ปกิณณกธรรม ตอนที่ 887


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๘๗

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมเอเชี่ยน หาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ผู้ฟัง คำว่าเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา มีลักษณะอย่างไร

    อ.คำปั่น เพ่งโทษ ก็เป็นกิจหน้าที่ของผู้ที่เข้าใจถูกตามความเป็นจริงว่าสิ่งนี้เป็นโทษ ไม่นำมาซึ่งประโยชน์ใดๆ เลย ก็กล่าวให้ได้เข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริงว่า อย่างเช่น เมื่อเห็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะไม่ควรของพระภิกษุ ก็รู้ว่านี่คือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ก็กล่าวให้ได้สำนึกให้ได้เข้าใจว่า เป็นพระภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เป็นสมณะเชื้อสายพระศากยะบุตร ทำอย่างนี้ได้อย่างไร นี่คือเป็นการเพ่งโทษ คือกล่าวให้ได้เข้าใจอย่างถูกต้องว่าสิ่งนี้มีโทษติเตียน นี่ก็แสดงถึงความเป็นจริงว่า สิ่งใดก็ตามที่ไม่เหมาะไม่ควรแก่ความเป็นบรรพชิต ก็ไม่นำมาซึ่งความเลื่อมใส ไม่เป็นที่เจริญใจของผู้ที่ได้ทราบข่าว หรือว่าพบเห็นเลย ก็จะมีการกล่าวให้ได้เข้าใจอย่างถูกต้องตามความเป็นจริงว่า ที่ทำอย่างนั้นผิดอย่างไร แล้วที่ถูกนั้นคืออย่างไร เป็นการเกื้อกูลให้ได้เข้าใจอย่างถูกต้อง และที่สำคัญก็คือโพนทะนา ในอรรถกถาแสดงไว้ว่ากระจายข่าว ให้ได้รู้กันทุกที่ทุกสถานว่า พฤติกรรมอย่างนี้ไม่ถูกต้องอย่างไร เป็นโทษอย่างไร ก็เป็นการกล่าวให้ได้เข้าใจอย่างถูกต้องโดยทั่วกัน

    พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เกื้อกูลสำหรับทุกคนผู้ที่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือเพศบรรพชิต เป็นเพศที่สละอาคารบ้านเรือน สละทรัพย์สมบัติแล้ว จริงใจที่จะน้อมประพฤติตามพระธรรมวินัย แต่ถ้าไม่ประพฤติตามพระวินัย เป็นผู้ที่ไม่จริงใจที่จะขัดเกลากิเลส ก็มีชื่อเรียกมากมายว่า เป็นภิกษุทุศีล เป็นภิกษุลามก เป็นภิกษุประพฤติชั่ว เป็นภิกษุเน่าใน เป็นภิกษุเพียงดังหยากเยื่อ เป็นภิกษุผู้มีกรรมอันปกปิด สารพัดที่จะกล่าวถึงในความประพฤติที่ไม่ถูกต้อง

    พระพุทธพจน์ ก็คือการที่นอนกอดกองไฟ ยังจะดีกว่าพระภิกษุกอดในสิ่งที่ไม่เหมาะควร อย่างเช่นเพศสตรี เพราะว่าการกอดกองไฟก็ไม่เป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิ แต่การทำอย่างนั้น อบายภูมิแน่นอน นี่คือหนึ่ง สองก็คือการเอาเชือกหนังไถไปหรือว่าถูไปที่ขาทั้งสองข้าง ไถไปลากไปลากมาจนกระทั่งถึงกระดูก ยังดีกว่าการที่พระภิกษุยินดีในการกราบไหว้ของคฤหัสถ์ เพราะว่าตัวเองเป็นผู้ทุศีล การกระทำอย่างนั้น การเอาหนังอันคมขัดถูจนกระทั่งตัวเองได้รับบาดเจ็บ ไม่เป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิ แต่ว่าความเป็นผู้ทุศีลเป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิ การที่เอาหอกชโลมด้วยน้ำมันแทงเข้าไปที่กลางอก ยังประเสริฐกว่าการที่ภิกษุผู้ทุศีลยินดีในการประคองอัญชลี อันนี้ยังไม่ถึงกราบไหว้ แต่ว่าเพียงแค่ประคองอัญชลี การกระทำอย่างนั้นได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่เป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิ แต่ว่าภิกษุผู้ทุศีลยินดีในการประคองอัญชลีของคฤหัสถ์ เพราะว่าตัวเองไม่มีคุณธรรม ประพฤติที่ไม่เหมาะไม่ควร ก็เป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิ การที่เอาแผ่นเหล็กร้อนๆ แนบกาย ยังประเสริฐกว่าการที่ภิกษุผู้ทุศีลครองจีวรที่คฤหัสถ์ถวายด้วยศรัทธา เพราะว่าการเอาเหล็กแผ่นเหล็กแนบกาย ตายไปก็ไม่เป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิ แต่ว่าความเป็นผู้ทุศีลแล้วก็ครองจีวรที่ชาวบ้านถวายด้วยศรัทธา เป็นเหตุให้ตัวเองเกิดในอบายภูมิ การที่นั่งบนเตียงตั่งร้อนๆ เป็นเหล็ก ยังประเสริฐกว่าการที่ภิกษุผู้ทุศีลนั่งนอนบนเตียงตั่ง อาสนะที่ชาวบ้านหรือว่าคฤหัสถ์ถวายด้วยศรัทธา เช่นเดียวกันเลย

    อีก ๒ ข้อ การที่พระภิกษุผู้ทุศีล ถ้าหากว่า มีความประพฤติที่ไม่เหมาะไม่ควร การที่ถูกง้างปากด้วยขอเหล็ก แล้วเอาก้อนเหล็กแดงใส่เข้าไปลงในปาก ไปทำลายอวัยวะต่างๆ จนกระทั่งถึงข้างล่าง ยังประเสริฐกว่าการบริโภคก้อนข้าวที่ชาวบ้านถวายด้วยศรัทธา แสดงถึงความบริสุทธิ์มากเลยว่า ใครคือผู้ที่เหมาะควรต่อการที่จะได้รับก้อนข้าวที่ชาวบ้านถวายด้วยศรัทธา ก็ต้องเป็นพระภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เท่านั้น ไม่ใช่ภิกษุผู้ทุศีล และข้อสุดท้าย ก็คือการที่ถูกจับโยนลงไปในหม้อเหล็กแดงทั้งตัวเลย ยังประเสริฐกว่าการที่ภิกษุผู้ทุศีลใช้สอยวิหารหรือว่าอาวาส ที่คฤหัสถ์ถวายด้วยศรัทธา นี่ทั้งหมด ๗ ข้อ ๗ ประการ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งก็ละเอียด แต่ว่าอันนี้คือกล่าวโดยสรุป

    พระธรรมคำสอนในส่วนนี้เกื้อกูลมากเลย ภิกษุ ๖๐ รูปกระอักเลือด แสดงว่าเป็นผู้ที่ไม่บริสุทธิ์ เป็นภิกษุปาราชิก อีก ๖๐ รูปลาสิกขา เพราะว่าตัวเองประพฤติที่ไม่เหมาะไม่ควรมากมาย อีก ๖๐ รูป ถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะว่าเป็นผู้มีความบริสุทธิ์ในพระธรรมวินัย แล้วก็ได้รับการเกื้อกูลจากพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ความเป็นภิกษุผู้ทุศีลนั้นเป็นโทษมาก ล่วงละเมิดพระวินัยและไม่กระทำคืนให้ถูกต้อง ถ้ามรณภาพลง ก็เป็นผู้มีอบายภูมิเป็นที่ไปในเบื้องหน้า

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็เป็นผู้ตรงและเห็นคุณของพระธรรม เพราะว่าจะเกิดในนรกนี่นานมาก กว่าจะพ้นนรกได้ แม้เปรต แม้สัตว์เดรัจฉานก็แล้วแต่ภพภูมิว่าจะมากน้อยแค่ไหน กว่าจะได้เป็นมนุษย์ เพราะต้องเป็นผลของกรรมดี และเป็นมนุษย์ที่ประกอบด้วยปัญญา เพราะว่าได้เคยได้ฟังธรรม ได้พิจารณาไตร่ตรองเข้าใจ และก็เห็นโทษของอกุศล เพราะฉะนั้นการที่เป็นผู้ที่หวังดี และก็กล่าวข้อความในพระไตรปิฎก ก็เพื่อที่จะให้ผู้ที่ปฏิญาณโดยการบวชว่าเป็นเพศบรรพชิต ได้สำนึกในสิ่งที่ถูกต้องว่า เป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยหรือเปล่า เพราะเหตุว่าถ้าไม่สามารถจะเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยได้ ลาสิกขาบท สึกออกมาเป็นคฤหัสถ์ ก็จะพ้นจากโทษที่ผิด แต่ว่าถ้าบวชใหม่ ก็ต้องปลงอาบัติทั้งหมดที่ยังไม่ได้ปลงก่อนที่จะลาสิกขา แต่ยังมีข้อปลีกย่อยอีกมาก แต่ประโยชน์ที่สุดก็คือว่า ถ้าเป็นพระภิกษุตามพระธรรมวินัยไม่ได้ เป็นโทษมากกับตนเอง ก็เป็นเรื่องที่แต่ละคนจะพิจารณาว่า จะหวั่นเกรงโทษนั้นไหม เพราะว่าข้อความในพระไตรปิฎกก็แสดงโทษไว้มาก โดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือว่าโดยสาวก เช่นท่านพระมหาโมคคัลลานะ และท่านพระลักขณะ

    อ.อรรณพ ภพภูมิที่เป็นเปรตอสุรกาย สามารถที่จะมีโอกาสอนุโมทนาในส่วนกุศลที่มีผู้อุทิศให้ แต่การที่จะอุทิศส่วนกุศลได้ก็ต้องมีผู้เจริญกุศล ถ้าเราจะพูดถึงทานกุศล เอาประเด็นทานกุศลเลย ก็มีผู้ให้และผู้รับ ต้องมีความบริสุทธิ์ทั้งผู้ให้และผู้รับ คือผู้ให้ด้วยกุศลจิตไม่ใช่ด้วยความไม่รู้และอยาก หรือเอาของที่ไม่สมควรไปให้พระภิกษุ ไม่มีทางเลยที่เปรตจะอนุโมทนาได้ เพราะฉะนั้นความบริสุทธิ์ฝ่ายผู้ให้ ก็คือมีกุศลจิตที่มีการสละในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับผู้รับ ถ้าผู้รับเป็นพระภิกษุก็ถวายของที่สมควรกับพระภิกษุ ถ้าผู้รับเป็นคฤหัสถ์ก็ให้ของที่สมควร ไม่ใช่ให้สิ่งที่เป็นโทษกับเขา ส่วนที่สองก็คือความบริสุทธิ์ของผู้รับ ซึ่งผู้รับบริสุทธิ์ก็คือ ถ้าเป็นภิกษุก็ต้องประพฤติตามพระธรรมวินัย มีผู้ถวายทานกับภิกษุที่ทุศีลถึง ๓ ครั้ง ครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ พอครั้งที่ ๓ อมนุษย์ เปรตบอกเลยว่า ถูกภิกษุผู้ทุศีลปล้น เพราะอนุโมทนาไม่ได้ เพราะผู้รับเป็นผู้ทุศีล ทีนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นภิกษุเป็นบรรพชิตเท่านั้น ผู้ที่มีศีลมีกัลยาณธรรม มีตัวอย่างว่านางเวมานิกเปรต ลำบากเดือดร้อน ไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ แล้วก็มีคนเห็นเข้า อยากจะช่วย นางเปรตก็บอกว่าในกลุ่มของท่าน มีอุบาสกผู้มีศีล ก็ขอให้ทำประโยชน์กับอุบาสกนั้น ชนเหล่านั้นก็ให้ท่านอาบน้ำ แล้วก็ให้ท่านใส่ผ้าไหมอะไรเรียบร้อย นางเปรตอนุโมทนาทันที

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่อนุโมทนาในอกุศลใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่เปรต เมื่อมีผู้ที่ถวายทานแก่พระภิกษุ ทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้ เปรตไม่อนุโมทนาเลย เพราะภิกษุเป็นผู้ทุศีล เป็นผู้ตรงไหม จะอนุโมทนาในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ในการกระทำที่ผิดได้อย่างไร

    อ.คำปั่น เพศบรรพชิตเป็นผู้ที่สละอาคารบ้านเรือนแล้ว สิ่งที่เหมาะควรแก่ท่านก็จะเป็นสิ่งที่จะเป็นไป เพื่อประโยชน์ให้ชีวิตของท่านเป็นไปได้ในการดำรงชีวิต เพื่อที่จะศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา อย่างเช่น อาหารบิณฑบาต จีวร แล้วก็เครื่องใช้ต่างๆ ที่เหมาะควรแก่ท่าน พวกบาตร พวกมีดโกน พวกเข็ม พวกนี้ ผ้ากรองน้ำที่จะเป็นเครื่องสำคัญในการที่จะทำให้ท่านดำรงชีวิต ในความเป็นบรรพชิตซึ่งเป็นเพศที่สละแล้ว เพราะฉะนั้นวัตถุสิ่งอื่นที่ไม่เหมาะควรแก่เพศบรรพชิต อย่างเช่น เงินทอง อันนี้ไม่ควรแน่นอน แล้วก็แม้ในสมัยก่อน ยานพาหนะที่เป็นพวกเกวียน ที่เป็นไม่ใช่อย่างรถในสมัยนี้ ยังไม่ควรเลย ก็ไม่ต้องกล่าวถึงสมัยนี้ ไม่ควรแน่นอน และที่สำคัญการถวายสิ่งเหล่านี้แก่ผู้ที่เป็นพระภิกษุ ผู้ให้ก็เป็นผู้ให้ที่ไม่ฉลาด ผู้รับก็เป็นผู้ที่ไม่เข้าใจธรรม ไม่เข้าใจพระธรรมวินัย แทนที่จะกล่าวความจริงให้กับผู้ที่ถวายได้รับรู้ว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ควรแก่เพศบรรพชิต แต่ก็กลับรับ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะควรแก่เพศบรรพชิตโดยประการทั้งปวง ผู้ที่เป็นพุทธบริษัท พอได้ยินได้ฟังอย่างนี้ ก็พอที่จะเข้าใจว่าการกระทำอย่างนั้นไม่ถูกต้อง ไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย ก็ไม่มีใครชื่นชมสรรเสริญ ไม่มีใครอนุโมทนาในการกระทำอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ คำถามของท่านผู้ฟัง ก็เป็นการเกื้อกูลในฐานะมิตรต่อพุทธบริษัทด้วยกัน เพราะมิฉะนั้นแล้วก็จะมีผู้ที่ประพฤติผิด แล้วก็ชาวบ้านก็ไม่รู้คิดว่าทำได้ แต่ความจริงให้โทษกับพระภิกษุมาก เพราะเหตุว่าพระภิกษุจะไม่มีเรื่องที่เกี่ยวกับเงินทองใดๆ ทั้งสิ้น ภาระหรือกิจธุระของท่านก็คือ ศึกษาพระธรรมวินัย และประพฤติปฏิบัติในเพศของบรรพชิตตามพระวินัย

    อ.คำปั่น พระภิกษุทุกรูปตั้งแต่สมัยพุทธกาล ทุกยุคทุกสมัยทั้งหมด ต้องศึกษาพระธรรมวินัย น้อมประพฤติตามพระธรรมวินัย ไม่มีเว้นเลย ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใดก็ตาม

    ท่านอาจารย์ แล้วก็มีชาวบ้านบางคน ก็บอกว่านั่นคือภิกษุในฝัน ถ้าจะทำตามพระธรรมวินัย หรือว่าในอุดมคติ หรือว่าอุดมการณ์ใดๆ ก็ตาม แต่ผู้นั้นลืม ไม่มีพระภิกษุในฝัน ไม่มีภิกษุในอุดมคติ มีแต่ภิกษุในธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่ว่าในยุคใดสมัยใด เปลี่ยนไม่ได้ เพราะว่าไม่เป็นพระภิกษุได้ ไม่จำเป็น แต่ถ้าเป็นต้องเป็นตามพระวินัย และก็ต้องศึกษาธรรมด้วย มิฉะนั้นพระภิกษุทำอะไร เพื่ออะไร บวชเพื่ออะไร ที่จะบวชเป็นพระภิกษุ ต้องรู้ว่าสามารถที่จะเจริญปัญญาในเพศบรรพชิตตามพระวินัย และศึกษาพระธรรมด้วย เพราะเหตุว่าถ้าไม่เข้าใจธรรม จะขัดเกลากิเลสตามพระวินัยได้อย่างไร และพระวินัยนั้นก็เป็นธรรมด้วย ที่จะทำให้ขัดเกลากิเลส

    ผู้ฟัง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ยิ่ง

    ท่านอาจารย์ แล้วพระองค์ผู้เดียวเป็นผู้ที่ทรงบัญญัติพระวินัย แล้วใครไม่เคารพ ก็เท่ากับไม่เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง หาวิธีการอย่างไรที่จะให้เยาวชนของเรา เข้าถึงธรรมได้ง่ายขึ้น

    ท่านอาจารย์ เปลี่ยนธรรมให้เป็นอื่นได้ไหม ให้ไม่ใช่ธรรม ให้เป็นเราได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็เปลี่ยนไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้นเปลี่ยนธรรมให้เป็นอื่นไม่ได้ ธรรมก็ต้องเป็นธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อธรรมยาก จะเปลี่ยนให้ธรรมง่ายได้ไหม

    ผู้ฟัง หาวิธีการ หาวิธีการ

    ท่านอาจารย์ วิธีการ วิธีการของเรา หรือว่าของผู้ที่บำเพ็ญพระบารมี จนสามารถที่จะรู้ว่าหนทางนั้นคืออะไร ไม่ใช่หนทางของเราซึ่งไม่รู้ และพยายามจะเปลี่ยนไม่สำเร็จ แต่ผู้ที่ได้บำเพ็ญพระบารมีทรงตรัสรู้ และทรงแสดงหนทางไว้ด้วย เพราะฉะนั้นต้องเป็นหนทางของปัญญา ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ว่า ถ้าไม่ใช่ปัญญาเราจะแก้ไขอะไรได้ไหม ถ้าไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ พระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดงธรรมแน่นอน แต่เพราะรู้ว่ามีผู้ที่สามารถเข้าใจได้ จึงทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา สำหรับคนที่ยังไม่ได้ฟังเลยเพิ่งเริ่มต้น สำหรับคนที่ฟังมาแล้ว ก็สามารถที่จะเข้าใจธรรมได้ทันที และก็สำหรับผู้ที่อบรมปัญญามานานพร้อมที่จะรู้ความจริง พอฟังแล้ว อย่างท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี พอฟังจบแล้วท่านก็เป็นพระโสดาบัน

    มิฉะนั้น ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงธรรม ก็ไม่มีใครได้ยินได้ฟังเลย แต่เปลี่ยนธรรมไม่ได้ เพราะยากและลึกซึ้ง จึงเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทรงตรัสรู้สิ่งที่ใครก็รู้ไม่ได้ เพราะยากและลึกซึ้งสุดที่จะประมาณได้ แม้แต่เห็นเดี๋ยวนี้กำลังเห็น ก็แสดงความจริง ซึ่งผู้ฟังเริ่มไตร่ตรองและเริ่มเข้าใจว่า เคยเป็นเราเห็นมานานแสนนาน เคยเป็นเราคิด เราสุข เราทุกข์ เราชอบ เราไม่ชอบ ความจริงถ้าธรรมประเภทนั้นๆ ไม่เกิดขึ้น จะมีเราเป็นอย่างนั้นไหม แม้แต่เริ่มเกิดมาตั้งแต่ขณะแรก ถ้าไม่ใช่ธรรมที่เกิดขึ้นจะเข้าใจและยึดถือธรรมนั้นว่าเป็นเราไหม เกิดมาแล้วก็ต้องมีการเห็นแน่นอน มีการได้ยิน มีการได้กลิ่น มีการลิ้มรส มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีการคิดนึกเรื่องราวต่างๆ เป็นของธรรมดา ต้องมีแต่ไม่รู้ตามความเป็นจริง จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม และเมื่อพระธรรมยาก ใครไปทำให้ง่าย ผิดหรือถูก

    ผู้ฟัง เหมือนอย่างธรรม ใช่เป็นของที่ว่ายาก แต่ว่าถ้าสมมติว่า เราเหมือนเด็กที่ยังไม่รู้ประสีประสา เราก็จะมีวิธีการที่ให้เขาเข้าถึงทีละขั้นทีละตอน เพราะธรรมก็มีระดับความลุ่มลึกไปตามลำดับ

    ท่านอาจารย์ วิธีการของเรา หรือของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเราพึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อไหร่ เรากล่าวใช่ไหม เรามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง มีพระสงฆ์ซึ่งหมายความถึงพระอริยบุคคลเป็นที่พึ่ง พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พึ่งตัวเองกันผิดๆ ทั้งนั้นเลย แต่เมื่อมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ใครพึ่งพระองค์ ต้องเป็นผู้ที่เห็นคุณว่าพระองค์สามารถที่จะรู้ความจริงซึ่งคนอื่นรู้ไม่ได้ เมื่อทรงแสดงพระธรรมแล้ว คนนั้นค่อยๆ เข้าใจ ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจได้ทันที เหมือนเราเรียนหนังสือ เราก็ไม่สามารถที่จะไปโรงเรียนวันแรก เข้าใจได้หมดเลย ก็เป็นไปไม่ได้ นี่ในสังสารวัฏที่นานมาแล้ว กี่อสงไขยแสนกัปก็ไม่เคยได้ฟัง และก็ไม่เคยเข้าใจ

    เพราะฉะนั้นความไม่รู้มีมาก แต่จะหมดได้เหมือนพระสาวกทั้งหลาย ซึ่งดับกิเลสไปแล้วเป็นจำนวนมาก ท่านก็ไม่ได้เปลี่ยนธรรมให้ง่าย แต่ธรรมที่ลึกซึ้งนั้นแหละสามารถที่จะเข้าใจได้ และโดยเฉพาะถ้าศึกษาพระธรรม อริยสัจธรรมทั้ง ๔ ลึกซึ้งทั้ง ๔ ไม่เว้นเลย แม้แต่อริยสัจจะที่ ๑ ทุกขอริยสัจจะ เพราะฉะนั้นเราประมาทไม่ได้เลย เราคิดเองไม่ได้ และอีกประการหนึ่ง คิดถึงแต่เด็ก ทำอย่างไรเด็กถึงจะเข้าใจธรรม แล้วผู้ใหญ่จะเอาใครมาสอนเด็ก ถ้าผู้ใหญ่ไม่เข้าใจธรรม ไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะฉะนั้นคิดถึงคนอื่น แต่ใครเป็นที่พึ่ง มีตนเองเป็นที่พึ่ง โดยฟังพระธรรมจนเข้าใจว่าตนคืออะไร ที่เป็นที่พึ่งได้ต้องเป็นกุศลธรรมที่ประกอบด้วยปัญญา จึงสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมดับกิเลสได้

    ผู้ฟัง อันที่จริง อันนี้เหมือนอย่างที่เราเคยได้ยิน พระธรรมคำสั่งสอนเคยบอกไว้แล้วว่า การปฏิบัติธรรม คุณไม่ต้องไปดูที่ตรงไหน มาดูที่ตัวเอง ดูในกายยาววา หนาคืบ เราได้ยินคำนี้มานานแล้ว แต่ว่ากว่า

    ท่านอาจารย์ เท่านี้ได้ไหม ได้ยินมานานแล้ว เพราะฉะนั้นได้ยินคำว่าปฏิบัติธรรมคืออะไร

    ผู้ฟัง ก็คือเอาของที่ไม่ดีออกจากตัวเรา

    ท่านอาจารย์ ทำอย่างไร

    ผู้ฟัง เอากิเลสออกไป

    ท่านอาจารย์ นั่นอย่างไร เอาออกได้อย่างไร

    ผู้ฟัง ก็ปล่อยวาง ค่อยๆ

    ท่านอาจารย์ ปล่อยวาง ใครปล่อยได้

    ผู้ฟัง ก็ต้องค่อยๆ เรียนรู้จากพระธรรม

    ท่านอาจารย์ ทีอย่างนี้จะค่อยๆ เรียน จะค่อยๆ รู้ ถ้าค่อยๆ เรียน ค่อยๆ รู้ จะรู้ว่าปล่อยวางไม่ได้ เพราะเราต่างหากที่เข้าใจว่าปล่อยวาง เดี๋ยวนี้ปล่อยวางอะไร ถ้าจะปล่อยวาง จะปล่อยวางอะไร

    ผู้ฟัง ปล่อยวางสิ่งที่ไม่ดีในตัวเรา โดยที่เอาคำสอนของพุทธเจ้ามา แล้วก็มาประพฤติปฏิบัติ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เอามาประพฤติปฏิบัติ แต่เข้าใจให้ถูกต้อง แม้แต่คำว่าปฏิบัติธรรมคืออะไร ถ้ายังไม่เข้าใจเลยปฏิบัติได้ไหม ใครปฏิบัติ ปฏิบัติคืออะไรก็ยังไม่รู้เลย มีแต่ตัวเราซึ่งจะทำอย่างนั้นจะทำอย่างนี้ คิดว่าเราทำได้ เราจะทำ แต่ว่าความจริง ปัญญามีหรือเปล่า ถ้าไม่มีปัญญา อะไรทำ อวิชชาทำ เพราะสองอย่างนี้ตรงกันข้ามกัน

    ผู้ฟัง ก็เหมือนเมื่อก่อนเราเกิดมา เรามีกิเลสท่วมหัวท่วมหู

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีไหม

    ผู้ฟัง ตอนนี้ก็มี แต่ว่า

    ท่านอาจารย์ ท่วมหัวท่วมหูเพิ่มขึ้นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ถ้าเราเข้าใจธรรมแล้ว เราเอามา

    ท่านอาจารย์ ไม่มีคำว่า ถ้า เพราะเหตุว่าขณะนี้คือความจริง เข้าใจหรือไม่เข้าใจ

    ผู้ฟัง เข้าใจ เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจอะไร

    ผู้ฟัง เข้าใจว่าการที่เราเกิดความโลภ ความโกรธ ความหลงขึ้นเป็นสิ่งที่เป็นกิเลส

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีโลภไหม

    ผู้ฟัง ตอนนี้ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ผิด นี่คือไม่ได้ศึกษาคำสอน คิดเองว่าไม่มี จนกว่าจะได้ฟังคำสอน ที่แสดงการเกิดดับสืบต่อของจิตอย่างละเอียดแต่ละหนึ่งขณะ จะกล่าวว่ารู้คำสอนยังไม่ได้ ถ้ารู้คำสอนก็จะรู้ว่าขณะไหนมีกิเลส ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง จากเมื่อก่อนพอเรามีผัสสะมากระทบใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน ผัสสะคืออะไร

    ผู้ฟัง สิ่งที่มากระทบเรา

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่

    ผู้ฟัง มากระทบจิต มากระทบจิต

    ท่านอาจารย์ อะไรมากระทบจิต

    ผู้ฟัง เป็นคำพูดเป็นวาจา หรืออะไรก็แล้วแต่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอะไรเป็นผัสสะ ใช้คำที่ไม่รู้จักตั้งแต่เกิดจนตาย โดยเฉพาะคำภาษาอื่น เช่นคำว่า ผัสสะ วันนี้ตั้งแต่เช้ามา ผัสสะอะไรบ้างหรือเปล่า ตั้งแต่เช้ามาผัสสะอะไรบ้างหรือเปล่า ไม่รู้เลยว่าผัสสะคืออะไร ถ้าจะใช้คำนี้ก็ใช้อย่างไม่รู้ ถ้าใช้อย่างไม่รู้ ก็จะถามอย่างไม่รู้ว่า วันนี้ผัสสะอะไรบ้างหรือเปล่า

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 178
    25 มิ.ย. 2568