ปกิณณกธรรม ตอนที่ 841


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๔๑

    สนทนาธรรม ที่ บ้านเหนือน้ำ จ.ปทุมธานี

    วันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ เกิดมาแล้วก็ต้องเห็นบ้างแล้วก็ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรสรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก เท่านี้เองไม่พ้นจากการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กำลังกระทบสัมผัส และคิดนึก แสดงให้เห็นว่าแม้ธรรมจะเป็นอย่างนี้ แต่เพราะไม่รู้ก็ยึดถือว่าเป็นเราเป็นเขา เกิดแล้วก็ตายระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ก็สุขบ้างทุกข์บ้าง ได้ลาภเสื่อมลาภ ได้ยศเสื่อมยศเหล่านี้เป็นต้้น แต่หารู้ไม่ว่าทั้งหมดแม้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ สั้นที่สุดเพียงแค่เกิดแล้วดับ ยังไม่ทันจะเป็นอะไรเลย จนกว่าสภาพธรรมจะเกิดดับ แต่ละทาง ซ้ำๆ บ่อยๆ จนกระทั่งจำได้ ปรากฏว่าขณะนี้อะไรกำลังปรากฏ ทั้งที่เป็นเพียงสิ่งที่สามารถกระทบตาปรากฏให้เห็น แต่ความจำก็จำคลาดเคลื่อน เพราะเหตุว่าการเกิดดับของสภาพธรรม ไม่ได้ปรากฏให้ใครรู้ได้เลยนอกจากปัญญาที่เข้าใจ และอบรม จนกระทั่งถึงเวลาสมัย กาละ ที่สามารถรู้จริงๆ ว่าขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ละหนึ่ง ไม่ใช่พร้อมกันทั้งหมด ทีละหนึ่งด้วย จึงจะเป็นการรู้รอบในธรรมนั้นจริงๆ ว่าไม่มีอื่นจึงรู้ชัดในความเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้น การฟังอย่างนี้ก็เริ่มเข้าใจความหมายของคำว่าบารมี บารมีหมายความว่า ฝั่งที่พ้นจากกิเลส ขณะนี้เราอยู่ในฝั่งที่เต็มไปด้วยกิเลส และความไม่รู้ แต่อีกฝั่งนึงเป็นฝั่งของผู้ที่ดับกิเลสหมด คนละฝั่ง แต่จากฝั่งนี้จะไปสู่ฝั่งโน้น บางครั้งในภาษาบาลีก็ใช้คำว่า ท่า มีท่าที่จะลงไปสู่ฝั่งโน้น แต่ถ้า เป็นท่าที่ผิด ก็ไม่ได้ไปเลยก็อยู่ฝั่งนี้ แหละ ได้ความเข้าใจผิด เรื่องของภาษาก็เป็นเรื่องที่แล้วแต่ท้องถิ่น และยุคสมัยว่าจะใช้คำไหน เพราะฉะนั้นสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับภาษาเก่าๆ ในพระไตรปิฏก บางครั้งคำอุปมาบางอย่างก็เรียกคำที่ท่านใช้กันอยู่ก็ยากที่จะเข้าใจได้ แต่ถ้าจะไปสู่อีกฝั่งหนึ่ง ไม่มีท่า ที่จะลงไป ก็ไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดได้ฟังคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รู้ว่าหนทางนี้เป็นหนทางเดียว แต่ทางอื่นไม่ใช่ เพราะเหตุว่า ไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มีตามลำดับขั้น

    ด้วยเหตุนี้การศึกษาธรรม เป็นผู้ที่อดทน ใช้คำว่าเป็นผู้ที่อดทนเพราะขณะนั้นมีสภาพธรรมที่อดทนจึงใช้คำว่าผู้ที่อดทน เหมือนอย่างขณะใดที่ความโกรธเกิดขึ้น เราก็บอกว่าคนนั้นโกรธแต่ความจริงความโกรธต่างหากที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าจะกล่าวให้เข้าใจจริงๆ ก็เพราะเหตุว่ามีธรรมเกิด เมื่อเกิดแล้ว เกิดดับเร็วมากรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนก็เลยทำให้มีการยึดถือว่าเป็น สิ่งหนึ่ง สิ่งใด ซึ่งถ้ามีแต่เพียงเห็นอย่างเดียว ไม่มีรูปอื่น ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น ขณะนั้นเห็นเกิด ดับ จะเป็นเราได้ยังไง แต่เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน ต่อกันเร็วมากแยกไม่ออกเลย ก็รวมกันเป็นเราเห็นบ้าง เราได้ยินบ้างแต่แท้ที่จริงก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีปัจจัยเกิด ใครไปทำให้เกิดขึ้นไม่ได้แต่เมื่อมีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้นแล้วก็ดับไป ความจริงเป็นอย่างนี้ถ้าเข้าใจถูกตั้งแต่เบื้องต้นจริงๆ อย่างมั่นคง ก็จะมีการฟังไตร่ตรองเข้าใจขึ้นจนกระทั่งค่อยๆ รู้ความจริงตามลำดับขั้น ถึงการดับกิเลสได้ มิฉะนั้นจะไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะจากความที่เป็นปุถุชน ผู้ที่ยังหนาด้วยกิเลส แต่สะสมบารมีคือคุณความดีต่างๆ เพราะมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่าถ้าเป็นอกุศล ไม่มีทางที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะว่าความไม่ดี อกุศลทั้งหลาย เพราะมีความไม่รู้เช่นความโกรธเกิดขึ้น เพราะไม่รู้ ว่าเป็นแค่เสียงที่ได้ยิน และก็ดับไปแต่ก็ติดตามเรื่องที่ได้ยิน ความเป็นบุคคลนั้นบุคคลนี้ ทำให้มีความโกรธในบุคคลต่างๆ ขณะนั้นก็เพราะไม่รู้ความจริงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำ ถ้าไม่ฟังเผินก็จะค่อยๆ เป็นการที่เข้าใจธรรม จนกระทั่งสามารถที่ทำให้คล้อยตามโน้มไปตามการทีจะเห็นความจริงว่า ทุกข์ทั้งหลายนี่เพราะเหตุว่ามีการเกิดขึ้น ถ้าไม่มีการเกิดจะเจ็บไข้ได้ป่วยไหม จะหิวไหม จะโกรธไหม จะเสียใจไหม ทั้งหมดนี้เพราะมีความเกิดขึ้นของธรรม ซึ่งเกิดสืบต่อกันไม่มีระหว่างคั่นเลย ตั้งแต่เกิดจนถึงขณะนี้สภาพธรรมคือจิตเจตสิกเกิดดับสืบต่อทำงาน ไม่เคยขาดเลยสักขณะเดียว ถ้าเดี๋ยวนี้ไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก มีเราไหมแต่พอมีเมื่อไหร่ก็เป็นเรา เมื่อนั้นตอนที่กำลังหลับสนิท เป็นใครจำได้ไหม เมื่อวานนี้ทำอะไรบ้าง พี่น้องอยู่ที่ไหน ไม่มีอะไรปรากฏให้คิดเห็นว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้เลย มีไหมขณะนั้นหลับสนิท มีแน่นอนแต่ก็ไม่ใช่เรา เพราะเหตุว่าหลับแล้วก็ตื่น ตื่นเมื่อไหร่ก็มีเรากลับมาอีกเมื่อนั้น เพราะว่ามีสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ ถ้าไม่มีสภาพธรรมเหล่านี้เลยจริงๆ ก็ไม่มีเราแม้แต่หลับสนิทก็ไม่มี นี้เป็นความละเอียดอย่างยิ่งที่จะเข้าใจขึ้นได้

    เมื่อได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงด้วยความเคารพ คือด้วยความไม่ประมาทในความลึกซึ้งของธรรม ซึ่งทุกครั้งที่ฟังจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นเมื่อเข้าใจแล้ว ความมั่นคงในการที่จะรู้ว่าสภาพธรรมเป็นอย่างนี้ก็รู้ว่าขณะใดก็ตามที่เห็น หลังจากที่เห็นแล้วก็ติดข้องบ้าง ยินดีต้องการบ้าง หรือขุ่นเคืองใจบ้าง เป็นของธรรมดาแล้วจะไม่มีสภาพธรรมที่รักที่ชังได้ไหม ถ้ามีปัญญา เพราะฉะนั้นปัญญาเท่านั้นที่มีความเห็นถูกว่า ทุกอย่างไม่ถาวรไม่คงที่ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีก ลองคิดถึงสิ่งหนึ่ง สิ่งใดเช่น ไม่มีเสียง แล้วมีเสียง แล้วเสียงก็หายไปไม่กลับมาอีกเลย ซึ่งในขณะที่เสียงปรากฏหมายความว่าต้องมีธรรม คือจิตเจตสิก ขณะนั้นกำลังรู้เสียง เพราะฉะนั้นเมื่อเสียงดับ จิตจะได้ยินเสียงต่อไปได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ทุกขณะ สภาพธรรม แม้ว่าเกิดความสืบต่อ ยากที่จะรู้ได้ในการเกิดดับ แต่พระธรรมที่ทรงแสดงค่อยๆ ทำให้เกิดความเห็นถูกต้อง ว่าชีวิตก็คือชั่วหนึ่งขณะจิต ถ้าไม่มีจิต หนึ่งขณะ แต่ละหนึ่ง ขณะที่เกิดดับสืบต่อ ชีวิตก็ไม่มี ใครก็ไม่มีเลย

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครที่ต้องการจะรู้ความจริงของชีวิต ก็มีหนทางเดียวไม่ฟังคนอื่น เพราะเขาไม่ได้ตรัสรู้ความจริงแต่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง และทรงแสดงความจริงให้คนที ได้ฟังเป็นผู้ที่มีเหตุผลตรงต่อความจริง เริ่มที่จะรู้ว่าถ้าไม่มีความมั่นคงในการที่จะรู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้น และดับไปถ้าไม่มีความมั่นคงอย่างนี้การที่ปัญญาจะเจริญขึ้น จนกระทั่งสามารถประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปของธรรมเมื่อไหร่ เมื่อนั้นจึงจะสามารถรู้ได้ว่า สภาพธรรมที่เกิดดับ นี้หรือเป็นเรา ไม่มีการที่จะเห็นผิดยึดถือว่าเป็นเราอีกได้เลย แต่ต้องอาศัยความเข้าใจขึ้นความเข้าใจขึ้น ซึ่งทำให้ละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราที่ละเล็กที่ละน้อย พอได้เข้าใจอย่างนี้เข้าใจความหมายของบารมี บารมีคือคุณความดีซึ่งถ้าไม่มีคุณความดีอย่างนี้อย่างนี้แล้ว ไม่สามารถที่จะถึงการดับกิเลสได้ เพราะเต็มไปด้วยอกุศลทั้งหมด เพราะฉะนั้นแต่ละบารมี ก็จะรู้ได้ว่าเป็นปฏิปักษ์ต่ออกุศล แต่ว่า ต้องมีการฟังให้เข้าใจถ้าไม่มีความเข้าใจก็ไม่เป็นบารมี เพราะจะไปไหน ถ้าถามดูวันนี้จะไปไหน พรุ่งนี้จะไปไหน ไปโน่นมานี่ตลอดชีวิต และจากนี้ไป จากโลกนี้ไป จะไปไหน ต้องไปแน่นอน แต่ไปไหนไม่รู้ แต่ต้องไปแล้ว ก็ไปอย่างขณะนี้ ไปเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ละภพแต่ละชาติ

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย แต่เพื่อมีความเข้าใจมั่นคงว่า ธรรมเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่รู้ได้ แต่ไม่ใช่เรา หรือไม่ใช่ด้วยความต้องการ หรือไม่ใช่ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ และไปแสวงหาทางอื่น แต่หนทางเดียวก็คือว่าเมื่อมีสิ่งที่กำลังปรากฏแล้วใครล่ะที่จะบอกความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ความละเอียดลึกซึ้งของสิ่งที่ปรากฏจนกระทั่งค่อยๆ น้อมไปสู่การเห็นว่าเกิดมาในโลกนี้ ขณะใดมีประโยชน์ที่สุด สนุกสนานมีประโยชน์แล้วก็หมดไป อาหารอร่อยแล้วก็หมดไป ทุกอย่างหมดไปด้วยความไม่รู้ความจริงว่าไม่เหลือเลยสักอย่างเดียว ไม่ใช่ตอนที่สิ้นชีวิต แม้แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่เหลือเลยสักอย่างเดียวได้ยินเมื่อกี้นี้ดับแล้ว ไม่เหลือเลย ไม่เหลือเลย พูดซ้ำกี่ครั้งก็ใหม่ เพราะเหตุว่า ขณะที่พูดว่าไม่ ดับ เหลือ ดับ เลย ดับ พูดอีก ไม่เหลืออีกเลย อีกก็ดับไปแต่ละหนึ่งขณะ ไม่เหลือเลยจริงๆ ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงอย่างนี้ ก็เป็นผู้ที่เริ่มเห็นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ ถ้าไม่มีการบำเพ็ญบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครมีโอกาสจะได้ฟังคำที่กำลังได้ฟังบ้าง เพราะฉะนั้นด้วยพระมหากรุณา รู้ว่าทุกคน ไม่สามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมซึ่งแม้มีจริงแต่ก็เกิดดับจนลวง เหมือนมายากล ทำให้เข้าใจว่าเป็นคนเป็นสัตว์เป็นสิ่งต่างๆ มีความติดข้องแล้วก็จากไป แล้วก็ไม่เห็นอีก สิ่งที่เคยติดข้อง ถูกต้องไหม ชาตินี้มีความติดข้องในสิ่งที่เห็น แต่เวลาที่จากโลกนี้ไปยังมีความติดข้องในสิ่งที่เห็นในโลกนี้ไหม เปลี่ยนแล้ว ความติดข้องชาติก่อน โลกก่อน ติดข้องในอะไรบ้างก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นจากโลกนี้ไปก็ไม่รู้เลย ว่าเคยติดข้องในอะไรมากมายจนกระทั่งอาจจะทำทุจริตกรรมทางกาย ทางวาจาก็ได้ ซึ่งเป็นกรรมที่ได้กระทำสำเร็จแล้ว สามารถที่จะเป็นปัจจัยที่จะทำให้สภาพธรรมเกิดตามเหตุตามปัจจัยนั้นๆ ซึ่งขณะนี้เดี๋ยวนี้กำลังเป็นผลของอดีตชาติ หรืออดีตกรรมที่ได้ทำแล้ว ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ เป็นผลของชาติก่อนที่ได้กระทำกรรมไว้ทำให้เกิดเป็นคนนี้ และไม่ว่าจะเห็นอะไร ได้ยินอะไร แต่ละชีวิตนี้ก็หลากหลายไปเพราะเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้วที่ต่างๆ กันไป เพราะฉะนั้นขณะนี้ ที่กำลังกระทำกรรม ถ้าเป็นกุศลกรรม เวลาเกิดหลังจากที่ จากโลกนี้ไปแล้วก็แล้วแต่ว่าผลของ อกุศลกรรมหรือกุศลกรรมก็ตาม จะทำให้เกิด เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้สำหรับในชาติต่อไปก็ต้องเป็นเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ แต่ละขณะ เหมือนอย่างนี้เลย ขณะนี้เป็นผลของกรรมในชาติก่อน ชาติไหนใครบอกได้ บอกไม่ได้แต่ต้องมีกรรมที่ได้กระทำแล้ว

    อ.คำปั่น ก็เป็นการกล่าวถึงธรรมที่เกิดดับสืบต่อกันจริงๆ ซึ่งก็หายไปแต่ละขณะ แต่ละขณะ แต่ละขณะจริงๆ สภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไปก็ไม่กลับมาอีกเลย ชาติก่อนๆ นี้ก็เกิดมามากมายนับไม่ถ้วนใช่ไหม แต่ว่าก่อนที่จะผ่านไปเป็นชาติๆ นั่นก็คือผ่านไปแต่ละขณะ แต่ละขณะซึ่งก็คือความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมที่เป็นไปอย่างไม่ขาดสายซึ่งก็ไม่พ้นไปจากสิ่งที่มีจริงจริงที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป

    ท่านอาจารย์ เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว จะทำดี หรือจะทำชั่วเห็นไหมถ้าเข้าใจมั่นคงจริงๆ ปัญญาจะนำไป ในกิจทั้งปวงซึ่งเป็นเรื่องฝ่ายดีทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราเห็นการกระทำซึ่งไม่ดี เกิดจากจิตที่ไม่ดี เกิดจากความไม่รู้ต่างต่าง ก็รู้ได้เลยไม่มีทางที่จะดีถ้าไม่เข้าใจธรรม เพราะเหตุว่า อาจจะมีความดีนิดเดียว แล้วก็หายไปนานแล้วก็อาจจะมีความดีอีกนิดนึง แล้วก็หายไปนานนี่ก็แสดงให้เห็นว่า แล้วอะไร ที่จะทำให้เกิดเป็นอย่างนี้อย่างนั้น ก็ต้องการกระทำที่สำเร็จแล้วแล้วแต่ว่าจะเป็นการกระทำดีหรือทำชั่ว และคำถามต่อไปยังมีอีก ว่าทำดีทำไม

    คือถ้าเป็นเรื่องที่จะเข้าใจธรรม เป็นเรื่องละเอียดอย่างยิ่งที่จะทำให้ตรงขึ้นต่อการที่จะมีชีวิตที่ก่อนที่จะได้ฟังธรรมไม่คิดเลยว่าจะมีชีวิตอีกแบบหนึ่ง ซึ่งต่างกับชีวิตก่อนๆ ชีวิตก่อนๆ ที่ไม่รู้ก็สารพัดที่จะเป็นอกุศล แต่พอมีปัญญาความเห็นที่ถูกต้องขึ้นความเป็นฝู้มีเหตุมีผลขึ้นเท่านั้น ที่เป็นหน้าที่ของปัญญาที่จะทำให้ไตร่ตรองธรรมซึ่งเป็นเหตุเป็นผล สะสมไปเพื่อละความติดข้องซึ่งเกิดเพราะไม่รู้ก็ยังถามต่อไปอีกแล้วทำ ทำไม ทำดีทำไม ก็ต้องเป็นปัญญาที่รู้ว่า เพราะความไม่ดีไม่สามารถจะเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ ความไม่ดีนี้เราใช้คำว่าอกุศลธรรมธรรมฝ่ายไม่ดี โลภะความติดข้อง โทสะความขุ่นเคือง โมหะความไม่รู้ เพราะฉะนั้นทั้ง ๓ อย่าง และอกุศลอื่นๆ ไม่ทำให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะทุกครั้งที่เป็นความไม่ดี และอกุศล ต้องมี อวิชชา ความไม่รู้อยู่ด้วย ไม่เข้าใจความจริงของสภาพธรรมว่าแท้ที่จริงคืออะไร ทุกคนโกรธ โกรธอะไร ลองถามสิ โกรธอะไร ก็ไม่น่าจะโกรธอะไรสักอย่างใช่ไหม โกรธเห็นโกรธได้ยิน โกรธคิ้ว โกรธคิวริกโรสตาร์โกรธทำไมใช่ไหม ก็เพราะไม่รู้ ก็รวมสิ่งนั้นว่าเป็นคนเป็นเรื่องราวต่างๆ แต่ถ้าเข้าใจธรรมแล้วเนี่ย เสียเวลาไหม โกรธอะไร เขาไม่เห็นเดือดร้อนเลยคนที่เราโกรธไม่เดือดร้อน แต่ผู้โกรธนั่นแหละเดือดร้อน เพราะฉะนั้นอะไรทำให้เดือดร้อนไม่มีใครทำให้ใครเดือดร้อนได้นอกจากกิเลสของตนเอง เพราะฉะนั้นกิเลสก็คือความไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นอกุศลเรื่อยๆ และจะรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ไหม เป็นไปไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าใจอย่างนี้ ก็เริ่มเห็นประโยชน์ของการที่จะเป็นกุศล มิเช่นนั้นแล้วก็เป็นอกุศล สลับกันอยู่อย่างนี้ ถ้าไม่เป็นกุศลก็เป็นอกุศลถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นเป็นอกุศลมาตั้งนานกว่าจะเป็นกุศลสักขณะหนึ่ง กับการที่สามารถ กุศลเกิดได้บ่อยขึ้น เพราะรู้ความจริงเพราะเข้าใจความจริง จนกระทั่งเมื่อไหร่กุศลเกิดมากกว่าอกุศล ก็แสดงว่าอกุศลได้ลดน้อยไป แต่ไม่ใช่เราเลย อย่าหวังว่าเราจะทำอะไรได้ แต่เพราะความเข้าใจความจริงของสภาพธรรมเท่านั้นแหละที่จะเป็นปัจจัยทำให้กุศลทั้งหลายค่อยๆ เจริญขึ้นนั่นคือบารมี เพราะเหตุว่าอกุศลไม่ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่กุศลที่เริ่มจัดการสละ วัตถุที่สามารถสละ ให้เป็นประโยชน์แก่คนอื่นได้ ถ้าไม่มีเลยจะสละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราได้หรือ เพราะว่ารักเรายิ่งกว่าใคร แล้วจะไม่มีเราเลยได้ไหมม ถ้าไม่เป็นผู้ที่สามารถสละ สิ่งที่สามารถสละได้ตามกำลังของปัญญา เพราะฉะนั้นการสละของแต่ละคนก็ต่างกันแต่ทั้งหมดนี่ให้ทราบว่า ขณะใดที่เป็นกุศลขณะนั้นสละอกุศล

    เพราะฉะนั้นบารมี ๑๐ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการให้วัตถุที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น แต่ต้องไม่ใช่หวัง เพราะว่าถ้าให้ด้วยความหวังเหมือนการซื้อขายเลย เอานี่ไปเอานั้นมาใช่ไหม แล้วแต่ว่าจะต้องการอะไรก็ซื้อ เพราะฉะนั้นอยากได้สวรรค์ ก็ซื้อด้วยบุญ คิดไว้อย่างนั้นใช่ไหม ทำบุญมากๆ จะได้ขึ้นสวรรค์ นั่นคือบุญหรือเปล่า เพราะว่าบุญต้องหมายความถึงสภาพที่ชำระจิต ให้ผ่องใส เรื่องของธรรมนี่เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก แต่ทั้งหมดด้วยพระมหากรุณา ที่ทรงแสดงให้ผู้ที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ และเต็มไปด้วยอกุศล เริ่มเห็นถูก และเจริญกุศลเพื่อที่จะได้รู้ความจริงสามารถที่จะดับกิเลสได้ ซึ่งการดับกิเลส จะมีไม่ได้เลยถ้าไม่มีการเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น ทำดีทำไม ก็รู้แล้วใช่ไหม เพื่อที่จะได้สามารถเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังในขณะนี้ยิ่งขึ้น จนกระทั่งสามารถประจักษ์ความจริงได้ว่าเป็นจริงทุกคำ แม้แต่การเกิดดับของสภาพธรรมในขณะนี้ก็เป็นอย่างนี้ แต่ความไม่รู้มากมายมหาศาลเหมือนสิ่งที่ดำมืด และก็ปิดกั้นไม่เห็นความจริงของธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมแต่ละครั้ง ขณะนั้นคงไม่รู้ว่าประกอบด้วยบารมีหลายบารมี เป็นผู้ที่ตรงต่อความจริง สัจจะบารมี เป็นผู้ที่มีความเพียร ฟังเพราะว่าไม่ไปทำอย่างอื่นเลย ใครที่จะเห็นประโยชน์ของการแค่ได้ยินเสียงซึ่งเป็นวาจาสัจจะ แต่ประโยชน์มหาศาล ยิ่งกว่าเสียงอื่นใดทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้จริงๆ ว่าแม้แต่ความเพียรก็ไม่ได้ไปเพียร ในเรื่องอื่นแต่เพียรเข้าใจเสียง ซึ่งเป็นคำแต่ละคำ ซึ่งเป็นไปตามเสียงยังพูดไม่เห็นคิดถึงอะไร เห็นไม่ได้คิดถึงได้ยิน เพราะฉะนั้นทุกเสียง เป็นไปตามความหมายของเสียงนั้นๆ ด้วยเหตุนี้การฟังธรรมก็เป็นไปตามความจริงของธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงขณะนี้วิริยะเกิด ไม่ใช่เราแล้วก็ไม่รู้ด้วยเพราะเหตุว่า สภาพธรรมเกิดหลายอย่างพร้อมกัน จิตหนึ่ง พร้อมเจตสิกหลายประเภทเกิด และดับไปพร้อมกัน ในขณะนี้จิตเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่มีอยู่ ในแต่ขณะนี้ไม่ได้ปรากฏ เพราะเกิดดับอย่างรวดเร็วจึงทรงแสดงไว้อย่างละเอียดมากว่า จิตหนึ่ง ขณะประกอบด้วยเจตสิกเท่าไหร่ ในขณะนี้ที่กำลังฟังขณะที่จิตที่ได้ยินเสียงเกิดเป็นผลของกรรม ไม่มีวิริยะเกิดร่วมด้วยเลย แต่ไม่ได้ฟังเฉยๆ ฟังแล้วก็เข้าใจคำที่ได้ฟัง ขณะนั้นต้องมีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วยนี่ก็เป็นบารมีหนึ่ง ซึ่งฟังมากก็เพราะมีความเพียรที่จะฟังแล้วก็มีการเห็นประโยชน์ เป็นปัญญาเจตสิก รู้ว่าคำที่ได้ฟังเป็นความจริง ฟังเพื่อต้องการเข้าใจความจริง ขอให้เข้าใจว่าทุกครั้งที่ฟัง เพื่อเข้าใจความจริง จะได้ไม่หลงทางไปฟังอะไรที่เขาบอก เขาให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วรู้อะไร เข้าใจอะไร เมื่อไม่เข้าใจแล้วก็จะเป็นสัจจะได้อย่างไร

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 178
    12 เม.ย. 2567