ปกิณณกธรรม ตอนที่ 883
ตอนที่ ๘๘๓
สนทนาธรรม ที่ เรือนทองทิพย์ จ.เชียงราย
วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๙
ท่านอาจารย์ ถ้าจะพูดถึงเรื่องสมาธิทั่วไปที่ชาวบ้านเข้าใจ แล้วก็ไปใช้ในการรักษาโรคบ้างอะไรบ้างนั้น ไม่ใช่ตามพระพุทธศาสนา เพราะทั้งหมดนั้นเมื่อเกิดจากความไม่รู้ ก็เป็นมิจฉาสมาธิทั้งหมด ต้องแยกกัน ต่อให้เป็นประโยชน์อย่างไร ข้าวก็มีประโยชน์ใช่ไหม รับประทานข้าวก็ไม่เป็นโรค ถ้าข้าวนั้นไม่เสียไม่บูดใช่ไหม แต่ว่านั่นก็คือว่าแค่นั้นเอง เพราะฉะนั้นแม้แต่ว่า สมาธิที่ชาวโลกรู้จักเข้าใจกัน ก็ไม่ใช่สมาธิที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะสมาธิต้องมี ๒ อย่าง มิจฉาสมาธิหรือสัมมาสมาธิ ถ้าไม่ประกอบด้วยปัญญาที่รู้จักธรรมเดี๋ยวนี้จริงๆ ขณะนั้นเป็นมิจฉาสมาธิทั้งหมด ไม่ว่าจะใช้ในการแพทย์หรือในอะไรทั้งสิ้น
ผู้ฟัง สัมมาสมาธิ ต้องประกอบด้วยปัญญาเท่านั้น หรือกรณีถ้า
ท่านอาจารย์ สัมมาคืออะไร
ผู้ฟัง ถูกต้อง
ท่านอาจารย์ แล้วผิด แล้วไม่รู้ถูกต้องได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นมิจฉา เมื่อไม่รู้และผิด
ผู้ฟัง คือในอัตภาพนี้ที่เกิดเป็นมนุษย์แล้ว แล้วก็ได้มาศึกษาธรรม เป็นอัตภาพที่ประเสริฐที่สุด ไม่ว่าชาติไหนๆ ก็ตาม คือกรณีที่เราอยากที่จะอยู่ให้นานที่สุด เพื่อที่จะได้ศึกษาธรรม หากทำสมาธิร่วมด้วย เพื่อรักษาร่างกายนี้ให้อยู่ได้นานที่สุด ที่จะได้ศึกษาธรรม แบบนี้ถูกหรือผิด
ท่านอาจารย์ ทำไมคนอายุสั้น คุณหมอ
ผู้ฟัง เป็นตามกรรม
ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่ที่ได้เข้าใจพระธรรม สักคำหนึ่งอย่างถูกต้องมั่นคง ก็จะรู้สึกได้เลยว่าไม่มีอะไรอีกแล้ว ที่สามารถที่จะมาแลกกับความเข้าใจอันนี้ได้ เมื่อใดที่รู้สึกอย่างนี้ เมื่อนั้นเห็นคุณของพระธรรม แล้วก็จะทำให้เห็นประโยชน์ของการที่ว่า สามารถที่จะเข้าใจถูกต้องในสิ่งซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อน และเวลาฟังครั้งแรกเหมือนจะเข้าใจได้หรือ จะรู้ความจริงตรงอย่างที่ได้ฟังหรือ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมตามที่ได้ตรัสรู้แล้ว และได้อนุเคราะห์ให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้องด้วย เพราะฉะนั้นความเข้าใจจากคำแรกครั้งแรก ก็เป็นพื้นฐานที่จะให้ได้เข้าใจเพิ่มเติม มั่นคงขึ้น จนกระทั่งเกิดมาตลอดชาติหนึ่งชาติ เมื่อเข้าใจธรรมแล้วจะไม่เอาอะไรมาแลกเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติใดๆ ทั้งสิ้น เพราะพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ มีค่ากว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด
อ.คำปั่น ขอกล่าวในเรื่องของพยัญชนะ เพราะว่าเวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของธรรม ที่เกิดประกอบกับจิต ธรรมประการหนึ่งที่เกิดประกอบกับจิตโดยไม่ขาดเลย ก็คือเอกัคคตาเจตสิก ก็คือเป็นเจตสิกธรรมที่ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่ง เพราะเหตุว่าจิตเมื่อเกิดขึ้น ก็ต้องรู้อารมณ์ทีละหนึ่ง ไม่สามารถที่จะรู้อารมณ์ได้หลายๆ อารมณ์ในขณะเดียวกันนั้น เพราะฉะนั้นเป็นธรรมที่มีจริง ที่เกิดประกอบพร้อมกับจิตทุกขณะเลย ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะเกิดกับจิตประเภทใด ถ้าหากว่าเกิดร่วมกับอกุศล ก็ตั้งมั่นในทางที่เป็นอกุศล แต่ถ้าเกิดกับสภาพจิตที่ดีงาม ก็ตั้งมั่นในทางที่ดี
ทีนี้น่าพิจารณาว่าขณะที่มีความจดจ้อง หรือว่ามีความตั้งใจที่จะกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด อย่างเช่นบางท่านก็มีความอุตสาหะ ที่จะกระทำอะไรสักอย่างหนึ่งด้วยความต้องการ ขณะนั้นก็มีสมาธิที่ตั้งมั่นในอารมณ์นั้นนานๆ ด้วยความเป็นอกุศล ซึ่งก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในทางกลับกัน ถ้าเป็นไปกับกุศล สมาธิในขณะนั้นก็ตั้งมั่นในทางที่เป็นกุศล ซึ่งก็จะตรงกันข้ามกันกับอกุศลอย่างสิ้นเชิง ขณะที่มีความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ขณะนั้นก็เป็นสมาธิสั้นๆ ที่เรียกว่าขณิกสมาธิ แต่ว่าเป็นประโยชน์ เพราะเหตุว่าเป็นไปพร้อมกับปัญญาที่เข้าใจธรรมอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นได้ฟังเรื่องของเอกัคคตาเจตสิก จนกระทั่งอธิบายถึงความละเอียดว่า มีความตั้งมั่นอย่างไร จึงจะเรียกว่าเป็นสมาธิ ก็คือแสดงถึงความเป็นจริงของธรรม ที่ใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะว่าความจริงเป็นอย่างนี้
ท่านอาจารย์ ฟังแล้วเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะกล่าวถึงชวนะ ไม่ว่าจะกล่าวถึงอะไรก็ตาม ไม่เข้าใจ เพราะว่ายังเพิ่งที่จะได้ยินคำว่า ธรรมคืออะไร และก็เดี๋ยวนี้เป็นธรรมทุกอย่างหมดเลย แต่หลากหลายมาก แต่ที่แบ่งตามลักษณะของธรรมใหญ่ๆ ก็คือว่าธรรมประเภทหนึ่งมีจริงๆ เกิดขึ้น แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรคือรูปธรรม แค่นี้ ก็ยังต้องเข้าใจคำว่า รูป กับ ธรรม ให้ถูกต้อง เพราะว่าถ้าเราใช้ภาษาอย่างยุคนี้ คิดแล้วยังไม่เป็นรูปธรรมอย่างนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับธรรมเลย แต่ก็ใช้ภาษาธรรม นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความสับสนของการที่ไม่ได้เข้าใจจริงๆ ในแต่ละคำ เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจจริงๆ ได้เป็นเรื่องที่ละเอียด และก็เป็นเรื่องที่ต้องมีความเข้าใจตั้งแต่ต้นด้วย ธรรมคือสิ่งที่มีจริงมากมายหลากหลาย แต่ก็ต่างกันเป็น ๒ ประเภทคือธรรมที่เกิดมีจริงแต่ไม่รู้อะไร มีตัวอย่าง เห็นรู้ไหม เสียงรู้ไหม ก็ต่างกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่ไม่รู้เป็นรูปธรรมทั้งหมด ร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ไม่รู้อะไรเลย กระทบตั้งแต่หน้าผาก ผม ลงไปจนกระทั่งถึงปลายเล็บเท้า ไม่รู้อะไร มีแต่แข็งหรืออ่อน เย็นหรือร้อน ลองดู ลองกระทบสัมผัส หรือสัมผัสกันทุกวัน ก็รู้ว่ารูปเป็นรูปไม่รู้อะไร
เพราะฉะนั้นถ้ามีแต่เพียงรูป ไม่มีธาตุรู้ เช่น ขณะนั้นไม่มีจิตเกิดที่รูปนั้น รูปนั้นทำอะไรไม่ได้เลย เหมือนท่อนไม้เลย มีตาก็หลับตาลืมตาไม่ได้ เพราะว่าไม่มีจิตที่เกิดกับรูปคือคนตาย ทันทีที่ไม่มีจิตเกิดที่รูป รูปนั้นก็คือแสดงความเป็นรูปว่าไม่รู้อะไร ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เพราะฉะนั้นการฟังธรรม เพื่อที่จะเข้าถึงความเป็นธรรมไม่ใช่เรา ก็ต้องเดี๋ยวนี้ขณะนี้ ที่จะรู้ว่าลักษณะรู้หรือธาตุรู้ ไม่มีรูปร่างลักษณะใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่เกิดแล้วต้องรู้ เช่น กำลังเห็น ขณะนี้จะบอกว่าไม่เห็นไม่ได้ จะบอกว่าเห็นอะไรก็ไม่รู้ ก็ไม่ได้ ก็มีสิ่งที่ปรากฏ เพียงแต่ว่าไม่ได้เรียกชื่อว่าอะไร แต่ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็นในขณะที่เห็นเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเห็นเป็นธรรมที่เป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ เกิดเมื่อไหร่ต้องรู้ ทำให้เรียกว่าเป็นสิ่งที่มีชีวิตกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต ถ้าเป็นนก เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นเทวดาหรือเป็นอะไรก็ตามแต่ เราก็บอกว่านั่นคือเป็นบุคคล เพราะว่ามีจิต เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ต่างประเภทไป แต่ถ้าเป็นโต๊ะ เก้าอี้ ถ้วยแก้วน้ำพวกนี้ เป็นแต่เพียงรูปไม่ใช่สภาพรู้
เพราะฉะนั้นสภาพรู้ก็มีมากมาย สภาพที่ไม่รู้ก็มีมาก แต่น้อยกว่าสภาพรู้ แสดงให้เห็นว่า โลกเป็นไปตามกำลังของธาตุรู้คือจิต ถ้าไม่มีจิตเลย ทุกอย่างก็เป็นแค่ต้นไม้ใบหญ้า แต่ยิ่งกว่านั้นมากกว่านั้น ก็เพราะเหตุว่ามีธาตุรู้ ก็ทำให้มีบ้าน มีเครื่องจักร มีอะไรๆ มากมาย ตามความคิดในขณะนั้น ขอให้เข้าใจเบื้องต้นอย่างนี้ก่อน เพื่ออะไร เพื่อจะรู้ว่าไม่ใช่เราจริงๆ ฟังธรรมไม่ใช่เพื่อเรารู้มากๆ เราเข้าใจคำนี้หรือคำนั้น แต่ฟังเพื่อให้รู้ว่าเป็นธรรม เพิ่มความเข้าใจว่าไม่ใช่เรายิ่งขึ้น เพื่อที่จะได้เข้าใจถูกต้องว่าสิ่งที่มีไม่ใช่ว่าไม่มี มีจริงๆ แต่มีก็ไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ฟังแค่นี้ พอที่จะสละละความเป็นเราได้ไหม ฟังแค่นี้ เพราะว่าต้องคิดก่อนใช่ไหม ถ้าไม่คิดก็ตอบไปได้อย่างไร ก็ต้องคิดทบทวนให้แน่ใจว่าคำตอบคืออะไร เพราะฉะนั้นทุกอย่างก็ต้องเป็นความเข้าใจของเราเอง ได้รับคำถามหรือมีคำถามอะไร ก็ขอให้รู้ว่าคำถามนั้นมีประโยชน์แน่ เพราะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ แล้วเราเข้าใจสิ่งที่มีจริงพอที่จะตอบได้ไหม หรือว่ายังต้องฟังต่อไปอีกถึงจะตอบได้
เพราะฉะนั้นความคิดของเราจากการที่ไม่ได้ฟังธรรม เต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆ มากมาย ได้ยินคำว่านิพพาน ได้ยินคำว่ากิเลส ได้ยินคำว่าโลกุตระ ได้ยินคำว่าศรัทธา แล้วอะไร ไม่รู้เลย ถ้าไม่ได้ศึกษาจริงๆ อย่างละเอียดอย่างรอบคอบ เราก็เข้าใจผิวเผิน หรืออาจจะเข้าใจผิด หรือไม่เข้าใจเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ประโยชน์ก็คือว่าเป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน ถ้าเราเข้าใจเมื่อไหร่เพิ่มขึ้น เมื่อนั้นก็จะรู้ว่าธรรมนั้นๆ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ว่ามีลักษณะที่หลากหลายมาก เช่น จิต ไม่ได้มีแต่เฉพาะเห็น ได้ยินก็เป็นธาตุรู้เสียง คิดนึกก็เป็นธาตุที่รู้เรื่องราว เพราะฉะนั้นแม้ไม่มีรูปร่างเลย เกิดขึ้นรู้ คิดดู เกิดขึ้นแล้วมีสิ่งที่ถูกรู้ ทำให้เกิดความคิดต่างๆ มากมาย และสภาพธรรมทุกอย่าง ไม่ว่านามธรรมหรือรูปธรรมเกิดเองไม่ได้ อยากจะเกิดก็เกิดไม่ได้ แต่เพราะอาศัยสิ่งที่มีนั้นแหละ อาศัยกันและกันเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นจะไม่มีสภาพธรรมใดที่เกิดเพียงหนึ่ง โดยไม่มีสภาพธรรมอื่นเกิดร่วมด้วย แม้แต่รูป มหาภูตรูป ธาตุดิน ปฐวีธาตุ ก็อ่อนหรือแข็ง ธาตุไฟ เตโชธาตุ เย็นหรือร้อน ธาตุลม วาโยธาตุก็ไหวก็มี ตึงก็มี ธาตุไฟเย็นก็มีร้อนก็มี ธาตุดินอ่อนก็มีแข็งก็มี ธาตุน้ำไม่ใช่น้ำที่ดื่ม แต่ว่าเป็นธาตุที่เกาะกุมซึมซาบธาตุที่อยู่ร่วมกัน ให้แยกจากกันไม่ได้เลย นี่ก็คือว่าไม่มีสิ่งใดที่เกิดเพียงหนึ่ง แต่ปรากฏเพียงหนึ่งจริง แต่ว่าที่ปรากฏนั้น ยังมีอย่างอื่นที่เกิดร่วมด้วย ซึ่งไม่ได้ปรากฏ เพราะฉะนั้นความเข้าใจที่จะเข้าใจมั่นคงขึ้น คือเข้าใจตามลำดับ สิ่งที่มี มี เพราะอาศัยกันและกันเกิดขึ้น ต่างเป็น ๒ ประเภท คือสภาพที่ไม่รู้อะไรเลย ก็มีเป็นรูปธรรม สภาพที่รู้ ก็เป็นนามธรรม ต่อไปจะมีความหมายอื่นอีกของคำว่า นาม แต่ว่าขั้นต้นการศึกษาต้องตามลำดับ
เพราะฉะนั้นคำถามเรื่องต่างๆ ที่เราเคยได้ยินมา จะมีคำตอบตรงให้ชัดเจนทั้งหมดทีเดียวไม่ได้ อย่างน้อยก็เพียงแค่ได้ยินมาบ้าง เช่น สมาธิ ความตั้งมั่น สภาพที่ตั้งมั่นในอารมณ์ เราชินกับคำว่า สมาธิ แต่รู้จักสมาธิหรือเปล่า หรือว่าสมาธิเป็นเรา แล้วเมื่อไหร่ที่เราบอกว่าเรามีสมาธิ ถ้าเราวิ่งเล่นอย่างนี้ เล่นฟุตบอล มีสมาธิไหม ก็แล้วแต่จะตอบ แต่ถ้าวิ่งเล่นสนุกสนานกัน มีสมาธิไหม ตอบนั้นถูกหรือผิด เห็นไหม อะไรจะเป็นเครื่องชี้ว่าถูกหรือผิด เพราะเรายังไม่รู้จักสมาธิว่า เป็นธรรมที่มีจริง แต่ไม่ใช่รูปธรรมแน่นอน แล้วจิตก็เป็นธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ เช่น กำลังเห็นนี้เป็นจิต แต่ก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ประเภท ไม่ปรากฏในขณะที่กำลังเห็น ขณะที่ได้ยินก็มีจริงๆ เดี๋ยวนี้กำลังได้ยิน สภาพที่รู้เสียง เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้เสียงซึ่งหลากหลายมาก เพราะฉะนั้นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่มี ที่กำลังปรากฏเป็นจิต แต่ก็มีเจตสิกอื่นเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นตอนแรกเราไม่รู้ คิดว่ามีแต่จิตไม่รู้ว่ามีเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่เมื่อได้ฟังธรรม เข้าใจความหลากหลายของจิต ก็รู้ว่าที่จิตหลากหลาย เพราะเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย ทำให้จิตต่างประเภทเป็นจิตที่ดีบ้างไม่ดีบ้าง เพราะฉะนั้นความเข้าใจธรรม ต้องค่อยๆ เข้าใจมั่นคงขึ้น เท่าที่สามารถจะรู้ได้ตามลำดับด้วย
เพราะฉะนั้นได้ยินแต่ชื่อ ต้องรู้ก่อนว่าคืออะไร เป็นธรรมแน่นอน เพราะฉะนั้นสมาธิจะเป็นรูปได้ไหม อันนี้คงไม่ต้องคิดนานใช่ไหม รูปเป็นสมาธิได้ไหม ไม่ได้ ต้องเป็นนามธรรม นามธรรมมี ๒ อย่าง คือ จิตและเจตสิก เพราะฉะนั้นนามธรรมอะไรที่เป็นสมาธิ ก็เป็นเจตสิก เพราะฉะนั้นก็ค่อยมีความรู้เพิ่มขึ้น และสำหรับสมาธินี่ก็ได้แก่เจตสิกหนึ่ง ไม่ได้เรียกว่าสมาธิเจตสิก เห็นไหม ต่างแล้ว แต่เราได้ยินคำว่าสมาธิ ชินกับคำว่าสมาธิ แต่เวลาเป็นเจตสิก เราไม่ได้เรียกว่าสมาธิเจตสิก เพราะเหตุว่าลักษณะของสมาธิไม่ได้ปรากฏ แต่ว่าสภาพธรรมที่มีจริง ซึ่งต้องเกิดกับจิตทุกขณะ เป็นสภาพธรรมที่ตั้งมั่นในอารมณ์ เมื่อเกิดกับจิตใด จิตตั้งมั่นในอารมณ์เดียว เพราะเอกัคคตาเจตสิกที่กำลังตั้งมั่นในอารมณ์นั้น เพราะฉะนั้นเมื่อจิตเกิดขึ้นรู้อะไร ก็จะมีเจตสิกซึ่งขาดไม่ได้เลย ๗ เจตสิก ๑ ใน ๗ ก็คือเอกัคคตาเจตสิก ไม่ได้ใช้คำว่าสมาธิเจตสิก ถ้าสิ่งนั้นที่ปรากฏ ทำให้เราสนใจไม่ไปสู่อารมณ์อื่น กำลังตั้งใจสนใจที่จะทำอะไร ไม่สนใจกับอย่างอื่นเลย อยู่ที่อารมณ์นั้นนานๆ เราก็เรียกเผินๆ ว่าสมาธิ ขณะนั้นกำลังมีสมาธิในสิ่งนั้น เย็บผ้า ปักผ้ามีสมาธิไหม ก็ต้องมีสมาธิ
เพราะฉะนั้นเรารู้จักสมาธิในลักษณะเป็นเพียงชื่อของอาการที่เรามีความสนใจตั้งมั่นอยู่ที่หนึ่งที่ใด แต่จริงๆ แล้วก็ได้แก่เอกัคคตาเจตสิก ซึ่งต้องเกิดกับจิตในขณะนั้นต้องมีจิต และจิตนั้นก็ต้องมีเอกัคคตาเจตสิก และตั้งมั่นอยู่ที่อารมณ์เดียว เพราะฉะนั้นลักษณะของสมาธิก็ปรากฏ โดยการที่ว่าธรรมอื่นไม่ใช่สมาธิ แต่เอกัคคตาเจตสิกนั่นแหละ เป็นสภาพธรรมที่ตั้งมั่นจึงเป็นสมาธิ แต่ว่าจิตมีหลายประเภทมาก ถ้าเราไม่ศึกษาเรื่องจิตประเภทต่างๆ เราก็ไม่รู้ว่าขณะไหนอาการของสมาธิมีปรากฏ เช่นในขณะที่เกิด ขณะแรกที่จิตเกิดมีเอกัคคตาเจตสิกไหม เห็นไหม คือ ย้อนไปเพื่อที่จะให้ไม่ลืมสิ่งที่ได้ฟัง สิ่งที่ได้ฟังเปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะเป็นวาจาสัจจะ เอกัคคตาเจตสิกเกิดกับจิตทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นจิตประเภทใด ไม่ว่าจะเป็นจิตที่มีอารมณ์ใด ต้องมีเอกัคคตาเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะจิตต้องอาศัยเจตสิกเกิด และเจตสิกก็อาศัยจิตเกิด ต่างอาศัยซึ่งกันและกัน แต่ต่างทำหน้าที่ต่างๆ กัน จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งอารมณ์ และเจตสิกแต่ละหนึ่ง ต่อไปก็จะเพิ่มเจตสิกทีละหนึ่งทีละหนึ่ง ซึ่งต่อไปก็จะมีอีกหลายชื่อ ตามสภาพธรรมที่มีกำลังบ้าง หรือว่าเกิดกับสภาพนั้นบ้าง สภาพนี้บ้าง เป็นต้น
แต่ก่อนอื่นให้ทราบว่า สมาธิได้แก่สภาพธรรมที่เป็นนามธรรม คือเอกัคคตาเจตสิกซึ่งเกิดกับจิตทุกประเภท มั่นคงหรือยัง ถ้ามั่นคงก็ต่อไปได้ใช่ไหม ไม่สับสน ตอนเกิด ต้องมีจิตเกิด มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย แล้วก็มีรูปด้วย มาจากไหน จิตนั้นมาจากไหน อยู่ดีๆ เกิดเองได้ไหม ไม่ได้ ได้ยินคำว่ากรรมบ่อยๆ ก็ยังไม่รู้อีก ได้ยินแค่คำ ถ้าถามโดยรูปศัพท์ ก็บอกว่าคือการกระทำ ก็ยังไม่รู้อีกว่าเมื่อไหร่อย่างไร แล้วก็ได้แก่ปรมัตถธรรมคือเจตสิกอะไร นี่เป็นสิ่งซึ่งความละเอียด และก็ความลึกซึ้งของสภาพธรรม ซึ่งเกิดดับอย่างเร็วมาก แล้วใครจะรู้ถึงจิตหนึ่งขณะว่าจิตหนึ่งขณะนั้นมีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วย โดยสถานะใด ซึ่งถ้าเกิดมากๆ บ่อยๆ แล้วก็มีลักษณะอาการที่ปรากฏต่างๆ กันไปอีก ก็ทำให้เราเริ่มเป็นผู้ที่ละเอียดในการที่จะรู้ว่า ถ้าไม่ละเอียดจะไม่ได้สาระจากธรรม เหมือนเข้าใจ แต่ว่าจริงๆ แล้วยังไม่พอ จะต้องมั่นคงจริงๆ จึงสามารถที่จะทำให้มีปัญญาอีกระดับหนึ่งเกิดได้ คือปัญญาที่กำลังเข้าถึงสภาพธรรมที่กำลังเป็นอย่างที่ได้ยิน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้นไม่ได้แน่นอน เพราะเหตุว่าความเข้าใจไม่พอที่จะละความไม่รู้
ด้วยเหตุนี้จึงต้องอาศัยการฟังที่ต้องละเอียด ตอนนี้กำลังถึงขณะแรกที่เกิดขึ้นในโลกนี้ มีจิตเกิดพร้อมเจตสิก แล้วก็มีรูปด้วย ทั้งหมดนั้นมาจากไหน มาจากกรรมที่เป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง ที่ได้กระทำแล้ว ที่ใช้คำพวกนี้ก่อน ก็เพราะเหตุว่าเป็นคำที่เราใช้ในภาษาไทย แต่ว่ายังไม่ได้เข้าใจทั้งหมดโดยละเอียด เพียงแต่เผินๆ ผิวๆ ว่า กรรม ถ้าดีก็คือกรรมดี ถ้าไม่ดีก็คืออกุศลกรรม กรรมชั่วก็แยกกันเป็น ๒ อย่าง เพราะฉะนั้นเมื่อเหตุมี ผลก็คือว่าวิปากะ หรือว่าจิตเจตสิกเกิดขึ้น ตามจิตเจตสิกซึ่งเป็นเหตุให้จิตที่เป็นผลเกิดขึ้นในภายหลัง เพราะฉะนั้นจิตก็เป็นเหตุ ซึ่งจะทำให้จิตซึ่งเป็นผลเกิด จิตที่เป็นผลขณะแรกของชาตินี้ คือขณะแรกที่เกิด ก็สอดคล้องกันใช่ไหม ถ้าไม่มีการกระทำซึ่งเป็นกุศลหรืออกุศลกรรม ผลไม่มีแน่ เช่น พระอรหันต์ทั้งหลาย เมื่อดับกิเลสแล้ว การกระทำใดๆ ไม่เป็นเหตุให้เกิดผล เพราะฉะนั้นไม่มีทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม แต่การกระทำมี แต่ไม่เป็นเหตุให้เกิดผล ก็เป็นกิริยา ไม่ใช่กุศลและอกุศล ละเอียดไหม เบื่อหรือยัง ถ้าเบื่อคือไม่มีการที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้เลย ยากไหม ลึกซึ้งเพราะใครตรัสรู้ และใครเป็นผู้ฟัง ก็ต้องฟังด้วยความเคารพ เข้าใจขึ้นอีกได้แน่นอน แต่อย่าใจร้อน และก็อย่าเดา แล้วก็อย่าคิดเอง ต้องละเอียดทุกคำ นี่กว่าจะมาถึงเอกัคคตาเจตสิก ซึ่งจะรู้ว่าเป็นสมาธิหรือไม่เป็นสมาธิ ต้องฟังตั้งนาน ก็ยังไม่ถึงใช่ไหม เพราะต้องค่อยๆ ขยับ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อยว่า เมื่อเอกัคตาเจตสิกเกิดกับจิตทุกดวง ตอนเกิดก็มีจิตเกิด และจิตนั้นมีเอกัคคตาเจตสิกเกิดด้วยหรือเปล่า แต่ไม่เห็นปรากฏลักษณะของสมาธิอะไรเลยทั้งสิ้น แต่เป็นเอกัคคตาเจตสิก
เพราะฉะนั้นเอกัคคตาเจตสิกเกิดเมื่อไหร่ จึงจะปรากฏอาการที่เป็นสมาธิ เห็นไหม ไม่ใช่เรารับเพียงชื่อ และเราก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเมื่อไหร่ ด้วยเหตุนี้จิตซึ่งเป็นเหตุคือ กรรม กุศลหรืออกุศลได้กระทำไปแล้ว เพื่อให้ผลของกรรมซึ่งเป็นจิตและเจตสิก ซึ่งเป็นผลเกิดขึ้น เรียนคำใหม่อีกคำหนึ่ง คือภาษาบาลีใช้คำว่า วิปากะ คนไทยเรียกว่า วิบาก แต่ว่าเข้าใจผิด ถ้าไม่ศึกษาก็คิดว่าลำบาก แต่ว่าวิบากก็คือผลของกรรม เมื่อกรรมมี ๒ อย่างคืออกุศลกรรมและกุศลกรรม ผลของกรรมสลับกันไม่ได้เลย เหตุอย่างไรผลต้องเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อเหตุไม่ดีเป็นอกุศลกรรมได้กระทำไปแล้ว ผลก็คือว่าจิตที่เป็นผลต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่มีจิตจะรับผลของกรรมได้อย่างไร โต๊ะ เก้าอี้ รูปทั้งหลายรับผลของกรรมไม่ได้เลย เพราะไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้นสภาพซึ่งจะเป็นผลของกรรมต้องเป็นจิตและเจตสิก ขณะที่ทำกรรม ทำดี ช่วยคนอื่น ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น ฟังธรรมเข้าใจขึ้น ผลเป็นอย่างไร ผลก็ต้องเป็นกุศลวิบาก เพราะวิปากะเป็นผล ด้วยเหตุนี้อกุศลกรรมเป็นปัจจัยให้ผลคืออะไรเกิดขึ้น ตามเหตุที่จะต้องเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นทุกคนเกิดมา จิตต้องเกิดใช่ไหม ถ้าไม่มีจิตเกิดได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจิตเกิดแล้ว เป็นเหตุหรือเป็นผล เป็นผลของกรรม ด้วยเหตุนี้ผลของกรรมก็จำแนก จะเกิดเป็นอะไร ผิดจากกรรมที่ได้กระทำไว้ได้หรือ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 841
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 842
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 843
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 844
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 845
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 846
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 847
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 848
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 849
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 850
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 851
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 852
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 853
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 854
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 855
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 856
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 857
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 858
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 859
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 860
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 861
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 862
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 863
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 864
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 865
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 866
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 867
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 868
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 869
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 870
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 871
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 872
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 873
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 874
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 875
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 876
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 877
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 878
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 879
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 880
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 881
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 882
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 883
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 884
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 885
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 886
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 887
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 888
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 889
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 890
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 891
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 892
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 893
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 894
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 895
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 896
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 897
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 898
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 899
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 900
