ปกิณณกธรรม ตอนที่ 860


    ตอนที่ ๘๖๐

    สนทนาธรรม ที่ ร้านโป๊ด เรสเตอร์รอง

    วันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ผู้ฟัง เป็นการที่ไม่สำรวมหรือเปล่า พระที่จะไปเล่นตลก หรือพูดจาตลกเหมือนคนทั่วไป

    อ.คำปั่น ถ้าพูดถึงการเล่นคะนองก็เป็นอาบัติ อย่างเช่นที่แสดงถึงว่าเป็นอาบัติ เพราะว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะไม่ควร ไม่ถูก เป็นการล่วงพระวินัยซึ่งจะเป็นเครื่องกั้นสวรรค์ มรรคผลนิพพาน เพราะฉะนั้นที่ท่านอาจารย์ถามว่า ต้องปลงอาบัติใช่ไหม ก็ต้องปลง เพราะว่าต้องเห็นโทษว่า นั่นแหละคือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ถ้าไม่ปลงอาบัติ ก็มีโทษ เพราะว่าไม่สามารถที่จะบรรลุธรรมได้ เพราะมีอาบัติเป็นเครื่องกั้น และถ้าไม่กระทำคืน ไม่ปลงอาบัติ ลาจากโลกนี้ไปก็เกิดในอบายภูมิ

    ท่านอาจารย์ ทั้งพระภิกษุ และผู้ฟัง สนุกสนานมากใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เป็นสิ่งที่สมควรหรือเปล่า

    ผู้ฟัง คือหนูดูแล้ว หนูก็รู้สึกไม่สมควร

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ตรง ความประพฤติใดๆ ที่ไม่เหมาะกับเพศบรรพชิต ไม่สมควร เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์ร่วมสนุกด้วย หัวเราะกันใหญ่ใช่หรือเปล่า ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นแม้เพียงจะดู ก็ไม่ควรดู แม้ควรจะฟัง ก็ไม่ควรฟัง เพราะ เหตุว่า ไม่น่าดู ไม่น่าฟัง เพราะว่าเป็นเพศบรรพชิต ไม่ได้ประพฤติตามพระวินัย

    อ.คำปั่น ถ้าพูดถึงการแสดงธรรมตลก ไม่มีในพระธรรมคำสอน เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอดจนถึงพระสาวกทั้งหลาย มีแต่แสดงธรรมตามความเป็นจริง เพื่อประโยชน์แก่ผู้ฟัง คือความเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ไม่มีการกล่าวตลกใดทั้งสิ้น แต่มุ่งประโยชน์แก่ผู้ฟัง ก็คือจะได้มีความเข้าใจธรรมอย่างถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นก็ต้องถามผู้ที่กล่าวตลกอย่างนั้น ว่าจิตในขณะนั้นมุ่งอะไร มุ่งให้คนชอบ มุ่งลาภสักการะสรรเสริญ ก็ไม่ดี ไม่ถูกต้องตั้งแต่ต้นแล้ว เป็นเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ เพราะว่าไม่ได้มุ่งประโยชน์แก่ผู้ฟัง เพื่อที่จะได้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง แม้แสดงธรรมตามความเป็นจริง แต่มุ่งลาภสักการะ ก็เป็นเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ เพราะว่าจิตขณะนั้นไม่บริสุทธิ์

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นผู้ฟังก็ไม่ควรจะสนุก เวลาที่พระธรรมสนุก ต้องเห็นโทษ แล้วก็ไม่คล้อยตาม ไม่ชื่นชม แต่ติเตียนได้ โพนทนาได้ ให้รู้ว่าสิ่งนั้นไม่สมควร ไม่ทราบฟังแล้วมีความเห็นอย่างไรบ้าง เพราะเหตุว่าพระผู้มีพระภาคจะได้ทรงตรัสรู้ และทรงอนุเคราะห์ให้คนอื่นได้ฟังนั้น นานมาก แต่ว่าเมื่อได้ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ปรินิพพานแล้ว แต่ว่าคำสอนยังคงมีอยู่ เพราะฉะนั้นจะดำรงคำสอนไว้ โดยใคร ไม่เกี่ยง ใช่ไหม เพราะว่าผู้ที่เห็นประโยชน์ และเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ ก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีค่าเหนือสิ่งใด ที่ควรที่จะได้สืบต่อไป ไม่ใช่ร่วมกันทำลายโดยความไม่รู้

    เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ละเอียด เห็นประโยชน์แล้วจะปล่อยให้ถูกทำลายไป หมดไป หรือว่าเห็นประโยชน์แล้ว จะช่วยกันรักษา แต่วิธีรักษาไม่ใช่โดยการสร้างวัดใหญ่โต หรืออะไรอย่างนั้นเลย เพราะเหตุว่าวัดไม่ได้ให้ความรู้อะไร เพราะเป็นรูปธรรม พูดไม่ได้ อธิบายไม่ได้ทั้งนั้น มีไว้สำหรับอะไร เพราะฉะนั้นก็ต้องพิจารณาด้วยว่าทางเดียวที่จะดำรงคำสอนไว้ คือเข้าใจคำสอน ถ้าตราบใดที่ไม่มีคนที่จะเข้าใจคำสอนเลย คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็อันตรธาน เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้เอง ไม่ต้องคอยจนถึง ๕๐๐๐ ปี ใครก็ตามที่ไม่ได้เข้าใจธรรม หรือเข้าใจธรรมผิด พระธรรมก็อันตรธานแล้วจากผู้นั้น เพราะฉะนั้นยังคงมีพระธรรมดำรงอยู่ ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจเท่านั้น ไม่ใช่จะรักษาพระศาสนาโดยวิธีอื่น

    อ. อรรณพ ทีนี้ ในการที่จะกล่าว จะแสดงตามความเป็นจริงเหล่านี้ ด้วยเจตนาที่จะรักษาพระธรรมวินัยไว้ ก็ไม่ต้องเกรงกลัวกับอะไรทั้งสิ้น แต่ไม่ได้ด้วยความเหิมเกริม หรืออะไร แต่ด้วยความที่เคารพในพระธรรม

    ท่านอาจารย์ คำจริง พูดแล้วผิดหรือ ที่พูดมาทั้งหมดเป็นคำจริงหรือเปล่า ไม่ว่าจะเรื่องของธรรม หรือเรื่องของพระวินัยก็ตามแต่ ตามที่มีในพระไตรปิฎก การกล่าวคำที่มีแล้วในพระไตรปิฎก ให้เป็นที่รู้ ที่เข้าใจ ผิดหรือ

    อ.อรรณพ เป็นความสมควรอย่างยิ่ง ที่กระทำในหน้าที่ของพุทธศาสนิกชน หรือพุทธบริษัท เพราะว่าถ้าไม่กล่าวเพราะไม่รู้ ไม่ศึกษานี่ก็เป็นโทษอยู่แล้ว แต่ถ้าพอจะศึกษา พอจะเข้าใจ แต่ว่าด้วยความรักตัวเอง ด้วยความที่ไม่อยากจะให้เราไปกระทบกับคนโน้นคนนี้ เดี๋ยวก็จะมีผลกับตัวเรา หรือในกลุ่มของเรา หรืออะไรที่กลัวว่ากลุ่มของเราจะเหมือนกับไม่ได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ ก็เหมือนไม่ได้คิดถึงพระธรรม คิดถึงตัวเอง

    ท่านอาจารย์ ให้สิ่งที่ดี ไม่รับ แล้วยังว่าอีกหรือ ก็แปลก ให้สิ่งที่ดีแน่นอน เป็นพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้แล้วทั้ง ๓ ปิฎก ทั้งพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม และก็กล่าวข้อความที่มี ให้ได้เข้าใจยิ่งขึ้น มีการสนทนาธรรม เพื่อที่จะได้เข้าใจถูก เพื่อที่จะดำรงความถูกต้องไว้ ถ้าทำแล้วเป็นประโยชน์ไหม แล้วทำไมไม่คิดถึงประโยชน์

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนานแสนนาน บารมี ๑๐ อย่างยากที่ใครจะทำได้ และทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมให้เราเข้าใจ แล้วอะไรเป็นเครื่องสักการะ ไม่ใช่ดอกไม้ ไม่ใช่ธูปเทียน ไม่ใช่แก้วแหวนเงินทองใดๆ ทั้งสิ้น เพราะมีพระมหากรุณาที่จะให้คนได้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็บูชาพระองค์ด้วยการศึกษาและเข้าใจพระธรรม นั่นจึงจะเป็นการบูชาที่ถูกต้อง

    ผู้ฟัง การนุ่งขาวห่มขาวของคฤหัสถ์นั้น ท่านอาจารย์ว่ามันได้บุญไหม

    ท่านอาจารย์ ถ้าคิดอย่างนั้น บุญอยู่ที่ผ้าขาว ไม่ใช่อยู่ที่ใจเสียแล้ว

    ผู้ฟัง แต่ก่อนโป๊ดก็คิดว่าเข้าวัดไปถือศีล ต้องใส่ชุดขาว หรือใส่สีดำไม่ได้ แต่พอมาเริ่มฟังพระธรรม แล้วคิดว่าเรื่องสี ไม่ใช่เรื่องของบุญ ไม่ใช่เรื่องกุศล แต่เป็นเรื่องของความเข้าใจมากกว่า

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ถูกต้องและเป็นจริงทั้งหมด มีในพระไตรปิฎก แต่สิ่งใดที่ไม่มีในพระไตรปิฎก มาจากใคร ผู้ที่ยังมีกิเลส เพราะฉะนั้นก็เข้าใจผิด คลาดเคลื่อน ไม่มีข้อความในพระไตรปิฎกที่ว่าเมื่อจะไปเฝ้า ฟังพระธรรมต้องใส่สีขาว ไม่มีเลย ใครก็ได้ สีไหนก็ได้ แต่ถ้าใส่สีขาว แล้วไม่เข้าใจธรรม ใส่ทำไม ต้องเพราะอยากใส่ และก็รู้ด้วยว่า เพียงใส่ไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมได้ เพราะขณะที่ใส่ ก็ต้องการแล้ว ถ้าไม่ต้องการก็ไม่ใส่ ใส่สีอะไรก็ได้ เข้าใจธรรมได้

    ผู้ฟัง เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็ทานอาหารที่ ๓ มื้อ แต่คนบางคนก็ทานที่มื้อเดียว แต่ลิ้นที่เราได้ลิ้มรสอาหารอันอร่อย เรามีความรู้สึกว่าเราอยากทานต่อ อันนั้นมันเป็นตัวกิเลสใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ อยาก” ต้องเป็นกิเลสแน่ ท่านพระสารีบุตร ก็ได้กล่าวว่า ก่อนจะอิ่ม ๔-๕ คำก็ควรจะดื่มน้ำ จะได้อิ่มไปเลย แต่เรา อิ่มแล้วต่ออีก ๕-๖ คำ เพียงแค่จะลดลง ก็ยากใช่ไหม เพราะฉะนั้น ความเป็นตัวตนนั้น เราไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้ เพราะฉะนั้นทุกอย่างนี่ ทรงแสดงไว้ว่า เป็นปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะนำไปในกิจทั้งปวง แม้จะมีข้อความว่า รู้ประมาณในการบริโภค ไม่ได้สั่ง ไม่ได้ห้าม ไม่ได้บอก ว่าจะต้องทำอย่างนั้น แต่ผู้มีปัญญา รู้เลยว่าบริโภคเพราะกิเลสใช่ไหม อิ่มแล้วต่ออีก ๕ คำ เพราะกิเลสใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ที่จะบริโภคมากหรือน้อยนั้น รู้ประมาณในการบริโภค คือสามารถที่จะเห็นความจริงในขณะที่กำลังบริโภคว่า ขณะนั้นมีกิเลสมากน้อยแค่ไหน และกิเลสนั้นจะหมดได้อย่างไร ต่อเมื่อขณะนั้นรู้ว่าไม่ใช่เรา ใครห้ามโลภะได้ ใครห้ามโทสะได้ แต่ว่าปัญญานำไปในกิจทั้งปวง รู้เลยว่า เพราะกิเลสจึงได้บริโภคมากอย่างนั้น

    อ.อรรณพ จริงๆ แล้วกิเลสที่มีกำลังและเป็นโทษนั้น มีมากมาย แต่พระองค์ท่านทรงให้ความสำคัญกับการรู้จักประมาณในการบริโภค มาก ถึงขนาดพระองค์ทรงพิจารณาว่า ถ้าหากจะบัญญัติปาราชิกข้อที่ ๕ ได้ก็จะบัญญัติข้อนี้แหละว่า ถ้าเป็นภิกษุแล้ว บริโภคโดยที่ไม่ได้พิจารณา ไม่รู้จักประมาณในการบริโภค ควรจะปาราชิก คือหมดความเป็นภิกษุไป ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วการบริโภคก็ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอย่าลืม ดูเหมือนว่ากิเลสไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใครใช่ไหม แต่ความจริงกิเลสเท่านั้นที่ทำร้ายจิต อย่างอื่นไม่สามารถที่จะทำร้ายจิตได้เลย แล้วจะสังเกตได้ ถ้ามีปัญญาจะบริโภคตามที่สมควรจริงๆ แล้วแต่กำลังของปัญญาด้วย แต่ในขณะเดียวกัน บริโภคมากหรือน้อย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เพราะฉะนั้น หนทางเดียวคือปัญญาเท่านั้น ที่ขณะนั้นสามารถที่จะรู้ลักษณะของธรรมว่า ไม่ใช่เรา ถ้ามิฉะนั้นแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะคลายกิเลส หรือดับกิเลสได้เลย

    อ.อรรณพ ๔ ข้อแรกนั้น สมควรที่จะปราชิก อย่างเช่น ขโมย หรือไปฆ่า หรืออะไรทั้งหลายนั้น ชัดเจน แต่การที่เมื่อบวชเป็นบรรพชิตแล้ว ซึ่งอาจจะรวมคฤหัสถ์ด้วย แล้วก็ไม่รู้จักประมาณในการบริโภค ไม่สมควรจะเป็นบรรพชิต ถ้าบัญญัติได้ แต่พระองค์ก็ไม่ได้ทรงบัญญัติ

    ท่านอาจารย์ เพราะอาหารเป็นสิ่งที่จำเป็น ต้องบริโภค และเวลาที่บริโภคอาหาร ก็เพลินไป ทั้งทางตา อาหารไม่น่ารับประทานเลย ไม่อยากรับประทานด้วย ใช่ไหม แต่ถ้าจัดสวย อย่างดี ดูน่ารับประทาน มาแล้ว ทางตา ติดข้องแล้ว อย่างอื่นอาจจะไม่พร้อมกัน แต่อาหารนี่ ทั้งทางตาที่เห็น แล้วก็ถ้ามีเสียงดนตรีไทยเพราะๆ บางคนก็อาจจะยิ่งสบายใจ ใช่ไหม และก็กลิ่นของอาหาร บอกเลย อาหารนี้กลิ่นเป็นอย่างไร แล้วรสด้วย และกระทบสัมผัส แข็งไปก็ไม่ได้ ต้องกรอบ หรือนิ่ม หรือกำลังพอดี นี่แสดงว่า ทั้งหมดเลย แล้วก็จำเป็นต้องบริโภค ถ้าเป็นอย่างอื่น เราเว้นไม่ทำ ได้ แต่ใครเว้นไม่รับประทานอาหารได้ไหม เมื่อไม่ได้ ก็บริโภคด้วยความติดข้อง ทั้งหมดเลย ครบถ้วน เพราะเป็นสิ่งที่จำเป็น เกิดมาก็อาหารจำเป็นแล้ว ยังไม่ทันจะติดข้องอย่างอื่นมากมายใช่ไหม ยังเป็นเด็กเล็กๆ เพิ่งเกิดมาวันเดียว ก็ต้องบริโภคแล้ว แล้วก็ยิ่งเติบโตขึ้นทุกวัน ความติดข้องก็เพิ่มขึ้น หรือใกล้ที่จะสิ้นชีวิต อายุมากแล้วนี่ ก็ยังติดข้องในอาหารด้วย อย่างอื่นอาจจะติดข้องน้อยลง ลดลงไป แต่อาหารก็ยังต้องรับประทาน อันนี้ไม่อร่อย เห็นไหม ก็ยังจะต้องอร่อยอีก ลืมว่าบริโภคเพียงเพื่อมีชีวิตอยู่

    อ.อรรณพ การติดข้องในรสนั้น ด้วยอกุศล แต่พระองค์ท่านก็ทรงแสดงการรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะที่มีการบริโภค พระองค์ท่านทรงแสดงว่า สามารถที่จะเป็นปัญญา ได้ทั้งที่เป็นการรู้สภาพธรรมแต่ละลักษณะ ประจักษ์แจ้งเป็นเอกปริญญาด้วย แล้วก็สามารถรู้รอบ รู้ทั่วเป็นสัพพปริญญาด้วยหรือเปล่า กราบเรียนท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ คงไม่เฉพาะอาหารเรื่องเดียว แต่สังเกตได้จากผู้ที่ได้เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น ความติดข้องลดน้อยลง โดยไม่ต้องไปคิดกะเกณฑ์อะไร แต่ถ้าพยายามเหลือเกินที่จะให้ไม่ต้องการอย่างนั้น ไม่ต้องการอย่างนี้ แต่ยังมีกิเลสอยู่ ก็ต้องเป็นไปตามกิเลส แต่ทั้งๆ ที่ติด ยังคงติด ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ แต่ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น ก็เป็นผู้ที่ทนได้ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้เลย แต่ละคำในพระไตรปิฎกเป็นเรื่องของปัญญาทั้งหมด เช่น ทนต่อความร้อน ความหนาว ฟังดูไม่เห็นยากเลยใช่ไหม เขาก็ทนกันได้ หนาว เขาไม่ห่มผ้าก็มี ใช่ไหม ร้อนเขาก็ทนได้อีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ทนได้ คิดว่าดีแล้ว แต่ยังมีกิเลส เพราะฉะนั้น ทนร้อนทนหนาวได้ เพื่อที่จะรู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา ทนดีกว่าใช่ไหม ดีกว่าเป็นเราแล้วทน แต่ ”ปัญญา” ที่รู้ว่าทน เพราะเหตุว่าจะเดือดร้อนทำไม ในเมื่อเดือดร้อนก็เป็นอกุศล

    เพราะฉะนั้น เมื่อมีปัญญาแล้วก็สามารถที่จะทนได้เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจากอะไรทั้งสิ้น ความร้อน ความหนาว อาหารไม่อร่อย หรืออะไรต่างๆ ก็ค่อยๆ ลดน้อยลงไป ตามกำลังของปัญญา เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ผู้ที่อดทนได้ อย่าอดทนเพียงแค่หนาวร้อน หรืออาหารที่อร่อยหรือไม่อร่อย แต่อดทนที่จะรู้ความจริงว่า แม้ขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่ทรงแสดงเพียงแค่ให้อดทนหนาวร้อน แต่ว่ามากยิ่งกว่านั้นก็คือว่า อดทนต่อการที่จะเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะว่าบางคน พอได้ยินเสียงใครติ ใครว่า โกรธแล้ว แต่ว่าผู้ที่มีปัญญา อดทนต่อคำที่เขากล่าวถึงในทางที่ไม่น่าพอใจได้ เพราะเหตุว่าปัญญาก็รู้ตามความเป็นจริง ว่าแท้ที่จริงแล้ว “โกรธ” ไม่ได้ทำร้ายคนที่เขาว่าเรา แต่ว่าทำร้ายผู้โกรธในขณะนั้น ถ้าเราโกรธเมื่อใด เมื่อนั้นก็คือว่าถูกทำร้ายด้วยกิเลส

    อ.อรรณพ เพียงแต่ว่า ที่ท่านแสดงไว้ว่าถ้าปัญญาพิจารณาในเรื่องอาหาร ก็ครอบคลุมหมด ก็คือเพราะว่ามีทั้งลิ้น ทางอะไรก็รวมด้วย แล้วก็มีทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อะไรต่างๆ เรื่องราวทั้งหมดที่เกี่ยวเนื่องกับการรับประทาน และการติดในอาหาร

    ท่านอาจารย์ อาหารอร่อย อดทนไม่รับประทาน ได้ไหม เห็นไหม ความอดทน ไม่ใช่แค่อดทนเรื่องเดียว คือหนาวและร้อน อดทนต่อไม่มีกิเลส หรือว่าละคลายกิเลส และอดทนที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา ถ้าโกรธ ทุกคนไม่อยากโกรธ หาทางไม่โกรธ แต่ลืมที่จะรู้ว่า ที่ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะโกรธ หาทางไม่โกรธ แต่รู้ว่าขณะนั้น “โกรธ” เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ทั้งหมดนี่ต้องประมวลมาสู่ธรรมที่กำลังปรากฏ ทุกอย่างเป็นธรรม อดทนที่จะไม่โกรธ อดทนที่จะไม่รัก อดทนต่อทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะขณะนั้นก็คือ ไม่ยินร้ายก็ยินดี เพราะฉะนั้นอดทนทั้งยินดีและยินร้าย

    สนทนาธรรมที่ราวินโฮมรีสอร์ท จังหวัดนครนายก

    วันที่ ๑๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๙

    ผู้ฟัง ธรรมที่ท่านอาจารย์ ให้ความเข้าใจกับพวกเรา จากที่ท่านอาจารย์ได้ไปร่วมสนทนากับทางเวียดนาม ที่เราสามารถจะร่วมทราบ และเข้าใจด้วย

    ท่านอาจารย์ แต่ละที่ แต่ละแห่งก็หลากหลาย ถึงสนทนาธรรมวันนี้ก็ต้องหลากหลายจากที่อื่น แต่ไม่ว่าจะที่ไหน ก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นเราคงจะไม่ต้องไปตามว่า ที่โน่นพูดว่าอย่างไร ที่นี่พูดว่าอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งซึ่งไม่ลืมก็คือว่า เมื่อไหร่ที่เราไม่ได้ฟังธรรม เราก็ลืมธรรม ซึ่งกำลังมี เพราะฉะนั้นการฟังธรรมนี้ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์อื่นเลย แต่เพราะรู้ว่า ไม่รู้มานานแสนนาน ประมาณไม่ได้เลยว่าแค่ไหน และสิ่งที่ไม่รู้ก็คือ สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้แหละ ไม่ว่าเมื่อไหร่ คือ ไม่รู้เห็น ที่กำลังเห็น ไม่รู้ได้ยิน ที่กำลังได้ยิน ไม่รู้คิดนึก ที่กำลังคิดนึก ไม่รู้ตั้งแต่เกิดจนตายว่ามีอะไรบ้าง วันก่อนๆ ก็ช่างเถอะ แล้ววันนี้เล่า ตั้งแต่เช้า “เห็น” ก็เหมือนเมื่อวานนี้ เหมือนแสนโกฏิกัปมาแล้ว ก็ยังเป็นเห็นซึ่งยังคงไม่รู้

    เพราะฉะนั้นเป็นผู้ที่ไม่ประมาทเลย ว่าสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ รู้ยาก เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถที่จะรู้สภาพธรรมซึ่งลึกซึ้ง แล้วก็เกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก เพราะเหตุว่าขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏนิดเดียว เลยไปละ ถึงคน ถึงเรื่องราวต่างๆ ล้วนแต่มีเห็น แล้วก็มีคิด สลับกันไปตลอดเวลา ทำให้จำด้วยความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งเหมือนเที่ยง เหมือนยั่งยืน กว่าจะเข้าถึงคำแต่ละคำนี่ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ขณะนี้ปรากฏ สิ่งนั้นต้องเกิด เกิดแล้วต้องดับ นี่คือสิ่งซึ่งฟังแล้ว เข้าใจ แต่กว่าจะเข้าใจถึงสิ่งที่กำลังเกิดดับจริงๆ ให้รู้ว่า ที่ฟังนี้ ไม่ได้ฟังเรื่องไร้สาระ ไม่ได้ฟังเรื่องสิ่งที่เป็นเท็จ แต่เป็นสิ่งที่กำลังเป็นจริงอย่างนี้ แต่ปัญญายังไม่ถึงระดับที่สามารถที่จะเข้าถึงความเป็นธรรม ที่กำลังเกิดดับ

    เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของบารมี คือกุศลทั้งหลาย ซึ่งจะต้องเกิดแทนอกุศลทั้งหลาย ซึ่งมีโอกาสที่จะเกิดมากเหลือเกิน วันนี้อกุศลเกิดมาก แต่ไม่รู้ แต่ว่าเวลาฟังธรรม หรือเข้าใจธรรม เปรียบไม่ได้เลยกับอกุศลในวันนี้ เพราะฉะนั้นผู้ที่เห็นประโยชน์อย่างยิ่ง ก็รู้ว่าธรรมทั้งหมดนี้ มีประโยชน์ที่จะทำให้ไม่เสียหลายที่มีเสียงปรากฏให้ได้ยิน และเข้าใจ ไม่อย่างนั้นก็เปล่าไป เปล่าไป คือไม่ได้มีการเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีเลย แต่เสียงซึ่งกล่าวถึงคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้ดีแล้ว แม้ว่าจะนานสักเท่าไหร่ ก็เป็นความจริงซึ่งไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเหตุว่าจริงถึงที่สุด คือ สภาพธรรมเป็นธรรม แม้แต่คำว่า ธรรม ได้ยินแล้วก็ผ่านไป ไม่รู้ว่าธรรมอะไร คืออะไร แต่ถ้าภาษาธรรมดาไม่ว่าจะภาษาของชาติไหนก็ตาม ก็รู้ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มีจริง เราจะพูดถึงทำไม เสียเวลาพูดถึงเรื่องที่ไม่มี แต่เพราะมี แต่ไม่เคยรู้เลย แม้แต่สักคำเดียว เช่นคำว่า ธรรม ถ้าถามคนที่ไม่เคยได้ฟังด้วยความเข้าใจ เขาก็จะไปพูดว่าธรรมคืออย่างนั้นอย่างนี้ ใช่ไหม แต่ว่าอย่างนั้นอย่างนี้คืออะไร ก็ต้องเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งขณะ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    เพราะฉะนั้น เรากำลังพูดถึงทุกคำที่มีในพระไตรปิฎก ไม่ว่าจะพูดคำว่าธรรม ไม่ว่าจะพูดคำว่าธาตุ หรือ ธาตุ (ธา-ตุ) ไม่ว่าจะพูดถึงอายตน ถึงอริยสัจจะ ถึงปฏิจจสมุปปาท ถึงอะไรทั้งหมด ก็คือพูดถึงสิ่งที่มีจริง โดยนัยต่างๆ ให้ค่อยๆ เห็นถูกต้องตามความเป็นจริง ซึ่งจะเริ่มเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ เมื่อได้เข้าใจธรรม มิฉะนั้นได้ยินแต่ชื่อ แล้วก็อยู่ห่างไกล ไม่ได้เข้าใกล้พระธรรม แต่ว่าขณะใดก็ตาม ที่ฟังแล้วเริ่มรู้ว่า พระธรรมคือสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้แหละ แล้วก็มีทุกขณะด้วย เปลี่ยนแปลงไปอยู่เรื่อยๆ แต่กว่าจะค่อยๆ เข้าใจตามความเป็นจริงนี้ต้องเป็นผู้ที่อดทน จึงมีขันติบารมี เพราะว่ารู้เดี๋ยวนี้ได้ไหม ไม่มีทาง อีกร้อยชาติ รู้ได้ไหม ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า อีกร้อยปี อีกพันปี ร้อยชาติพันชาติ แต่ขึ้นอยู่กับความเข้าใจถูกในคำที่ได้ฟัง

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 178
    19 มิ.ย. 2568