ปกิณณกธรรม ตอนที่ 867
ตอนที่ ๘๖๗
สนทนาธรรม ที่ ราวินโฮม รีสอร์ท จ.นครนายก
วันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๙
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เห็นของคนอื่นก็เป็นอัตตวาทุปาทาน เห็นของเราก็เป็นอัตวาทุปาทาน ถ้าไม่แยกเป็นสักกายะ คือเฉพาะตรงนี้ที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา และเป็นเขาคือคนอื่น เราไม่ยึดเขาว่าเป็นเรา ยึดเฉพาะธรรมที่เกิดตรงนี้ ที่สำคัญว่าเป็นเรา
เพราะฉะนั้นก็ อัตตานุทิฏฐิ คือเห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเหมือนกันหมด แต่ส่วนต่างคือที่เป็นเรานี้ ใช้คำว่า “สักกายะ” เพราะฉะนั้นก็อันเดียวกัน ตราบใดที่สภาพธรรมยังไม่ปรากฏการเกิดดับก็รวมสิ่งที่เกิดพร้อมๆ กันว่าเป็นเรา ทั้งนามธรรม และรูปธรรม
แต่ว่าคนที่มีเกินกว่านี้ก็มี เช่น ทิฏฐุปาทาน มีความเห็นว่าอย่างไรบ้าง ไปไหว้กราบปลาไหลทอง ไปกราบทำไม ไปไหว้ทำไม เห็นผิดหรือเห็นถูก สองอย่างแล้ว ทีนี้ แม้ว่าฟังธรรม มีความเข้าใจ แต่ยังเห็นว่าเป็นเรา ถูกไหม เพราะฉะนั้น แม้แต่มรรคมีองค์ ๘ ก็รู้ว่าเป็นความรู้จากการฟัง มีความเข้าใจว่า ขณะนี้ไม่ใช่เรา แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิด สิ่งนั้นก็ดับ ยังไม่รู้อย่างนี้
เพราะฉะนั้น ก็รู้หนทางโดยการฟังพระธรรมว่าหนทางมีทางเดียว คือเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ว่าทิฎฐิยังไม่หมด เพราะฉะนั้นหนทางประพฤติปฏิบัติที่จะขัดเกลากิเลส เป็นหนทางที่ละเอียดและลึกซึ้ง ซึ่งผู้นั้นต้องรู้ ถ้าไม่รู้ก็ยังผิด จดจ้องแม้นิดเดียวก็เป็นสีลัพพัตตุปาทาน ถ้าคิดว่าต้องไปนั่งจ้องลมหายใจหรือว่าจะต้องทำอะไรก็ตามแต่ ซึ่งบางคนกล่าวว่า ต้องมีศีลก่อนบ้าง มีสมาธิก่อนบ้าง แล้วจึงจะมีปัญญา แต่ไม่รู้จักคำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา เพราะผู้ที่คิดว่าจะต้องมีศีลก่อน มีสมาธิก่อน ฟังใคร นั่นเป็นหนทางหรือ ในเมื่อก่อนฟังพระธรรมก็คิดว่ารักษาศีล แต่เป็นเรา
บางคนก็อาจจะคิดว่าต้องสมาทานศีล แต่สมาทานก็คือว่า บุคคลนั้นเองถือเป็นข้อประพฤติปฏิบัติเช่น จะไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ต้องบอกใครก็ได้ แต่มีความมั่นคงว่าจะไม่ฆ่า ขณะนั้นก็คือ ถือ มั่น สมาทาน ที่จะเป็นข้อประพฤติปฏิบัติที่จะไม่ฆ่าสัตว์ แต่ก็ยังมีกาลหรือบางเวลาที่เผชิญหน้ากับอันตราย ยุงนี่ก็เล็กน้อย ถ้างู หรืออะไรอย่างนี้ งูเห่า งูจงอาง แล้วอย่างไร ศีลอยู่ไหน จะวิ่งหนี หรือจะตีงู ก็แล้วแต่ขณะนั้น ใช่ไหม ก็แสดงว่าที่คิดไว้นี่ ไม่ใช่ขณะที่กำลังมีสิ่งนั้นจริงๆ
เพราะฉะนั้น ผู้ที่เพียรสมาทานศีล คิดว่าตนเองได้ถือศีล ไม่ได้ถือศีลตลอดเวลา เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเกิดดับ เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงนี้ ต่างจากศีลของผู้ที่ไม่เข้าใจธรรม เพราะว่าศีลของผู้ที่เข้าใจธรรมก็คือ อกุศลศีล กุศลศีล และอัพยากตศีล เพราะต้องเป็นศีลของสภาพธรรมที่เป็นสภาพรู้ รูปธรรมไม่มีศีลเลย ไม่รู้อะไร จะไปวิรัติงดเว้นอย่างไรก็ไม่ได้ แต่จิต เจตสิก เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้
เพราะฉะนั้น วิรตีเจตสิกเป็นสภาพที่งดเว้นที่จะกระทำในเมื่อสิ่งนั้นอยู่เฉพาะหน้า คิดไว้ ดับไปแล้วใช่ไหม ดับไปๆ เรื่อยๆ ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ก็คิดว่าตัวเองจะไม่ฆ่า แต่ว่าเวลาที่เผชิญหน้ากับอันตราย อีกเรื่องหนึ่ง ขณะนั้นเป็นหน้าที่ของวิรตีเจตสิก ที่ถ้าเกิดก็วิรัติ ถ้าไม่เกิดก็ไม่วิรัติ ทั้งหมดก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เพราะฉะนั้นผู้ที่จะมีศีล๕ สมบูรณ์ คือ พระโสดาบัน เพราะฉะนั้น ชาตินี้เราอาจจะไม่ได้ฆ่าสัตว์มาตั้งแต่เด็ก แต่โตขึ้นใครจะรู้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องซึ่งไม่ใช่เราเลย แต่ว่าเป็นสภาพธรรมที่แสดงไว้ว่า เป็นความประพฤติของจิต ซึ่งขณะใดเป็นอกุศล จิตก็จะกระทำสิ่งที่เป็นอกุศล แม้แต่วาจา ผิดเพียงเล็กน้อย ขณะนั้นก็เป็นเพราะอกุศลจิต
เพราะฉะนั้น ก็จะต้องรู้จนถึงว่า ไม่ใช่เป็นคำลอยๆ หรือพูดไป แต่ต้องแสดงความจริง จนถึงไม่ใช่ตน แต่ว่าเป็นสภาพธรรม แต่ละหนึ่ง จึงสามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ธรรมดาเขาแยกใช่ไหม เป็นศีล และสมาธิ และเป็นปัญญา แต่ถ้าเป็นศีลที่ยิ่ง ไม่ใช่ศีลธรรมดาๆ ละเอียดลึกซึ้งด้วย เป็นหนทางที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็พร้อมกันทั้ง ๓ คือ ในขณะนั้นก็ต้องมีศีล คือ กุศลจิต ไม่ใช่เท่านั้น ยังต้องเป็นสภาพที่ตั้งมั่น สภาพของจิตก็คือสมาธิที่ตั้งมั่น มิฉะนั้นก็จะไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ แต่เพียงศีลและสมาธิ ขาดปัญญาก็ไม่ได้ เพราะไม่มีทางที่จะรู้ความจริงเลย
ด้วยเหตุนี้ ไม่ใช่จำชื่อ อ่านชื่อ รู้ชื่อ แต่ต้องเข้าใจว่าธรรมเปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า แม้ศีล ก็มีศีลนอกพระพุทธศาสนาก่อนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และแม้เมื่อได้ฟังแล้ว ผู้นั้นก็จะเป็นผู้ที่ฟังละเอียดแค่ไหน ก็บอกว่านับถือพระพุทธศาสนา แล้วก็ได้ยินคำว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เลยไปคิดเอง ต้องศีลก่อน บริสุทธิ์ก่อน แล้วศีลจะบริสุทธิ์เมื่อไหร่ ในเมื่อเป็นเรารักษาศีล ก็ไม่บริสุทธิ์แล้ว
เพราะฉะนั้น ความเข้าใจถูกต้องในสภาพธรรม ขณะนั้นประกอบด้วย ปัญญา ศีล และสมาธิ ขั้นฟัง แต่ในขณะที่กำลังเริ่มเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรม โดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ใครไปทำสติปัฎฐาน แค่นี้ก็ผิดแล้ว ไปทำสติปัฎฐาน ไปทำวิปัสสนา ผิดหรือถูก ต้องผิด ใครไปทำได้ วิปัสสนา เป็นปัญญาที่เกิดโดยการสะสม เมื่อมีเหตุปัจจัย ถึงเวลาที่จะเกิดใครก็ยับยั้งไม่ให้เกิดได้ แต่ใครไปทำวิปัสสนา ก็มีตัวตน แล้วก็มีความตั้งใจที่จะไปทำ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่วิปัสสนา
เรื่องของธรรมต้องเป็นเรื่องที่เข้าใจ ทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งมั่นคง แล้วก็เข้าใจทีละคำ และแต่ละคำด้วย ถ้าเป็นศีลซึ่งไม่ใช่ประกอบด้วยความเข้าใจ ไม่มีทางที่จะเป็นหนทางไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ แต่ถ้าเป็นศีลที่ประกอบด้วยความเข้าใจ ก็จะค่อยๆ ตามลำดับ
ผู้ฟัง การที่ได้ยินได้ฟัง ความเข้าใจจะต้องมั่นคง ถึงแม้ว่าจะยังไม่ประจักษ์ ก็จะต้องเข้าใจอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
ท่านอาจารย์ ไม่มีกฎเกณฑ์ แต่ว่าฟังแล้วเข้าใจขึ้น จึงมั่นคงขึ้น ว่าธรรมเป็นอย่างนี้ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ลืมตาก็เห็นนิมิตหมดแล้ว ไม่ได้รู้ว่าเป็นสภาพธรรมที่เพียงหนึ่ง ที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ แล้วก็ดับไปเลย แต่ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ ก็เข้าใจว่าเมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ความเห็นถูกต้อง ก็ต้องเห็นถูกต้องอย่างนี้
แม้ว่าเดี๋ยวนี้ ยังไม่มีความเห็นที่จะเข้าใจคำว่า รูปารมณ์ หรือว่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แต่คำนี้ตรงที่สุด กำลังมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่มีจริง แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้นั้น ทันทีที่เห็นก็เป็นนิมิตต่างๆ เพราะความรวดเร็ว เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุ เป็นสิ่งของ ในห้องนี้เห็นหมดเลย เร็วอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น ก็รู้ว่าสภาพธรรม ลึกซึ้ง ไม่ใช่ว่าเพียงฟัง แล้วจะไปรู้ หรือว่าไปฟังแล้วหาทางอื่น แต่รู้ว่าหนทางที่จะหมดความไม่รู้ ก็คือ เข้าใจถูกต้อง ตามลำดับขั้น
ผู้ฟัง อยากจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ ก็คือว่า ทำไมผมไม่กลัวเจ็บ ทำไมผมไม่กลัวตาย ทำไมผมกลัวการเกิด
ท่านอาจารย์ กลัวการเกิด เดี๋ยวนี้ไหม ไม่ใช่การเกิดหลังจากที่ตาย แต่เดี๋ยวนี้มีการเกิดของเห็น มีการเกิดของได้ยิน มีการเกิดของทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ถ้าเป็นเราก็เกิด แล้วเราก็ตาย แล้วเราก็ไม่กลัว ก็ยังคงเป็นเราอยู่ แต่ถ้าจะประจักษ์การเกิดตายจริงๆ คือ ขณะนี้ ชื่อว่า ขณิกมรณะ ตายทุกขณะ เพราะว่าสิ่งที่ยังไม่มี ก็เกิด เกิดแล้วก็ดับ ไม่กลับมาอีกเลย ทุกๆ ขณะ เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ความจริงอย่างนี้ ก็จะทำให้ค่อยๆ คลายความยึดมั่น ว่ามีเราจริงๆ เพราะเหตุว่า เป็นสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง เกิดเมื่อมีปัจจัยเท่านั้น ถ้าไม่มีปัจจัยก็เกิดไม่ได้ อยากจะมีปัญญา อยากจะรู้ความจริงของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ อยากจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แค่คิด ไม่มีเหตุสมควรที่จะให้เป็นอย่างนั้นได้
เพราะฉะนั้น เหตุสมควร คือ ความเห็นถูกต้องในแต่ละคำที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ไม่ประมาทเลย ลึกซึ้งทุกคำ เป็นปัญญาทุกคำ เพราะฉะนั้น ผู้ตรงจึงจะได้สาระจากพระธรรม ตรงต่อความจริง ว่าความจริงคือ ไม่มีเรา มีแต่ธรรม ซึ่งเกิดขึ้นหลากหลายมาก และที่ใช้คำว่า ขณิกมรณะ ตายเป็นขณะๆ ก็เพราะเหตุว่า ไม่กลับมาอีกเลย เหมือนคนที่จากโลกนี้ไปแล้ว จะกลับมาเป็นคนนี้อีกสักหนึ่งวินาที เสี้ยววินาทีก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าไม่มีคน แต่มีสภาพของจิตซึ่งเกิดเพราะกรรม เมื่อกรรมสิ้นสุดที่จะให้เป็นบุคคลนี้ ถึงเวลาก็คือว่าไม่ให้เป็นบุคคลนี้อีกต่อไป โดยจิตขณะสุดท้ายดับ แล้วก็เป็นโอกาสของจิตที่จะต้องเกิดต่อแน่นอน เพราะว่า จิตทุกขณะมี “สัตติ” หรือว่าความเป็นปัจจัยที่จะทำให้จิตและเจตสิกเกิดต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่น จนกว่าจะถึงจุติจิตของพระอรหันต์ ซึ่งไม่มีการเกิดอีกเลย
เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะไม่เกิด หรือว่าเห็นว่าการเกิดเป็นทุกข์ ก็ต้องเห็นสภาพความจริงของธรรมในขณะนี้ว่า แม้เห็นก็ไม่เที่ยง เพราะเกิดมาแล้วก็ต้องเห็น เกิดมาแล้วก็ต้องได้ยิน เกิดมาแล้วต้องคิดนึก เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นความไม่เที่ยงและความไม่มีสาระ เพราะว่าเกิดทำไม เกิดให้เห็นว่ามี แล้วก็หายไปเลย ไม่มีอีกเลย
เพราะฉะนั้น ธรรมแต่ละคำ ซึ่งเป็นจริงนี้ ยังไม่สามารถที่จะปรากฏแก่ปัญญาเพียงขั้นฟัง แต่รู้ว่าถ้าฟังต่อไป เข้าใจต่อไป ก็จะทำให้เริ่มค่อยๆ คลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน หรือเป็นเรา ทุกอย่างก็เป็นแต่เพียงธาตุ เหมือนกันหมดเลย ธาตุเห็น ไม่ใช่งู ไม่ใช่คน ไม่ใช่เทพ ธาตุเห็นเป็นธาตุเห็น ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะให้เกิด ก็เกิดไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เกิดแล้วไม่ให้ดับไป ก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้น ความที่จะเข้าใจความจริงอย่างนี้ ก็คือว่า เมื่อสะสมความไม่รู้มามาก สะสมอกุศล ความติดข้องมามาก และสะสมอกุศลอื่นๆ มามากมาย แล้วจะให้หมดไปโดยรวดเร็ว เป็นสิ่งที่ไม่ตรง เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น เป็นผู้ที่ประพฤติตรงกับความจริง ซึ่งไม่ใช่เรา แต่ว่าขณะที่อกุศลจิตเกิด อาจหาญ กล้า เพราะฟังมามาก ที่จะรู้ว่าขณะนั้นเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ขณะที่กุศลจิตเกิด ก็ไม่ใช่เรา ชั่วคราว มีปัจจัยก็ต้องเกิดเป็นกุศลนั้นๆ ขณะนั้นจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ แล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้น พระธรรมทำให้เป็นคนที่อาจหาญ ไม่ทุกข์โศก แต่ร่าเริงที่จะรู้ความจริงว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ ขณะเสียใจก็ต้องมี แต่ก็เป็นธรรมซึ่งไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา คำนี้เปลี่ยนไม่ได้เลย แต่ว่าจะเป็นอนัตตามากน้อยแค่ไหน ต้องเป็นปัญญาที่รู้ในความไม่ใช่ตัวตนของสภาพธรรมนั้น ไปเรื่อยๆ ทีละเล็ก ทีละน้อยด้วยความมั่นคง
แต่เป็นผู้ที่ไม่หวั่นไหว ถึงจะเป็นคนเดียวในโลก ที่มีความเข้าใจพระธรรมถูก ก็ต้องเป็นคนนั้น ไม่ใช่ไม่เป็นคนนั้น แล้วเป็นตามคนอื่น นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความมั่นคง ซึ่งความจริงก็ไม่ใช่คนเดียว หลายคน แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องพวกมากพวกน้อย ลากไปลากมา พวกมากลากไป ไม่ใช่ความจริงที่จะต้องหวั่นเกรงอะไรทั้งสิ้น เพราะว่าความจริงเป็นความจริง ที่ทุกคนปฏิเสธไม่ได้ ถ้าฟัง แล้วก็เป็นผู้ที่มีเหตุผล
เพราะฉะนั้น ก็มั่นคงในการได้ฟังสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ว่าใครพูด ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่ท่านพูดไม่ถูก พูดไม่ตรง ท่านก็เป็นผู้ที่มีคุณในสถานอื่น แต่ไม่ใช่มีคุณในการให้ความรู้ความเข้าใจ เพราะเหตุว่า สิ่งที่ท่านให้ ไม่ตรงตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น หน้าที่ของผู้ที่จะกตัญญู ก็คือว่า ใครก็ตามที่มีคุณต่อเรา เราจะทดแทนหรือตอบแทนได้โดยการเป็นคนดี และก็เป็นผู้ที่ตรง ที่จะรู้ว่า “คำจริง” ไม่ว่าใครได้ฟัง ถ้ามีสติปัญญา ก็จะเห็นเจตนาที่บริสุทธิ์ ที่หวังดีต่อทุกคน ไม่ให้สิ่งที่เท็จ ไม่ให้สิ่งที่ลวง แต่ให้สิ่งที่เป็นความจริง ที่พร้อมที่จะให้ศึกษา และก็สนทนา เพื่อที่จะได้เข้าใจในความถูกต้อง และเห็นจริงๆ ในความหวังดีที่พูดสิ่งที่จริง เพื่อประโยชน์ ไม่ได้ทำร้ายใครเลย
อ.อรรณพ พูดถึงผู้ตรงด้วยปัญญาในสภาพธรรม การตรงก็เริ่มตั้งแต่แรก ซึ่งเมื่อสักครู่ก็สนทนากันถึงเรื่องว่า มาฟังธรรมตามจริตหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ที่จริงแล้ว เลิกใช้คำนี้ได้เลย เพราะอะไร เพราะไม่มีใครรู้จริต นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะรู้ว่าบุคคลที่กำลังเฝ้าฟังพระธรรม จริตอะไรที่สมควร ที่ได้ประพฤติมาแล้วในอดีต ที่จะเป็นสิ่งที่ทำให้เขาได้เข้าใจธรรม แต่คนอื่น มีใครสักคนหนึ่งไหม ที่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วถามว่า ข้าพระองค์มีจริตอะไร มีไหมในไตรปิฎก แล้วเราจะไปถามใคร ว่าเรามีจริตอะไร บุคคลนั้นเองต่างหาก ที่เป็นผู้รู้ เมื่อสภาพธรรมนั้นเกิดขึ้น ก็รู้ว่าสะสมมาอย่างนี้ ที่จะมีจริตอย่างนี้ แม้แต่การที่สติสัมปชัญญะซึ่งเป็นสติปัฎฐานจะเกิด ก็ต้องโดยความเป็นอนัตตา คำนี้ทิ้งไม่ได้เลย ใครพูดให้ทำ คนนั้นไม่รู้จักอนัตตา เพราะเหตุว่าถ้าเป็นอนัตตา ก็คือว่า คำที่กล่าวต้องเป็นคำที่กล่าวถึงความจริง โกรธตลอดไป ได้ไหม เห็นตลอดไป ได้ไหม
เพราะฉะนั้น ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาได้ไหม อย่าโกรธ อย่าติดข้อง เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ความเป็นผู้ตรง ก็คือว่า ธรรมไม่ใช่เรา เพราะไม่ใช่เราไปทำ ให้ไม่มี แต่ว่าธรรมเป็นธรรม เข้าใจถูกคือ ธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น ความเป็นผู้ตรง ต่อคำตั้งแต่ต้น คือ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าใครให้เป็นอัตตา คนนั้นก็ค้านพระพุทธพจน์ แล้วจะเชื่อใคร
เพราะฉะนั้น ใช้คำผิด เพราะเข้าใจผิด จึงพูดผิด แล้วก็เป็นที่นิยม คนหนึ่งพูดคนอื่นก็ตามไปเลย ตอนนี้ใครจะทำอะไรก็ถูกจริต ไม่ถูกจริต ซึ่งใช้คำในพระพุทธศาสนา คำของความจริง แต่ไม่รู้ความจริงเลยว่า สะสมมา แล้วใครจะรู้ในแสนโกฎกัป เดี๋ยวรัก เดี๋ยวชัง เดี๋ยวมานะ เดี๋ยวสำคัญตน มีทั้งหมด แล้วใครจะเป็นคนรู้ว่าแสนโกฎกัปมาแล้วเป็นใครอยู่ที่ไหน ประพฤติอย่างไรมากน้อย ก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้ นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ใครจะมาบอกว่า คนนี้จริตเป็นอย่างนี้ เชื่อหรือ รู้ได้อย่างไร รู้ถึงแสนโกฎกัปไหม
อ.อรรณพ อาจารย์คำปั่น จริต แปลว่าอะไร แล้วก็ในพระธรรมนั้น ท่านแสดงจริตไว้อย่างไรบ้าง จะได้เป็นความชัดเจน มิเช่นนั้นแล้วก็เอาคำนี้ไปพูดกัน แล้วก็อ้างว่าถูกจริตก็เลยทำอย่างนี้ ไม่ถูกจริตก็เลยไม่ฟัง หรือถูกจริตก็เลยมาฟัง แต่ไม่ว่าท่านจะกล่าวว่า ถูกจริต หรือไม่ถูกจริต ต่อให้ท่านบอกว่าท่านมาฟังที่นี่ เพราะถูกจริตนี่ ก็ไม่ใช่จุดเริ่มที่ถูกต้อง ที่จะทำให้ท่านเข้าใจธรรมต่อไป
อ.คำปั่น การสนทนาเมื่อสักครู่ ท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวในความหมายของจริตอยู่แล้ว ที่กล่าวถึงความประพฤติเป็นไป เพราะว่าแต่ละคน แต่ละท่านที่เกิดมา ก็มีความประพฤติเป็นไปที่แตกต่างกันตามการสะสม
เพราะฉะนั้น ความหมายของ จริตฺต หรือว่า จริต ก็คือ ความประพฤติ อย่างเช่น ผู้ที่สะสมมาที่จะมีความติดข้องต้องการ ถ้าใส่ชื่อก็คือ ราคะจริต ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากธรรมที่มีจริงๆ ก็คือความเกิดขึ้นเป็นไปของจิตและเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย ที่เกิดดับสืบต่อกันเป็นไปอย่างไม่ขาดสาย สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏ จึงมีความประพฤติเป็นไปที่แตกต่างกัน บางท่านก็สะสมมาในทางที่จะมีโทสะมาก ความโกรธมาก ก็คือความประพฤติเป็นไปของความโกรธนั่นเอง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าจริตเป็นคนที่ไม่ชอบความจริง ก็พอใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังซึ่งไม่จริง เพราะถูกจริตที่ไม่ชอบความจริง ต้องเป็นเหตุผล ไม่ใช่เพราะชอบหรือไม่ชอบ ต้องเป็นความถูกต้อง
อ.คำปั่น เมื่อได้ศึกษาพระธรรมก็ทำให้เห็นถึงความจริงว่า ก่อนศึกษาพระธรรม ก็พูดคำที่ไม่รู้จัก แต่พอได้เริ่มฟัง เริ่มศึกษา ก็รู้เลยว่าเป็นความเห็นที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงของพระธรรมอย่างมาก เพราะฉะนั้น การที่มีโอกาสได้ศึกษาพระธรรม จึงเป็นประโยชน์เกื้อกูล ที่จะให้ได้เข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง
จากการสนทนาธรรมตั้งแต่เมื่อวาน ที่กล่าวถึงความเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของการศึกษาพระธรรม ที่จะต้องเป็นเรื่องละตั้งแต่ต้น แม้แต่ในการศึกษาพระธรรม จุดประสงค์ก็ต้องตรงจริงๆ ก็คือ ศึกษาเพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง เพื่อความเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น ปัญญาก็จะทำกิจของปัญญา ว่าสามารถที่จะเข้าใจอย่างถูกต้องว่า คือ ความจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง ที่สามารถที่จะเข้าใจได้ในชีวิตประจำวัน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น โดยมากเราก็คิดถึงใช้คำนี้ตามใจชอบของเรา ว่าเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร นักร้องของชมรมบ้านธัมมะ ก็มีหลายท่าน นักดนตรีด้วย นักแต่งเพลงด้วย มีคนไม่ชอบฟังไหม เพราะฉะนั้น สะสมมา ไม่ชอบ ไม่ถูกจริต ใช้คำนั้น แต่ก็คือว่า ไม่ชอบนั่นเอง เพราะถูกจริตก็ชอบ แต่ว่าเป็นธรรม ซึ่งต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่าไม่มีเรา แต่ว่าต่างคนก็ต่างอัธยาศัย เพราะสะสมมาต่างๆ กัน คนที่ชอบก็มีความสามารถ ก็คือ ฉันทะ ความพอใจที่จะกระทำ แต่ถ้าพูดถึงความติดข้อง ก็ต้องติดข้องทุกคน
เพราะว่าติดข้องในเรื่องของเพลง ติดข้องในเรื่องของอาหาร ติดข้องในเรื่องทำอะไรก็แล้วแต่ ก็เป็นเรื่องของความติดข้อง เพราะฉะนั้น ถ้าจะพูดโดยไม่รู้ ก็คือถูกจริต แต่จริงๆ ก็คือว่า พอใจที่จะเป็นอย่างนั้น ถ้าคนที่พอใจที่จะเห็นผิด ก็ถูกจริตของเขา เขาก็ไม่รู้เลยว่า เขาพอใจในความเห็นผิด เพราะว่าเขาถูกจริต เขาคิดว่าอย่างนั้น แต่ความจริงก็คือว่า เขาสะสมมาที่จะไม่ต้องการรู้ความจริง ไม่เห็นประโยชน์ของการที่จะเข้าใจความถูกต้อง แต่ว่าคนที่สะสมมาที่จะไม่ชอบสิ่งที่ลวง สิ่งที่เท็จ เพราะฉะนั้น คนนั้นจะไม่พอใจกับคำที่ไม่เป็นเหตุเป็นผล
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 841
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 842
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 843
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 844
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 845
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 846
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 847
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 848
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 849
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 850
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 851
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 852
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 853
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 854
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 855
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 856
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 857
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 858
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 859
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 860
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 861
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 862
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 863
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 864
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 865
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 866
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 867
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 868
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 869
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 870
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 871
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 872
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 873
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 874
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 875
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 876
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 877
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 878
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 879
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 880
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 881
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 882
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 883
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 884
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 885
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 886
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 887
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 888
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 889
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 890
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 891
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 892
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 893
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 894
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 895
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 896
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 897
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 898
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 899
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 900
