ปกิณณกธรรม ตอนที่ 893


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๙๓

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมเอเชี่ยน หาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ คิดว่าผู้ที่จะเป็นอย่างนี้ ไม่รับเงินรับทองเป็นภิกษุในฝัน แต่ความจริงภิกษุในฝันไม่มี ภิกษุในอุดมคติอุดมการณ์ก็ไม่มี มีแต่ภิกษุในพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้นถ้าไม่ใช่ตามพระธรรมวินัยไม่ใช่ภิกษุ เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์รู้จักภิกษุหรือยัง แล้วเอาเงินไปให้ใคร ให้คนที่เขาไม่รับได้หรือ ให้คนที่เขาสละแล้วได้หรือ เขาจะรับไปทำไม ในเมื่อรับแล้วพระผู้มีพระภาคตรัสรู้ว่า กิเลสเริ่มจากที่ไหน เริ่มจากความไม่รู้ ความติดข้องความต้องการในอะไร ในสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ติดข้องแสวงหาด้วยประการต่างๆ จากสุจริตเป็นถึงทุจริตก็ได้ เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาค ทรงอนุเคราะห์สัตว์โลกด้วยความจริง ให้รู้ความจริงตามเพศ ว่าคฤหัสถ์ประพฤติอย่างไร ขัดเกลากิเลสอย่างไรในเพศคฤหัสถ์ แต่บรรพชิตจะทำอย่างคฤหัสถ์ไม่ได้ ถ้าไม่สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยได้ ไม่มีใครบังคับก็เป็นเพศคฤหัสถ์ ง่ายมากเลย เพียงแต่บอกใครก็ได้ว่าลาสิกขาไม่เป็นพระภิกษุอีกต่อไป ก็พ้นจากเพศภิกษุแล้วไม่เดือดร้อนด้วย เพราะฉะนั้นถ้าคฤหัสถ์ไม่เข้าใจพระธรรมวินัย ก็เป็นผู้ที่ร่วมกันทำลายพระธรรมวินัยเพราะความไม่รู้

    อ.อรรณพ ที่สนทนาอยู่นี่ เพื่อที่จะรักษาพระวินัย ซึ่งพระวินัย ท่านพระอุบาลีท่านแสดงไว้ในเถรคาถาว่า คำสอนทั้งหมด คือคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าจะจำแนกเป็นองค์๙ ก็ได้ นวังคสัตถุศาสน์ ก็คือคำสอนของพระองค์ทั้งหมด รวมลงในพระวินัยอย่างไร พระวินัยเป็นรากเหง้าของพระศาสนาอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงที่ไม่ดีมีไหม มี ใช้คำว่าอกุศล อะกุสะละ หรือ อะกุสะลาธัมมา ที่เราได้ฟังงานศพ กุสะลาธัมมา อกุสะลาธัมมา อัพยากะตาธัมมา แสดงว่าไม่มีอะไรนอกจากธรรมที่จำแนกโดยประเภท แล้วแต่ว่าจะทรงแสดงโดยนัยอะไร เพราะฉะนั้นเมื่อ อกุศลธรรมมีทุกคนเห็นว่าไม่ควรมี หรือเปล่า แต่ทำอย่างไรได้ ไม่มีปัญญาก็ยังต้องมีอยู่ต่อไป เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีปัญญาแล้วจะนำออกซึ่งอกุศลได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นธรรมก็คือวินัย วินัยก็คือธรรม เพราะว่าเป็นเครื่องนำออกโดยปัญญา ด้วยความเห็นถูก ด้วยความเข้าใจถูก เพราะฉะนั้นใครคิดว่าจะหมดกิเลสโดยไม่เข้าใจพระธรรม เป็นไปได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เป็นไปไม่ได้ เมื่อมีความเข้าใจพระธรรม เห็นโทษแล้วที่จะไม่ละอกุศลเป็นไปได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ตามกำลังของปัญญา ไม่ใช่มีใครสามารถที่จะไปดับกิเลสได้ เพราะเหตุว่าปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะรู้ความจริงปัญญาเป็นสภาพธรรมที่ตรงต่อสิ่งที่มีจริงถูกต้อง แต่ถ้าเข้าใจผิดเมื่อไหร่ไม่ใช่ธรรม เพราะฉะนั้นแม้แต่เพียงขณะนี้ที่เริ่มฟังธรรม รู้ประโยชน์จริงๆ ว่าธรรมก็คือสิ่งที่มีจริง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้ ก็จะไม่สนใจในพระธรรมเลย แต่ถ้ารู้ว่า ขณะนี้มีสิ่งที่มี แต่ใครๆ ก็รู้ไม่ได้นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เห็นโทษว่าจะไม่รู้อย่างนี้ไปเรื่อยเรื่อย หรือ และเมื่อมีการรู้เหตุที่จะเข้าใจขึ้นโดยการฟังคำจริงจากผู้ที่ตรัสรู้เมื่อเริ่มฟังเริ่มเข้าใจ ไม่ใช่เราแต่เป็นปัญญา เพราะฉะนั้นปัญญาก็เริ่มเห็นประโยชน์ ถ้าฟังต่อไปอีก เข้าใจเพิ่มขึ้นอีก ไม่ใช่เราแต่ปัญญาก็จะทำกิจของปัญญานั่นแหละเพิ่มขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ก็จะรู้ว่าไม่มีเราที่จะไปบอกให้คนนั้นทำอย่างนี้ ให้ดูนั่น ให้ดูนี่ ให้นั่งอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ซึ่งไม่ใช่ความเข้าใจ ในพระไตรปิฏกไม่มีข้อความอย่างนี้เลย ไม่ว่าใครไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริงซึ่งกำลังปรากฏกับคนนั้นตามความเป็นจริง เช่นตรัสถามว่า จักขุวิญญาณ คือเห็นเที่ยงไหม ยั่งยืนไหม ซึ่งขณะนั้นคนฟังมีปัญญาก็รู้ว่าเห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิด เพราะฉะนั้นเห็นต้องเห็นเฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะใดที่ได้ยินขณะนั้นไม่ใช่เห็น เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะทูลตอบว่า เห็นไม่เที่ยงพระเจ้าข้า แต่ไม่ใช่ไม่คิดอยู่ดีดีก็ตอบไปเลย เพราะฉะนั้นนี่ก็แสดงถึงลำดับขั้นของความเข้าใจของคนฟัง ซึ่งมีหลายระดับมาก ระดับที่ฟังแล้วยังไม่เข้าใจ แล้วก็ฟังแล้วก็เข้าใจ จนกระทั่งถึงสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงคือการเกิดดับ ซึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงประจักษ์ จึงทรงแสดงความจริงซึ่งคนอื่นสามารถที่จะอบรมจนกระทั่งละคลายความไม่รู้ เพราะความไม่รู้ประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ไม่ได้ แต่ความรู้ต่างหากที่ค่อยๆ รู้แล้วละความติดข้องถึงระดับที่สภาพธรรมปรากฏตามความเป็นจริง เมื่อนั้นผู้นั้นก็จะเข้าใจทุกคำที่ทรงแสดงว่า คำไหนก็ตามที่ได้ตรัสแล้ว เป็นคำจริงที่สามารถที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นประโยชน์จริงๆ เลยว่าความเข้าใจถูกเป็นวินัย และวินัยก็เป็นธรรม ไม่ใช่ว่าไม่มีธรรมแล้วก็เป็นตัวตนที่รักษาวินัย

    สนทนาธรรม ที่ สวนสามพราน ริเวอร์ไซด์ จ.นครปฐม

    วันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    อ.กุลวิไล เมื่อเช้าดิฉันก็มีโอกาสได้สนทนากับท่านมาใหม่ ท่านเองก็ไม่ค่อยคุ้นเคยกับการฟังพระธรรม หรือว่าสนทนาธรรมในลักษณะนี้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการสวดมนต์ แล้วก็ไปทำทานกุศลที่วัดเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุททธเจ้า ทรงตรัสรู้ทรงแสดงธรรมให้คนฟัง เพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาสได้ฟังธรรมแล้วก็จะได้เข้าใจขึ้น ถึงความต่างกันของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับบุคคลอื่น คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องไม่เหมือนใคร ถ้าเหมือนใครก็ไม่มีการตรัสรู้ พูดคำเก่าๆ พูดคำเดิม แต่ว่าคำของพระองค์ทุกคำ เป็นเรื่องของปัญญาที่สามารถจะทำให้เข้าใจความจริง ตั้งแต่เกิดจนตาย ฟังแค่นี้ก็ต้องสำหรับคนที่ต้องการเข้าใจความจริง เพราะว่าบางคนเขาอาจจะบอกว่าเกิดมาแล้ว แล้วก็สนุกสนานสบายดีทุกประการ จะต้องการรู้ความจริงอะไรอีก อาจจะคิดอย่างนั้นแต่ว่าตามความเป็นจริง เกิดมาแล้วสนุกสนานสบายมาก แต่ก็จากโลกนี้ไป และก็ก่อนจะจาก ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น แม้แต่ขณะต่อไปเพียงหนึ่งขณะก็รู้ไม่ได้ แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของทุกสิ่งทุกอย่างที่มีตลอดเวลา ไม่ว่าจะนานแสนนานมาแล้วหรือว่าต่อไปข้างหน้าอีกนานแสนนาน ความจริงทั้งหมดที่มีซึ่งกำลังมีในขณะนี้ด้วย ใครจะรู้ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม

    เพราะฉะนั้นประมาทการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเราจะอ่านเหมือนกับ เราอ่านหนังสือของคนอื่น หรือว่าฟังคำของคนอื่น แต่ต้องรู้ว่าแต่ละคำนำมาซึ่งประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความหมายของคำแต่ละคำ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เพราะฉะนั้นก่อนอื่นพระรัตนตรัย รัตนะคือสิ่งที่ประเสริฐสุดเหนือทรัพย์สินเงินทองแก้วแหวนประการใดๆ ทั้งสิ้น ทรัพย์สมบัติใดๆ ทั้งหมดคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสละทุกอย่างที่มี ถึงการที่จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แต่ก็เห็นประโยชน์ของการที่เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แล้วก็ตาย แล้วก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงเลย กับการที่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มีถูกต้อง นี่ก็เป็นความต่างกันของผู้ที่เห็นประโยชน์ของความรู้ และก็เห็นโทษของความไม่รู้

    เพราะฉะนั้นทุกอย่างเป็นเรื่องของปัญญาทั้งสิ้น เป็นเรื่องของประโยชน์ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว เป็นพระพุทธรัตนะ ซึ่งได้ทรงแสดงพระธรรม คือทุกคำกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งทำให้คนที่ไม่เคยฟังมาก่อน คิดไม่ถึงว่าแท้ที่จริงแล้วอยู่ในโลกของความไม่รู้มานานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดง นำไปสู่การเข้าใจความจริงของสิ่งที่มี จนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจธรรมดับกิเลสได้ แต่ละคำฟังดูเหมือนกับว่าบางคนต้องการผล แต่ไม่ต้องการเหตุ ถ้าถามว่ากิเลสดีไหม แค่ได้ยินชื่อคำนี้ คนส่วนใหญ่ก็จะต้องตอบว่าไม่ดี ไม่มีกิเลสดีไหม ก็ต้องตอบว่าดี แล้วมีหนทางที่จะดับกิเลสไหม มี แต่ว่าถ้าเป็นคนที่ตรง ถ้ามีหนทางที่จะดับกิเลสก็ต้องหาหนทางนั้น ที่จะรู้ว่าหนทางที่ดับกิเลสมีจริงๆ เพราะว่ามีผู้ที่ได้ดับกิเลสแล้วมาก ตั้งแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนกระทั่งถึงพระสาวก

    เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดง นำไปสู่ความเห็นถูกความเข้าใจถูกจริงๆ จนดับกิเลสได้ถึงความเป็นผู้ที่ดับกิเลสคือ สังฆรัตนะ ไม่ใช่พระภิกษุที่เพียงบวชตามพระวินัย แต่ต้องเป็นผู้ที่สามารถที่จะอบรมเจริญปัญญาแล้วก็ดับกิเลสได้ด้วย นี่คือพระรัตนตรัย แต่ถ้าไม่มีการสนทนาเรื่องพระรัตนตรัย เราคิดว่าเรารู้จักพระรัตนตรัยแล้ว แต่ว่า ถ้าถามถึงสังฆรัตนะ บางคนก็คิดว่าพระภิกษุทุกรูป เป็นคณะสงฆ์ เป็นรัตนะ ด้วยการบวช เป็นรัตนะด้วยการบวชไม่ได้ แต่ต้องเป็นด้วยปัญญาที่สามารถที่จะรู้ความจริง จนกระทั่งดับกิเลสได้ ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับกิเลสไม่ใช่สังฆรัตนะ ไม่ใช่พระอริยสงฆ์ เพราะฉะนั้นธรรมก็เป็นเรื่องที่ละเอียด แต่ว่าสามารถที่จะเข้าใจได้จริงๆ เพราะฉะนั้นคำแรกของคนที่ไม่เคยฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือคำว่าธรรม รู้ไหมว่าอะไรคือธรรม คนที่ฟังมาแล้วก็สบายเหมือนจะพูดซ้ำทบทวนสิ่งที่รู้แล้ว แต่ความจริงก็คือว่าสำหรับคนใหม่ ก็คือว่าคิดไม่ออกว่าเดี๋ยวนี้มีธรรมไหม เพราะไม่รู้ว่าอะไรเป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็ขอเป็นคำถาม เพื่อที่จะได้ให้ทุกคนได้ฟังร่วมกัน แล้วก็เข้าใจเพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง การปฏิบัติให้เห็นถึงว่าการหลุดพ้น รู้ว่าเป็นธรรมจริงๆ ที่ท่านสอนอย่างลึกซึ้งเป็นอย่างไร เพราะบางทีก็แค่ไปฟังพระสวดมนต์สวดตามท่าน แต่คำที่แปล เราจะไม่รู้ อันนี้ไม่รู้ว่าเป็นทางไปหลุดพ้นไหมแบบนั้น

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นผู้ละเอียด ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า ก่อนจะไปปฏิบัติธรรม ก็ต้องรู้ว่าเพื่ออะไร ไม่ว่าเราจะทำอะไรทั้งหมดใช่ไหมก็ต้องมีจุดประสงค์ แม้แต่จะหุงข้าว เพื่ออะไร เพื่อเข้าสุกใช่ไหม ทำอะไรทั้งหมดทุกอย่าง จะปลูกต้นไม้ก็เพื่ออะไร ทุกอย่างต้องมีจุดประสงค์ เพราะฉะนั้นจะไปปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร คือจุดประสงค์ ต้องถามตัวเองถ้าไม่มีจุดประสงค์ไปทำไม เพราะฉะนั้น ขอทราบจุดประสงค์ ว่าไปปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร

    ผู้ฟัง คือที่ไปนี่ก็คือเพื่อความสบายใจ มีอยู่ช่วงหนึ่งเป็นความทุกข์ใจ ก็เลยคิดว่าไปปฏิบัติธรรมทำให้จิตใจสงบ สบายใจวัตถุประสงค์ที่ไป

    ท่านอาจารย์ ผิด หรือถูก ทำไมไม่ดูโทรทัศน์ ทำไมไม่ไปเที่ยวที่ไหน แล้วก็ใจสบาย ทำไมไปปฏิบัติธรรม เข้าใจว่าอย่างไร ถ้าต้องการเพียงเพื่อความสบายใจ ไม่ตรง

    ผู้ฟัง ไม่ตรงใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่ตรงเลย เพราะฉะนั้นไม่มีผลเลย แล้วขณะที่อยู่ที่นั่น ๓ วันก็ไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น ถูกต้องไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ที่สำคัญที่สุดคือเข้าใจ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมให้คนที่ไปเฝ้าได้เข้าใจ ไม่ได้บอกให้ใครไปปฏิบัติ หรือไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะเหตุว่ายังไม่รู้อะไรเลยแล้วจะไปปฏิบัติอะไร แม้แต่จุดประสงค์ก็ไม่ได้บอกว่าไปปฏิบัติ ทำอะไร เพื่ออะไร เพราะเหตุว่าธรรมไม่ใช่เรื่องทำ แต่เป็นเรื่องเข้าใจ ผู้ที่จะได้สาระจากพระธรรม ต้องเริ่มเป็นผู้ที่ละเอียด แล้วก็ตรงกับความจริง มิเช่นนั้นแล้วไม่ได้สาระเลย เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่าธรรม ต้องเข้าใจว่าคืออะไรก่อน ถ้าไม่เข้าใจแล้วปฏิบัติธรรม คืออะไรก็ไม่รู้ แต่ว่าถ้าเข้าใจคำว่าธรรม และเข้าใจคำว่าปฏิบัติ ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าปฏิบัติธรรมคืออะไร เพราะฉะนั้นยังไม่ถึงปฏิบัติ แต่ต้องเข้าใจธรรมก่อน เพราะว่าจุดประสงค์คือไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร และปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เอง ธรรมคือสิ่งที่มีจริงแน่นอน ค่อยๆ คิด ถ้าไม่มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ได้ไหมในสิ่งที่ไม่มี ไม่ได้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง หมายความว่าสิ่งนั้นต้องมีจริงๆ แม้ขณะนี้ก็มีแต่ไม่รู้ว่าความจริงของสิ่งนั้นคืออะไร เวลาที่อ่านพระไตรปิฏก หรือว่าฟังพระธรรมก็จะมีชีวิตธรรมดาๆ ที่ทุกคนมีทุกวัน แต่ไม่เคยรู้ความจริง ขณะนี้เห็นไหมเพราะว่าไปปฏิบัติธรรมมาแล้ว

    ผู้ฟัง ก็ยังไม่เห็นอะไรเท่าไหร่

    ท่านอาจารย์ นี่ก็คือว่าความที่จะต้องเป็นผู้ที่ละเอียด และตรง เห็นมีไหมเดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง เริ่มมีนิดหน่อยแล้ว

    อ.ธิดารัตน์ หมายถึงว่าเห็นธรรมดาอย่างนี้

    ผู้ฟัง เห็นธรรมดา คือเห็น

    อ.ธิดารัตน์ เห็นใช่ไหม มีอยู่ แต่เราไม่รู้ได้รู้จักว่าเห็น ที่เห็นธรรมดาเป็นธรรมอย่างไร เพราะฉะนั้นถ้าเห็นธรรม ต้องเห็นด้วยปัญญา ที่เข้าใจว่าเป็นธรรมแต่ละอย่าง แม้กระทั่งลักษณะของเห็นที่เราเห็นอยู่นี้ แต่เราก็ไม่รู้จักลักษณะของเห็น ซึ่งเป็นธรรม ปกติเห็น แล้วก็จะเป็นคนเป็นสิ่งหนึ่งถึงสิ่งใดใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    อ.ธิดารัตน์ แต่จริงๆ แล้วต้องมีสิ่งที่เป็นสภาพที่เห็นอย่างหนึ่งกับสี ที่เราเห็นว่าเป็นคน มีการต่างๆ กัน เพราะมีสีหลายสี แต่ทุกสี ปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้นสีต่างๆ เป็นธรรมอย่างหนึ่ง แต่เราคิดถึงสีที่ต่างกัน จึงรวมกันเป็นคนนั้นคนนี้ เหมือนกับเห็น เราเห็น แตถือว่ายึดถือว่าตอนนี้เราเห็นเป็นคน แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ว่าจะเห็นที่ไหนก็ตาม เป็นแค่เพียงการเห็น แล้วก็มีสิ่งที่ถูกเห็น ซึ่งเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เห็นมีไหม

    ผู้ฟัง เห็นมี

    ท่านอาจารย์ มีแน่นอนไหม

    ผู้ฟัง มีแน่นอน

    ท่านอาจารย์ หลับตาแล้วเห็นไหม

    ผู้ฟัง หลับตาก็ไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ ได้ยินมีไหม

    ผู้ฟัง ได้ยินมี

    ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่

    ผู้ฟัง ก็ตอนที่พูดมาก็ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีเสียงจะมีได้ยินไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ถ้ามีแต่เสียงแต่ไม่มีการได้ยิน เสียงจะปรากฏว่ามีไหม นี่เริ่มคิด ลองคิดดู เสียงในป่า ถ้ามีอะไรตกก็เสียงดัง แต่ว่าไม่มีได้ยิน เสียงนั้นจะปรากฏว่ามีไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่ปรากฏ แม้มีก็ไม่ปรากฏ นี่เป็นชีวิตประจำวันรึเปล่า

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ โกรธมีจริงๆ ไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจ ถ้าโกรธไม่เกิด จะรู้ไหมว่าขณะนั้นโกรธระดับไหน แค่ไหน ขุ่นใจ หรือพยาบาท หรืออาฆาต ก็ไม่รู้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ แต่เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้วเป็นอย่างนั้น เปลี่ยนได้ไหมให้เป็นอย่างอื่น เกิดแล้วเป็นอย่างนั้น โกรธเล็กน้อยแค่ขุ่นใจจะเปลี่ยนให้เป็นโกรธมากๆ ได้ไหม

    ผู้ฟัง เปลี่ยนไม่ได้แล้ว

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริง ปรากฏแล้วจึงปรากฏว่ามีจริง ใครเปลี่ยนสิ่งที่ปรากฏให้เป็นอื่นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ ต้องมั่นใจ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏสิ่งนั้นเกิดเป็นอย่างนั้นแล้ว ซึ่งใครเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย จะเรียกสิ่งนั้นว่าอะไรดี พูดตั้งยาวอย่างนี้ก็ใช้คำสั้นๆ ว่า "ธรรม" เริ่มรู้จักคำนี้เพราะว่าคำนี้ไม่ใช่ภาษาไทย เป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงในภาษามคธี ซึ่งดำรงรักษาพระศาสนาไว้จึงเรียกภาษานั้นว่าภาษาบาลี ซึ่งมาจากคำว่า ปาละ ดำรงรักษาอนุรักษ์ไว้ ด้วยเหตุนี้รู้จักคำหนึ่งแล้ว ศึกษาธรรมทีละคำ ซึ่งคำนั้นไม่เปลี่ยน ธรรมต้องหมายความถึงสิ่งที่มีจริง แม้ไม่เรียกชื่อ ขณะนี้กำลังกระทบสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่แข็ง หรือเปล่า

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ตรงไหน

    ผู้ฟัง ตรงข้อศอก

    ท่านอาจารย์ ตรงที่กระทบสัมผัส เปลี่ยนแข็งให้เป็นอื่นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เริ่มมีความมั่นใจ ที่จะเข้าใจทีละคำ เปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นแข็งมีจริงๆ เปลี่ยนแข็งให้เป็นขมได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ แข็งต้องเป็นแข็ง เกิดเป็นแข็ง ขมต้องเป็นขม เกิดเป็นขม ขณะนี้เห็นแล้วใช่ไหม กำลังเห็น เห็นเกิดแล้วเห็น ใครไปทำให้เห็นเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ใครทำให้ได้ยินเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แต่ก็มีเห็น แต่ก็มีได้ยิน แต่ก็มีแข็ง สิ่งที่มีจริงทั้งหมดแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เป็นธรรม เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมฟังธรรมคือฟังเรื่องสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ จนกระทั่งรู้ว่าเป็นแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นเห็นเป็นเห็นเห็น เกิดขึ้นไม่มีใครไปทำให้เห็นเกิดเลย เราไม่ได้ทำให้เห็นเกิดขึ้น ถ้าไม่มีตาไม่เห็น ถ้าไม่มีสิ่งที่กำลังกระทบตา แล้วปรากฏ เห็นก็เกิดขึ้นเห็นไม่ได้ กำลังหลับถ้าใครสักคนเดียวนี้หลับ ไม่มีอะไรในห้องนี้เลยปรากฏ เพราะเหตุว่าเห็นไม่ได้เกิดขึ้น นี่คือความละเอียด ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้จะไม่เข้าใจปฏิบัติธรรม แล้วไม่มีการที่จะปฏิบัติธรรม และไม่มีการที่จะรู้ธรรมเลย เคยได้ยินมาก่อนไหม

    ผู้ฟัง ไม่เคย

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำต่างกับคำของคนอื่นทั้งหมด เพราะเขาไม่ได้รู้ความจริง แต่ว่าผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ มีแล้วเดี๋ยวนี้แต่ไม่เคยรู้มาก่อน ให้เข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม เริ่มรู้สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม แล้วธรรมแต่ละหนึ่ง เกิดแล้วไม่มีใครรู้ว่าดับแล้ว แต่เพราะเห็นไม่ใช่ได้ยิน พร้อมกันได้ไหม ในเมื่ออย่างหนึ่งเป็นเสียง อีกอย่างหนึ่งเป็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ๒ อย่างต่างกันแล้ว เพราะฉะนั้นจะปรากฏพร้อมกันได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ต้องทีละอย่าง หมากความว่าอย่างหนึ่งต้องดับไปก่อน แล้วอีกอย่างหนึ่งจึงจะปรากฎได้ นี่เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ ภาษาไทย หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ภาษาไทย

    ท่านอาจารย์ แต่สามารถเข้าใจคำที่มี ที่พระผู้มีพระภาคตรัสเป็นภาษาบาลี เพราะฉะนั้นศึกษาธรรม ฟังธรรมในภาษาของตน ของตนไม่ใช่ไปพูดคำที่ไม่รู้จัก ยิ่งสวดมนต์ยาวๆ ผิดๆ ถูกๆ ก็ได้ แล้วก็ไม่รู้เลยว่าแปลว่าอะไร

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แล้วจะมีประโยชน์ไห เป็นผู้ตรง

    ผู้ฟัง ไม่มีประโยชน์

    ท่านอาจารย์ ไม่มีประโยชน์ แต่ฟังธรรมเข้าใจมีประโยชน์ไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นก็เริ่มรู้ว่า พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ลึกซึ้งต้องอาศัยการศึกษาโดยละเอียด รอบคอบจริงๆ จึงสามารถที่จะรู้ได้ว่า เมื่อเห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน คิดเป็นคิด โกรธเป็นโกรธ แต่ละหนึ่ง เกิดแล้วก็ดับไป ไม่มีใครเลยทั้งสิ้นนอกจากธรรมมะ ที่เกิด แล้วก็ธรรมที่ดับ ถูกไหม

    ผู้ฟัง ถูก

    ท่านอาจารย์ แล้วกว่าจะรู้ความจริงอย่างนี้ อีกนานไหม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 178
    23 เม.ย. 2567