมเมื่อไหร่ เห็นเมื่อไร ถ้าไม่มีกรรมเห็นไม่เกิด กรรมที่เป็นกุศล ก็ทำให้จิตเห็นเห็นสิ่งที่ดี เมื่อเห็นสิ่งที่ดีเป็นผลของกรรมนะคะ ภาษาบาลีก็ใช้คำว่า กุศลวิบาก ถ้าเป็นภาษาบาลีกุศลวิปากะแต่ภาษาไทยก็กุศลวิบาก ก็คือผลของกรรม เพราะฉะนั้นจะเห็นอะไร เมื่อไหร่นะคะ ดีหรือไม่ดี น่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจเลือกไม่ได้ เป็นไปตามกรรม ๑ ซึ่งที่ได้กระทำแล้ว เป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้นผลของกรรมมี ๕ ทางสั้นมาก น้อยมาก คือเห็น เป็นผลของกรรม ได้ยินเป็นผลของกรรม ได้กลิ่นเป็นผลของกรรม ลิ้มรสเป็นผลของกรรมกระทบสัมผัส เย็นบ้าง ร้อนบ้าง อ่อนบ้าง แข็งบ้าง ตึงบ้าง ไหวบ้างเป็นผลของกรรม นอกจากนี้แล้วถ้าไม่กล่าวโดยละเอียดนะคะ ซึ่งขณะนี้ไม่ได้ปรากฏ เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง แต่ที่พอจะรู้ได้คือเห็นดับไปแล้ว ชอบหรือไม่ชอบ ในสิ่งที่ปรากฏไม่ใช่ผลของกรรม แต่เป็นเพราะกิเลสที่ได้สะสมมา ที่จะเกิดขึ้นชอบหรือไม่ชอบ ในสิ่งที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นต้องรู้ค่ะ เกิดมาแล้ว ขณะไหนเป็นผลของกรรม ขณะเกิดเป็นผลของกรรมขณะที่ยังไม่ตาย แต่ยังไม่เห็น ไม่ได้ยินก็เป็นผลของกรรม ทำภวังคกิจเป็นคำรวมของภว กับอังคะ นะคะ หมายความว่าเป็นองค์ สิ่งที่จะทำให้พบ คือความเป็นอย่างนี้ดำรงต่อไป ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น เป็นคนนี้ไปจนกว่าจะตาย จนกว่าจะก่อนตายได้ยินเมื่อไหร่เป็นผลของกรรม เห็นเมื่อไหร่เป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้นเข้าใจได้เลยค่ะ เลือกไม่ได้ จะเจ็บไข้ได้ป่วยวันไหน ใครทำ เป็นผลของกรรมไม่ใช่คนอื่นทำ แต่เพราะกรรมได้กระทำมาแล้ว ที่ต้องการให้คนอื่นเจ็บหรือตาย ทุพลภาพหรือตาบอด หูหนวก อะไรก็แล้วแต่นะคะ เมื่อเจตนาอย่างนั้นมี ผลก็คือว่าจิตที่เป็นผลอย่างนั้นเกิด ไม่ใช่คนอื่นทำให้เลย นอกจากกรรมที่ได้ทำแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าถูกตี คนอื่นทำหรือเปล่าคะ เป็นผลของกรรม ตีพลาดก็ได้ ไม่ถูก เพราะไม่ถึงวาระที่กรรมจะให้ผล แต่เขายิงคนอื่นพลาดมาถูกเรา เห็นไหมคะ กรรมทำได้ทุกอย่าง เขาไม่ได้ตั้งใจฆ่าหรือทำร้ายเราเลย แต่กรรมที่ได้กระทำแล้วต่างหาก ลืมคิดถึงคนอื่นที่ทำ เพราะเค้าไม่ได้ตั้งใจ แต่เกิดแล้วมีสิ่งที่กระทบกายแล้ว

    ตลอดเวลานี่นะคะ ที่กายที่เข้าใจว่าเป็นเราของเราเนี่ย เป็นสภาพไม่รู้นะคะ เป็นธาตุดินน้ำไฟลมซึ่งเกิดพร้อมกัน สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิด จะเกิดตามลำพังไม่ได้ ต้องมีสิ่งที่อาศัยกัน และกันเกิดขึ้น ธาตุดินคือลักษณะที่อ่อนหรือแข็ง ธาตุไฟคือเย็นหรือร้อน ธาตุลมคือตึงหรือไหวธาตุน้ำคือสภาพที่เกาะกุมธาตุทั้ง ๓ ซึมซาบ ไม่ปรากฏกระทบเมื่อไหร่นะคะ อ่อนหรือแข็งธาตุดินปรากฏ เย็นหรือร้อนธาตุไฟปรากฏ ตึงหรือไหวธาตุลมปรากฏ

    เพราะฉะนั้นทรงแสดงไว้ละเอียดว่า ในบรรดารูปทั้งหมดมีเพียง ๗ รูป ที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน เป็นที่ตั้งของความพอใจอย่างยิ่ง ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น เพราะไม่รู้ เพราะชีวิตก็ดำเนินไปตามปัจจัยทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นเนี่ย ถ้าไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา และเข้าใจถูกว่าเป็นธาตุรู้ซึ่งเกิดเห็นแล้วดับ ถ้าไม่รู้อย่างนี้ก็ไม่เข้าใจคำว่าวิปากะ หรือผลของกรรม แต่ถ้ามีความเข้าใจแล้วนะคะ เห็นเมื่อไหร่ เป็นเพียงสิ่งที่มีกรรมเป็นปัจจัย ที่ทำให้ธาตุรู้คือจิต และเจตสิกเกิดพร้อมกัน รู้สิ่งเดียวกัน แต่ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นการยึดถือว่าเราเห็น ก็จะค่อยๆ น้อยลง จางลง เพราะรู้ว่าไม่เป็นเราได้เลย เพราะเกิดแล้วดับแล้ว แค่เห็นแล้วก็หมดแล้วก็ไม่กลับมาอีก และไม่ใช่แต่เฉพาะเห็นนะคะ ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นสิ่งที่เกิดแล้วดับแล้วต้องมีรูปที่สามารถกระทบ เช่นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้นะคะ ต้องมีรูปที่อาศัยมหาภูตรูปที่เราเรียกว่าตานี่นะคะ แล้วก็เป็นรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ แจกันมากระทบตาได้ไหมคะ แต่สิ่งที่มีอยู่ที่ธาตุดินน้ำไฟลมนั่นแหละ เป็นรูปที่สามารถกระทบตา ปรากฏให้เห็นสีสันวรรณะ ไม่ใช่แข็ง แต่เป็นรูปอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดพร้อมกับธาตุดินน้ำไฟลม นี่คืออนัตตาทั้งหมดค่ะ ไม่ว่าจะกล่าวถึงอะไร และเข้าใจก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะฉะนั้น จิตเห็นเกิด เพราะมีกรรมเป็นปัจจัย เลือกไม่ได้ จิตได้ยินเกิดเลือกไม่ได้ จิตได้กลิ่นเกิดเลือกไม่ได้ เกิดแล้ว จิตลิ้มรสนะคะ แข็งหรืออ่อนไปรู้รสไม่ได้หรอก แต่มีรูปที่สามารถกระทบรสที่อยู่กลางลิ้นค่ะ กระทบรสเมื่อไหร่ จิตลิ้มรสเกิดทันทีรู้รสนั้น

    เพราะฉะนั้นจิตเจตสิก ไม่ใช่รูป ที่กระทบกับรูปที่เป็นรสหรือเป็นลิ้นนะคะ แต่เป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้น เพราะมีสิ่งที่เป็นรสกระทบกับสิ่งที่สามารถกระทบกับรสได้ เราเรียกว่าลิ้น แต่ความจริงเป็นประสาทนะคะ รูปพิเศษที่กระทบกับรสได้ คิดดู แขนกระทบรสได้ไหม เพราะฉะนั้นต้องเป็นรูปพิเศษเฉพาะที่สามารถกระทบกับรส จึงเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นขณะนั้น ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยินนะคะ แต่กำลังลิ้มคือรู้รสนั้น อธิบายได้มั้ยว่ารสมันเป็นยังไง หวานหรือเค็มหรือเปรี้ยวหรือเผ็ด พูดไปเถอะ ไม่เหมือนขณะที่รสปรากฏจริงๆ ไม่รู้จะอธิบายว่ายังไง เผ็ดมีตั้งหลายอย่าง พริกไทยก็เผ็ด พริกเหลือง พริกขี้หนู พริกหนุ่มรสต่างๆ กันใช่ไหมคะ แล้วจะไปพรรณายังไง ก็ไม่เหมือนขณะที่รสปรากฏ กับสภาพที่กำลังรู้หรือลิ้มรสนั้น ซึ่งเป็นผลของกรรม ถ้าเป็นรสที่น่าพอใจนะคะ ขณะนั้นถึงไม่เรียก ไม่รู้ ก็เกิด เพราะกรรมเป็นปัจจัย อยากรับประทานอาหารอร่อยไหมคะ จำได้ใช่ไหมคะว่าอะไรอร่อย พอไปถึงจริงๆ ผิดหวังมั้ย แล้วแต่กรรม ใช่ไหมคะ มีท่านผู้หนึ่ง เขาก็ชอบมังคุดมากเลยค่ะ เขาก็ไปซื้อมังคุดมากี่ลูกกี่ลูกก็เสีย แล้วยังไงล่ะคะ เลือกได้มั้ยค่ะ

    เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจความจริง แล้วเดือดร้อนไหม ใครทำแน่ แม่ค้าก็ไม่ได้ทำ ชาวสวนก็ไม่ได้ทำ แต่กรรมทำให้จิตเกิดขึ้น ลิ้มรสที่ไม่น่าพอใจ เมื่อเป็นผลของอกุศลกรรม ที่จงใจ ตั้งใจ ที่จะกระทำกรรมที่ให้ผลเช่นนั้นเกิดขึ้น โดยไม่รู้เลยว่าเมื่อไร กรรมไหน ถึงเวลาที่กรรมใดจะให้ผล เพราะฉะนั้นชีวิตจึงมีทั้งสุข และทุกข์ ถ้าไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน เอาสุขทุกข์ มาแต่ไหน ใช่ไหมคะ จะติดข้องในอะไร จะเดือดร้อนในอะไร แต่สภาพธรรมเกิดดับสืบต่อ เร็วสุดที่จะประมาณได้ เป็นเราไปหมดเลย ถ้าไม่รู้ เที่ยงด้วย ไม่เห็นดับสักทีใช่ไหมคะ ต่อกันมาตั้งแต่เด็กจนถึงเดี๋ยวนี้ แล้วก็ต่อไปอีกไม่จบ จนกว่าจะตายจากโลกนี้ก็ยังไม่จบอีก เพราะเป็นธรรม ซึ่งต้องเกิดเพราะเหตุปัจจัย ภาระหรือเปล่า เห็นไหมคะ คำที่ได้ฟังแล้วเนี่ย ฟังตอนนั้นแล้วลืมไป มาฟังตอนนี้นึกออกจำได้ นี่แหละภาระจริงๆ มิฉะนั้นจะไม่มีการวางภาระ ถ้าไม่รู้ว่าเป็นภาระเพราะเพลิดเพลินกับรูป กับเสียง กับกลิ่น กับรส กับโผฏฐัพพะ ชอบเย็นๆ อากาศดี สกลนครอากาศดีเห็นไหมคะ ใครก็ชอบ ก็แสดงให้เห็นว่าแค่อากาศที่กระทบกายก็ติดแล้ว ไม่มีทางที่จะออกไปจากความติดข้องเลย แล้วจะรู้ยังไงว่าไม่ใช่เรา ถ้าไม่มีธาตุหรือธรรมแต่ละ ๑ มารวมกันให้เข้าใจผิด ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงไม่ใช่สิ่งที่รวมกันเป็นหนึ่ง แต่เป็นแต่ละ ๑ ซึ่งเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปอยู่ตลอดเวลา แต่รวดเร็วสุดที่จะประมาณได้ จึงปรากฏเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่เกิดดับแต่ละ ๑ อย่าง ซึ่งเป็นที่พอใจ ใครจะรู้ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม

    เพราะฉะนั้นขณะที่ประเสริฐอย่าได้ล่วงไป หมายความถึงขณะไหน ขณะที่เข้าใจธรรม แต่ขณะอื่นนะคะ ถึงไม่ประเสริฐก็เกิดดับ และก็ไม่รู้จะประเสริฐได้ยังไง ขณะที่เข้าใจธรรมก็เกิดดับ แต่ประเสริฐเพราะเข้าใจ เพราะฉะนั้นความประเสริฐอยู่ที่เข้าใจ และถ้าไม่มีความเข้าใจขณะนี้นะคะ ขณะที่ไม่เข้าใจก็ล่วงไป เป็นความไม่เข้าใจเรื่อยๆ ไม่ใช่ขณะที่ประเสริฐ แต่ขณะที่ประเสริฐคือขณะไหนก็ได้ ได้ฟังความจริง ซึ่งยากที่จะเข้าใจได้ แต่สิ่งที่เข้าใจแล้ว ไม่หายไปไหนเลยค่ะ สะสมสืบต่ออยู่ในจิต เมื่อวานนี้พูดเรื่องจิต เจตสิก วันนี้ก็กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรม กุศลศีล อกุศลศีล อัพยากตศีล ถ้าเข้าใจแล้วไม่หายไปไหนเลยค่ะ สะสมสืบต่ออีก ๕ เดือนได้ยินอีก ก็รู้ว่าหมายความถึงอะไรอีกชาติหนึ่ง ถ้าสามารถจะไม่ลืม เพราะเกิดเป็นอะไร คะ แล้วแต่เหตุปัจจัยใช่ไหมคะ นี่ก็คือว่าเป็นธรรมทั้งหมดเลยค่ะ แล้วบังคับได้มั้ย ว่าจากโลกนี้จะเกิดที่ไหน เพราะฉะนั้นผู้ที่ประมาท ก็คือขณะนั้นไม่มีสติ ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่เป็นความจริงนะคะ ซึ่งเป็นจริงอย่างนี้ แต่ใครจะรู้ถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟัง เพราะฉะนั้นก็มีความเข้าใจคำที่ได้ฟังละเอียดขึ้น ตรงขึ้น ชัดเจนขึ้น แม้แต่ว่าขณะที่ประเสริฐ คือขณะไหนอย่าได้ล่วงไป ก็เตือนแล้วใช่ไหมคะ ว่าทุกขณะเนี่ยต้องหมดไป แต่หมดไปด้วยอะไร ด้วยความไม่รู้ก็สะสมไป กั้นไปไม่รู้ต่อไป กับขณะที่ค่อยๆ เข้าใจซึ่งประเสริฐมาก เพราะเหตุว่าฟังแล้ว ต่อไปก็เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นแต่ละคำนะคะ สามารถที่จะเข้าใจได้ มิฉะนั้นพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดง

    สนทนาธรรมที่ "โปสเรสเตอรองต์" วันที่ ๒๔ ธันวาคมพุทธศักราช ๒๕๕๘

    ผู้ฟัง กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ธรรมควรต้องเริ่มต้นที่อย่างไรครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็เริ่มต้นเดี๋ยวนี้ เพราะว่าจริงจริงแล้ว ธรรมก็คือสิ่งที่มีจริง ตลอดเวลาไม่เคยขาดไปเลย ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ว่าจะยามป่วยไข้ ยามสนุกสนานเพลิดเพลิน ทำธุรกิจหรืออะไรต่างๆ ทั้งหมด สิ่งที่มีจริงทั้งหมดแต่ละ ๑ นี่ค่ะ เป็นธรรมแต่ละ ๑ เพราะฉะนั้นเราเคยเข้าใจรวมๆ ใช่ไหมคะ อย่างเห็น ได้ยิน ได้กลิ่นรูปร่างสัณฐานต่างๆ ก็เข้าใจว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นคนนั้นคนนี้ แต่ธรรมแล้วต้องเป็น ๑ ปนกันไม่ได้เลย เช่นขณะนี้ค่ะ มีเห็น เห็นเป็น ๑ เห็นไม่ใช่ได้ยิน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนทำอะไร ก็เป็นธรรมซึ่งไม่มีโอกาสจะรู้ว่าเป็นธรรม เพราะไม่เคยได้ฟังพระธรรม แต่ว่าเมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วนะคะ จะได้ยินคำที่คุ้นหูมาก แต่ว่ายังไม่เคยเข้าใจจริงๆ ก็คือว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ค่ะ และก็มีทุกขณะทุกเวลา ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลยนะคะ เพียงแต่ฟังแล้วก็เริ่มพิจารณา คำที่ได้ฟังเป็นคำจริงรึเปล่า หรือสามารถที่จะรู้ความจริงที่กำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ได้แค่ไหน เช่นคำถามแรกนะคะ เห็นมีจริงไหมคะ มีจริงแน่นอน

    ผู้ฟัง มีจริงๆ ครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะทุกคนกำลังเห็น ใช้คำว่าทุกคนกำลังเห็น แต่เห็นไม่ใช่ใครเลยค่ะ ไม่ใช่คนด้วย เห็นเป็นแต่เพียงขณะ ๑ ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น เห็นสิ่งที่ปรากฏเพราะว่าขณะที่ทุกคนกำลังเห็นเดี๋ยวนี้นะคะ คิดถึงรูปร่างกายที่กำลังนั่ง คิดถึงแขนคิดถึงเท้ารึเปล่าคะ ในขณะที่กำลังเห็น ลืมไปเลย ใช่ไหมคะ สนใจในสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะขณะนั้นนะคะ มีความจริง ๒ อย่างแน่นอน ไม่ว่าที่ไหนนะคะ เมื่อมีเห็นก็ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น ทั้ง ๒ อย่างนี่ค่ะต้องเกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีธรรมสิ่งที่มีจริงซึ่งเดี๋ยวนี้เกิดขึ้นเห็น ก็จะไม่มีเห็นเลย แต่ไม่รู้ความจริงว่า เห็นขณะนี้นะคะ เพียงเห็นยากนะคะ แค่เพียงเห็น

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมนี่ค่ะ ก็ไม่ลืมว่านะคะ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร แค่นี้ก็รู้แล้วนะคะ ความลึกซึ้งของแต่ละคำ ต้องไตร่ตรอง เพื่อที่จะได้เข้าใจถูกว่า เป็นบุญที่มีโอกาสได้ฟังคำจริง ที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้รู้ความจริง ก่อนจากโลกนี้ไป เพราะว่าจากโลกนี้แล้วไปไหนคะ ไม่มีใครรู้เลยนะคะ เป็นงูก็ได้ เป็นช้างก็ได้ เป็นนกก็ได้ เป็นเทพก็ได้ เป็นคนที่เกิดในนรกก็ได้ เป็นเปรตก็ได้รูปร่างต่างๆ นะคะ ซึ่งขณะนี้ไม่ปรากฏ เพราะเหตุว่าเป็นคนละภพคนละภูมิ เพราะฉะนั้นที่จะเห็นในโลกนี้ ก็มีมนุษย์กับสัตว์เดรัจฉาน แต่ถ้าพูดถึงธรรมนะคะ เห็นไม่ใช่ใครเลย ไม่ใช่คนนี้ คนนั้น ไม่ใช่งู ไม่ใช่ช้าง เห็นเป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป นี่คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งบางคนนะคะ ตลอดชีวิตไม่มีโอกาสได้ฟัง เพราะเหตุว่าไม่ได้สะสมมา หรือแม้ฟังแล้วก็ไม่คิดถึงว่าเป็นประโยชน์ ที่จะได้เข้าใจความจริง ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะพูดถึงความจริงนี้ได้เลย เพราะเหตุว่า ไม่ใช่ผู้ที่ได้ตรัสรู้ความจริง แต่ผู้ที่ได้ตรัสรู้ความจริงนะคะ พูดถึงทุกอย่างที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ คนที่ไม่มีตาหรือเราบอกว่าไม่มีจักขุปสาทนะคะ เห็นได้ไหมคะ ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่มีใครไปทำเห็นให้เกิดเห็นได้ แต่เห็นในขณะนี้ต้องมีปัจจัย หรือว่าสภาพธรรมที่อาศัย ทำให้เกิดเห็นในขณะนี้แล้วก็ดับไป นี่คือสิ่งซึ่งใครก็รู้ไม่ได้นะคะ ว่ากำลังเป็นอย่างนี้จริงๆ แม้ได้ฟังพระธรรม แต่ปัญญาขั้นฟัง เพียงฟัง ก็เริ่มที่จะเข้าใจว่าเห็นขณะนี้เกิดแน่นอน จึงมีเห็น แต่เห็นขณะนี้เห็นแล้วดับไป

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 178
    17 เม.ย. 2567