ปกิณณกธรรม ตอนที่ 882
ตอนที่ ๘๘๒
สนทนาธรรม ที่ เรือนทองทิพย์ จ.เชียงราย
วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๙
ท่านอาจารย์ คงมีโอกาสบ้างบางโอกาส ตามกาลที่สมควร ต้องเป็นผู้ที่รู้จักบุคคล แล้วก็รู้จักเวลาด้วย แล้วรู้จักว่าสิ่งนั้นมีประโยชน์ไหม เพราะว่าข้อความในพระไตรปิฎกมีว่าคำดีเป็นคำชั่ว สำหรับผู้ที่ไม่เห็นไม่เข้าใจในคำที่ดีนั้น เขาต้องโกรธ เขาต้องว่าผิด เขาต้องว่าไม่เคารพหรืออะไร แต่คำจริงถูกหรือผิด เปลี่ยนคำจริงไม่ได้ แล้ววันหนึ่งก็คงสามารถที่จะได้ยินได้ฟังแล้วก็ไตร่ตรอง อย่างคุณ เป็นต้น ก็ได้ผ่านมาแล้ว และก็ได้เริ่มเข้าใจได้ยินได้ฟังว่าคำจริงคืออะไร ก็เป็นผู้ที่มั่นคงต่อคำที่ถูกต้องซึ่งเป็นคำจริง ก็จะไม่กลับไปหาคำที่ไม่จริง ก็เป็นสาวกคือผู้ฟังพระธรรม ก็เป็นผู้ที่หวังดี แล้วก็แทนคุณด้วยความดีด้วยความถูกต้อง ไม่ใช่แทนคุณใครด้วยความร้ายความชั่ว เพราะคุณคือความดี จะเอาการกระทำร้ายทำชั่วไปตอบแทนคุณไม่ได้ การจะตอบแทนคุณ ก็คือว่าต้องแทนด้วยความดีเท่านั้น เพราะฉะนั้นเป็นคนดีเข้าใจธรรม ไม่ต้องเดือดร้อนเลย เพราะความดีไม่เดือดร้อน ความเข้าใจธรรมก็รู้ว่าต่างคนก็ต่างคิด ต่างคนก็ต่างสะสมมา ต้องเป็นผู้ที่ตรง พระธรรมทำให้ตรงต่อเหตุผล ต่อความเป็นจริง ต่อความถูกต้อง
เมื่อมีโอกาสได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องรู้จักว่าเป็นใคร แล้วเราเป็นใคร สามารถที่จะเข้าใจคำของพระองค์ อย่างที่พระองค์ได้ตรัสรู้หรือเปล่า พูดคำเดียวกัน แต่คนที่พูดมีปัญญากับคนที่ฟังไม่มีปัญญา คำเดียวกันก็เข้าใจไม่ตรงกัน เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร เราเป็นใคร เคารพสูงสุดคือฟังด้วยความเคารพ ไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง นั่นคือความเคารพในพระรัตนตรัย ตรงกับที่กล่าวว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่มีคนอื่นเป็นที่พึ่ง
ผู้ฟัง กรณีถ้าเกิดสมมติว่าสมาธิเรารู้อยู่แล้วว่า ไม่เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพาน แต่สมาธิในทางการแพทย์หรือทางวิทยาศาสตร์ก็ตาม ก็เชื่อว่าการทำสมาธิจะทำให้สุขภาพดีขึ้น ร่างกายดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำวิจัย หรือว่าอะไรต่างๆ ถ้าทำสมาธิ อย่างเช่น คนป่วยทำสมาธิเพื่อให้สุขภาพดีขึ้น เหมือนคนป่วยต้องออกกำลังกาย อย่างนี้ถือว่าเป็นสมาธิที่ผิดไหม ถึงแม้จะทำเป็นมิจฉาสมาธิก็ตาม
ท่านอาจารย์ ไม่มีใครถือ ต่างคนต่างถือ คนนี้ถือว่าอย่างนั้น คนนั้นถือว่าอย่างนี้ แต่สมาธิคืออะไร
ผู้ฟัง สมาธิคือจิตที่ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว
ท่านอาจารย์ จิตเป็นสภาพรู้ เป็นใหญ่เป็นประธาน ขณะที่เห็นจิตเห็น ขณะที่คิด ก็ต้องมีจิตและเจตสิกเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นจิตจะเกิดตามลำพัง โดยไม่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นที่พูดว่าสมาธิ เป็นอะไร
ผู้ฟัง สมาธิเป็นเจตสิก
ท่านอาจารย์ คืออะไร
ผู้ฟัง เป็นเอกัคคตาเจตสิก
ท่านอาจารย์ ก็มีชื่อมาก หมายความว่าฟังมาแล้วเยอะพอสมควร แต่สำหรับทั่วๆ ไปก็ให้ทราบว่า จิตกับเจตสิกต่างกัน แล้วคำว่าสมาธิหมายความถึงอะไร ก่อนที่จะรู้ว่าเป็นเจตสิกอะไร
ผู้ฟัง สมาธิ หนูเข้าใจว่าเป็นเจตสิกชนิดหนึ่ง ที่ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว แต่ว่าเท่าที่เคยฟังมา ก็คือปกติแล้วสมาธิก็มีอยู่ในจิตทุกขณะอยู่แล้ว ก็คือเกิดร่วมกับจิตทุกขณะ แต่เป็นสมาธิที่ไม่ได้นิ่งอยู่ในอารมณ์เดียว หรือว่าอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งนานพอเพียง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสมาธิก็เป็นธรรมหนึ่ง ซึ่งเป็นนามธรรม ไม่ใช่จิตแต่เป็นเจตสิก เจตสิกหลากหลายมาก เพราะฉะนั้นสำหรับเจตสิกนี้ คือสภาพที่ตั้งมั่นในอารมณ์ เกิดกับจิตทุกขณะ แสดงว่าที่จิตเกิดขึ้นและมีอารมณ์ได้หนึ่งอารมณ์ก็เพราะเจตสิกนี้แหละ ที่เมื่อตั้งมั่นในอารมณ์นั้นอารมณ์เดียว จิตก็ต้องรู้เฉพาะอารมณ์นั้นอารมณ์เดียว เพราะฉะนั้นจิตที่ใช้คำว่าสมาธิ มีเอกัคคตาหรืออะไรก็ตามที่คุณหมอกล่าวถึง หมายความว่าถ้ากล่าวแล้ว โดยสภาพธรรมเป็นเจตสิกที่ตั้งมั่นในอารมณ์ ต้องเข้าใจทีละขั้น เพราะฉะนั้นเวลาที่จิตขณะไหนก็ตาม อย่างขณะที่กำลังเห็น จิตเกิดขึ้นเห็นมีเอกัคตาเจตสิก เอกะก็หนึ่ง เพราะฉะนั้นเป็นเจตสิกที่ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่ง จิตจะเกิดโดยไม่มีเจตสิกไม่ได้เลย และอย่างน้อยที่สุดจะมีเจตสิก ๗ ประเภท น้อยมากเลย นอกจากจิตที่มีเจตสิกเกิด ๗ แล้ว ซึ่งมีเพียง ๑๐ จิตอื่นทั้งหมดมีเจตสิกมากกว่านี้ นี่ค่อยๆ เริ่มเห็นว่าทุกวันต่างกันไป แม้แต่จิตก็บางประเภทมีเจตสิกเกิดน้อย บางประเภทก็มีเจตสิกเกิดมาก ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นกำลังเห็นเดี๋ยวนี้ มีเอกัคคตาเจตสิกซึ่งใช้คำว่าสมาธิไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เพราะอะไร
ผู้ฟัง มี เพราะเกิดกับจิตทุกดวง
ท่านอาจารย์ เพราะเจตสิกนี้ต้องเป็นปัจจัยให้จิตทุกดวงเกิดขึ้น ที่จะตั้งมั่นในอารมณ์เดียว แต่ว่าจิตเห็นแล้วก็ได้ยิน แล้วก็คิด แล้วก็ได้กลิ่น แล้วก็ลิ้มรส ตั้งมั่นสั้นๆ เพียงแค่หนึ่งหนึ่งหนึ่ง ไม่ปรากฏความตั้งมั่นนานๆ พอที่จะใช้คำว่าสมาธิที่เราเข้าใจกัน เพราะฉะนั้นถ้าใช้คำว่าสมาธิ ก็หมายความว่า จิตเกิดขึ้นรู้สิ่งนั้นแหละ สิ่งเดียวนั่นแหละบ่อยๆ นานๆ ไม่ไปรู้อย่างอื่นเลย จนกระทั่งลักษณะของสภาพของสมาธิปรากฏ ที่มีคำว่า เอกัคคตาเจตสิก และมีคำว่าสมาธิด้วย สมาธินั้นคืออะไรมาจากไหน ก็คือเอกัคคตาเจตสิกซึ่งตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่ง อารมณ์นั้นอารมณ์เดียวบ่อยๆ จนกระทั่งปรากฏว่ามั่นคงในอารมณ์นั้น เพราะฉะนั้นถามว่าเดี๋ยวนี้มีสมาธิไหม ต้องเข้าใจจริงๆ มีเจตสิกแน่ ที่ชื่อว่าเอกัคคตาเจตสิก เพราะเหตุว่าเจตสิกที่ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่ง และเมื่อเกิดกับจิตทุกดวง ไม่ว่าจิตอะไรทั้งหมด จะเกิด จะตาย จะเห็น จะได้ยิน จะคิด จะนึก ทั้งหมดต้องมีเอกัคคตาเจตสิกเกิดร่วมด้วย โลกุตรจิตมีนิพพานเป็นอารมณ์ ที่เอกัคคตาเจตสิกไหม มี วาจาสัจจะเปลี่ยนไม่ได้ เมื่อเจตสิกนี้ต้องเกิดกับจิตทุกประเภท ไม่ว่าจิตอะไรทั้งนั้น มีอะไรเป็นอารมณ์ทั้งนั้น ก็ต้องมีเอกัคคตาซึ่งทำให้จิตตั้งมั่นในอารมณ์นั้น ทีละหนึ่งขณะ สั้นไหมหนึ่งขณะ สั้นมาก ไม่ปรากฏลักษณะที่เราเรียกว่าสมาธิ แต่เมื่อไหร่ที่ตั้งมั่นนานๆ จะใช้คำว่าทำสมาธิหรือว่าจิตเป็นสมาธิ รู้ได้เลยว่า จิตนั้นตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่ง คืออารมณ์ของสมาธินั้นบ่อยๆ จนกระทั่งปรากฏว่านาน เพราะฉะนั้นถามว่าเดี๋ยวนี้มีสมาธิไหม
ผู้ฟัง สำหรับหนูคิดว่าตั้งมั่นในการฟัง ตอนฟังท่านอาจารย์อยู่ก็คือคิดว่ามีสมาธิที่ปรากฏนานพอสมควร
ท่านอาจารย์ ฟังทีละคำใช่ไหม
ผู้ฟัง ฟังทีละคำ
ท่านอาจารย์ แล้วก็เห็นด้วย ขณะที่เห็นก็ไม่ใช่ขณะที่ฟังใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ หมายความว่าเดี๋ยวเห็น เดี๋ยวฟังใช่ไหม
ผู้ฟัง ค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวเห็น เดี๋ยวฟัง เดี๋ยวคิด เดี๋ยวชอบ ทั้งหมดเป็นลักษณะของอาการที่ปรากฏของสมาธิหรือเปล่า เพราะฉะนั้นคำถามทุกคำถามเพื่อตอบ เพื่ออะไร เพื่อรู้ว่าผู้ฟังคิดอะไร และเข้าใจแค่ไหน ไม่อย่างนั้นการสนทนาไม่มีประโยชน์เลย เหมือนเดิม คือคิดอย่างไรมา ก็เหมือนอย่างนั้น แต่ว่าการสนทนากัน ก็ทำให้ได้เพิ่มเติมไตร่ตรองว่า ได้ยินคำว่าเอกัคคตาเจตสิก หมายความถึงเจตสิกหนึ่ง แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ไม่มีลักษณะอย่างเดียวกัน ต่างกันจึงมีชื่อต่างๆ กัน เจตสิกนี้เรียกว่าโลภะ เจตสิกนั้นเรียกว่าเวทนาหรือความรู้สึก เจตสิกนั้นเรียกว่าสัญญาหรือความจำ เจตสิกนี้คือเอกัคคตาคือสภาพธรรมที่ตั้งมั่นในอารมณ์ เพราะฉะนั้นเจตสิกแต่ละหนึ่งต่างกันเป็น ๕๒ ประเภท ปะปนกันไม่ได้เลย เกิดพร้อมกันได้ แต่เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดพร้อมกัน ไม่ใช่รวมกันเป็นหนึ่ง แต่ละหนึ่งเกิดพร้อมกัน เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้รู้แล้ว เอกัคคตาเจตสิกเป็นชื่อของเจตสิก ๑ ประเภทใน ๕๒ ซึ่งต้องเกิดกับจิตทุกขณะ ขณะเห็นมีเอกัคคตาเจตสิกเกิดร่วมด้วยไหมกับจิตเห็น
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ ขณะได้ยินมีเอกัคคตาเจตสิกเกิดร่วมด้วยไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ ขณะที่กำลังจำ มีเอกัคคตาเจตสิกเกิดร่วมด้วย
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ ทั้งหมดเลย ไม่ขาดเลย ตั้งแต่เกิดจนตาย มีเอกัคคตาเจตสิกเกิดร่วมด้วย เดี๋ยวนี้ก็มีใช่ไหม เพราะจิตเกิดดับเร็วมาก เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยินพวกนี้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีสมาธิไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไม่มี จึงไปทำสมาธิกันใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะว่าไม่มี จึงทำ เพราะฉะนั้นเอกัคคตาเจตสิกต้องเป็นเอกัคคตาเจตสิก แต่สมาธิก็คือเอกัคคตาเจตสิก ซึ่งเกิดกับจิตที่รู้อารมณ์เดียว อารมณ์นั้น เฉพาะอารมณ์นั้นบ่อยๆ ไม่ไปที่อารมณ์อื่นมาก จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจว่าเป็นสมาธิ เพราะฉะนั้นถ้าจริงๆ แล้ว ถ้าจะกล่าวถึงการที่จะให้จิตตั้งมั่นที่เป็นกุศลที่ถูกต้อง จะต้องอยู่ในที่ๆ ไม่มีอารมณ์มาก ไม่มีเสียงต่างๆ มารบกวน เพราะเหตุว่าเพื่อที่จะให้จิตตั้งมั่นอยู่ที่อารมณ์นั้น ทุกอย่างเป็นเรื่องที่ละเอียด อย่าเพิ่งกระโดดข้ามไปจากนี่ไปนั่น แล้วก็ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ไม่เข้าใจจริงๆ เพียงได้ยินได้ฟังแล้วก็สับสน เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ก็มีความเข้าใจว่าขณะนี้เห็น มีเอกัคคตาเจตสิกเกิดร่วมด้วย มีอาการลักษณะของสมาธิปรากฏไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ แต่ถ้าบ่อยๆ ที่เดียวมีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ ชื่อว่า ขณิกสมาธิ เพียงชั่วขณะ ชั่วขณะ ชั่วขณะ ยังไม่ตั้งมั่นที่จะปรากฏอาการของสมาธิ ที่คนทั่วไปเข้าใจว่าเป็นสมาธิ เพราะฉะนั้นอย่างเราบอกว่าอย่าพูด กำลังคิดเรื่องนี้ จะได้มีสมาธิ แสดงว่าต้องการคิดเฉพาะเรื่องนั้น ไม่ต้องการเรื่องอื่นเลยใช่ไหม เพื่อที่จะได้เข้าใจหรืออะไรก็แล้วแต่ ที่จะให้มั่นคงให้มั่นคงในอารมณ์นั้น ก็ใช้คำว่าสมาธิ หรือบางคนก็บอกว่า มาพูดก็เลยทำให้เสียสมาธิ กำลังเป็นสมาธิหรือทำสมาธิอยู่ พวกนี้ก็เป็นชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นธรรมทั้งหมด แต่เพราะไม่รู้ความละเอียดยิ่ง ซึ่งเป็นธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่อเร็วมาก ก็เลยไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริงได้ชัดเจน เข้าใจเลาๆ เวลานี้ก็เข้าใจเลาๆ เพราะว่าจิตเดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน ก็เลยไม่รู้ว่าสภาพรู้คืออย่างไร มีแต่เสียง มีแต่สิ่งที่ปรากฏทางตาให้รู้ แต่ตัวจิตที่เกิดดับไม่รู้ รู้ว่ามี แต่ไม่ได้ปรากฏให้เห็นให้ได้ยินได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นจะพูดถึงอะไร ตอนนี้คุณหมอเข้าใจสมาธิแล้ว เชิญพูดถึงสมาธิที่คุณหมอต้องการ
ผู้ฟัง ขณะที่หนูฟังธรรมจากท่านอาจารย์อยู่ ฟังแล้วก็คิด ฟังแล้วก็คิด ถือว่ายังไม่
ท่านอาจารย์ ถือคืออะไรก่อน ถือเป็นความจริงหรือเปล่า
ผู้ฟัง ทุกอย่างเป็นความจริง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเวลาที่คุณหมอถือว่า เป็นความจริงหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นความจริง
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ เป็นความคิด ถ้าจริงแล้วไม่ต้องถือเพราะจริง เพราะฉะนั้นรู้จริงหรือเปล่า หรือถือว่าจริง แต่ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า เพราะฉะนั้นแต่ละคำนี่ต้องชัดเจน คุณหมอถือว่ามีจิตหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ถือว่า มีจริงๆ
ท่านอาจารย์ เพราะจิตมีจริงๆ คุณหมอถือว่าเอกัคคตาเป็นสมาธิหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ถือว่า
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็มีการที่ว่า ถ้าเราถือว่าแปลว่าเรายังไม่มั่นคงเลย เพียงแต่ความคิดของเราเท่านั้นที่เข้าใจว่าเป็นอย่างนี้ เราก็ถือว่าอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจะมีคำว่าถือว่าตลอด เขาถือว่าเป็นอย่างนี้ เขาถือว่าโลกไม่เที่ยง โลก แต่เขารู้จักโลกหรือยัง พูดคำที่ไม่รู้จักตั้งแต่เกิดจนตาย จนกว่าจะรู้ว่าคืออะไร เพราะฉะนั้นสมาธิที่คุณหมอต้องการ ต้องการสมาธิอะไร
ผู้ฟัง เวลาฟังท่านอาจารย์พูดเกี่ยวกับธรรม แล้วก็พิจารณาไตร่ตรอง แล้วก็กลับมาฟัง เป็นขณิกสมาธิไหม
ท่านอาจารย์ จะใช้ชื่อหรือว่าไม่ใช้
ผู้ฟัง ขอใช้
ท่านอาจารย์ เพราะว่าชื่อทำให้ติดใช่ไหม ตอนนี้ก็โลภะมาแล้ว ไม่เคยรู้ตัวเลย โลภะครองบ้านครองเรือน อยู่กับใจมาตลอดนานแสนนาน อุปมาเหมือนช่องว่าง อากาศธาตุที่คั่นอยู่ระหว่างกลาป สิ่งที่เล็กที่สุดที่แยกออกอีกไม่ได้ หรือมิฉะนั้นก็ถึงแม้อยู่ในห้อง ก็มาได้ทางอากาศ ตราบใดตรงไหนยังมีอากาศ โลภะก็ยังที่จะมาได้ แสดงให้เห็นว่าประมาทโลภะไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วไม่อยากจะใช้ชื่อเลย แต่ว่าถ้าไม่ใช้เลย ก็เจตสิกก็ตั้งหลายเจตสิก ก็จำเป็นบ้างที่จะต้องเริ่มรู้จักเจตสิกแต่ละหนึ่งโดยชื่อต่างๆ เริ่มเข้าใจธรรม เป็นสิ่งที่เป็นปรมัตถธรรม เปลี่ยนไม่ได้ ความจริงเป็นอย่างนี้ กว่าจะรู้ความจริงอย่างนี้ ก็คือว่าไม่รู้เลย ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม หรือถ้าฟังเพียงผิวเผิน ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย พระองค์ไม่เผิน ถ้าเผินไม่ใช้คำว่าตรัสรู้ รู้ความจริงทุกสิ่งทุกอย่างโดยประการทั้งปวงถึงที่สุด
เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจแล้ว ที่พูดว่าสมาธิ สมาธิ ก็คือเอกัคคตาเจตสิก เกิดกับจิตทุกประเภท แล้วแต่ว่าจะตั้งมั่นอยู่ที่อารมณ์ใด นานหรือไม่นาน ถ้าตั้งมั่นอยู่ที่อารมณ์ใดนาน ก็พูดกันว่ามีสมาธิ คนนั้นมีสมาธิ ไม่ต้องทำก็ได้ใช่ไหม แต่ไม่พอ อยากจะทำให้มากขึ้นอีก ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ก็ต้องรู้ว่าสมาธิมีกี่ประเภท มิจฉาสมาธิก็มี สัมมาสมาธิก็มี ถ้าไม่รู้ก็เป็นมิจฉาสมาธิแน่นอนเพราะไม่รู้ จะเป็นสัมมาสมาธิได้อย่างไร จะเป็นสัมมาสมาธิต่อเมื่อปัญญารู้ จึงเป็นสัมมาสมาธิ นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งไม่ทำให้เราหลงคิดว่าเข้าใจแล้ว หลงคิดว่าทำแล้วแต่ผิด แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าถูกคืออย่างไร คงไม่ลืม มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เมื่อได้มีโอกาสได้ฟังและได้เข้าใจ แต่ถ้าไม่ได้ฟังเลย มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งได้ไหม ไม่ได้ฟังเลย ไม่ได้เข้าใจเลยสักคำ แล้วก็บอกว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งได้ไหม ไม่ได้ ได้แต่พูด แต่ไม่รู้ว่ารัตนะคืออะไร การที่เราจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ใครรู้ได้ว่าอีกนานเท่าไหร่ เย็นนี้เท่านั้นก็ได้ พรุ่งนี้เท่านั้นก็ได้ เดือนนี้เท่านั้นก็ได้ ปีนี้เท่านั้นก็ได้ หรือแม้ขณะต่อไปก็ได้ หมดความเป็นบุคคลนี้โดยสิ้นเชิงไม่เหลือเลย ไม่มีจะไปหาที่ไหน ค้นคว้าใน ๓ โลก มนุษย์โลก เทวดาโลก พรหมโลก เดรัจฉานโลก นรก สวรรค์ที่ไหน ไม่มีอีกเลย เพราะธรรมมีปัจจัยเกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย แล้วเรายังยึดติดมั่นในความที่เป็นคนนี้ โดยการยึดถือว่าเป็นเรา จะต้องไม่ผิด ผิดแล้วไม่แก้ไขหรืออะไรอย่างนี้ แล้วจะมีประโยชน์อะไรกับการที่เกิดมา เพราะว่าต่อไปไม่ใช่เรา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในชาตินี้ สะสมสืบต่อที่จะเป็นคนอีกคนหนึ่ง แล้วแต่จะเป็นสัตว์ประเภทไหน นรก สวรรค์ มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ไม่รู้จักคนก่อนเลยสักนิด จำอะไรก็ไม่ได้ แต่ก็ติดมั่นในความเป็นคนนี้
เพราะฉะนั้นอวิชชาและโลภะก็นำไปในสู่ทางที่ไม่ถูกต้อง ในทางที่เป็นโทษ ในสังสารวัฏตลอดไปไม่สิ้นสุด ก็เป็นโอกาสที่ว่า เมื่อมีโอกาสจะได้ฟังคำไหน ขอให้เข้าใจจริงๆ เพราะว่าคำนั้นวาจาจริงทุกคำเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คำของคนอื่น เริ่มจากสมาธิที่คุณหมอต้องการ
ผู้ฟัง สมาธิที่ต้องการก็คือ สำหรับผู้ป่วย มีการศึกษาวิจัยว่าการตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งแน่วแน่นานๆ เพียงพอ จะทำให้การจัดเรียงตัวของโมเลกุลของน้ำ หรือว่าอะไรก็ตาม หรือทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นสดใสขึ้น ทำให้สุขภาพดีขึ้น กรณีเช่นนี้ ถ้ารู้ว่าเป็นไปเพื่อสุขภาพ เหมือนการออกกำลังกายว่า ทำไมคนเราถึงต้องออกกำลังกาย ก็เช่นเดียวกับสมาธิ สมาธิเพื่อสุขภาพ การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ กรณีอย่างนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิไหมในการทำสมาธิ
ท่านอาจารย์ คุณหมอจะรักษาร่างกายซึ่งเป็นรูป หรือคุณหมอจะรักษาจิต
ผู้ฟัง กรณีทำสมาธิคือรักษาร่างกาย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความตั้งใจของคุณหมอ ต้องการจะรักษาร่างกายใช่ไหม คุณหมอรู้จักร่างกายหรือยัง ถึงที่สุดหรือยัง ถ้าถึงที่สุดใครรู้
ผู้ฟัง รู้ไม่ถึงที่สุด
ท่านอาจารย์ ถ้าถึงที่สุดใครรู้
ผู้ฟัง คงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ คงอีกแล้ว เดี๋ยวคงเดี๋ยวถือ แล้วมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ต้องไม่ใช่คงเพราะเดาเอง และไม่ใช่ถือเพราะคิดเอง แต่เมื่อมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง คือฟังคำเข้าใจ เคารพจริงๆ ว่าคำนั้นเปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นคุณหมอรู้จักร่างกายถึงที่สุดหรือยัง เพราะฉะนั้นในทางวิชาการใดๆ ก็ตาม แม้แต่ที่คุณหมอศึกษาทางแพทย์ มีความรู้ทางแพทย์ ก็ต้องรู้ว่าไม่ถึงความรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน แล้วก็รักษาได้เพียงกาย แต่ใจของคนที่หายแล้วเหมือนเดิมไหม เพิ่มกิเลสขึ้นหรือเปล่า สามารถที่จะมีความรู้หรืออะไรก็ตามที่จะรักษาจิต ไม่ใช่เพียงกาย ซึ่งถ้าคุณหมอทราบ จะรู้ว่ารูปที่กายที่เกิดจากกรรมก็มี ที่เกิดจากจิตก็มี ที่เกิดจากอุตุ ความเย็นความร้อนก็มี ที่เกิดจากอาหารที่รับประทานก็มี เพราะฉะนั้นเท่าที่สามารถจะรู้ได้ คือรู้จักอาหารและอุตุ แต่ไม่สามารถที่จะรู้ถึงรูปที่เกิดจากกรรม และรูปที่เกิดจากจิต เพราะฉะนั้นการที่จะรักษาก็ชั่วคราว เพราะฉะนั้นไม่เหมือนกับการที่จะได้ให้เขาได้เข้าใจถูกต้อง ซึ่งเป็นสิ่งซึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงเห็นว่า สัตว์โลกก็มีแต่เกิดตาย และเพิ่มความไม่รู้มากขึ้น เพิ่มความติดข้องมากขึ้น ถ้าพระองค์ไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะตรัสรู้ความจริง ที่จะทำให้พ้นจากทุกข์แท้จริงได้ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะช่วยสัตว์โลกได้เลย เพราะฉะนั้นระหว่างคนไข้เจ็บหนัก อย่างไรต้องตาย แพทย์ก็ช่วยไม่ได้ แต่ธรรมช่วยได้
ผู้ฟัง สำหรับเรื่องของธรรมที่ช่วยรักษาจิตใจ หนูเชื่อว่าอันนี้ช่วยได้แน่นอน
ท่านอาจารย์ ทั้งคนป่วย และคนไม่ป่วย
ผู้ฟัง ค่ะ
อ.อรรณพ เพราะทุกคนเป็นโรคจิตกันอยู่ทุกคน
ท่านอาจารย์ คุณหมอรักษาคุณหมอเองหรือเปล่า รักษาใจของคุณหมอด้วยหรือเปล่า หรือคิดแต่จะรักษาคนอื่น
ผู้ฟัง รักษาใจด้วยการฟังพระธรรม
ท่านอาจารย์ รักษาได้ใช่ไหม
ผู้ฟัง คิดว่าขณะที่ฟังอยู่ รักษาได้
ท่านอาจารย์ แต่ว่าคนไข้อาจไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้สนใจ เฉพาะผู้ที่เห็นประโยชน์เท่านั้นที่สามารถที่จะรักษาใจตนเองได้ แต่คุณหมอก็เพียงแต่รักษาโรคภายนอกร่างกาย แต่ใจของเขา คุณหมอรักษาได้ไหม แม้แต่ใจเราเองใช่ไหม ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้นการที่จะพูดถึงเรื่องอะไร ต้องเฉพาะแต่ละเรื่อง ถ้าจะพูดถึงเรื่องสมาธิทั่วไปที่ชาวบ้านเข้าใจ แล้วก็ไปใช้ในการรักษาโรคบ้าง อะไรบ้างนั้น ไม่ใช่ตามพระพุทธศาสนา เพราะทั้งหมดนั้นเมื่อเกิดจากความไม่รู้ ก็เป็นมิจฉาสมาธิทั้งหมด
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 841
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 842
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 843
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 844
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 845
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 846
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 847
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 848
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 849
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 850
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 851
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 852
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 853
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 854
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 855
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 856
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 857
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 858
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 859
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 860
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 861
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 862
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 863
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 864
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 865
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 866
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 867
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 868
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 869
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 870
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 871
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 872
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 873
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 874
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 875
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 876
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 877
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 878
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 879
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 880
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 881
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 882
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 883
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 884
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 885
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 886
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 887
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 888
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 889
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 890
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 891
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 892
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 893
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 894
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 895
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 896
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 897
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 898
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 899
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 900
