ปกิณณกธรรม ตอนที่ 863
ตอนที่ ๘๖๓
สนทนาธรรม ที่ ราวินโฮม รีสอร์ท จ.นครนายก
วันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๙
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เป็นทุกข์สัจจะ จะไม่ไปแสวงหาที่ไหนเลยทั้งสิ้น เพราะว่ามีแล้ว ปรากฏแล้ว ไม่รู้ ถึงจะไปทำอย่างไรก็ตามแต่ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะสิ่งนั้นยังไม่เกิดขึ้น แล้วจะรู้ได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น ถ้าคิดอย่างนั้น โลภะใช่ไหม ถ้าไม่ละ มีหนทางที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมไหม เพราะฉะนั้น อริยสัจจ์ที่ ๒ ต้องมั่นคง แม้ในขั้นของสัจจญาณ และเมื่อสามารถที่จะละความติดข้อง เห็นแล้วว่าเป็นโทษที่จะกั้นปัญญาทั้งหมดเลย ไม่ให้เกิดขึ้น ก็รู้ว่าโลภะมีมาก และทางที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม มีทางเดียว คือ เมื่อไม่มีโลภะ ตราบใดที่มีโลภะ เมื่อนั้นก็จะมีโลภะเป็นเครื่องกั้นตั้งแต่ต้น เพราะว่าไม่สามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้
ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงว่า โลภะนี่แหละ เป็นธรรมที่ไม่สามารถที่จะถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แม้เพียงสัจจญาณ ก็ตรง ที่ว่าการศึกษา การฟังนี่ เพื่ออะไร และแม้แต่การเข้าใจธรรม แม้แต่อารมณปัจจัย หรือ อะไรต่างๆ นี่เพื่ออะไร นี่คือ ละ ละ ละ ในขั้นสัจจญาณ รู้แน่ว่า ถ้าไม่ละ ไม่ถึง ถ้ารู้อย่างนี้ จะไม่ไปไหนเลย และการศึกษาทั้งหมด ก็เพื่อที่จะรู้ว่า ให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่า ไม่มีเรา และไม่ใช่เรา มีธรรมที่เกิดขึ้น
เมื่อมีความมั่นคง ก็เป็นสัจจญาณ ในอริยสัจจที่ ๒ และที่ ๓ เพราะที่ ๒, ที่ ๓ ต้องเกี่ยวข้องกัน และสำหรับอริยสัจจทั้ง ๔ อริยสัจจที่ ๑ กับอริยสัจจที่ ๒ ลึกซึ้ง เพราะเห็นยาก แม้ว่ามีเดี๋ยวนี้ แต่สำหรับอริยสัจจที่ ๓ กับที่ ๔ เห็นยากเพราะลึกซึ้ง เพราะยังไม่มีให้เห็น แต่ว่าที่มีแล้วนี้ เห็นยากจริงๆ ว่าเกิดดับ เพราะว่าลึกซึ้ง และโลภะที่มีก็เห็นยาก ว่านี่แหละตัวเหตุ ที่จะทำให้เป็นไปในสังสารวัฏ ทั้งๆ ที่มี โลภะก็มี ก็ไม่เห็น เพราะฉะนั้น ทั้ง ๒ นี้ เห็นยากเพราะลึกซึ้ง แต่อีกทั้ง ๒ ยังไม่มี ยังไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ลึกซึ้ง จึงเห็นว่า เพียงแค่เข้าใจทีละเล็ก ทีละน้อย อย่างนี้น่ะหรือ จะทำให้รู้แจ้งสภาพธรรม จนถึงการดับกิเลสได้ เพราะยังไม่เคยรู้ ยังไม่เคยรู้ว่าแม้แต่เพียงอย่างนี้
เริ่มตรงตั้งแต่ต้น ตั้งแต่สัจจญาณ และมั่นคง อธิษฐาน วิริยะ ก็เป็นไปแล้ว เพราะว่าจะไม่มีวิริยะได้อย่างไร ก็จากไม่รู้ แล้วกว่าจะรู้ได้ แต่ต้องอาศัยสัจจบารมี กับอธิษฐานบารมีด้วย แล้วก็ไม่ต้องห่วงเลย เนกขัมมะก็มี เพราะเหตุว่าเป็นการละทั้งหมด ขณะใดที่กุศลใดๆ เกิด ขณะนั้นก็เป็นเนกขัมมะ แต่ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่ใช่บารมี
อ.วิชัย แล้วถ้าเป็นความมั่นคงในอริยสัจจที่ ๔
ท่านอาจารย์ ที่ ๔ ก็เหมือนกัน รู้ว่าขณะนี้ ความเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ ทีละนิด ทีละหน่อยนี่ จะนำไปซึ่งการเข้าใจ รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ แต่ถ้าไม่เห็นอย่างนี้ ว่านี่แหละชั่วขณะที่เข้าใจนี้ จากสัจจญาณ จากปริยัติไปถึงปฏิบัติ ไปถึงปฏิเวธ เขาก็กล่าวว่า ไม่ต้องฟังพุทธพจน์ ถ้าใครกล่าวอย่างนี้ก็แสดงว่าไม่มีหนทางเลย เพราะทางนี้ เห็นยาก ลึกซึ้ง เพราะว่าไม่มีให้เห็น แต่พอมีแล้วก็รู้ว่า หนทางนี้หนทางเดียว แต่ว่าเป็นหนทางที่ลึกซึ้ง
อ.วิชัย ก็จากความเข้าใจขึ้นทีละเล็ก ทีละน้อย ลักษณะของความเข้าใจที่จะเป็นหนทางดำเนินไป ก็เริ่มที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น
ท่านอาจารย์ ถ้าเริ่มถูกเมื่อไหร่ และก็มีความเข้าใจมั่นคงขึ้น ทั้ง ๓ รอบ แสดงให้เห็นว่า ทรงพระมหากรุณาที่ทรงแสดงความละเอียดอย่างยิ่ง ไม่ให้เห็นผิด เพราะเป็นพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะค้าน คือผู้นั้นประมาทอย่างยิ่ง ที่คิดว่าเก่งกว่า มีหนทางอื่น และถ้ากล่าวว่า ไม่ต้องศึกษาปริยัติ ก็คือไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
อ.ธีรพันธ์ ท่านแสดงไว้สมชื่อเลยว่า ลึกซึ้ง จึงเห็นยาก นี่แสดงถึงความที่ธรรมนั้น เป็นเรื่องที่ยากจริงๆ มิฉะนั้น ก็จะเป็นการสนทนาเพียงชื่อ เพียงความหมาย และก็คิดว่าเข้าใจว่าศึกษาอริยสัจจ์แล้ว
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ที่เข้าใจแล้ว ก็รู้ได้จริงๆ ว่าทุกคำที่ตรัสเป็นคำจริง
ผู้ฟัง การที่ได้ฟังพระธรรมนี่ทำให้มีความมั่นคงเลยว่า มีทางเดียวเท่านั้น คือ ปัญญา ที่จะทำให้เราค่อยๆ เข้าใจคำสอนของพระพุทธองค์ มีในพระสูตรบ้างไหมที่เขียนว่า ไปถึงการบรรลุธรรมนี่ การเข้าใจสัจจะ มีหลายทาง ไม่ใช่มีทางเดียว
ท่านอาจารย์ นั่นเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือคำของใคร
ผู้ฟัง หรืออาจจะเกิดจากการที่เขาศึกษา แล้วไม่เข้าใจในพุทธพจน์อันนั้น ก็เลยกล่าวไปว่า มีหลายทางที่ทำให้บรรลุ
ท่านอาจารย์ เขากล่าว ใช่ไหม ไม่ใช่พระพุทธเจ้าตรัส เพราะเหตุว่า เมื่อตรัสรู้แล้ว ไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดง เพราะลึกซึ้ง แต่คำว่าไม่น้อมพระทัย หมายความว่า ไม่ใช่ท้อใจ บางคนกล่าวว่าท้อใจ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะท้อใจได้อย่างไร ท้อใจเป็นอกุศล แต่ไม่น้อมพระทัยเพราะขณะนั้นที่ตรัสรู้ เห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งของอริยสัจจธรรม ตั้งแต่ทุกขอริยสัจจ์ สมุทัย นิโรธ และหนทาง คือ มรรค แล้วหนทางอย่างนั้น ใครจะมาบอกได้ แล้วจะรู้อะไร ถ้ามีหนทางอื่น หนทางอื่นทำอย่างไร หนทางอื่นรู้อะไร ในเมื่อกำลังมีเดี๋ยวนี้ ก็ไม่รู้ แล้วถ้าไม่รู้เดี๋ยวนี้ จะรู้อะไร แล้วใครทำ ทำได้หรือ ในเมื่อไม่มีเรา แต่เป็นธรรม ก็ไม่รู้
ผู้ฟัง การที่ได้ฟังธรรม ก็พอเข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่ว่าใครจะมาพบ หรือ พบความจริงได้ง่ายๆ เขาก็ถามหนูว่า ไปรีสอร์ทก็ชอบใจไปหมด โลกนี้น่าอยู่ ตามความเห็นของหนูก็ตอบเขาบอกว่า น่าอยู่สำหรับบางคนที่ทำเหตุมาดี จริงๆ แล้วไม่มีอะไรน่าอยู่หรอก เพราะว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนี้ได้ตลอดไป เป็นความเข้าใจที่ถูกหรือไม่
ท่านอาจารย์ ตราบใดที่ใช้คำนี้ ยังไม่เข้าใจธรรม เพราะอะไร ปัญญาของตนเอง เราจะเอาปัญญาของคนอื่นมาบอกเราได้หรือ แต่ว่าถ้ามีทางใด ที่จะทำให้คนนั้นเข้าใจถูก ก็คือคำของสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่ว่าใครจะกล่าว และความจริงก็ไม่ใช่ใครจะมาบอกให้เราทำ ให้เราเชื่อ เขาบอกว่าถูก เราก็เชื่อว่าถูกแล้ว แต่เขาถูกหรือเปล่า ไม่ได้ทำให้ความเข้าใจของเราเกิดขึ้นเลย ถ้าถูกจริงๆ โลภะมีปัจจัยเกิดไหม ปัญญามีปัจจัยเกิดไหม เลือกให้ปัญญาเกิด ไม่ให้โลภะเกิดได้ไหม ก็เป็นของธรรมดา
เพราะฉะนั้น ปัญญาต้องรู้จริง ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา และธรรมเท่านั้นที่แสดงความเป็นอนัตตา โลภะก็แสดงความเป็นอนัตตา ไม่มีใครบังคับได้ แต่ปัญญาที่อบรมแล้วเท่านั้น ที่สามารถที่จะรู้ความจริงว่า ลักษณะนั้นเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรา เริ่มห่างจากการยึดถือสภาพธรรม เพราะเข้าใจถูก ในสิ่งที่เป็นโลภะที่เกิด เพราะว่าปกติธรรมดา ต้องมีโลภะแน่ ทุกคน ใครไม่มีโลภะ พระอรหันต์ คำนี้ก็แสนไกลอยู่แล้ว ใช่ไหม แล้วยังจะไม่มีโลภะอย่างนั้นหรือ เห็นไหม ไม่ตรงแล้ว ตราบใดที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ก็ต้องมีโลภะ
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่หนีโลภะ ห้ามโลภะ กั้นโลภะ พยายามไม่ให้โลภะเกิด คิดว่าต้องมีเราที่สามารถทำให้โลภะไม่เกิด นั่นคือผิดทันที พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้ใครทำอะไรเลย แต่ว่าทรงแสดงความจริง ให้คนพิจารณาจนกระทั่งเป็นความเข้าใจในเหตุผล ในความตรง เพราะว่าธรรมนี่ ต้องตรง ถ้าไม่ตรง ไม่ได้สาระเลย ต้องกล้าที่จะรู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรจริง อะไรไม่จริง ด้วยปัญญาของตนเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นบอก ถ้าคนอื่นบอก เราก็ยังคงเชื่อคนอื่น แต่เชื่อ ไม่ใช่ความเข้าใจ แต่คำใดก็ตาม ที่ทำให้เข้าใจได้ เป็นประโยชน์มากกว่า ด้วยเหตุนี้ โลภะทุกคนมี ถูกต้องไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เกิดแล้วไม่รู้ ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อรู้ว่าขณะนั้น สิ่งที่มี ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้นได้เลย แต่กำลังมีจริงๆ อย่างนั้น เพราะฉะนั้น กว่าปัญญาจะสามารถเข้าใจถูกในโลภะว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา จนกว่าโลภะจะหมด นั่นคือหนทางเดียว เพราะฉะนั้น ไม่มีใครทำ เกิดแล้ว รู้ตามความเป็นจริงว่า นี่แหละคือ การสะสมของแต่ละหนึ่ง
อ.วิชัย กล่าวถึงการปิดกั้นสังวร ก็ทรงแสดงธรรมที่เป็นเครื่องปิดกั้น แต่ถ้าเป็นบุคคลที่ไม่ศึกษา ไม่เข้าใจ ก็เหมือนกับเป็นเราพยายามที่จะไปกั้น ไม่ให้อกุศลเกิด ไม่ให้โลภะเกิด แต่ที่ทรงแสดงธรรมที่เป็นสังวรธรรม หรือ สังวรนั้น ต้องเป็นลักษณะของธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ฟังธรรม ไม่ใช่เราจะทำ ต้องไม่ลืม ทุกคำเป็นปัญญา ไม่มีการให้ทำอย่างนี้ ไม่ให้ทำอย่างนั้น ถ้าไม่เข้าใจ เหมือนสอนหรือบอกให้เราทำ แต่ความจริงทั้งหมด ให้เข้าใจถูกต้องว่า ไม่มีเรา มิฉะนั้นก็จะเป็นคำของคนอื่น ซึ่งไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนอื่นบอกได้ อย่าทำบาป แต่เราลืมไหม พระพุทธเจ้าตรัสว่าทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้น การฟังธรรม ลืมคำแรกไม่ได้ เพราะว่าคำแรกจะนำไปสู่ “ทุกอย่างเป็นธรรมเมื่อเข้าใจ" แต่ไม่ใช่ ทุกอย่างเป็นธรรมเมื่อเราพยายามจะให้เป็นธรรม นั่นก็ผิดแล้ว ใช่ไหม เพราะฉะนั้น พระธรรมทั้งหมดที่จะรู้ว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ก็คือว่า ทุกคำเป็นไปเพื่อละ ละอะไร ละความไม่รู้
ความไม่รู้ นี่ บางคนก็บอกว่า ทำไมอริยสัจจที่ ๒ จึงกล่าวแต่เฉพาะโลภะ ไม่กล่าวถึงอวิชชา ซึ่งเป็นเหตุ เพราะว่าแม้แต่ในปฏิจจสมุทปทา อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร เราก็ไม่ต้องไปคิดถึงคำนั้น แต่รู้ว่าเราไม่รู้ ใช่ไหม เดี๋ยวนี้ หรือใครรู้ว่า เห็น ไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา เพราะเห็นว่าธรรมทั้งหลาย ต้องเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น คำใดที่ได้ยินที่ตรงกับการที่จะทำให้เข้าใจในความไม่ใช่เรา นั่นถูกต้อง
เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาพระสูตรผิด ทำให้เข้าใจผิด คิดว่า"เป็นเรา" แต่ความจริงไม่ได้บอกว่า เราอย่าทำ แต่ว่า “เว้นบาป” อะไรเว้น ไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพธรรมฝ่ายดี ที่เกิดขึ้นทำกิจเว้นทุจริต ขณะใดก็ตามที่เป็นธรรมที่เป็นฝ่ายไม่ดี อกุศลธรรมเกิดขึ้น ก็ทำทุจริต ใครห้ามได้ แต่จากความเข้าใจนี่ เห็นโทษของอกุศล และเห็นประโยชน์ของการที่ กุศลไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนเลยทั้งสิ้น แต่อกุศลแม้เพียงเล็กน้อย ทำร้ายจิต คนอื่นทำร้ายใครไม่ได้เลยทั้งสิ้น อย่าหลงคิดว่าคนโน้น คนนี้ทำ แต่ว่าอกุศลต่างหาก ที่มี เกิดขึ้นทำร้ายขณะนั้น
เพราะฉะนั้น ทุกคำต้องไม่ลืม อนัตตา ว่าแม้แต่ทุกคำในพระสูตรก็กล่าวถึงความจริง คือ ธรรม ซึ่งต้องเข้าใจด้วย มิฉะนั้นแล้วไม่มีทางที่เราจะละความเป็นตัวตนได้
อ.กุลวิไล แล้วโลภะเกิดเมื่อไหร่ ไม่ต้องห่วง มีอวิชชาเกิดร่วมด้วย คือไม่รู้ในธรรมตามความเป็นจริง
ท่านอาจารย์ แต่อวิชชานี่ บางครั้งก็ใช้คำว่า โง่ ใช่ไหม โมหะ ปิดกั้นไม่ให้รู้ความจริง เป็นอวิชชา ซึ่งไม่รู้ เกิดขึ้นทำหน้าที่ไม่รู้ ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น ตรงกันข้ามกับปัญญา เพราะฉะนั้น อวิชชาจึงติดข้องในสิ่งที่เกิด แต่ใครจะไปรู้หน้าที่ของอวิชชา ซึ่งไม่รู้ ไม่เปิดเผยเลยว่าไม่รู้ เปิดเผยแต่ติดข้อง เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามที่เห็นความติดข้อง ละความติดข้อง คือ ละอวิชชา เพราะเหตุว่าตราบใดที่ติดข้อง เพราะยังมีอวิชชา เมื่อไหร่หมดโลภะ ก็แสดงว่าเมื่อนั้นเพราะรู้ จึงไม่ติดข้อง
เพราะฉะนั้น ถ้าจะแสดงอวิชชา ก็ไม่รู้ ใช่ไหม แต่เวลาแสดงถึงโลภะนี่มากมายพอที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่บางแห่งแสดงทั้งอวิชชาและโลภะ อย่างไรๆ ก็ขาดอวิชชาไม่ได้เมื่อเป็นอกุศล แต่ตัวที่ประจักษ์เด่นมาก แต่ไม่มีใครเห็น ก็คือ เพียงแค่เห็นสิ่งที่ปรากฏ รูปที่ปรากฏยังไม่ดับ อกุศลก็เกิดแล้ว เพราะฉะนั้น อวิชชามีตลอด แต่ที่เราเห็นชัดๆ ก็คือว่า ติดข้องแล้วในสิ่งที่เห็น แต่ตอนที่เป็นอวิชชา ไม่มีทางที่จะรู้ได้ นอกจากว่า โลภะเกิดร่วมด้วยเมื่อไหร่ โทสะเกิดร่วมด้วยเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็ชัดเจนว่าโลภะเป็นความติดข้อง แม้เพียงเล็กน้อย โทสะ คือ ความขุ่นเคือง แม้เพียงเล็กน้อย เพราะอวิชชา
เพราะฉะนั้น รู้เมื่อไหร่ก็คือว่าละอวิชชาเมื่อนั้น ไม่ต้องกังวลเลย เพราะเหตุว่าเป็นสภาพธรรมที่ต่างกัน มีใครคิดจะสู้กับโลภะบ้างไหม มีใครคิดจะปราบโลภะบ้างไหม มีใครคิดจะกั้นไม่ให้โลภะเกิดบ้าง มีใครคิดว่าโลภะเกิดแล้วจะต้องละบ้างไหม เพราะไม่รู้ หนทางเดียว ไม่ใช่เรา แต่ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกตามความเป็นจริง ที่จะค่อยๆ ละโลภะตามลำดับ โลภะที่จะละแรก ก็คือ โลภะที่เกิดร่วมกับความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ค่อยๆ ละไปตามลำดับ
พอโลภะเกิด จะละโลภะ ไม่ใช่ “เข้าใจโลภะ” เพราะฉะนั้นหนทางไหนเป็นหนทางที่ถูก เพราะ ”จะละ” นั้น ด้วยความเป็นเรา แต่เวลาที่เข้าใจโลภะนี่หมายความว่า ขณะนั้นปัญญาอบรมพอ ที่ไม่เหมือนเดิม เวลาที่โลภะเกิดก่อนปัญญาถึงระดับนั้น ก็ไม่ต้องการโลภะ พยายามที่จะกั้นบ้าง คิดต่างๆ นานาบ้าง แต่ว่าปัญญาขณะนั้นไม่ได้เกิดขึ้นรู้ว่า นั่นคือ ธรรม ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น จะเห็นความต่างกันของการอบรมปัญญาว่า เพียงขั้นฟังนั้นไม่สามารถที่จะทำให้เมื่อโลภะเกิดแล้วปัญญาเข้าใจโลภะเลยว่า นี่แหละเป็นธรรมอย่างหนึ่ง นี่คือหนทาง ที่จะนำไปสู่การดับโลภะ แต่ถ้าตราบใดที่ปัญญาไม่มีกำลัง ก็รู้เอง พอโลภะเกิดแล้วเป็นอย่างไร
เพราะฉะนั้น การที่ปัญญาจะค่อยๆ เข้าใจตามความเป็นจริงแต่ละขณะว่า เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จริงๆ ขณะนั้นปัญญาอยู่ไหน เมื่อปัญญาไม่พอ ปัญญาก็เกิดไม่ได้ ต่อเมื่อไหร่ที่ปัญญาพอ เมื่อนั้นก็เข้าใจขณะนั้น ไม่ได้มีความต้องการ เราจะละ เราจะกั้น เรามีกิเลสมากเหลือเกิน ก็เป็นเราทั้งหมด ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะยังเป็นเรา
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ ไม่ใช่ไปละโลภะอื่น ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฎฐัพพะใดๆ แต่ละโลภะที่เกิดกับการยึดถือโลภะว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจความละเอียดอย่างนี้ เวลาที่เข้าใจเพิ่มขึ้น พอโลภะเกิดก็สามารถเข้าใจถูกต้อง และโลภะตรงนั้นก็จะไม่เกิด ค่อยๆ จางลงไป เพราะเหตุว่าปัญญารู้ ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา ข้อแรก คือ ละการยึดถือสภาพธรรมแม้โลภะที่เกิดว่าเป็นเรา อย่าไปคิดที่จะตัวตนทำลายโลภะ กั้นโลภะ
ลึกซึ้งไหม ขั้นฟัง แล้วก็นำไปสู่ความลึกซึ้งขึ้น เมื่อสภาพธรรมปรากฏจริงๆ จะเห็นกำลัง หรือไม่มีกำลังเลย จนกว่าจะมีกำลังขึ้น เพื่อละความเป็นเรา
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์กล่าวว่า ละขั้นการฟัง ละอะไร ได้แค่ไหน ในขั้นการฟัง
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่า ทุกคนพูดถึงอริยสัจจธรรมที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ การละสมุทัย ต้นเหตุของทุกข์เป็นอริยสัจจที่ ๒ แล้วจะเริ่มอย่างไร ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็อยากจะฟังหนทางละอริยสัจจที่ ๒ แต่ว่าเดี๋ยวนี้ มีแน่นอน โลภะซึ่งเป็นอริยสัจจที่ ๒ แล้วจะละอย่างไร บางคนก็รีบร้อนเหลือเกิน จะละโลภะ ไม่รู้ถึงความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรม โลภะเก่ง ทำให้อยู่กันมาในสังสารวัฏฏ์นานแสนนาน แล้วก็จะอยู่ต่อไปไม่สิ้นสุด ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกต้อง ตามความเป็นจริงว่า ละได้ ด้วยการซึ่งได้มีโอกาสฟังพระธรรม แต่ไม่ใช่ฟังเฉยๆ คำที่ได้ฟังแล้วทุกคำ เป็นคำจริง ได้ฟังแล้ว ซ้ำบ่อยๆ เดี๋ยวก็ลืม เพราะเหตุว่าสะสมการไม่เข้าใจสภาพธรรม และการที่จะลืมรู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม มาก เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปถามใครเลยว่าเข้าใจธรรมแค่ไหน ฟังมาแล้วเท่าไหร่ แต่ว่าความเป็นผู้ตรงว่า ธรรม คือ สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เกิดแล้ว ปรากฏ ให้ติดข้อง โลภะมาแล้ว
แต่ว่าท่านผู้ที่ได้ฟังธรรม สิ่งนี้มี เกิดแล้วปรากฏ ให้เข้าใจพระธรรม ไม่ได้ทรงแสดงเรื่องอื่นเลย แต่ทรงแสดงเรื่องสิ่งที่กำลังมี ซึ่งใครก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ แต่เมื่อฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น การค่อยๆ เข้าใจขึ้นในขั้นของการฟังนี้ ก็เป็นการละความติดข้องที่จะเห็นผิด เพราะเหตุว่า การเห็นผิดนี่ง่ายมาก ถ้าสอนให้ทำ สอนให้ได้ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัญญาที่เมื่อเข้าใจแล้ว ก็จะละคลายความติดข้องตามลำดับขั้น
เพราะฉะนั้น ขั้นแรก ไม่มีใครจะไปเป็นพระอนาคามี พระอรหันต์ ไม่มีโลภะในสิ่งที่ปรากฏ ให้เห็น ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส แต่ว่าเป็นสิ่งที่ไม่รู้ จึงติดข้อง ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งเที่ยง และก็เป็นเรา เป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ แต่สิ่งที่ปรากฏอย่างนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ถึงสิ่งที่สุด โดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวงแต่ละหนึ่ง ลองคิดดู ที่ตัวของแต่ละคนนี่ มีธรรมที่เรายึดถือว่าเป็นของเรา แต่พอสัมผัสกระทบ อ่อนบ้าง แข็งบ้าง เย็นบ้าง ร้อนบ้าง ตึงไหวบ้าง ไม่เคยรู้ ไม่เคยสนใจ ไม่เคยคิดว่า นี่คือ การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะรู้ความจริง ที่เกิดแล้วปรากฏ ทำอะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้น เพราะเกิดแล้ว และกำลังปรากฏด้วย
แต่คำสอนที่เกิดจากการตรัสรู้นี้ ก็ทำให้เริ่มรู้ว่า ที่เป็นเรา ก็มีเห็น ขณะนี้เกิดแล้วดับแล้ว จะเป็นเราได้อย่างไร กำลังได้ยิน ก็ไม่ใช่เราอีก มีธรรมซึ่งเกิดขึ้นได้ยินเสียง แล้วก็ดับไป ถ้าค้นหาโดยทั่วจากพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ จะไม่พบเราเลย ไม่มีเลย แต่ว่าเพราะความไม่รู้ แล้วก็เป็นสิ่งซึ่งปรากฏโดยการที่ติดข้องตั้งแต่เกิด
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 841
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 842
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 843
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 844
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 845
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 846
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 847
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 848
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 849
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 850
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 851
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 852
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 853
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 854
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 855
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 856
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 857
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 858
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 859
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 860
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 861
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 862
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 863
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 864
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 865
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 866
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 867
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 868
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 869
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 870
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 871
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 872
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 873
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 874
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 875
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 876
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 877
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 878
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 879
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 880
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 881
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 882
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 883
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 884
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 885
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 886
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 887
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 888
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 889
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 890
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 891
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 892
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 893
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 894
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 895
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 896
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 897
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 898
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 899
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 900
