ปกิณณกธรรม ตอนที่ 861
ตอนที่ ๘๖๑
สนทนาธรรม ที่ ราวินโฮม รีสอร์ท จ.นครนายก
วันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๙
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าอีกร้อยปี อีกพันปี ร้อยชาติ พันชาติ แต่ขึ้นอยู่กับความเข้าใจถูกในคำที่ได้ฟัง มั่นคงขึ้น เป็นอธิษฐานบารมี และก็เป็นสัจจบารมีด้วย เพราะเหตุว่าธรรมไม่ใช่สิ่งที่ใครจะรู้ได้ง่ายเลย กำลังมีเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ได้ฟัง ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงของธรรมได้ เพราะฉะนั้น ทุกโอกาส ที่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง ก็คือว่าชาตินั้นผ่านไป โดยมีสิ่งที่ประเสริฐที่สุดคือ ได้เข้าใจความจริงในแต่ละชาติ แต่ถ้าชาติไหนไม่ได้มีโอกาสที่จะได้ฟังเข้าใจเลย ชาตินั้นก็เปล่าไป มี ก็เหมือนไม่มี
เพราะเหตุว่า เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้น ก่อนเห็น ไม่มีเห็น แล้วเห็น แล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก และไม่ใช่แต่เฉพาะเห็นอย่างเดียว ทุกอย่าง ฟังอย่างนี้ก็ไม่เป็นอะไร กิเลสก็ยังเต็ม ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ก็รู้ได้ว่า ฟังทำไม ฟังไว้เพื่อเข้าใจมั่นคงขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่าปัญญามีหลายระดับขั้น เหมือนเกิดมาเป็นเด็กเล็กๆ ไม่รู้เลย พ่อแม่ก็ไม่รู้ พี่เลี้ยงก็ไม่รู้ อะไรก็ไม่รู้ เห็นก็ไม่รู้ว่าอะไร มีเสียงปรากฏ ก็ไม่รู้อะไร จนกว่าจะเติบโต เพราะฉะนั้น เมื่อเติบโตแล้ว จนกว่าจะถึงการที่จะมีความรู้ตามลำดับขั้น แต่ทางโลกอย่างไรๆ ก็ไม่จบ ไม่มีทางจบ เพราะเหตุว่าไม่ได้รู้สัจจธรรม คือ ความจริงของธรรมเดี๋ยวนี้ ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าที่ไหนก็เป็นธรรมทั้งนั้น เราอาจจะคิดว่าธรรมที่เวียดนาม จริงหรือเปล่า มีที่ไหน ถ้าไม่คิด มีแต่ธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดแล้วดับ แม้แต่จะเป็นคนสักคน ก็ยังไม่ใช่ เป็นธรรมแต่ละหนึ่งจริงๆ เห็นหนึ่งขณะ เกิดขึ้นดับไป ไม่กลับมาอีก ที่ไหน ถ้าไม่คิด แต่พอมีความคิดก็เป็นสถานที่ เป็นเรื่องราว ลืมว่าเป็นธรรม
เพราะฉะนั้น กว่าจะหมดความเป็นเรา หมดความเป็นที่หนึ่งที่ใด เป็นธาตุ ซึ่งมีปัจจัยเกิด ถ้าไม่มีปัจจัย เกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นต้องรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แล้วถึงจะค่อยๆ รู้ว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นได้เพราะอะไร กว่าเราจะเข้าใจในขั้นของการฟัง ซึ่งการฟังพระพุทธพจน์ พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้คำว่า ปริยัติ แต่ความหมายคือ รอบรู้ในคำที่ได้ฟัง ทำไมใช้คำว่า รอบรู้ แค่คำเดียวว่า ธรรม รอบรู้หรือเปล่า มั่นใจหรือเปล่า ว่าไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย พูดถึงสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ไปให้จำคำว่า ธรรม
เพราะฉะนั้น ถ้าใครเพียงแต่คิดว่าจะจำว่า ธรรมคืออะไร มาจากไหน ธาตุอะไรในภาษาบาลี ถึงมาเปลี่ยนเป็นธรรมได้ ความหมายเหมือนกัน นั่นคือไม่ได้เข้าใจเลยว่า ธรรม ก็คือ สิ่งที่กำลังมี ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ที่มีจริงๆ แล้วไม่รู้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็ “ฟัง” เพื่อรู้ เพื่อที่จะได้พ้นจาก “ความไม่รู้” เพราะว่า เมื่อไม่รู้แล้วกิเลสทั้งหลายก็ตามมาไม่สิ้นสุด จนกระทั่งเป็นเวียดนามบ้าง เป็นประเทศไทยบ้าง เป็นโน่น เป็นนี่บ้าง ดับแล้ว หมดแล้วจะเป็นอะไร แค่มีปัจจัยเกิด เท่านั้นเอง แล้วดับไป แล้วไม่เหลือเลย แล้วไม่กลับมาอีกเลย จะไปหาที่ไหน สิ่งที่ดับไปแล้ว หาไม่เจอ เพราะไม่มี หมดไป
เพราะฉะนั้น แต่ละชาติ เกิดจนถึงดับ ก็คือ สิ่งที่มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นเป็นไป แล้วไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้น ชาติก่อนไม่เหลือ ชาตินี้ก็ใกล้ที่จะไม่เหลือ แต่ก็มีชาติต่อไป เริ่ม แล้วก็ใกล้ที่จะหมดสิ้นไป ตราบใดที่ยังไม่รู้เหตุปัจจัยที่ทำให้มีขณะนี้เกิดขึ้น ก็จะต้องมีอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เพราะความไม่รู้
อ.กุลวิไล ที่บอกว่าชาติที่ผ่านมานี่ ไม่เหลือ ก็เพราะว่าธรรมเขาดับไปแล้ว
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เอง ทีละหนึ่ง
อ.กุลวิไล แล้วที่ว่า รอบรู้ในธรรมนี่ ก็ไม่ใช่รอบรู้แค่จำชื่อธรรม แต่รอบรู้ในที่นี้ ก็คือต้องรู้ว่าทั้งหมดเป็นธรรม
ท่านอาจารย์ มีจริงๆ เดี๋ยวนี้เอง ไม่ต้องไปหาที่ไหน ถ้าจะรู้ความจริง ก็รู้เดี๋ยวนี้ ที่สภาพธรรมนั้นปรากฏ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก ถ้าไม่เร็วอย่างนี้จะไม่ปรากฏเป็นนิมิตให้เห็นว่า เป็นดอกไม้ เป็นคน เป็นสิ่งต่างๆ ก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา แค่กระทบตา ปรากฎแล้วดับ นี่คือความจริง ซึ่งถ้ามีความมั่นคง ก็คือว่าค่อยๆ เข้าใจขึ้น พระผู้มีพระภาคไม่ได้ให้ใครทำอะไรเลย ทั้ง ๓ ปิฎก ตลอด ๔๕ พรรษา แต่ทุกคำเพื่อให้เข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ แล้วใครทำ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ที่กำลังปรากฏ ไม่มีใครทำเลย แล้วจะให้ใครไปทำได้ แต่ว่าคนที่ไม่เข้าใจ พอได้ยินแล้ว จะทำ ผิดตั้งแต่ต้น บางคนไม่อยากรู้ความจริง อยากจะอยู่ต่อไปด้วยความเพลิดเพลิน เพราะฉะนั้น อะไรที่จริง ถูกต้อง กล้าที่จะรู้ความจริงไหม บางคนไม่กล้า คุณนีน่ากล้าไหม
ผู้ฟัง ยัง เพราะยังไม่รู้การเห็น พูดตามได้ อ่านได้ คิดถึงเรื่องธรรมบ่อยๆ โดยตัวตน ไม่เข้าใจอนัตตา
ท่านอาจารย์ ที่เวียดนาม เราก็คุยกันถึงเรื่อง ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร เพราะเหตุว่า แม้แต่ข้อความบางตอนนั้น ถ้าเราเพียงพูด โดยที่ไม่ฟัง ไม่ไตร่ตรอง โดยละเอียด เราจะเผินมาก เพราะฉะนั้น เวลาที่มีคนกล่าวถึงเรื่องหนึ่งเรื่องใด เราก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นก็เอามาอ่านเลย ที่จะได้ศึกษาให้เข้าใจทีละคำ ก็ยกธรรมจักรกัปปวัตนสูตรขึ้นมา แล้วก็อ่านทีละข้อความ แล้วก็ระหว่างที่อ่านนี่ เราก็หยุด เพื่อที่จะได้ไตร่ตรอง ให้มีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น ก็มาถึงคำว่า อาการ ๑๒ คือ ๓ รอบของอริยสัจ ๔ สัจจญาณในอริยสัจ ๔ กิจจญาณในอริยสัจ ๔ กตญาณในอริยสัจ ๔ แต่ละหนึ่งนี่ ลึกซึ้งแค่ไหน เพราะฉะนั้น บางคนก็อาจจะคิดว่าเผินมากเลย เราอ่านแล้วก็มีอาการวน ๓ รอบของอริยสัจ ๔ แต่แม้สัจจญาณในอริยสัจทั้ง ๔ มีได้อย่างไร ใช่ไหม ถ้าเราไม่สนทนา เราก็เผินมาก เพราะฉะนั้น การสนทนาธรรมก็ตามลำดับขั้นของความเข้าใจ ถ้าไม่เคยเข้าใจเลย ไม่รู้ว่าธรรมคืออะไรเลย จะงงมากเลย ใช่ไหม ได้ยินคำที่ไม่เคยฟังมาก่อน เพราะเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องต่างจากคำของคนอื่น และยังจะพอใจเพียงผิวๆ เผินๆ ต้องรักษาศีลก่อน แล้วก็จะต้องเป็นสมาธิ แล้วถึงจะเป็นปัญญา เอามาจากไหน เพราะว่ายังไม่รู้เลยว่า ศีล คือ อะไร เป็นตัวตนที่รักษาศีล แต่สำหรับพระพุทธศาสนา รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องตามลำดับ
เพราะฉะนั้น ปริยัติ ไม่ใช่เพียงบอกว่า ธรรม แต่ว่ารอบรู้ เพราะผู้ที่เคยสะสมการได้ยินได้ฟังธรรม ความเข้าใจมาแล้วมากในอดีต มีโอกาสได้เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ ปัญญาของคนที่สะสมมาแล้ว อย่างท่านที่รู้นี่ อ่านประวัติดูแต่ละท่าน ก็แสนกัปบ้าง กัป ไม่ใช่ วัน เดือน ปี ชาติ แต่เป็นกัป
เพราะฉะนั้น เมื่อสะสมมาแล้ว เพียงได้ฟัง พูดถึงสิ่งที่มีจริง เขาไม่คิดถึงอย่างอื่นเลย เห็นกำลังมีจริงๆ ได้ยินก็จริง คิดนึกก็จริง ไม่มีปัญหาสำหรับคนที่เพียงได้ฟังแล้วก็รู้ว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น ในขณะที่ได้ฟัง ถ้าอบรมปัญญามามาก อย่างท่านอุปติสสะ ก่อนที่จะได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน แล้วก็เรียกกันว่าท่านพระสารีบุตร ท่านได้ฟังท่านพระอัสสชิ ธรรมใดที่เกิดจากเหตุ ท่านรู้เลย ขณะนี้ เห็นต้องเกิดจากเหตุ และดับไปทุกอย่าง แสดงว่าอาศัยการฟังและความเข้าใจ ทีละเล็ก ทีละน้อย จะให้เด็กไปเข้ามหาวิทยาลัย ทำการผ่าตัดเป็นนายแพทย์เลย เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้และเป็นผู้ที่ตรง สัจจบารมี ตรงต่อความจริงว่า ความจริงต้องเป็นเดี๋ยวนี้ เพราะว่าสิ่งที่หมดไปแล้ว ไม่ได้กลับมาอีกที่จะให้รู้ได้ สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ยังไม่เกิดแล้วจะไปเข้าใจได้อย่างไร แล้วไปทำอะไรจะให้เกิด ก็หมายความว่าคนนั้น ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี เพราะฉะนั้น ก็ไม่ได้เข้าใจพระพุทธพจน์
อ.วิชัย ท่านอาจารย์กล่าวถึง การรู้อริยสัจทั้ง ๔ โดย ๓ รอบ คือ ในสัจจญาณ กิจจญาณ และกตญาณ ถ้ากล่าวถึงอริยสัจ ทั้ง ๔ ก็จะมี ทุกขอริยสัจ สมุทัยอริยสัจ ทุกขนิโรธอริยสัจ และทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ถ้ากล่าวถึงทุกขอริยสัจ นี่ก็พอที่จะเข้าใจได้ เพราะว่ามีสภาพธรรมที่ปรากฏ และโดยความเข้าใจก็รู้ว่าเป็นสภาพที่มีปัจจัยปรุงแต่ง แล้วเกิดดับในขั้นของความเข้าใจ
ท่านอาจารย์ หมายความว่า จากการฟัง
อ.วิขัย จากการฟัง แล้วก็สมุทัย ก็คือ ความยินดีพอใจ ความติดข้อง แต่ถ้ากล่าวถึงทุกขนิโรธ และทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาที่จะมีความเข้าใจในขั้นของสัจจญาณ คืออย่างไร
ท่านอาจารย์ นี่เป็นสิ่งซึ่งต้องละเอียด เพราะว่าถึงเราจะพูดเดี๋ยวนี้ แต่เราก็ต้องรู้ว่าคนฟังสามารถที่จะมีความเข้าใจได้ไหม
เพราะฉะนั้นเราจะรีบไปถึงอริยสัจที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ แม้ในเรื่องของสัจจญาณ ก็ยาก ใช่ไหม เพราะเหตุว่าความลึกซึ้งของธรรม เช่น คำว่า ทุกข์ ถ้าชาวบ้านธรรมดา ก็คิดว่าเจ็บไข้ได้ป่วย ลำบาก มีเรื่องสารพัดเรื่อง ก็เข้าใจว่านั้นเป็นทุกข์ แต่ทุกขอริยสัจเป็นความทุกข์ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้เลย ทุกข์นั้นก็คือ การเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรม
เพราะฉะนั้น ถ้ายังไม่เคยฟังธรรมเลย ก็ต้องเริ่มจากปริยัติ ฟังว่าเดี๋ยวนี้มีจริงๆ เพราะเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิด ไม่มีแน่นอน และเมื่อเกิด ก็ต้องมีปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น แต่ว่าเพียงเกิดแล้วดับไป นี่ ที่จะต้อง กว่าจะเข้าใจคำว่า ทุกขอริยสัจ ไม่ใช่ทุกข์อย่างที่เราเคยคิดว่า เราเจ็บเป็นทุกข์ เราหิวเป็นทุกข์ เราไม่ชอบเป็นทุกข์ แต่ต้องหมายความถึง สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด ซึ่งเกิดแล้วดับ โดยที่ว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย เกิดเมื่อมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เกิดเป็นแข็ง เป็นอื่นไม่ได้ เกิดเป็นเสียง เป็นอื่นไม่ได้ แต่ทั้งแข็ง ทั้งเสียง ก็ชั่วคราว แล้วทั้งวันนี้ก็เต็มไปด้วยสิ่งที่กระทบกาย ก็ต้องอ่อนหรือแข็ง เสียง ก็ปรากฏอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยมีความรู้ ไม่เคยมีความเข้าใจเลย นั่นแหละ ทุกข์ เราไม่ได้เข้าใจว่านั่นคือ ทุกข์ เราเข้าใจว่าทุกข์เมื่อเราเจ็บ ใช่ไหม แต่ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เกิดแล้วดับ นั่นแหละเป็นทุกข์
เพราะฉะนั้น ทุกขอริยสัจ ต้องเป็นความรู้ที่เกิดจากได้ฟังธรรม ปริยัติ ถ้าฟังเผินๆ ทุกอย่างเป็นทุกข์ จบ ไม่ได้เข้าใจอะไรมากมาย จึงทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา โดยละเอียด ทุกประการ ไม่ว่ากับใคร เป็นพราหมณ์ที่ไถนา ปลูกข้าว หรือว่าจะเป็นพ่อค้าวาณิช อะไรๆ ก็ตาม ทั้งหมด แต่ว่าธรรมเป็นธรรม ทุกข์เป็นทุกข์ ใครก็พ้นไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าปเสนทิโกศล หรือใครทั้งหมด เพราะจริงๆ แล้วเป็นธรรมทั้งหมด นี่ก็คือ กว่าจะรอบรู้ในธรรม
อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึง ในธรรมจักรกัปปวัตนสูตร ที่ทรงแสดงเรื่องของทุกขอริยสัจ ก็แสดงถึงเรื่องของชาติบ้าง ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก การประจวบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก เหล่านี้ ก็ดูเหมือนกับเป็นความรู้ที่คนทั่วไปก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่น่ายินดี จะต่างกับปัญญาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้ อย่างไร
ท่านอาจารย์ มีใครบ้างไม่รู้ ต้องพระพุทธเจ้าตรัสหรือถึงจะรู้ นี่แสดงความเผิน ถ้าใครไม่ศึกษา แล้วคิดว่านี่แหละชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ ปริเทวะ คร่ำครวญกันไปนี้ คือ ทุกข์ ไม่ต้องบอกก็รู้ หรือใครไม่รู้
อ.วิขัย แต่คงคิดว่ายังเป็น เขา ที่เดือดร้อนใจ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้เพียงกล่าวแค่นี้ ทุกคำ เป็นคำของปัญญา ชาติ คือ การเกิดขึ้นของสิ่งที่มีชีวิต ซึ่งไม่ยั่งยืน ใครคิดว่าจะอยู่ในโลกนี้ตลอดไป ไม่มีทางใช่ไหม ต้องจากโลกนี้แน่นอนที่สุด แต่ลืม จนกว่าจะชรา พอชราก็มีทุกข์เกิดขึ้น เจ็บโน่น เจ็บนี่ ใช่ไหม คนชราก็ต้องเป็นทุกข์กว่าคนที่ไม่ชรา พยาธิ คนป่วย แม้เพียงเล็กน้อย ก็ต้องต่างกับขณะที่ไม่ป่วย เห็นทุกข์กันแค่นี้ ตอนนี้ ตอนป่วยบ้าง ตอนชราบ้าง ชาติ ชรา พยาธิ แล้วก็ตาย แต่ก่อนนั้นก็โสกะ โศกเศร้า ร้องไห้กันตั้งแต่เด็ก โตแล้วยังร้อง แก่ก็ร้อง คนกำลังจะตายอาจจะร้องไห้ก็ได้ เพราะฉะนั้นก็ น้ำตา เห็นไหม ยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทร แสดงว่า เราเกิดมานานเท่าไหร่ ชาติ ชรา พยาธิ โสกะ คร่ำครวญ นี่ บางคนอาจจะคิดว่า ไม่เห็นเขาคร่ำครวญเลย แต่ใจเขาคร่ำครวญหรือเปล่า เพราะฉะนั้น แสดงว่า ทุกข์นี่ ไม่รู้เลย เป็น “เรา” มาโดยตลอด
เพราะฉะนั้น ถ้าใครกล่าวว่า นี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมเจ้า ยังไม่ใช่ เพราะนี่เป็นคำของคนทั่วไป ที่รู้กันอยู่ แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำกล่าวถึง สัจจะ คือ ความจริงซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แล้วใครก็ไม่สามารถจะรู้ได้ ถ้าไม่ได้บำเพ็ญบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระมหากรุณานี่ รู้ว่าหนทางที่จะรู้ความจริงนี้ ยาก แต่ว่าถ้าเป็นเพียงสาวก หรือเป็นเพียงพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ไม่สามารถที่จะอนุเคราะห์คนอื่นอีกมากที่รู้ไม่ได้ด้วยตัวเอง แต่ต้องอาศัยธรรมที่บุคคลที่ได้ตรัสรู้ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระปัญญา ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลยว่ามากแค่ไหน
แม้แต่คำสอนทั้งหมด ก็อุปมาเหมือนใบไม้ในกำมือ ๒-๓ ใบ แต่ส่วนพระปัญญานั้น เท่ากับใบไม้ในป่า เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปคิดถึงเลย ว่าพระปัญญาแค่ไหน แต่ทุกคำ เป็นสัจจธรรม และก็เป็นความจริง ซึ่งค่อยๆ ให้คนที่เริ่มฟัง ค่อยๆ เห็นความจริง เกิดมาแล้วต้องตาย ช้าหรือเร็ว แล้วประโยชน์อะไรที่ได้จากการเกิดมา เพราะมีทุกสิ่ง ทุกอย่าง ซึ่งไม่ใช่เราเลย แม้เกิดก็ไม่ใช่เรา เป็นธาตุ หรือ เป็นธรรม ซึ่งเป็นธาตุรู้ เกิดขึ้น ละเอียดมากเลย ทุกคำ
เพราะฉะนั้น การศึกษาที่จะรอบรู้ คือ เคารพ ว่าผู้ตรัสเป็นผู้ที่ประจักษ์แจ้งและมีพระมหากรุณาให้เราได้ฟัง ให้เราเกิดปัญญาของเราเอง แต่ละคำ เพราะฉะนั้น ไม่ประมาทที่จะทำสิ่งอื่น แต่รู้ว่าทุกคำนี้ ไม่ได้นำเราไปสู่ความเห็นผิด สิ่งที่มีจริงขณะนี้ รู้ได้ไหม รู้ได้ แต่ไม่ใช่ด้วยความไม่รู้ คือเป็นเรา แต่ต้องเพราะความเข้าใจถูกที่เพิ่มขึ้นทีละเล็ก ทีละน้อย อยากจะรู้เดี๋ยวนี้ไหม อยากจะรู้ชาตินี้ไหม นั่นคือ ไม่รู้อริยสัจที่ ๒ เห็นไหม
เพราะฉะนั้น ต้องมีความเข้าใจระหว่างวัฏฏะ คือ อาการ ๓ ของอริยสัจ ๔ อาการที่ ๑ ก็คือว่า เป็นผู้ที่รอบรู้ ในอริยสัจทั้ง ๔ ยังไม่ถึงปฏิปัตติเลย เพียงแค่ปริยัติ ซึ่งต้องถึงความเป็นสัจจญาณ มั่นคงว่าความจริงต้องเป็นความจริง จะรู้หรือไม่รู้ก็เป็นความจริง และไม่รู้มาแล้วนานเท่าไหร่ และจะไม่รู้ต่อไปอีกนานเท่าไหร่ เพราะว่าบางคนไม่เห็นโทษของความไม่รู้ ไม่รู้ ก็ไม่เห็นเป็นอะไร เกิดมาก็สบายดี สนุกออก อาหารก็อร่อย ไปโน่น ไปนี่ แต่หารู้ความจริงไม่ว่า แล้วไปไหนในที่สุด จากโลกนี้แล้วไปไหน และความไม่รู้ที่ไม่รู้มาแล้ว เพิ่มขึ้นอีกมากไหม แล้วก็จะพ้นไปจากสิ่งที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วก็แค่นั้นเอง คือ เห็นเป็นสุข ได้ยินเป็นสุข และก็หมดไป หมดไป หมดไป เท่านั้นหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็จะไม่เห็นคุณของพระธรรมเลย เพราะฉะนั้น แม้แต่การที่จะกล่าวถึงอาการ ๓ ของอริยสัจจธรรม ๔ ก็ไม่ใช่เผิน
อ.วิชัย ขอโอกาสแสดงความเห็น ของความเข้าใจในขั้นสัจจญาณในส่วนของทุกขนิโรธ กับ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ก็ดูเหมือนว่า จากการที่เราเริ่มมีความเข้าใจเรื่องของว่า สิ่งใดที่มีการเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ขณะนี้เป็นทุกข์ แล้วก็รู้ว่าเหตุที่จะให้การเกิด คือ ความยินดีพอใจ แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังทรงแสดงว่าทุกขนิโรธ คือ ดับสมุทัยนี้ มี แล้วก็อบรมหนทางคือ การที่จะเริ่มมีความรู้ ความเข้าใจ รวมถึงสติสัมปชัญญะ ที่จะรู้ลักษณะของทุกข์ เพื่อคลายจากความยินดีพอใจ ซึ่งเป็นมรรคสัจจะ อันนี้ก็เป็นความเข้าใจในขั้นสัจจญาณ
ท่านอาจารย์ เห็นอริยสัจที่ ๒ หรือยัง ที่กำลังพูดอย่างนี้เป็นอริยสัจที่ ๒ ในเมื่อเหมือนกับอยากรู้ เพราะเหตุว่า ไม่รู้เลยว่าโลภะเมื่อไหร่ จะละได้อย่างไร ตั้งแต่ขั้นสัจจญาณ จะไปถึงกิจจญาณแล้ว ใช่ไหม นี่คือสิ่งซึ่งคนส่วนมากประมาท แม้ว่าพระปัจฉิมโอวาท ก่อนที่จะปรินิพพาน จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม หมายความว่า แม้แต่ในการฟัง
เพราะฉะนั้น บางคนนี่ ศึกษาธรรมด้วยความเป็นตัวตน มาแล้ว อยากรู้ แต่ไม่เห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่า เพียงฟังและคิดว่ากำลังเรียน หรือ ศึกษาธรรม เริ่มจากอภิธัมมัตถสังคหะ แต่ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่า อยากอะไรบ้าง อยากทุกอย่าง ไม่เว้น นอกจากโลกุตตรธรรม เท่านั้น เพราะฉะนั้น เริ่มเห็นแล้วใช่ไหม ถ้ายังไม่ถึงโลกุตตรธรรม ทุกอย่างที่มี โลภะติดหมด ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แม้แต่สิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็ยังคิดนึก ต้องการในสิ่งที่ไม่ใช่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ความอยาก แต่ไม่เข้าใจความละเอียดลึกซึ้งของธรรม ไม่มีทางที่จะละอริยสัจที่ ๒ เพราะฉะนั้น ถ้าจะอยากได้ความรู้ไปเพื่อที่จะเข้าใจ ก็ต้องรู้ด้วยว่า เพื่อเข้าใจหรือเพราะอยากจะรู้ นี่เป็นสิ่งที่ปิดบังอยู่ตลอดเวลา มิฉะนั้นไม่ตรัสว่า เราพบนายช่างผู้สร้างเรือนเมื่อได้ตรัสรู้
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 841
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 842
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 843
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 844
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 845
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 846
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 847
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 848
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 849
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 850
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 851
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 852
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 853
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 854
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 855
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 856
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 857
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 858
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 859
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 860
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 861
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 862
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 863
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 864
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 865
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 866
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 867
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 868
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 869
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 870
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 871
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 872
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 873
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 874
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 875
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 876
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 877
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 878
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 879
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 880
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 881
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 882
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 883
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 884
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 885
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 886
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 887
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 888
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 889
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 890
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 891
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 892
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 893
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 894
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 895
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 896
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 897
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 898
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 899
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 900
