ปกิณณกธรรม ตอนที่ 894


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๙๔

    สนทนาธรรม ที่ สวนสามพราน ริเวอร์ไซด์ จ.นครปฐม

    วันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น นอกจากธรรมที่เกิดแล้ว ก็ธรรมที่ดับถูกไหม

    ผู้ฟัง ถูก

    ท่านอาจารย์ แล้วกว่าจะรู้ความจริงอย่างนี้มีอีกนานไหม แค่นี้ไม่รู้ใช่ไหม เพียงแค่เริ่มฟัง แต่พระธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษากี่คำ ทุกคำพูดถึงสิ่งที่มีจริง โดยละเอียดยิ่ง ที่จะทำให้คนฟังสามารถที่จะเข้าถึงปฏิปัตติ ความจริงของธรรมโดยปัญญา ซึ่งมาจากการได้ฟังแล้วไม่ใช่ไม่ได้ฟังอะไรเลย ไม่รู้อะไรเลย แล้วไปปฏิบัติธรรม นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มเข้าใจเลยใช่ไหม เพราะฉะนั้นที่ไปทำอะไรสวดมนต์ แล้สอะไรอีก

    ผู้ฟัง แค่สวดมนต์แล้วก็นั่งภาวนาจิต นั่งสมาธิอะไรประมาณนั้น

    ท่านอาจารย์ นั่งภาวนา อะไร

    ผู้ฟัง ท่านก็สอนให้ว่าพุทโธ พุทโธ กำหนดจิตไว้ ให้จิตนิ่งอยู่ อยู่กับใจ อะไรอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ พุทโธคืออะไร จิตคืออะไร รู้ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง พุทโธก็เหมือนว่าเป็น ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าอะไรอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ นึกอย่างไร ไม่รู้จัก ไม่เคยฟัง

    ผู้ฟัง ไม่เคยฟัง ไม่รู้จัก ไม่เคยฟัง

    ท่านอาจารย์ แล้วจะนึกอย่างไรได้

    ผู้ฟัง ก็เขาสอนมาให้ท่องพุทโธ ก็พุทโธ พุทโธไปอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ โดยไม่เข้าใจว่า พุทโธคืออะไร เพราะฉะนั้นถูกไหม

    ผู้ฟัง ไม่ถูก

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นคนตรง แล้วก็ดูจิต รู้จักจิต หรือยัง

    ผู้ฟัง ก็ยังไม่รู้จัก

    ท่านอาจารย์ แล้วไปดูอย่างไร เพราะฉะนั้นถูกไหม

    ผู้ฟัง ไม่ถูก

    ท่านอาจารย์ ไม่ถูก เป็นผู้ตรง เพราะฉะนั้นที่ไปปฏิบัติธรรมถูกไหม

    ผู้ฟัง ไม่ถูกหรือ

    ท่านอาจารย์ เมื่อครู่ไม่พูดมาทีละคำ แต่พอถามถึง

    ผู้ฟัง ไม่ถูก

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องไม่ถูก เพราะว่าไม่รู้แล้วจะถูกหรือ ความไม่รู้ทั้งหมดจะเป็นความถูกไม่ได้เลย ต้องไตร่ตรอง มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง มีพระพุทธรัตนะเป็นที่พึ่ง แล้วต้องมีพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งด้วย เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องต่างกับคำพูดของคนอื่นทั้งหมด อย่าลืม เพราะได้ยินคำว่าธรรม เดี๋ยวนี้รู้แล้วว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงจริง ถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะตรัสรู้อะไร แล้วมีเป็นปกติด้วย แต่ว่าเพราะไม่รู้ จึง พระผู้มีพระภาคเมื่อเป็นพระโพธิสัตว์ยังไม่ได้ตรัสรู้ บำเพ็ญความดีทั้งหมดทุกประการ เพื่อรู้ความจริงของสิ่งซึ่งคนอื่นไม่รู้ เช่น เห็นเดี๋ยวนี้ เกิดแน่นอน ถ้าไม่เกิดก็ไม่มีเห็น แล้วเห็นก็ดับไปด้วย เพราะเห็นไม่ใช่คิด ขณะที่คิดไม่ใช่เห็น ขณะได้ยินก็ไม่ใช่โกรธ ทุกอย่างเป็นแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดดับสืบต่อนล ตั้งแต่ขณะแรกที่เราเรียกว่าเกิด จนถึงขณะสุดท้ายของชาตินี้ที่เราเรียกว่าตาย เป็นธรรมทั้งหมดใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ นี่คือเริ่มรู้จักธรรม ตรงไหม จริงไหม ไม่เปลี่ยนใช่ไหม เพราะฉะนั้นที่ว่าเราเกิดก็คือธรรมเกิด ยังไม่รู้เลยว่าธรรมอะไร ที่ว่าตายก็คือธรรมตาย หมายความว่าไม่เกิดที่จะเป็นอย่างนั้น เป็นคนนั้น เป็นสิ่งนั้น ในโลกนี้อีกต่อไปที่ใช้คำว่าตาย ธรรม ๔๕ พรรษาถ้าไม่ฟังเลยจะรู้กี่คำ ถ้าไม่ฟังเลยไม่รู้เลยสักคำ แต่ถ้าฟังทีละนิดทีละหน่อย ค่อยๆ เข้าใจทีละคำแต่ต้องเป็นความเข้าใจจริงๆ ที่ไม่เปลี่ยน เพราะฉะนั้นถามคนอื่นก็ได้ว่า อะไรเป็นธรรม เขาตอบได้ไหมถ้าเขาไม่ฟัง

    ผู้ฟัง เขาก็ตอบไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ตอบไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็จะมีบุคคลที่ฟังธรรมเข้าใจตอบได้ รู้ด้วย ไม่ใช่แค่ตอบ ไม่ใช่ถามให้ตอบ แต่ให้เข้าใจจริงๆ ไม่เปลี่ยนเลย วันนี้ไม่ลืมคำที่ได้ฟังเมื่อไรก็รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏนั้นมีจริงเป็นสิ่งที่มีจริง ชั่วขณะที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น ในสิ่งที่มีทีละเล็กทีละน้อย อีกนานไหมกว่าจะเข้าใจมากกว่านี้ จนกระทั่งถึงปฏิปัตติ ถึงเฉพาะลักษณะของสิ่งที่ปรากฏด้วยความเข้าใจความจริง ซึ่งขณะนั้นไม่ใช่เราเลย แต่เป็นปัญญาที่ เพราะฟังแล้วเข้าใจก็ค่อยๆ รู้ว่าไม่มีเรา แต่ธรรมนี้ นี่คือพระพุทธประสงค์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงพระธรรม เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วก็เป็นสาวก ผู้ได้ฟังธรรมเข้าใจธรรม เมื่อเข้าใจธรรมแล้ว ก็ประพฤติปฏิบัติตามธรรม จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้ด้วยปัญญาความเข้าใจถูก แต่ถ้ามีความไม่รู้จะดับกิเลสได้ อย่างไร ต่อให้จะไปทำอะไร กี่วัน กี่เดือน ปฏิบัติอย่างไร พุทโธเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ไม่ทำให้มีความเห็นถูกต้อง แต่ว่าคำใดก็ตามพูดถึงสิ่งที่มีจริงจริง พิสูจน์ได้ทุกกาล แล้วเดี๋ยวนี้ก็มี พูดถึงเห็น เห็นก็มี พูดถึงได้ยินได้ยินก็มี เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีนั้นแหละ ภาษาไทยใช้คำว่าสิ่งที่มีจริงๆ ภาษาบาลีใช้คำว่าธรรม ได้ยินคำว่าสัจจธรรม สัจจะความจริงของธรรมยังมีอีก ใช่ไหม อริยสัจจธรรม เพราะฉะนั้นสัจจะของธรรมก็คือว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามขณะนี้ที่กำลังปรากฏ สิ่งนั้นต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดจะมีไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มี ตอนนี้ชัดเจนแล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง เริ่มชัดแล้ว

    ท่านอาจารย์ ได้ยินเกิดในขณะที่ได้ยิน เสียงเกิดมีปรากฏขณะที่ได้ยินเสียงนั้น ถ้าไม่มีการได้ยินเสียงเลย เสียงก็ปรากฏไม่ได้ นี้เป็นธรรมทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตายทุกอย่าง แต่เมื่อไม่รู้ว่าเป็นธรรม ก็เป็นเรา ไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้จักพระธรรม ไม่มีทางที่จะเป็นสาวกผู้ฟัง เพราะว่าไม่ได้ฟังธรรม แต่ฟังคำอื่นซึ่งไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สงสัยแล้วใช่ไหม ใครก็ตามที่ไม่ศึกษาธรรมจะเข้าใจธรรมได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีการฟังคำที่พูดถึงสิ่งที่มีจริง จะเข้าใจสิ่งที่มีจริง ความจริงของสิ่งที่มีจริงได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เคยได้ยินไหม

    ผู้ฟัง เคยได้ยิน

    ท่านอาจารย์ เปลี่ยนได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะเห็นเป็นเห็น แมวเห็นไหม

    ผู้ฟัง เห็น

    ท่านอาจารย์ เริ่มมั่นคงแล้ว นกเห็นไหม

    ผู้ฟัง เห็น

    ท่านอาจารย์ ปลาเห็นไหม

    ผู้ฟัง เห็น

    ท่านอาจารย์ เห็นเกิดแล้วดับใช่ไหม ขณะที่ได้ยินไม่มีเห็น เพราะฉะนั้นคนก็เห็นใช่ไหม

    ผู้ฟัง เห็น

    ท่านอาจารย์ แมวก็เห็น นกก็เห็น ปลาก็เห็น แต่เห็นเป็นแมว เป็นนก เป็นคน หรือเปล่า เห็นเป็นอะไร

    ผู้ฟัง ก็เห็นเป็นคน

    ท่านอาจารย์ ตัวเห็นเป็นอะไร

    ผู้ฟัง ตัวเห็นไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ คือว่าธรรมไม่ใช่สำหรับจำ ไม่ใช่ว่าจำแล้วลืม แต่ต้องเป็นการไตร่ตรอง ว่าเห็นเป็นอื่น เห็นเป็นอะไรไม่ได้เลย เห็นเป็นได้อย่างเดียวคือเป็นเห็น เห็นเป็นอะไรไม่ได้ ถ้าไม่มีรูปร่างนก คน แมว สุนัข ปลา เห็นก็ยังเป็นเห็นใช่ไหม เทวดาก็เห็น เอารูปเทวดาออกเห็น เห็นก็เป็นเห็น พรหมก็เห็น เอารูปพรหมออก เห็นก็ต้องเป็นเห็นเห็นจะเป็นอะไรไม่ได้เลย นี่คือธรรม ปฏิปัตติธรรมเพื่อรู้ความจริง ถึงความเข้าใจถูกในลักษณะของสิ่งที่กำลังมี มิเช่นนั้นแล้วไม่ใช่ปฏิบัติธรรม ชัดเจนไหม

    ผู้ฟัง ชัดเจน

    ท่านอาจารย์ ได้ยินเป็นเห็น หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ เห็นเป็นคิดรึเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ เห็นเป็นนก หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เห็นเป็นเห็น เพราะฉะนั้นประโยชน์ของการฟัง คือเข้าใจ ถ้าเข้าใจขึ้น ชัดเจนขึ้น ละเอียดขึ้น แจ่มแจ้งขึ้น คุ้มค่าต่อการฟังเพราะเป็นประโยชน์จริงๆ ถึงจะนั่งเมื่อยแต่ก็ได้เข้าใจ เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่รู้ตัวเอง ฟังแล้วเข้าใจ หรือยังสงสัย แล้วคำถามทั้งหลาย เป็นคำถามของมิตร ที่ผู้ที่หวังดีไม่อยากจะให้สงสัย ไม่อยากจะให้เข้าใจครึ่งๆ กลาๆ เดี๋ยวเดียวก็ลืม พบกันประโยชน์ที่ให้ที่ดีที่สุดก็คือว่ามีความหวังดี ที่ให้เข้าใจถูกทุกคำเป็นคำจริง แล้วก็เผื่อแผ่ความเห็นถูกความเข้าใจถูกให้คนอื่นด้วย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็น ท่านพระสารีบุตรเห็น เห็นเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นเป็นพระสารีบุตร หรือว่าเห็นเป็นอะไร

    ผู้ฟัง เห็นเป็นเห็น

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นเห็นอย่างเดียว เพราะฉะนั้นเห็นเป็นเห็น ถ้าเห็นเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเห็นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ต้องเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ แต่เพราะเห็นไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ท่านพระสารีบุตร ไม่ใช่อะไรเลย เห็นต้องเป็นเห็น นี่คือเริ่มเข้าใจธรรม คือสิ่งที่มีจริง ไม่มีใครเป็นเจ้าของเลย เพราะเห็นเกิดเห็นแล้วดับไป ตอนหลับสนิทไม่มีเห็นเลย ไม่มีเราไม่มีใครทั้งสิ้น ทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ทำให้เกิดได้ไหม ทำให้ธรรมมาเกิดได้ไหม ปีไม่ได้ เพราะฉะนั้นธรรมเกิด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ไม่ใช่ใคร ทั้งสิ้น เป็นธรรม และไม่ได้เกิดเพราะมีใครทำให้เกิดด้วย แต่เกิดขึ้นเมื่อมีปัจจัยสิ่งที่อาศัยกัน และกัน ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น แล้วก็เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นเข้าใจคำว่าอนัตตา ตรงกันข้ามกับอัตตา อัตตาคือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นคน เป็นนก เป็นสัตว์ นั่นคือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นอัตตา แต่ถ้าอนัตตาก็หมายความว่าไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้น เห็นจะเป็นดอกไม้ได้อย่างไร เสียงจะเป็นดอกไม้ได้อย่างไร เสียงก็ต้องเป็นเสียง สิ่งที่ปรากฏทางตาเปลี่ยนให้ปรากฏทางหูก็ไม่ได้ ชิมสิ่งที่ปรากฏทางตาได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ แน่ใจนะ ที่จะออกมาเป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่ละหนึ่งนั่นคือธรรมแต่ละหนึ่ง

    ผู้ฟัง การที่เราไปนั่งสมาธิ แล้วก็ยังไม่เข้าถึงธรรม แต่ถ้าเราไม่ไปศึกษากับพระ เรามาจะมาสนทนาธรรมกันแบบนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องไหม

    ท่านอาจารย์ ไปวัดเข้าใจธรรมไหม

    ผู้ฟัง คือเราไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ไม่เข้าใจนะ

    ผู้ฟัง คำนี้ไม่เข้าใจ แต่การที่เรารับทอดสืบทอดมาก็คือ ว่าพระเป็นตัวแทนของ ...

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ ต้องเข้าใจนี่คือความละเอียดอย่างยิ่ง พระพุทธศาสนาไม่ใช่สิ่งที่เผิน ใครคิดว่าพอได้ยินแล้วไหว้ก็นับถือไม่ใช่อย่างนั้นเลย ต้องเป็นผู้ที่ตรงแล้วก็ละเอียดอย่างยิ่ง แม้แต่ในครั้งพุทธกาล พระผู้มีพระภาคเสด็จบิณฑบาตมีพระภิกษุเดินตามหลัง พระภิกษุยังเข้าใจความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผิด คิดว่าพระองค์ไม่ได้ทรงตรัสรู้ แต่คิดไตร่ตรองแล้วสอน ต่างกันแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจพุทธปัญญาถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องศึกษา เมื่อเข้าใจธรรมเข้าถึงแล้ว รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่าที่ได้เข้าใจ

    ผู้ฟัง คือตัวเราต้องศึกษาเองต้อง เข้าใจเองใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ แล้วจะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่ศึกษา และไม่เข้าใจ ประโยชน์อยู่ที่เข้าใจถูกต้อง ซึ่งจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่ศึกษาโดยละเอียดยิ่งด้วยความเคารพอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าอาจจะเข้าใจผิดถ้าศึกษาเผินๆ นั่นคือไม่เคารพ

    ผู้ฟัง แต่ถ้าสมมุติว่าศาสนาพุทธนี้จะอยู่ต่อไป ถ้าไม่มีพระสงฆ์เป็นผู้สืบทอด อย่างตัวเราศึกษาเองก็จริงแต่เราไม่สามารถสืบทอดให้ทุกคนรับรู้ได้

    ท่านอาจารย์ ไปวัดแล้วเข้าใจธรรม หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็ยังไม่เข้าใจว่าธรรม คืออะไร

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เข้าใจจะสืบทอดอะไร

    ผู้ฟัง สืบทอดความที่เป็นศาสนาพุทธ

    ท่านอาจารย์ ศาสนาคืออะไร ก่อนอื่นต้องเข้าใจทุกคำ ตรง ศาสนาคืออะไร

    ผู้ฟัง ศาสนาที่..

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน คำเดียวคือคำว่าศาสนา ศาสนาคืออะไร

    ผู้ฟัง คือตามความเข้าใจของดิฉัน ว่าศาสนาก็คือที่เราเข้าใจ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ ไม่ลืมนะ ศาสนาคือคำสอน พุทธศาสนาคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เท่านั้น ไม่ใช่คนอื่น เริ่มมั่นคงหรือยัง

    ผู้ฟัง ใช่ แต่คราวนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อยู่แล้ว เราจะศึกษาตรงนั้นได้จากไหน คำสอนถ้าไม่มีพระสงฆ์ จะศึกษาจากคัมภีร์ หรือว่าจะศึกษาด้วยตัวเองเราก็ไม่รู้เพราะเรา

    ท่านอาจารย์ ก็กล่าวแล้วว่า ไปปฏิบัติธรรมแล้วไม่เข้าใจอะไร แล้วจะสืบทอดอะไร

    ผู้ฟัง ไม่เข้าใจ คือเราไปปฏิบัติธรรม เพื่อความสบายใจเพื่อตัวแล้ว

    ท่านอาจารย์ ผิด

    ผู้ฟัง ไม่ถูก

    ท่านอาจารย์ ไม่ถูก พุทธะคืออะไร พุทธะไม่ใช่ความสบายใจ

    ผู้ฟัง ที่ทำมาก็ผิดหมด

    ท่านอาจารย์ พูดคำที่ไม่รู้จัก กับพูดคำที่เข้าใจ ขณะนี้เพียงเริ่ม

    ผู้ฟัง ก็ยังไม่เข้าใจอาจารย์ ที่อาจารย์สอนลึกๆ คิดตามไม่ค่อยทันเลย

    ท่านอาจารย์ นี่คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดิฉันเป็นใคร ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะลึกซึ้งกว่านี้อีกเท่าไหร่ และมีความเคารพมีพระองค์เป็นที่พึ่ง เป็นรัตนะ ที่หาอีกไม่ได้ในสากลจักรวาล แม้ในพรหมโลก จะมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละครั้ง เพียง ๑ พระองค์ มี ๒ พระองค์ไม่ได้เพราะต้องไม่มีผู้ใดเปรียบ ทั้งในเรื่องของปัญญา ในเรื่องของทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเราจะประมาทพระองค์ว่าจะสอนอย่างธรรมดาธรรมดาอย่างนี้หรือ แม้แต่คำที่เราพูดบอกว่าธรรม เราก็ยังไม่รู้จัก แต่ถ้าเราเข้าใจแล้วเริ่มเห็น เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิเช่นนั้นพระองค์ก็จะไม่ตรัสว่า "ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา "ไม่ใช่ไปเห็นอย่างอื่นเลย เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจธรรมเริ่มเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง ถ้าเราเริ่มอยากเห็น เริ่มเห็น เราจะรับรู้ได้จากตรงไหน

    ท่านอาจารย์ พระพุทธเจ้า ให้คนอื่นรู้ว่าพระองค์เป็นพระพุทธเจ้าด้วยวิธีไหน พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว แล้วคนอื่นจะรู้จักพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยประการใดด้วยวิธีไหน ไม่ใช่บอกให้เขาไปปฏิบัติแน่ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นคิดอีกทีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว ให้คนอื่นได้รู้ว่าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยอย่างไร วิธีไหน ตรัสบอกกับปัญจวัคคีย์เลย เราเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญจวัคคีย์เชื่อไหม

    ผู้ฟัง ไม่เชื่อ

    ท่านอาจารย์ แล้วเชื่อเมื่อไหร่ เมื่อไหร่เขาเชื่อว่าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้จักท่านพระอัญญาโกณฑัญญะไหม เป็นใคร

    ผู้ฟัง โกณฑัญญะก็เป็นพระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่

    ผู้ฟัง ตอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ เป็นองค์แรกใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ พระองค์ตรัสรู้แล้ว แล้วทำไมท่านโกณฑัญญะ จะรู้จักพระองค์ได้ว่าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพอเสด็จไปถึงที่นั่นเตรียมที่จะไม่ต้อนรับ

    ผู้ฟัง ก็นี่คือยังไม่เข้าใจตรงนี้อ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นท่านอัญญาโกณฑัญญะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อไหร่

    ผู้ฟัง เมื่อเห็น เมื่อได้เห็น

    ท่านอาจารย์ เพียงเห็นไม่ต้อนรับ

    ผู้ฟัง ..เห็นไม่ต้อนรับ

    ท่านอาจารย์ คิดเตรียมกันไว้ แต่พอเห็นแล้วก็เปลี่ยน เพราะว่า พระบารมี แล้วก็เป็นสิ่งที่ควรที่จะทำด้วย แต่ว่าจะรู้ในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อไหร่ เห็นหน้ากันอย่างนี้รู้ไหมว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นรู้ว่าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อไหร่ เหมือนยุคนี้สมัยนี้เลย ไม่รู้ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะไม่รู้ว่าท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นคนยุคนี้ไม่รู้ พระผู้มีพระภาคตรัสรู้แล้ว เสด็จไปที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันเพื่ออะไร

    ผู้ฟัง ก็ไปแสดงพระธรรมเทศนา

    ท่านอาจารย์ ทำไมไปแสดงพระธรรมเทศนา เพราะว่าพระองค์ตรัสรู้แล้ว ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้แล้วคนอื่นจะรู้ได้อย่างไร ถูกต้องไหม แม้แต่คำว่าธรรม ถ้าเราไม่พูดถึงจะรู้ไหมว่าธรรมคืออะไร แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ก็ตรัสรู้สิ่งที่เป็นธรรมที่มีจริงๆ นั่นแหละ ที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งโดยประการทั้งปวง ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นท่านพระอัญญาโกณฑัญญะรู้เมื่อได้ฟังพระธรรม แล้วก็ได้รู้ความจริง จะมีใครที่จะพูดคำซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย แล้วก็เป็นคำจริงทุกคำ แล้วผู้ที่สะสมปัญญามาแล้ว ก็สามารถที่จะเข้าใจได้แต่ละคำ เพราะฉะนั้นเราวันนี้จะเข้าใจเท่าท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ก็ไม่ได้ ใช่ไหม ถ้าไม่ได้สะสมมาที่จะพอฟังแล้วก็สามารถที่จะรู้แจ้งปฏิบัติธรรม ภาษาไทยใช้คำว่าปฏิบัติ แล้วก็ปฏิเวธ ประจักษ์แจ้งความจริงตรงตามที่ได้ฟังด้วย นี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสมบูรณ์ และงามพร้อมทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยัง

    ผู้ฟัง รู้จักแล้ว

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น รู้จักพระองค์เท่าที่เข้าใจธรรม แต่ยังมีอีกมาก เพราะฉะนั้นท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงรู้จักคำว่าธรรม แต่ได้ประจักษ์แจ้งความจริงของธรรม เป็นพระอริยบุคคลดับกิเลส

    ผู้ฟัง คำถามของดิฉัน ก็คือว่าเมื่อประมาณปีที่แล้ว ดิฉันได้อยู่ในช่วงที่ได้รับทราบว่าดิฉันน่าจะเป็นมะเร็ง๗๐% แล้วก็ถ้าจะอยู่ได้น้อยที่สุดน่าจะประมาณ๔เดือน

    ท่านอาจารย์ นั่นอีกหลายเดือน กว่าจะตายใช่ไหม คราวนี้พรุ่งนี้อาจจะตายก็ได้ เพราะฉะนั้นยังไม่มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง แต่ถ้ารู้ว่าธรรมทั้งหลายสิ่งที่มีจริงๆ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา วันนี้คิดอย่างนี้พรุ่งนี้คิดอีกอย่าง ไม่มีการที่จะบังคับบัญชาได้ เหมือนตอนนั้น ตอนที่คิดว่าจะเป็นมะเร็ง ก็ไม่มีการที่จะไปบังคับบัญชาความคิดตอนนั้น พอไม่ใช่มะเร็งก็ไม่มีใครไปบังคับบัญชาว่า ไม่กลับมาคิดอย่างนี้ อีกแสดงให้เห็นว่า ถ้ามีความเข้าใจธรรมมากขึ้น มีที่พึ่งคือความเข้าใจถูกเพราะว่าจริงๆ แล้ว ถ้าคิดได้ไม่ใช่เพียงแค่อีก๔เดือนแค่อีก ๑ วัน ๑ ชั่วโมง ถ้าเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เริ่มเข้าใจความจริงว่าเกิดมาแล้วอยากจะเป็นอย่างนั้น ไม่อยากจะเป็นอย่างนี้ อยากจะคิดอย่างนั้น ไม่อยากจะคิดอย่างนี้ แต่ชัดเจนก็คือว่าไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาอะไรได้เลย เพราะฉะนั้นระหว่างความไม่รู้กับความรู้ ระหว่างมีความคิดที่ทำให้ตนเองไม่สบายใจ กับมีการเข้าใจถูกว่า เกิดมาแล้วจะไม่สบายใจทำไมใช่ไหม มีหนทางที่จะไม่เป็นอย่างนั้นได้ ทางที่แน่นอนที่สุด และไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว ก็คือถ้าได้เข้าใจธรรมขึ้น จะเป็นที่พึ่งไปตลอดทุกชาติ เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเหตุการณ์ข้างหน้าเราจะพบอะไร ยังไม่ตาย ยังจะมีอะไรเกิดขึ้นตั้งหลายอย่าง อาจจะทั้งที่น่าพอใจ และไม่น่าพอใจอย่างแรงก็ได้ แล้วก็ที่เคยเกิดมาแล้วในชาติก่อนๆ ถ้าเป็นคนที่เข้าใจเรื่องเหตุผล ไม่ได้มีแค่ชาตินี้ชาติเดียว ก็หมดไปแล้ว ก็หมดแล้วก็ไม่มีอะไร เพราะฉะนั้นถ้าถึงชาติหน้าต่อไปเราก็ไม่รู้อีกว่าเราจะมีอะไร เพราะฉะนั้นเตรียมรับทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นในชาตินี้ แล้วก็มั่นคงขึ้น เพราะว่าที่จะพบต่อไปในชาตินี้อาจจะร้ายแรงยิ่งกว่านั้น หรือว่าในชาติหน้าอาจจะร้ายแรงยิ่งกว่านั้น หรืออาจจะดีก็ได้ แต่ทั้งหมดก็คือว่าหลง ไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นถ้ารู้ความจริงเป็นที่พึ่งที่แท้จริง


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 178
    24 เม.ย. 2567