ปกิณณกธรรม ตอนที่ 849


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๔๙

    สนทนาธรรม ที่ ภูพานเพลส จ.สกลนคร

    วันที่ ๑๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘


    ท่านอาารย์ เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุด ก็คือว่าต้องเข้าใจทุกคำละเอียด ลึกซึ้ง มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเปลี่ยนได้อย่างไรเป็นความจริงของสิ่งที่มีจริงถึงที่สุด เพราะฉะนั้น กว่าใครก็ตามจะได้เข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดงแต่ละคำ โดยรอบคอบ โดยละเอียด โดยเป็นที่พึ่งได้ ก็ต่อเมื่อเป็นผู้ที่รู้ตัวเองว่ายังไม่เข้าใจอะไรที่ได้ฟัง แล้วก็สนทนากันเพื่อที่จะได้เข้าใจจริงๆ ไม่เปลี่ยนแปลงเลยเพราะว่า สิ่งที่มีจริงที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง กำลังมีเดี๋ยวนี้ ด้วยเหตุนี้ทุกคนก็คงจะได้ฟังธรรมกันมามากมายพอสมควร หรือบางคนอาจจะน้อยมาก อาจจะเป็นครั้งแรกก็ได้ สำหรับบางคนก็เป็นโอกาสที่จะได้เข้าใจธรรม ทีละหนึ่งคำ เพราะว่าสังเกตุดูเป็นเรื่องยาวหลายคำ เพราะฉะนั้น ไม่เข้าใจคำที่พูดถึงที่สุด เพียงแต่คิดว่าเข้าใจแต่ว่าความจริงถ้าจะเข้าใจจริงๆ ต้องเข้าใจอย่างละเอียดรอบคอบ เช่น คำว่าธรรม รู้จักหรือยัง พูดแล้วฟังธรรม ประพฤติธรรม ปฏิบัติธรรม แต่ธรรมคืออะไร ถ้าไม่เข้าใจแล้วทำอะไร ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจ หรือไม่เข้าใจผิด หรือฟังแล้วคิดเองต่อไปอีกมากมายไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย เพราะคิดยังไงก็ไม่เหมือนคำที่ได้ทรงแสดงไว้ คลาดเคลื่อนไปตามความคิดของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่งในความเป็นพระรัตนตรัย ตรัยคือ ๓ รัตนะคือสิ่งที่ประเสริฐสุด พระรัตนตรัยที่ ๑ คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีการที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี เห็นว่าเกิดแล้วตาย แล้วระหว่างที่เกิด สุขบ้างทุกข์บ้าง เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี แล้วมีอะไรเหลือบ้าง อาหารที่รับประทานเมื่อครู่นี้อยู่ไหน เห็นในขณะที่กำลังรับประทานอาหารเห็นกุ้งปูปลา เห็นขณะนั้นอยู่ไหน เดี๋ยวนี้สิ่งที่ปรากฏก็ไม่ใช่กุ้งปูปลา เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ และเมื่อกลับไปบ้านสิ่งที่กำลังมีขณะนี้อยู่ไหน ไม่ว่าจะเป็นเห็น ไม่ว่าจะเป็นได้ยิน ไม่ว่าจะเป็นคิดนึก อยู่ไหน เพราะฉะนั้นหมดสิ้นไปโดยไม่รู้แต่ละขณะ จนกว่าจะถึงขณะสุดท้ายที่จากโลกนี้ไป สายไปไหม ไม่มีเวลาที่จะเข้าใจถูกต้องว่า ตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดมาแล้วตายจากไป ไม่มีอะไรเหลือเลย ไม่มีแม้แต่เรา คนนี้เกิดมา มีอายุเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้เลยเพราะว่าจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะฉะนั้นเป็นคนนี้ได้เพียงแค่นี้ เพียงเท่านี้ เพียงชาตินี้ พอจากโลกนี้ไปแล้ว จะไม่มีคนนี้อีกเลย เคยเป็นเรานั่งอยู่ตรงนี้มีใครเห็นเรานั่งอยู่ตรงนี้ ทั้งเขาทั้งเราซึ่งจากไปแล้วก็ไม่เหลือเลยไม่เหลือเลยหมายความว่าจะไปหาที่ไหนในจักรวาลไม่มี ภพไหน ภูมิไหนก็ไม่มี เพราะฉะนั้นเป็นคนนี้ได้เพียงแค่ชาตินี้ เพราะฉะนั้นการเกิดมาเป็นคนนี้ในชาตินี้ จะเป็นคนนี้อย่างไร อย่างคนดี อย่างคนชั่ว อย่างคนเข้าใจสิ่งที่มีตามความเป็นจริงว่า แท้ที่จริงแล้วก็เป็นสิ่งที่มีเมื่อปรากฏ ชั่วคราวแสนสั้น พอไม่ปรากฏไม่มีแล้ว ไม่มีจริงๆ แล้วความจริงที่ลึกซึ้งกว่านั้นก็คือว่าไม่ใช่เพียงแค่ไม่มี สิ่งที่มีนั้นเกิดจึงมี และสิ่งที่เกิดมีแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกแล้วยังไม่เหลือเลยด้วย

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นขณะที่จะต้องไตร่ตรอง เกิดมาไม่ใช่ทุกคนมีโอกาสจะได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ถึงแม้ว่าจะได้ฟังบ้างแต่ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่มีประโยชน์ แล้วยิ่งบางคนเข้าใจผิด ไม่รู้เลย ความเห็นของตนซึ่งผิดนั้นตรงกันข้ามกับความเห็นถูกที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดง เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจผิดอย่างนี้ แต่ละคำก็เป็นคำที่ทำลายพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงไว้โดยประการทั้งปวง โดยไม่รู้สึกตัว เพราะฉะนั้นโทษมีมากซ้ำไม่รู้เลย นอกจากตนเองเข้าใจผิด คนอื่นที่ฟังยังผิดตามไปด้วย และถ้ามีกิเลสเกิดติดตามความที่เข้าใจผิดมากมายแล้วจะไปไหน เหตุกับผลต้องตรงกัน ถ้าเหตุไม่ดีกุศล อกุศลจิตทั้งหลายที่เกิดดับ ไม่ว่าฝ่ายดีฝ่ายเลว เกิดแล้วดับไปก็จริงแต่สะสมอยู่ในจิตทุกขณะ

    วันนี้ได้พบคนใหม่ๆ จำได้ไหม ว่านี่ไม่ใช่คนที่เคยเห็นมาก่อน เพราะฉะนั้น แม้แต่ความจำ ก็เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ถ้าไม่เคยเห็นจะจำได้ไหมว่าเป็นใคร จะรู้ไหมว่าเป็นใคร ไม่มีความคิดใดๆ เลยทั้งสิ้น แม้เพียงเห็นก็เริ่มจะจำเพียงแค่สิ่งที่ปรากฏ แล้วก็นึกคิดต่อไป ไม่เคยเห็น และไม่รู้จักชื่อด้วย แต่ว่าพอคุ้นเคยกันรู้ว่าชื่ออะไรก็จำเพิ่มมาอีก และสิ่งที่ปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้ชื่อนี้เป็นคนนี้เคยเห็นแล้วครั้งแรกที่ไหน แล้วต่อมาเคยเห็นอีกกี่ครั้งทั้งหมดเป็นธรรม ชั่วคราว แล้วก็จากโลกนี้ไป ชาติหน้ามีแน่ เพราะเหตุมีเมื่อกุศล และอกุศลได้เกิดแล้วสะสมไว้แล้วที่จะไม่มีผล ไม่มี เพราะฉะนั้นเหตุที่ได้กระทำไว้นี่แหละก็กระทำให้เกิดผลคือเกิดต่อจากชาตินี้ แต่ว่าเป็นคนนี้อีกต่อไปไม่ได้ต้องเป็นไปตามบุญกรรมที่ได้กระทำไว้ เพราะฉะนั้นถ้ากุศลกรรมหนึ่ง เป็นปัจจัยให้เกิดเป็นมนุษย์ ยังไม่ต้องไปสวรรค์ก็ได้ใช่ไหมเพราะเราคุ้นเคยกับโลกมนุษย์ ก็รู้ความจริงของโลกมนุษย์เดี๋ยวนี้ว่าทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นผลของกุศลกรรมหนึ่ง แต่ว่ากุศลกรรมที่ทำให้ปฏิสนธิหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นการเคยได้ฟังธรรมคล้ายๆ อย่างนี้แหละที่หนึ่ง ที่ใดก็ได้ใช่ไหม ดับไปแล้วแต่ก็เป็นปัจจัยให้มีโอกาสได้ฟังอีกในภายหลังที่ได้เกิดเป็นมนุษย์

    เพราะฉะนั้นการที่แต่ละคนจะมีโอกาสได้ฟังธรรม ไม่ใช่ใครไปบันดาล ใครไปบอกใครไปชวนแล้วมีโอกาส แต่ต้องเป็นเพราะกรรมที่ได้กระทำไว้นั่นแหละ เพราะฉะนั้นเมื่อสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่าง เราก็ไม่เข้าใจความลึกซึ้ง เช่น แล้วกรรมเป็นเรารึเปล่า และกรรมอยู่ที่ไหนเป็นต้น ทั้งหมดพระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้โดยละเอียดอย่างยิ่ง ถึง หนึ่งขณะเดี๋ยวนี้ ให้รู้ว่าเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นขณะนี้ที่ฟังเข้าใจ สะสมไว้เวลาที่จะจากโลกนี้ไป เลือกได้ไหม ให้กรรมไหนให้ผล อกุศลก็ทำไว้มาก กุศลมีบ้างคงไม่เท่าอกุศล แต่หมายความถึงอกุศลจิต โลภะ โทสะทั้งวัน เห็นก็ชอบไม่ชอบ ได้ยินก็ชอบไม่ชอบ มีตา หู จมูก ลิ้น กายไว้ทำไม มีตาเพื่อที่จะเห็น ถ้าไม่มีกรรม จะมีตาไหม คนตาบอดก็มีเพราะกรรมใด เพราะฉะนั้นคนที่ตาไม่บอดเดี๋ยวนี้ก็ยังมีตา จะบอดวันไหนไม่รู้แล้วแต่กรรม เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ทั้งหมดในสังสารวัฏคือการเกิดดับสืบต่อไม่ขาดสาย เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึกกี้ชาติมาแล้วในแสนโกฏกัลป์ ทำให้ทุกคนในขณะนี้เกิดมาเป็นคนนี้ เฉพาะชาตินี้ แต่ทุกคนก็มาเพราะกุศลกรรมพูดธรรมดาธรรมดา แต่ความจริงก็คือว่ากรรมที่ได้กระทำแล้วนั่นแหละถึงดับไปแล้ว เห็นแรงกรรมไหม ทำให้เกิดได้ เราเกิดในที่ต่างๆ นั้นคือการที่เกิดมาไม่ใช่ต่างกันเฉพาะขณะที่เกิดว่าต่างกัน เกิดแล้วยังรูปร่างหน้าตาต่างกันอีกพี่น้องกันแท้ๆ ก็ยังไม่เหมือนกันก็ได้คนหนึ่งสูง คนหนึ่งเตี้ยก็ได้ใช่ไหม คนหนึ่งขาว คนหนึ่งดำยังได้ แค่ภายนอก แล้วใจล่ะ มาจากไหนกัน แต่ละหนึ่งขณะของแต่ละหนึ่งคนไม่เหมือนกันเลย ด้วยเหตุนี้ กรรมหนึ่งที่ทำให้เกิดเป็นคนนี้ในชาตินี้ประมวลมาซึ่งกรรมอื่นๆ ที่ได้กระทำแล้ว ไม่ว่าในชาติไหน ที่จะปรุงแต่งเป็นสังขารขันธ์ ประกอบทำให้รูปที่เกิดจากกรรมหลากหลายต่างกัน และยังมีรูปที่เกิดจากจิต มีรูปที่เกิดจากอุตุอากาศ มีรูปจากอาหารที่รับประทานเข้าไป

    เพราะฉะนั้นธรรมเป็นชีวิตประจำวันไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย มีอยู่แล้วทุกขณะแต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นรู้เองได้ไหม ไม่ได้ แต่ว่าเมื่อได้ฟังพระธรรมแต่ละคำ ไม่ประมาทมีค่าที่สุดเมื่อเข้าใจ มีคนหนึ่ง ที่เขาบอกว่าเมื่อวานนี้เอง ได้ฟังธรรมเป็นครั้งแรก ตั้งแต่เกิดมาอายุ ๔๑ ปีหรือ ๔๐ ปี เพิ่งมีค่าของชีวิตในขณะที่ได้เข้าใจธรรมเพราะว่าเห็นประโยชน์จริงๆ สิ่งที่เป็นที่ติดข้องทั้งหลายไม่เหลือ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ เพียงแค่หลับสนิท เป็นใคร ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน ญาติพี่น้องบ้านช่องอยู่ที่ไหนไม่มีปรากฏเลยว่ามี เพราะฉะนั้นเมื่อสิ่งใดปรากฏเมื่อนั้นจึงติดข้องยึดถือว่าเรามีสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ความจริงถ้าสิ่งนั้นไม่เกิดขึ้นเลยไม่มีอะไรเลย จะมีเราได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ไม่ผิวเผินเพื่อเห็นประโยชน์ที่มีค่าที่สุดในชีวิตทุกชาติว่าได้เข้าใจสิ่งที่มีในชาตินั้นถูกต้องตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม เมื่อไรก็มีธรรมเพราะว่าอย่างไร อย่างไรก็ต้องมีปัจจัยที่จะทำให้มีการเกิดขึ้นของสิ่งต่างๆ เพราะไม่รู้ความจริง ว่าสิ่งนั้นเกิดเพราะอะไร รูปร่างสัณฐานที่ปรากฏเป็นอย่างนั้นเพราะอะไร มีความชอบหรือไม่ชอบในสิ่งนั้นเพราะอะไร นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งพระธรรมได้ทรงแสดงไว้ทั้งหมด แต่ว่าต้องศึกษาด้วยความเคารพ คือตามลำดับไม่ใช่รีบร้อน ไม่รู้อะไรเลยแล้วจะไปปฏิบัติ จะไปประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม เป็นพระโสดาบันเป็นพระอรหันต์ คำใดที่เป็นไปไม่ได้ และไม่จริง ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คำจริงทุกคำรู้ว่าจริงได้อย่างไร เดี๋ยวนี้ก็มี ไม่ใช่เดี๋ยวๆ นี่ไม่มี และจากไม่รู้ เป็นค่อยๆ รู้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น นั่นคือเริ่มรู้จักพระพุทธรัตนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าถ้าไม่ทรงบำเพ็ญคุณความดี ที่จะได้รู้ความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ สภาพธรรมเดี๋ยวนี้ถูกปกปิดบังไว้ด้วยอวิชชา ความไม่รู้พร้อมทั้งความติดข้อง และกิเลสอื่นมากมายยากที่จะรู้ได้

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่ทรงตรัสรู้สภาพธรรมเพราะได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมานานมาก มีพระองค์เดียวคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อทรงอุบัติ ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ไม่ว่าโลกไหนในจักรวาล จะไม่มีพระอรหันตสัมมาสันพุทธเจ้า พร้อมกันในขณะเดียวกันเลย ต้องหมดคำสอนอันตรธานไปแล้ว แล้วผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์ที่ได้บำเพ็ญพระบารมีมาพร้อมด้วยปัจจัย เมื่อไหร่ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสรู้ได้ ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุ และผล ไม่ใช่ใครต้องการอย่างไร อยากจะทำอย่างไร ก็ทำไปด้วยความไม่รู้ แล้วจะกล่าวว่านั่นเป็นหนทางที่จะถึงการดับกิเลสรู้แจ้งสภาพธรรม นั่นเป็นผู้ที่ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นการที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หนทางเดียวเมื่อไหร่เข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏ ลึกซึ้งจากที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน ต้องใหม่ไม่เหมือนใคร เพราะคนอื่นไม่มีการตรัสรู้ เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่ฟังแล้วเข้าใจ เริ่มเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ว่าทรงดับขันธปรินิพพานไปแล้วนานเท่าไหร่ก็ตาม แต่ตราบใดที่ผู้ที่ได้สะสมบุญมาแล้วแต่ปางก่อน ที่เห็นประโยชน์จริงๆ สิ่งที่เป็นรัตนประเสริฐสุดคือพระรัตนตรัย ก็ไม่ละทิ้งโอกาสที่จะฟังให้เข้าใจ เพราะมิฉะนั้นแล้วชาตินี้ทั้งชาติ ก็เหมือนชาติก่อนๆ ในสังสารวัฎ ซึ่งในชาตินั้นไม่เคยได้ฟังพระธรรมแล้วก็ไม่รู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยด้วยเหตุนี้เมื่อไหร่ที่ได้ฟังพระธรรม เคารพในพระธรรมที่ได้ฟัง เพราะถ้าไม่ได้ฟังไม่มีโอกาสเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ และทุกขณะได้ ด้วยเหตุนี้เมื่อได้เข้าใจพระธรรมแล้ว ผู้นั้นก็รู้ว่าวาจาไหน เป็นวาจาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วาจาไหนไม่ใช่พระวาจาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่วาจาสัจจะ ไม่ได้พูดถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ตามกำลังของความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ซึ่งลึกซึ้งอย่างยิ่ง

    เพราะฉะนั้นก็เป็นโอกาสดี ไม่เพียงแต่ฟังแต่ละคำ เผินแล้วก็ข้ามไปเป็นเรื่องราวต่างๆ วันนั้นคนนั้นพูดอย่างนี้แล้วโกรธมาก แล้วเดี๋ยวนี้อะไร แล้วจะเข้าใจอะไร เมื่อวานนั้นก็เป็นเรื่องที่จำมาเท่านั้นเองแล้วเดี๋ยวนี้ก็ผ่านไปด้วยความไม่รู้เหมือนเดิม เพราะฉะนั้นการฟังธรรมก็คือเข้าใจถูกต้อง ฟังเรื่องสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพื่ออะไร เพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีเพราะเกิดขึ้น จึงมี และเกิดขึ้น แล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ถ้าเข้าใจอย่างนี้การฟังทุกครั้งจะเป็นประโยชน์ว่าฟังเรื่องสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ซึ่งเมื่อเกิดจึงมี ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี และเมื่อเกิดแล้วก็ดับไปเร็วสุดที่จะประมาณได้ โดยมีสภาพธรรมอื่นเกิดสืบต่อ ไม่เห็นการดับไปของสภาพที่เกิดแล้วดับเลย ด้วยเหตุนี้ทุกปัญหา ทุกความสงสัย ควรที่จะได้สนทนากันเพื่อเข้าใจจริงๆ เท่าที่จะสามารถเข้าใจได้

    ผู้ฟัง ผมขอถามแยกเป็น ๔ ข้อ อะไรเป็นจิต และเจตสิก และเป็นสังขารปรุงแต่งอย่างไร และที่คำหนึ่งคือเวลาพระอรหันต์ท่านปลงภาระหนักเสียได้แล้วคืออะไร การดับสังขารเสียได้จึงเป็นสุขหมายถึงอะไร

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นประโยชน์มาก ขอทบทวนข้อที่ ๑

    ผู้ฟัง อะไรเป็นจิต และเจตสิก

    ท่านอาจารย์ นี่เป็นประโยชน์มากเพราะเหตุว่า ฟังคำว่าจิต ได้ยินบ่อยๆ คนนั้นจิตใจเป็นไง โหดร้ายทารุณหรือว่าเมตตากรุณา ก็หลากหลายมากแต่พูดไปก็ยังไม่รู้จักจิต ด้วยเหตุนี้เป็นประโยชน์ที่สุด ที่ว่าเมื่อได้ยินแต่ละคำแล้วไม่เผิน ได้ยินคำว่าจิต และเจตสิต ๒ คำ เดี๋ยวนี้มีอะไรในห้องนี้ปรากฏหรือเปล่า

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ มี อะไรปรากฏทีละอย่าง

    ผู้ฟัง มีรูปพรรณสัณฐาน มีสี มีเสียงที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ทีละหนึ่ง ไม่มีคนไม่มีอะไรเลยหรือ

    ผู้ฟัง มี พอเห็นแล้วก็เป็นคน

    ท่าอาจารย์ เพราะฉะนั้นในห้องนี้ปกติทั่วไปก่อนฟังธรรม มีคนมีโต๊ะมี เก้าอี้ แต่เริ่มคิดถ้าไม่มีเห็น จะมีการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ว่าเป็นคนไหม ถ้าไม่เห็นเลย

    ผู้ฟัง ถ้าไม่เห็นเลยก็ไม่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ นี่คือกว่าจะเข้าใจจิตได้ทั้งๆ ที่เมื่อวานได้ยินแล้ว ก็ยังเป็นผู้ที่ต้องการค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้นอีก เพราะว่ากว่าจะรู้สภาพ ธรรมจริงๆ ต้องบารมีบำเพ็ญนานเท่าไหร่ ได้ฟังจนกระทั่งเป็นความรอบรู้คือเข้าใจเรื่องจิตอย่างมั่นคงว่าไม่เป็นอื่นแน่ ต้องเป็นจิต เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะเพียงพูดเรื่องจิตก็พูดถึงเดี๋ยวนี้ มีเห็นแน่นอน และก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นด้วย ค่อยๆ คิดถ้าเห็นไม่เกิดขึ้นเห็น มีเห็นไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ค่อยๆ เข้าใจธรรมแล้วว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครจะไปทำให้จิตเห็นเกิดขึ้นได้เลย ทั้งๆ ที่เดี๋ยวนี้กำลังเห็น นี่คือธรรมซึ่งความจริงเป็นอย่างนี้เปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ให้เห็นเดี๋ยวนี้เกิดขึ้นเห็นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได

    ท่านอาจารย์ ไม่มีใครทำได้เลย และเห็นเดี๋ยวนี้ดับไป ในขณะที่ได้ยิน เพราะเหตุว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่เสียง เพราะฉะนั้นสิ่ง หนึ่ง สิ่งใดจะปรากฏพร้อมกันได้อย่างไร ในเมื่ออย่างหนึ่ง สามารถที่จะปรากฏให้เห็นเมื่อมีเห็น อีกอย่างหนึ่งสามารถจะปรากฏให้ได้ยินว่าเป็นเสียงไม่ใช่อย่างอื่น เมื่อได้ยินเกิดขึ้น ถ้าได้ยินไม่เกิด เสียงจะปรากฎได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นวันนี้กำลังเห็น วันนี้ได้ยิน เดี๋ยวนี้คิด มีจริงๆ ทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงในสากลจักรวาลไม่ว่าโลกไหน มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก โลกใดๆ ก็ตาม สิ่งที่มีจริงม ลักษณะที่ต่างกันเป็น ๒ อย่างอันนี้มั่นคง เปลี่ยนแปลงไม่ได้ใครจะไปให้ไม่เป็นอย่างนั้นก็ไม่ได้ สิ่งนั้นเกิดแล้ว เป็นต้นไม้ใบหญ้า สีสันวรรณะต่างๆ เป็นทะเลภูเขา ซึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย มีไหมสิ่งที่เกิดแล้วไม่รู้อะไรเลยมีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ อันนั้นเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ไม่สามารถจะรู้รายได้จึงใช้คำว่ารูปธรรม แต่ออกเสียงตามภาษาบาลีก็ต้อง รู-ปะ-ธัม-มะ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีรูปธรรมไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ มีเมื่อไหร่

    ผู้ฟัง มีเมื่อเห็น

    ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจเลยว่ามีเมื่อเห็น เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่เห็น ได้ยินเสียง เสียงไม่ใช่ได้ยิน มีเห็นกับได้ยินทั้ง ๒ อย่างเป็นสภาพรู้ ในขณะที่กำลังเห็น รู้อะไร รู้ชัดในสิ่งที่ปรากฏว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างนี้ ดอกไม้บนโต๊ะนี้สีอะไรเห็นไหมคะ รู้ชัดในความต่างของสิ่งที่ปรากฏ ขณะนั้นสภาพธรรมที่รู้ไม่ใช่เรา ถ้ายังไม่เห็นก็ไม่มีอะไรปรากฏ แล้วเราอยู่ไหน แต่พอเห็นเป็นเราเห็นได้ยังไง ต้องตรง เห็นเป็นเห็น จึงสามารถที่จะเริ่มเข้าใจว่า เห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น และสามารถที่จะรู้ว่าเห็นก็คือรู้สิ่งที่ปรากฏว่าเป็นอย่างนี้ ที่เห็นอย่างนี้คือเป็นอย่างนี้ นั่นเป็นสภาพที่รู้เฉพาะสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เป็นสภาพรู้ ในขณะที่ได้ยินไม่ใช่เห็นแล้ว ไม่ใช่โลกเห็นแล้ว เปลี่ยนโลกแล้ว กำลังได้ยินเสียง ไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาในเสียงที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นสภาพที่ได้ยินมีไหมเดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ได้ยินอะไร

    ผู้ฟัง ได้ยินเสียง

    ท่านอาจารย์ ได้ยินเสียง เพราะฉะนั้นเสียงไม่ใช่ได้ยิน เสียงไม่รู้อะไรเลย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 178
    17 เม.ย. 2567