ปกิณณกธรรม ตอนที่ 865


    ตอนที่ ๘๖๕

    สนทนาธรรม ที่ ราวินโฮม รีสอร์ท จ.นครนายก

    วันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ เมื่อผัสสะกระทบสิ่งใด จิต เจตสิก รู้สิ่งนั้น ตามประเภทของจิตนั้นๆ เพราะเหตุว่า จิตทุกขณะไม่ขาดผัสสะ กุศลจิตก็ต้องมีผัสสะเจตสิก อกุศลจิตก็ต้องมีผัสสะเจตสิก จิตที่เป็นผล คือ วิบากจิตก็ต้องมีผัสสะเจตสิก เพราะฉะนั้น จึงเป็นอาหารปัจจัย ก็ค่อยๆ เรียนปัจจัยไป ตามที่เราจะเข้าใจได้

    อ.อรรณพ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมนี่ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีสภาพที่กระทบกับอารมณ์อยู่ เรียกว่าตลอดเวลา กระทบกับอารมณ์ ให้จิตรู้อารมณ์นั้น ทันทีที่ผัสสะดับไปอีก ผัสสะอันใหม่ก็เกิดขึ้น กระทบอารมณ์ให้จิตรู้

    ท่านอาจารย์ ตามเหตุ ตามปัจจัย

    อ.อรรณพ เป็นอย่างนี้ อยู่ตลอดเวลา

    ท่านอาจารย์ ผัสสะที่เป็นผลของกรรม มีไหม

    อ.อรรณพ มี

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม ถ้าเราศึกษา แล้วเราก็ย้อนไปถึงซึ่งเราเคยเข้าใจแล้วได้ เพราะว่าเข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่า ผัสสเจตสิกเกิดกับจิตที่เป็นวิบาก คือ ผลของกรรมได้ไหม

    อ.อรรณพ ได้

    ท่านอาจารย์ เกิดกับกุศลจิตได้ไหม อกุศลในจิตได้ไหม กิริยาจิตได้ไหม โลกุตตรจิตได้ไหม

    อ.อรรณพ ได้หมด

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย จิตจึงจะเป็นไปตามที่ผัสสะกระทบ

    อ.อรรณพ แล้วอะไรเป็นปัจจัยให้ผัสสะเกิดกระทบอารมณ์ แล้วเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา สิ่งดีๆ

    ท่านอาจารย์ ผัสสะเกิดเองตามใจชอบ ได้ไหม

    อ.อรรณพ ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นี่ก็มาถึงสิ่งที่เราได้เริ่มเข้าใจแล้วว่า ทุกอย่างต้องอาศัยปัจจัยที่ควร ที่จะทำให้สภาพธรรมนั้นเกิดขึ้น เวลาที่กิเลสเกิดกับจิตที่เป็นอกุศล เลือกอารมณ์ให้อกุศล ได้ไหม

    อ.อรรณพ ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เลือกชอบได้ไหม

    อ.อรรณพ ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เลือกโกรธได้ไหม

    อ.อรรณพ ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนี้ ก็มีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น ว่าทุกขณะเป็นธรรม ซึ่งเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ถ้าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นปรากฏ จะชอบสิ่งนั้นไหม

    อ.อรรณพ ไม่ได้เลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ แล้วไม่รู้ความจริง ชอบไหม ชอบก็ได้ ไม่ชอบก็ได้ ทุกอย่าง ทั้งหมดก็เป็นไปเพราะไม่รู้

    อ.อรรณพ ถ้าจะพูด ก็คือ ตอบกันไม่หวาดไหวว่า ที่ผัสสะเกิดกระทบกับอารมณ์แล้ว เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ก็เพราะว่า เหตุปัจจัยมากมายมหาศาล ที่จะทำให้ผัสสะกระทบอารมณ์แล้วเป็นกุศล

    ท่านอาจารย์ จะได้ไม่เข้าใจผิดว่า “เป็นเรา” สักขณะเดียว จึงจะละความเป็นตัวตนได้เป็นสมุจเฉท คือ ไม่เกิดอีกเลย เพราะฉะนั้น ทั้งวันนี่ไม่ว่าเราเห็นอะไรมา คิดอะไร รับประทานอะไรทั้งหมด ไม่ได้เข้าใจความจริงของสภาพธรรมนั้นๆ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม อีกนานไหมกว่าจะเป็นปกติ ที่จะรู้ลักษณะที่แท้จริงของสภาพธรรม จนไม่เหลือความเป็นตัวตน จึงจะถึงการเป็นพระโสดาบันบุคคลได้

    นี่เป็นเหตุที่ฟังพระธรรมบ่อยๆ เพื่อที่จะเป็นอุปนิสสยโคจร โคจร เป็นอารมณ์ นิสยะ ที่อาศัย อุปะ ที่มีกำลัง คุ้นเคยจนกระทั่งมีกำลังที่จะเกิดได้บ่อย สิ่งที่ไม่คุ้นเราก็เกิดไม่ได้บ่อย ใช่ไหม แต่ถ้าคุ้นเคยกับสิ่งไหน เราก็คิดถึงสิ่งนั้นบ่อย

    เพราะฉะนั้น การที่เราได้ฟังธรรมบ่อยๆ ก็เป็นอุปนิสสยโคจร ที่อาศัยที่มีกำลัง ซึ่งเราจะเห็นว่าการฟังอย่างอื่น ไม่มีค่าเท่ากับการฟังคำจริงที่ทำให้เข้าใจได้

    อ.อรรณพ อวิชชานี่เป็นปัจจัยให้ผัสสะกระทบกับอารมณ์ แล้วก็เป็นอกุศลอยู่บ่อยๆ

    ท่านอาจารย์ อวิชชา คือ ความไม่รู้ ไม่รู้นานไหม

    อ.อรรณนพ นาน

    ท่านอาจารย์ แล้วจะให้เป็นปัญญาได้ไหม

    อ.อรรณพ ทันทีไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าจะพูดโดยนัยของผัสสะนี่ การที่ได้ยินได้ฟังแล้วเข้าใจพระธรรมนั้น ความเข้าใจพระธรรมก็จะเป็นปัจจัยหนึ่ง ที่จะทำให้ผัสสะเกิดขึ้นกระทบกับอารมณ์แล้วปัญญาเกิดด้วย

    ท่านอาจารย์ สภาพธรรมเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะทำให้เกิด

    อ.อรรณพ แต่ความคุ้นเคยที่เป็นอุปนิสสยปัจจัยนี่ ผัสสะกระทบกับอารมณ์ ก็เป็นปัจจัยให้เกิดอกุศล บ่อยๆ เนืองๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะคุ้นเคยกับการที่จะเป็นอย่างนั้น ไม่อย่างนั้น คงไม่แสดง การนั่งของพระภิกษุทั้งหลายก็ต่างกัน การยืน การเดิน การนอน ทุกอย่างเดี๋ยวนี้ ตามที่ได้สะสมมา

    อ.อรรณพ แม้ผัสสะจะไม่ปรากฏลักษณะให้สติระลึกรู้ในลักษณะของผัสสะ แต่ประโยชน์จากการฟังพระธรรมในเรื่องของผัสสะนี่ ก็จะเกื้อกูลให้เข้าใจว่า ไม่ใช่เรา ในขณะที่มีการเกิดขึ้นรู้อารมณ์เป็นกุศล เป็นอกุศล เป็นวิบาก อะไรก็แล้วแต่ ก็จะต้องมีผัสสะกระทบกับอารมณ์นั้น แม้เพียงแค่นี้ก็เป็นประโยชน์ที่ได้ให้มีการพิจารณา

    ท่านอาจารย์ เลือกไม่ได้ ถ้าเลือกได้ ทุกคนเป็นคนดีหมด ไม่มีใครอยากจะเป็นคนชั่ว แต่เพราะเลือกไม่ได้ ต้องเป็นไปตามการสะสม แต่ปัญญาสามารถที่จะเข้าใจถูกต้องในทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงๆ ว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง

    อ.อรรณพ “เรา” ไม่มี เราก็เลือกไม่ได้ แต่สภาพธรรมที่เลือกนี่ ตัวธรรมที่เลือกนี่ คืออะไรบ้าง

    ท่านอาจารย์ ไม่มีการเลือกเลย เพราะไม่รู้ว่า มีปัจจัยที่จะทำให้เกิด เมื่อเกิดแล้วก็กลายเป็นเราเลือก

    ท่านอาจารย์ แต่จริงๆ แล้วธรรมเขาเกิดขึ้น ทำหน้าที่แต่ละอย่างของเขา

    ท่านอาจารย์ ตามปัจจัย

    อ.อรรณพ แต่มีปัจจัยให้อกุศล ความไม่รู้ แล้วก็ความคิดนึกไปเองว่า เราเลือกโน่น เลือกนี่

    ท่านอาจารย์ เปลี่ยนแปลงธรรม ได้ไหม

    อ.อรรณพ ไม่ได้เลย

    ท่านอาจารย์ เกิดแล้ว จะเปลี่ยนอย่างไร แล้วก็ดับแล้วด้วย ตามเหตุตามปัจจัย

    อ.วิชัย แต่ว่าความทรงจำว่า เคยเป็นของเรา แล้วก็คิดถึง อย่างเช่น เป็นสิ่งของที่เรายินดีพอใจ และก็สูญหาย ทั้งๆ ที่ไม่เห็นแล้ว แต่ว่าความเยื่อใย ความทรงจำในสิ่งนั้นว่าเคยเป็นของเรา ซึ่งไม่มีอยู่แล้ว

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็จะได้รู้จัก “สภาพที่จำ” ว่า ไม่ใช่ “เรา” เพราะฉะนั้น มีเรื่องที่จะเข้าใจทั้งหมดเลย ว่าเหตุการณ์อย่างนี้เกิดแล้วเพราะอะไร ก็เพราะเหตุว่า เคยมี แต่เดี๋ยวนี้ไม่มี แต่ยังจำว่ามี เพราะฉะนั้น จำ ไม่ใช่เห็น เห็นเป็นเห็น คือ เป็นจิต นอกจากนั้นทั้งวัน ที่เหลือเป็นเจตสิกทั้งหมด

    แต่ที่สำคัญก็คือว่า ถ้าไม่มีการจำ เราจะรู้จักสัญญาเจตสิกไหม เพราะว่า สภาพของเจตสิกหนึ่ง คือ สภาพที่เกิดแล้วจำสิ่งที่ปรากฏ ห้ามไม่ให้จำไม่ได้เลย เกิดแล้วหน้าที่เดียวคือ ต้องจำ เพราะฉะนั้น จะให้ลืมได้ไหม ไม่ได้ เพราะสัญญาจำแล้ว สภาพเจตสิกนั้นจำไว้แล้ว เพียงแต่ว่ามีปัจจัยที่จะให้เกิด หรือไม่เกิดเท่านั้นเอง

    อ.อรรณพ ความจำนี่ วิปลาส คลาดเคลื่อนตลอด เช่น เราคิดว่าเรามีสมบัติโน่น สมบัตินี้ จำไว้อย่างมั่นคง ในนิมิต ในบัญญัติ ในเรื่องราว แล้วก็เมื่อสิ่งนั้น สลายไป หรือว่า โดยบัญญัติ ก็คือถูกคนอื่นเอาไปแล้ว เราก็เกิดความเดือดร้อนใจในสิ่งที่เราจำไว้

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ก็เข้าใจว่า “เป็นเรา” สิ่งที่เคยมีก็เข้าใจว่า “เป็นของเรา” จนกว่าจะรู้ความจริง ว่าไม่เหลือเลย ถ้าเข้าใจว่าขณะนี้ จิตเห็นเกิดแล้วดับ แล้วจะเหลือไหม จิตเห็นเมื่อกี้นี้

    อ.อรรณพ แต่จำไว้ว่าก็เป็นเราต่อเนื่อง เป็นเราต่อเนื่องเหลือเกิน

    ท่านอาจารย์ จนกว่าจะรู้ความจริง จากอัตตสัญญา เป็น อนัตตสัญญา

    อ.อรรณพ พระโสดาบัน ไม่มีอัตตสัญญา มหัศจรรย์มากสำหรับปุถุชน

    ท่านอาจารย์ แต่ต้องจากขั้นการฟัง ถ้าการฟังไม่มั่นคง ไม่ใช่สัจจญาณ ไม่มีทางที่จะทำให้เข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ตรงแต่ละหนึ่ง

    แต่ละหนึ่งนี้ไม่ผิดเลย ทั้งๆ ที่จิตกับเจตสิกก็เป็นธาตุรู้ แล้วก็เกิดพร้อมกันด้วย แต่ว่าความตรงของสภาพธรรม ก็คือว่า ขณะนั้นไม่มีใครไปบังคับสติสัมปชัญญะให้รู้ และเข้าใจสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แต่เมื่อถึงเวลาที่สติสัมปชัญญะจะเกิดเข้าใจ ก็ไม่มีใครไปชี้ ไปบอกว่าให้รู้สิ่งนี้ ให้รู้สิ่งนั้น เพราะเหตุว่า แม้แต่สติสัมปชัญญะ ก็เป็นอนัตตา เกิดแล้ว ไปบอกสติให้รู้สิ่งอื่นไม่ได้ ไปพยายามให้รู้สิ่งอื่นก็ไม่ได้

    อ.อรรณพ ถ้าตรงต่อตัวเองก็จะรู้ว่า แม้จะฟังธรรม ขณะที่ฟังธรรมก็มีความเข้าใจ แล้วก็มีความจำถูกต้อง พร้อมความเข้าใจ แต่ว่าความจำว่าเป็นสิ่งโน้น สิ่งนี้ มากมายจริงๆ

    ท่านอาจารย์ จำมานานเท่าไหร่แล้ว

    อ.อรรณพ ก็คงต้องตอบว่าแสนโกฎกัป

    ท่านอาจารย์ แล้วจะให้เห็นว่าเป็นอนัตตสัญญา ไม่ใช่อัตตสัญญาอย่างเดิม เมื่อไหร่

    อ.อรรณพ เมื่อมีความจำใหม่ ที่ไม่ใช่ตัวตน

    ท่านอาจารย์ แล้วความจำใหม่ ที่เป็นอนัตตสัญญาจะมีเมื่อไหร่

    อ.อรรณพ เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ จนกระทั่งรู้ว่า เป็นธรรมที่ไม่ใช่อัตตา

    ท่านอาจารย์ ถ้าสภาพธรรมไม่ปรากฏตามความเป็นจริง ไม่มีทางที่จะเป็นอนัตตสัญญา แม้ฟัง ก็ยังเป็นเราฟัง แม้ขณะนี้พูดเรื่องเห็น ก็ยังเป็นเราเห็น เพราะว่าสภาพธรรมไม่ได้ปรากฏกับปัญญาที่ได้อบรมแล้ว ที่จะเข้าถึงความเป็นอนัตตา

    ถ้าขาดคุณความดีอื่นๆ ก็เป็นโอกาสของอกุศลจิตที่จะเกิดยิ่งมาก เพราะฉะนั้นจะไปเข้าใจธรรม ที่กำลังปรากฏได้อย่างไร เพราะเหตุว่าฟังเข้าใจในระดับขั้นของการฟัง แต่สภาพธรรมก็ยังไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น ที่สภาพธรรมจะปรากฏตามความเป็นจริงได้ ต่อเมื่อกุศลจิตเกิดแทนอกุศลบ่อยๆ จนกระทั่งเป็นบารมี เช่น มีความเข้าใจมั่นคง ใครจะชวนไปไหน ไปทำอะไร ให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เป็นไปไม่ได้เลย

    เพราะเหตุว่า สภาพธรรมเดี๋ยวนี้ ใครเป็นผู้ที่ตรัสรู้ความจริง แล้วก็กล่าวคำจริงทั้งหมด เพื่อให้เกิดความเข้าใจขึ้นว่าไม่ใช่เราแน่นอน เป็นแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัยเท่านั้น

    เพราะฉะนั้น ก็รู้ได้เลยว่าคำสอนอื่น ไม่ได้ทำให้เกิดความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ถึงแม้จะกล่าวข้อความในพระไตรปิฎก แต่ด้วยความเข้าใจผิด เพราะการศึกษาผิด เป็นได้ทั้งในพระวินัย ในพระสูตร และพระอภิธรรม

    เพราะฉะนั้น จึงเป็นผู้ที่ไม่ประมาทจริงๆ เพราะเป็นพระปัจฉิมวาจา ที่ความลึกซึ้งของธรรมจะทำให้คนเข้าใจผิด บางคนอาจจะบอกว่าชาตินี้เป็นพระโสดาบันได้ แล้วได้อย่างไร พระโสดาบันคือใคร แล้วรู้อะไร และอนัตตสัญญาเมื่อไหร่ เพราะว่าปกติธรรมดาเพียงแค่ได้ยินคำว่าอนัตตสัญญา ก็เข้าใจว่าสัญญาที่จำว่า ไม่ใช่เรา แล้วเดี๋ยวนี้มีไหม สัญญาที่กำลังจำ “เห็น” เดี๋ยวนี้ว่าไม่ใช่เรา สัญญาที่จำ “คิด” เดี๋ยวนี้ว่าไม่ใช่เรา มีไหม ต้องเป็นผู้ที่ตรง เพราะว่าพระพุทธศาสนาตรงต่อความจริง ผู้ใดที่ไม่เป็นผู้ที่ตรง จะไม่ได้สาระจากพระธรรม ธรรมเป็นธรรม อกุศลเป็นอกุศล กุศลเป็นกุศล

    เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ที่ฟังนี่ เราฟัง ก็ยังคงเป็นอัตตสัญญา เพราะฉะนั้น อนัตตสัญญา เริ่มเมื่อไร เริ่มเมื่อปัญญาประจักษ์ลักษณะจริงๆ ของธรรมทีละหนึ่ง ไม่ปะปนกัน ถึงจะรู้ว่า ไม่ใช่เรา แต่ถ้ารวมกันแล้วทั้งหมด เป็นเราแล้ว เพราะว่าไม่รู้ธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดเพราะปัจจัยต่างๆ กัน แล้วก็ปรากฏได้ทีละหนึ่งด้วย ค่อยๆ สะสม แล้วก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นความเข้าใจจริงๆ ว่า แต่ละหนึ่งเป็นธรรม ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วดับไม่กลับมาอีกเลย

    เมื่อไหร่ที่เห็นอย่างนี้ เมื่อนั้นจึงจะไถ่ถอนความเป็นเราที่ยึดมั่น เพราะว่าสภาพธรรมนั้น เป็นอย่างนั้น ให้ปรากฏให้รู้จริงๆ ว่าเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ก็ค่อยๆ ละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน จนทั่ว ไม่มีความสงสัย ว่าขณะนี้สภาพธรรมอะไร สภาพของการที่สามารถเข้าใจความจริงได้ เพราะได้สะสมมาแล้ว มีได้ โดยไม่ใช่บังคับ โดยไม่ได้หวัง แต่ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

    เพราะฉะนั้น ศึกษาธรรมตั้งแต่ต้น ละความไม่รู้ตั้งแต่ต้น จนกว่าจะละความติดข้องในความยึดถือว่าเป็นเรา

    อ.อรรณพ ถ้าไม่ได้มีโอกาสศึกษาความจริง ที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างนี้ ก็ไม่สามารถที่จะละคลายความเป็นเราได้เลย ขณะนี้เป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา ทำไมยากขนาดนี้ สี่อสงไขยแสนกัปจึงจะทรงแสดงเช่นนี้ได้

    ท่านอาจารย์ ก็ลองคิดถึงจิตเห็นว่า กี่ขณะกว่าจะเป็นหนึ่งคน ดอกไม้หนึ่งดอก โต๊ะหนึ่งตัว แต่เวลานี้เหมือนรู้หมดเลย ทันทีที่เห็น เหมือนปรากฏพร้อมนิมิต แสดงว่ากว่าจะเป็นนิมิตได้ จิตต้องเกิดดับนานเท่าไหร่ แค่หลับตาทำไมหายไปหมด นักมายากลคนไหน ไม่ต้องมีใครทำ แต่ธรรมเป็นอย่างนี้ คือ เห็นเป็นหนึ่งโลก มีเฉพาะสิ่งที่ปรากฏให้เห็น มีสิ่งอื่นไม่ได้ ได้ยินอีกหนึ่งโลก ไม่มีสีสันวรรณะ ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีเสียงใดๆ เลยทั้งสิ้น ไม่มีรูปร่าง สัณฐาน มีเฉพาะเสียง ซึ่งขณะนั้น ธาตุรู้ก็ต้องปรากฏ เพราะไม่ใช่เรา ที่ได้ยินเสียงเหมือนเดี๋ยวนี้

    เดี๋ยวนี้ คือ เราได้ยินเสียง แต่เวลาที่จะเป็นอนัตตสัญญา ที่จะปรากฏความไม่ใช่เรา แม้ธาตุรู้ที่กำลังได้ยินเสียง ก็ปรากฏให้รู้ในความเป็นธาตุ ซึ่งไม่มีรูปร่างลักษณะเลย แต่มี รู้ กับ เสียง ไม่พร้อมกันด้วย แล้วแต่ว่าขณะนั้นกำลังมีอะไรที่ปรากฏให้ชัดเจน ให้รู้รอบ ในสิ่งนั้นว่า นี่แหละ คือ นามธรรม หรือ นามธาตุ ซึ่งไม่มีรูปร่างใดๆ เจือปนเลย แต่มีเพราะเกิดขึ้น และขณะนั้นเสียงก็เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ทั้งสองอย่าง

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งซึ่งผู้ที่ได้ฟังพระธรรมแล้ว สามารถรู้ความจริงนี้ได้ เป็นผู้ที่ตรงต่อความจริง ด้วยความมั่นคง คือ อธิษฐานบารมี และสัจจบารมี คือ เดี๋ยวนี้รู้ได้ ไม่ใช่ไปรู้สิ่งที่ยังไม่เกิด หรือไปทำให้เกิด ซึ่งขณะนั้นเป็นตัวตน ไม่ใช่เป็นการเกิดแล้วเดี๋ยวนี้ ว่าไม่มีใครทำ

    อ.อรรณพ ทำไมโลภะกับอวิชชานี่ ถึงเกิดดับพร้อมกัน

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีอวิชชา จะมีโลภะไหม

    อ.อรรณพ ถ้าไม่มีอวิชชา จะไม่มีโลภะ แต่ทีนี้ทำไมถ้าไม่มีโลภะ ก็ไม่มีอวิชชาด้วย

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่า มีอวิชชาจึงมีโลภะ

    อ.อรรณพ เวลามีโลภะก็ต้องอาศัยอวิชชาเป็นเหตุ ทั้งเหตุโดยการเกิดร่วมกันเป็นเหตุปัจจัยให้โลภะเกิด หรือตอนโทสะเกิดก็มีอวิชชาเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้น แต่ทีนี้ โมหะก็เกิดขึ้นโดยไม่มีโลภะ โดยไม่มีโทสะ ก็ได้

    ท่านอาจารย์ ได้แน่

    อ.อรรณพ ทำไมรู้ลักษณะสภาพธรรมจนถึงขั้นที่สามารถที่จะดับความติดข้องได้แล้ว ก็ไม่มีโมหะอีกเลยด้วย

    ท่านอาจารย์ แน่นอน

    อ.อรรณพ คือถ้าไม่มีอวิชชา ก็จะหมดกิเลสทั้งปวง นี่เห็นชัด

    ท่านอาจารย์ แล้ววันหนึ่งๆ อะไรมาก

    อ.อรรณพ โลภะ เยอะ

    ท่านอาจารย์ ก็ตอบได้

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้น ก็เป็นความละเอียดของพระธรรมว่า โลภะดับเมื่อไหร่ อวิชชาก็ดับเมื่อนั้น หรือว่าอวิชชาดับเมื่อไหร่ โลภะก็ดับเมื่อนั้น

    ท่านอาจารย์ แล้วอะไรดับโลภะ และอวิชชา

    อ.อรรณพ ปัญญา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเพียงแค่เข้าใจ ขณะนั้นก็คือ ละอวิชชา และโลภะ

    อ.อรรณพ ในขั้นเข้าใจ ขั้นฟัง และตรัสรู้ พระองค์ท่านทรงเปล่งพระอุทานด้วยโสมนัสญาณ ว่าพระองค์ท่านได้พบแล้ว คือ นายช่างเรือน แต่ข้อความต่อมาท่านก็แสดงถึงกิเลส อกุศลธรรมอื่นด้วยโดยเฉพาะโมหะ แต่ว่า ตรงนี้ก็เป็นความเข้าใจเพิ่มว่า พระองค์ท่านนี่ ไม่ได้กล่าวว่า อวิชชาเป็นนายช่างเรือน แต่กล่าวว่า โลภะเป็นนายช่างเรือน

    ท่านอาจารย์ เพราะว่า ใครจะต้องการอวิชชา ที่ไม่ประกอบด้วยโลภะบ้าง

    อ.อรรณพ อย่างโทสะก็มีอวิชชา คนก็ไม่ชอบ หรือ โมหะไม่รู้อะไร ก็ไม่ชอบ แต่ชอบให้มีโลภะ ซึ่งมีโมหะเกิดร่วม

    ท่านอาจารย์ โมหะนั้น แน่นอนอยู่แล้ว เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริง จึงมีการติดข้องเป็นโลภะ หรือว่าขุ่นเคืองไม่พอใจ แล้วจะละอะไร มุ่งไปที่โมหะหรือ ในเมื่อขณะนั้นโลภะกำลังปรากฏ และเมื่อปัญญาเกิด ขณะนั้น โมหะก็ต้องลดคลายลงไป ความติดข้องก็ต้องลดลงไปตามโมหะด้วย แต่ว่าอันดับแรก ก็คือ ความติดข้องในความเห็นผิดว่าเป็นเรา ถ้ายังละไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปคิดละอะไร

    อ.อรรณพ ลักษณะของโมหะ ท่านแสดงเลยว่า เป็นศีรษะ หรือเป็นอกุศลธรรมที่เป็นหลัก แต่อวิชชาก็เหมือนกับไม่ได้ปรากฏให้เห็น ไม่เหมือนอย่างโทสะ ไม่ต้องพูดถึงเพราะเห็นชัด โลภะก็ยังพอจะสังเกตได้กว่าโมหะ แต่ท่านแสดงว่า โมหะนี่เป็นหัวหน้า

    ท่านอาจารย์ ทรงจำแนกอกุศลเจตสิก ๑๔ เป็น ๙ กอง โลภะทั้ง ๙ มากกว่าอวิชชา เพราะอะไร เพราะเหตุว่า ทุกวันเราจะเห็นโลภะ ความติดข้อง แต่ขณะนั้นเราไม่รู้ว่า เพราะไม่รู้ แต่เมื่อได้ฟังพระธรรม มีความเข้าใจขึ้นว่า เพราะรู้กับไม่รู้นั้น ต่างกัน ไม่รู้นี่มืดสนิท มีสิ่งที่ปรากฏเฉพาะหน้าก็ไม่รู้ตามความเป็นจริง ว่าเพียงแค่ เห็น นี่ก็คือสิ่งที่ต้องอาศัยพระธรรม จึงจะรู้ได้ว่า ทำไมโลภะจึงเป็นอกุศลทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นอนุสัย ไม่ว่าจะเป็นอาสวะ ไม่ว่าจะเป็นสังโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นนิวรณ์ หรืออะไรก็ตามแต่ ไม่ขาดโลภะเลย

    เพราะฉะนั้น โลภะปรากฏ แต่คนนั้นไม่ได้รู้เลยว่า เพราะไม่รู้ แต่เมื่อมีการฟังธรรมเข้าใจ ความเข้าใจนั้น ก็ทำให้โมหะลดลงไป เพราะฉะนั้น ที่จะเห็นว่าโลภะลดลงไป ยาก เพราะเหตุว่า ยังคงเหมือนเดิม จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจธรรมขึ้นตามลำดับขั้น

    เพราะฉะนั้นจึงต้องมีบารมี ๑๐ ขาดบารมีก็คือว่า ไม่มีความเห็นประโยชน์อย่างแท้จริงว่าเป็นสิ่งที่รู้ได้ แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ แต่ต้องรู้ได้แน่นอน เพราะว่าความจริงเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น

    เวลาชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใด รู้ไหมว่าเพราะไม่รู้ความจริง เพราะเหตุว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ไม่มี แล้วเกิดมีขึ้น แล้วหายไปหมดเลย ดับไป ไม่กลับมาอีก แค่นี้ ปัญญาแค่ไหน ยังไม่ถึงกาลที่จะละว่าติดข้องในสิ่งที่ไม่มี แต่ฟังแล้วไม่มีจริงๆ มีเพียงแค่ปรากฏ แล้วก็ไม่เหลือเลย แต่ความติดข้องยังอยู่

    เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า กว่าจะละความติดข้องได้ ต้องรู้ความจริงว่าไม่เหลือ ที่เราเคยคิดว่า เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในขณะนี้ แต่ละหนึ่งที่เกิดดับไป ไม่กลับมาอีกแล้ว แต่เพราะเหตุว่ามีสภาพธรรมอื่น เกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่น เหมือนสิ่งนั้นยังอยู่ เป็นที่ตั้งของความยินดีพอใจ เพราะฉะนั้น กว่าจะละความติดข้องได้ ก็ต่อเมื่อรู้ว่าไม่เหลือ นั่นคือ ปัญญาที่สามารถจะค่อยๆ ละความไม่รู้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 178
    14 พ.ย. 2568