ปกิณณกธรรม ตอนที่ 884
ตอนที่ ๘๘๔
สนทนาธรรม ที่ เรือนทองทิพย์ จ.เชียงราย
วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๙
ท่านอาจารย์ ด้วยเหตุนี้ผลของกรรมก็จำแนก จะเกิดเป็นอะไร ผิดจากกรรมที่ได้กระทำไว้ได้หรือ กรรมเป็นอย่างไร ก็ให้ผลตามกรรมนั้นๆ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร เกิดแล้วจะเป็นอะไรต่อไป กรรมที่ได้กระทำแล้วทั้งหมด ก็จะเป็นปัจจัยให้ผลเกิดขึ้น เวลาที่จิตที่เป็นผลของกรรมเกิดขึ้น มีเอกัคคตาเจตสิกไหม คือเป็นผู้ที่เข้าใจจริงๆ ในธรรม ไม่สับสน แล้วก็ปฏิสนธิหมายความว่าจิตขณะแรกที่ทำกิจสืบต่อเฉพาะจากจุติจิตของชาติก่อน ไม่ใช่ภายหลัง ต้องทันทีที่จิตขณะสุดท้ายของชาติก่อนทำจุติกิจ คือเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนั้นดับ ก็จะเป็นปัจจัยโดยที่ว่า ต้องมีจิตอื่นเกิดต่อ แต่ใครเป็นคนเลือก ไม่มีใครเลือกได้เลย ต้องกรรมหนึ่งที่ได้กระทำแล้ว และกรรมที่ได้กระทำแล้วในสังสารวัฏมากมายสักแค่ไหน เลือกก็ไม่ได้ กรรมนั้นพร้อมที่จะให้ผล ก็ทำให้วิบากจิตขณะนั้นเกิดขึ้น เป็นผลของกุศลกรรม ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ แต่ไม่ได้มีกรรมนั้นกรรมเดียว
เพราะฉะนั้นกรรมที่พร้อมที่จะทำให้จิตขณะแรกทำกิจปฏิสนธิ เกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน ก็จะต้องมีกรรมอื่นๆ ที่ได้กระทำแล้ว รวบรวมประมวลมาที่สามารถจะให้ผลในชาตินั้น ตามกรรมที่ทำให้ปฏิสนธิ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดเป็นสัตว์ อย่างแมวหรือสุนัข แต่ทำกุศลกรรมไว้มาก ผลก็คือว่าก็ได้กินอาหารแค่นี้ ได้อยู่อย่างนี้ แค่นี้ จะมากกว่านี้ก็ไม่ได้ใช่ไหม ทั้งๆ ที่กรรมอื่นที่ได้ทำมาแล้ว มี แต่ชาตินั้นยังให้ผลไม่ได้ ยังไม่ถึงเวลาที่จะให้ผล ก็เท่าที่จะประมวลมาที่จะให้ผลในชาตินั้น ก็ทำให้ผลในชาตินั้นเกิดขึ้น ในฐานะที่เป็นสัตว์ประเภทนั้นๆ มนุษย์เราก็จำแนกมากเลย เกิดมาตาบอด พิการ รูปร่างครบบ้าง เกินบ้างก็มี แล้วก็ฐานะความเป็นอยู่ วงศาคณาญาติพี่น้อง เกิดแล้วก็เปลี่ยนแปลง เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวมีเดี๋ยวจน เดี๋ยวเป็นโรคเดี๋ยวแข็งแรง ทั้งหมดเหล่านี้ ไม่มีใครทำได้เลยทั้งสิ้น แต่เป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว ขณะที่กำลังเจ็บมาก เป็นจิตเป็นสภาพที่มีความรู้สึกเจ็บปวดเกิดขึ้นด้วย ขณะนั้นมีเอกัคคตาเกิดร่วมด้วยไหม เป็นสมาธิหรือเปล่า ไม่เป็น เพราะเหตุว่าเป็นเพียงผลของกรรมที่จะต้องเกิดขึ้น ที่ทำให้จิตและเจตสิกที่จะต้องเกิดด้วยกันในขณะนั้น เกิดขึ้นทำกิจการงาน
เพราะฉะนั้นถ้าจะพูดถึงวิบากหรือวิปากะ เป็นผลของกรรมซึ่งเล็กน้อยสั้นมาก แต่หลังจากนั้นยาวมาก คือกุศลและอกุศลที่เกิดต่อ ดีหรือชั่ว หลังเห็นแค่หนึ่งขณะ หลังได้ยินหนึ่งขณะ หลังได้กลิ่นหนึ่งขณะ หลังลิ้มรสหนึ่งขณะ หลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสที่กาย เย็นบ้าง ร้อนบ้าง อ่อนบ้าง แข็งบ้างหนึ่งขณะ แต่กิเลสซึ่งพร้อมที่จะเกิดต่อทันที มากมายกว่านั้น มีความติดข้อง เมื่อไม่ได้ก็แสวงหาขวนขวาย เป็นการกระทำเหตุ คือกรรมต่อไปที่จะให้ผลเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นชีวิตนี่ถ้าเข้าใจจริงๆ ก็เป็นธรรมจริงๆ ล้วนๆ ไม่มีใครที่จะไปบงการ ไปจัดการ ไปหวัง ไปรอ ไปสร้าง ไปทำให้เกิดขึ้นได้เลย นอกจากเข้าใจถูกต้องว่าเป็นธรรม ซึ่งทุกขณะเกิดขึ้นเป็นไปเพราะเหตุปัจจัย บางคนเราใช้คำว่าตาบอดแต่กำเนิด แต่เราไม่รู้ว่าเพราะกรรม หรือว่าเพราะอุตุ หรือเพราะอาหาร หรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าเป็นเพราะกรรม หมายความว่าตลอดชีวิตจะไม่มีจักขุปสาทเกิด แต่ถ้าไม่ใช่เพราะกรรม ยังมีทางที่จะรักษาได้
เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า เจตนาที่เป็นกุศลและอกุศลสำคัญ เพราะเหตุว่าเป็นเหตุที่จะให้เกิดผล เพราะฉะนั้นเมื่อมีกรรม ก็ต้องมีผลของกรรม แต่ถ้าไม่มีกิเลส กรรมก็ไม่มี ก็เป็นเรื่องทั้งหมดของชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติทุกชาติ กว่าจะเข้าใจถูกต้องว่า เป็นธรรมไม่ใช่เรา หรือแม้แต่เอกัคคตาเจตสิกนั่นแหละที่เกิดกับจิตทุกประเภท เป็นสมาธิหรือเปล่า เพราะว่าชั่วหนึ่งขณะซึ่งเกิดขึ้นเพราะกรรม เป็นผลของกรรม ให้เห็น ไม่มีการที่จะเป็นสมาธิอย่างที่เราเข้าใจได้เลย แต่ว่าขณะนั้นก็มีเอกัคคตาเจตสิก เพราะฉะนั้นถ้าฟังธรรม ก็ฟังให้ละเอียดให้เข้าใจ วันนี้เข้าใจไม่หมด ไตร่ตรอง ฟังแล้วก็คิด แล้วถ้าคิดเอง คิดได้ แล้วก็คิดออกด้วย ถ้าได้สะสมมาที่จะตรงต่อสภาพธรรม เพราะฉะนั้นหลังจากฟังธรรมแล้ว ก็มีการทบทวน มีการสาธยาย มีการตรึกตรอง จะด้วยคำหรือว่าจะคิดนึกในใจก็ได้ เป็นเรื่องของสวดมนต์หรือเปล่า แต่ว่าไม่ใช่ เพราะสวดมนต์ไม่ได้เข้าใจ หรือเข้าใจ ต้องเป็นผู้ที่ตรง ทุกคำต้องรู้ ถ้าไม่เข้าใจแล้วคิดเอง
ผู้ฟัง หนูยังมีคำถามในเรื่องของสมาธิต่อ
ท่านอาจารย์ ตอนนี้ทราบหรือยังว่าสมาธิคืออะไร
ผู้ฟัง สมาธิก็เป็นเอกัคคตาเจตสิก ที่แน่วแน่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งต่อเนื่องในระยะเวลาหนึ่ง
ท่านอาจารย์ หมายความว่า เป็นสภาพที่ต้องตั้งมั่นในอารมณ์ เปลี่ยนลักษณะของเอกัคคตาให้เป็นอื่นไม่ได้เลย เกิดกับจิตทุกขณะ แต่ว่าไม่ใช่ทุกขณะปรากฏลักษณะของสมาธิที่ตั้งมั่นนานๆ เพราะว่าจิตเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปทีละหนึ่งขณะ แต่ถ้าขณะนั้นตั้งมั่นในอารมณ์เดียวนานๆ ที่เป็นกุศลหรืออกุศล ขณะนั้นก็ปรากฏลักษณะอาการของสมาธิ กำลังนั่งอย่างนี้เป็นสมาธิหรือเปล่า ทุกคนนั่งอยู่แล้ว แล้วก็ฟังเรื่องสมาธิ และกำลังนั่งอยู่อย่างนี้ เป็นสมาธิหรือเปล่า ไม่ปรากฏลักษณะอาการของสมาธิใช่ไหม แต่มีการเห็นหนึ่งขณะ การได้ยินหนึ่งขณะ การฟังหนึ่งขณะ แล้วเป็นอกุศลหรือเปล่า ๗ ขณะไม่พอ ต้องมากกว่านั้น ลักษณะของสมาธิจึงจะปรากฎได้ ทำไมบอกว่ากุศล ๗ ขณะ เห็นไหม เราไปไกลอีกแล้ว กำลังเป็นอนุบาลก็ข้ามไปอีก เพราะเหตุว่าถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง เราจะรู้ไหมว่ากี่ขณะ รู้เพียงว่าขณะนี้กำลังพอใจสิ่งหนึ่งสิ่งใด ลักษณะอาการที่พอใจมากก็ปรากฏ กำลังโกรธมีใครบ้างไม่รู้ ขุ่นใจนิดหนึ่ง เกลียด โกรธ อาฆาต พยาบาท ลักษณะนั้นรู้หมดเลย ใช่ไหม ก็เป็นลักษณะของกิเลสซึ่งมีกำลัง
เพราะฉะนั้นขณะนั้นมีเอกัคคตาเจตสิก แต่ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่งจริงๆ หรือเปล่าอีก นี่คือเรื่องของการที่ภาษา และคำสำนวนที่ใช้กับความเป็นจริงต้องสอดคล้องกันด้วย เพราะว่าภาษาใช้อย่างไรก็ได้ แต่ว่าความจริงแม้แต่คำว่า ฌานคืออะไร เห็นไหม พูดถึงเอกัคคตาเจตสิก และก็พูดถึงสมาธิ และก็พูดถึงฌาน พูดทั้งนั้นเลย แต่ว่าถ้าเข้าใจจริงๆ ก็ต้องรู้จักสภาพธรรมที่เป็นตัวธรรม คือเจตสิกตามลำดับขั้น เพราะเหตุว่าธรรมแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ไม่เหมือนกัน ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูง เพราะฉะนั้นแม้แต่การฟังธรรม การเข้าใจธรรมก็ตามลำดับขั้นด้วย คือเข้าใจสิ่งที่ฟัง จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าถึงความจริงทีละหนึ่งตามที่ได้ฟัง จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงตรงตามที่ได้ฟัง ก็เป็นสิ่งนั้นแหละ แต่ว่าต่างขั้นฉันใด เอกัคคตาเจตสิกก็ฉันนั้น ก็มีหลายขั้น ขั้นที่นิทราฌายี คือ ภวังคจิต ไม่มีอะไรปรากฏเลย แต่นาน รู้อารมณ์เดียว คืออารมณ์ที่ไม่ปรากฏของโลกนี้ เวลาที่กำลังหลับสนิท ไม่เห็นแน่ๆ ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก แม้แต่ที่ไหนก็ไม่รู้ เป็นใครก็ไม่รู้ ไม่มีอะไรปรากฏให้รู้เลยว่ายังมีเรา ขณะนั้นก็คือ นิทราฌายี นานพอที่จะรู้ลักษณะขณะนั้นว่าไม่มีอะไรปรากฏเลยคือ หลับ
เพราะฉะนั้นคำนี้ถ้าได้ยินคำว่า นิทราฌายี อย่าไปปฏิบัติ เพราะเหตุว่าไม่ต้องปฏิบัติ มีแล้วในขณะที่สภาพธรรมปรากฏ ตั้งมั่นนานในอารมณ์ของจิต ซึ่งโลกนี้ไม่ปรากฏ โลกนี้ไม่ปรากฏในขณะแรกที่เกิดขึ้น และเมื่อขณะนั้นดับไปแล้ว กรรมทำให้สภาพธรรมที่เป็นผลของกรรมประเภทเดียวกัน ต้องเป็นคนนั้น ต้องเป็นจิตประเภทนั้น เปลี่ยนไม่ได้เลย เกิดดับสืบต่อนาน โลกไม่ปรากฏ แต่เอกัคคตาตั้งมั่นในอารมณ์นั้นนาน จึงเป็นนิทราฌายี ตอนนี้ก็พอใครพูดคำนี้ ก็เข้าใจได้แล้วใช่ไหม ตอนไหนขณะไหน ไม่ใช่ว่าไม่มี มีและต้องรู้ด้วยว่าเป็นธรรมเมื่อไหร่ เมื่อกำลังหลับสนิท ตั้งมั่นในอารมณ์เดียว อารมณ์ไหน อารมณ์เดียวกับปฏิสนธิ ซึ่งสืบต่อมาจากจิตใกล้ตายของชาติก่อน เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถจะรู้ได้เลย ก่อนที่จะจากโลกก่อนมาสู่โลกนี้ รู้อะไร เห็นอะไร คิดอะไร เป็นเรื่องของจิต ซึ่งต้องเกิดตามกรรม ที่ว่าถ้าเป็นผลของ กุศลกรรม ก็จะมีจิตที่เป็นกุศลเกิดก่อนจุติจิต ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม กรรมนั้นก็จะทำให้มีอารมณ์ที่ทำให้จิตเป็นอกุศลก่อนจุติ ก่อนตาย ทันทีที่จิตขณะสุดท้ายทำกิจจุติเคลื่อนพ้นสภาพธรรมนั้น กรรมที่พร้อมที่จะให้ผล ก็ทำให้จิตซึ่งเป็นผลของกรรมเกิดทันที โดยมีอารมณ์เดียวกับจิตที่ใกล้จะจุติจากชาติก่อน ซึ่งเป็นอารมณ์ที่จิตตั้งมั่นเป็นนิทราฌายี
อ.คำปั่น เพื่อความเข้าใจชัดเจนในเรื่องของสมาธิว่า จริงๆ ถ้ากล่าวถึงสมาธิก็ต่อเมื่อลักษณะของความตั้งมั่นปรากฏ คือก็ยังเข้าใจยากอยู่ดี เพราะว่ากล่าวถึงจิตที่เกิดดับสืบต่อกันแต่ละขณะ
ท่านอาจารย์ แน่นอน ธรรมไม่ใช่เราจะเข้าใจตัวธรรม เพียงขั้นฟัง แต่รู้ว่าขณะไหนเป็นอะไร คือต้องเป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป เพราะฉะนั้นภวังคจิตนานไหม จิตตั้งมั่นอยู่ที่อารมณ์นั้นหรือเปล่า แต่ว่าไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ใช้คำว่าสมาธิ แต่ใช้คำว่านิทราฌายี แม้แต่คำว่า ฌานก็มีความหมาย คำว่าสมาธิก็มีความหมาย ทุกคำที่ใช้มีความหมายเฉพาะสภาพธรรมนั้นๆ ในขณะนั้น
ผู้ฟัง ฟังท่านอาจารย์แล้วคือจิตเจตสิกเกิดขึ้นตามเหตุและปัจจัย แต่พอมาฟังว่า ถ้าไม่เจตนา กรรมอันนั้นก็จะไม่แรง หรือว่าจะไม่เกิดขึ้น อยากทราบรายละเอียด
อ.คำปั่น ก็เป็นเรื่องที่ละเอียด เพราะว่าถ้ากล่าวถึงเจตนา ก็เป็นความจงใจขวนขวายที่จะกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดใช่ไหม อันนี้คือความหมาย แต่ว่าถ้าเป็นกรรมที่จะเป็นเหตุให้เกิดผลในภายหน้า ต้องมีการกระทำที่สำเร็จแล้ว อย่างเช่น มีเจตนาที่จะฆ่าผู้อื่นให้ถึงกับสิ้นชีวิต เป็นกรรมที่เป็นอกุศลแน่นอน สะสมสืบต่ออยู่ในจิต ที่จะเป็นเหตุให้เกิดผลที่ไม่ดีในภายหน้า อันนี้ความเป็นจริงเป็นเช่นนี้ใช่ไหม แต่ในบางครั้งการกระทำบางอย่าง อย่างเช่น เราเดินไปเหยียบมด ถามว่าขณะนั้นมีเจตนาที่จะเหยียบมดให้ตายไหม ใช่ไหม ไม่ได้มีเจตนาที่จะเหยียบมดให้ตาย แต่ว่าขณะนั้นมีเจตนาที่จะเกิดขึ้นเป็นไปเหมือนกัน แต่ว่าไม่ได้เป็นไปกับการฆ่าสัตว์ให้ตาย คือมีเจตนาที่จะเดิน แต่ว่าไม่มีเจตนาที่จะฆ่าสัตว์ให้ตาย ก็ไม่เป็นเหตุที่จะให้เกิดผลในภายหน้า การกระทำบางอย่างเหมือนกันเลย
อย่างยกตัวอย่างของพระภิกษุ ท่านประสงค์ที่จะให้พ่อของท่านเดินไปโดยเร็ว ก็มีการดุนหลัง แต่ปรากฏว่าพ่อของท่านสิ้นชีวิตลงในขณะนั้น ที่มีการเหมือนกับดุนแล้วก็ล้มลง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสถามว่า เธอมีความคิดอย่างไร พระภิกษุก็กราบทูลว่า มีเจตนาที่จะให้คุณพ่อเดินเร็วขึ้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะฆ่าให้ตาย ไม่เป็นอาบัติปาราชิกด้วย ไม่เป็นการกระทำที่เป็นอกุศลกรรมด้วย แต่ท่านหนึ่งการกระทำเหมือนกัน แต่ว่าเจตนาต่างกัน ท่านนี้มีเจตนาที่จะฆ่าให้ตายเลย นี่คือความเป็นจริง
สนทนาธรรมที่ โรงแรมเอเชี่ยนหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
วันที่ ๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
ท่านอาจารย์ สนทนาธรรมได้ทุกเรื่อง เพราะเหตุว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม เราอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนเลย เราคิดว่าธรรมต้องเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่า ไม่มีใครได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์ เรามีคำที่เรากล่าวเสมอทุกวัน มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่ว่าพึ่งอย่างไร บางคนก็บอกว่า อยากได้อะไรก็ไปสวด แล้วก็จะได้สิ่งนั้น เป็นไปได้อย่างไร เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว การที่พระผู้มีพระภาคทรงบำเพ็ญพระบารมี ตั้งแต่ครั้งเป็นพระโพธิสัตว์นานมาก ๔ อสงไขยแสนกัป ไม่ใช่ชาติ กัปหนึ่ง ไม่ต้องคิดเลยว่านานเท่าไหร่ และก็ไม่ใช่แค่ ๑๐๐ กัป ๑,๐๐๐ กัป ๔ อสงไขยแสนกัป เพื่อรู้อะไรน่าคิดไหม ที่จะได้ทรงพระนามว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามอันนี้ไม่มีใครสามารถที่จะให้ได้เลย ไม่มีใครแต่งตั้งให้ นอกจากพระปัญญาที่ได้ตรัสรู้ความจริง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้แน่นอน ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม
เพราะฉะนั้นที่บำเพ็ญพระบารมีมาทั้งหมด เพื่อรู้อะไร ก็น่าคิดใช่ไหม เพื่อรู้สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ใครเคยคิดบ้าง ทั้งวันตั้งแต่ตื่นมาก็เป็นเรื่องอื่นหมดเลย เรื่องนั้นเรื่องนี้เรื่องโน้น ตั้งแต่ตื่นจนหลับ พอหลับก็ไม่เหลือสักเรื่องเดียว ชื่ออะไรก็ไม่รู้ อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นตื่นมาทำไม ตื่นมาวุ่นวายทั้งวันเลย ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งหลับ และหายหมดเลย จะเป็นปัญหาที่สำคัญสักเท่าไหร่ก็ตามแต่ ครุ่นคิดมานานสักเท่าไหร่ เดือดร้อนมานานสักเท่าไหร่ เรื่องที่จะคิดเป็นเรื่องใหญ่โตสักเท่าไหร่ แต่พอถึงเวลาหลับไม่เหลือเลย หายไปไหน ไม่เดือดร้อนกับเรื่องเหล่านั้นเลย แต่ตื่นเมื่อไหร่ก็มาอีกแล้ว วุ่นวายไปทั้งวันแล้วก็หลับไปอีก
เพราะฉะนั้นการมีชีวิตอยู่ก็คือตื่นและก็หลับ ตอนหลับนี่ก็ใครเดือดร้อนบ้าง ใครเดือดร้อนตอนหลับนี่ต้องแปลกมาก หลับสนิทนี่ไม่มีทางที่จะเดือดร้อนได้เลย แต่พอตื่นขึ้นมา ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ทำอะไรไปก็ด้วยความที่เป็นตัวเรา เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เหมือนมีอยู่ตลอดเวลา แต่แล้วก็หายไปไหน อย่างพอออกจากห้องนี้ไปแล้ว ก็ไม่มีสิ่งที่ปรากฏในห้องนี้ให้เห็นอีก ทุกสิ่งทุกอย่างชั่วขณะหนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้าเพียงแต่ฟัง แล้วก็ไตร่ตรองละเอียดขึ้น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อตรัสรู้อะไร รู้สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ นี่คือคำตอบ ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่มี จะรู้ได้ไหม ไม่มีทางเลยใช่ไหม ก็ไม่มีอะไรจะให้รู้ แต่เมื่อกำลังมีเดี๋ยวนี้ และใครบอกว่ารู้บ้าง ใครรู้ความจริงเดี๋ยวนี้บ้าง ก็ไม่รู้เลย
เพราะฉะนั้นรักษาศีล ๕ แต่ไม่มีความเข้าใจอะไรเลย เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า เพราะว่าเมื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทุกคำพูดถึงสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่ให้ทำให้ดูอย่างนั้น ให้รักษาอย่างนี้ เพื่อตัวเองจะได้มีความสุข อย่างนั้นอย่างนี้ โดยที่ไม่มีปัญญารู้เลยว่า เกิดมาจากไหน ทำไมถึงเป็นคนนี้ แล้วก็เป็นคนนี้อีกไม่นาน นานเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ได้ใช่ไหม แล้วก็พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ หมดสิ้นหาที่ไหนอีกไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นชีวิตของพระโพธิสัตว์แต่ละพระชาติ แสดงให้เห็นความเป็นจริงว่า ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย แต่ละพระชาติสุขอย่างนั้นทุกข์อย่างนี้ เคยเป็นคนที่ไม่มีบ้านช่อง อยู่บ้านหลังเล็กๆ เป็นคนจัณฑาลต่างๆ เหล่านี้ ผ่านมาแล้วทั้งหมด เป็นพระเจ้าแผ่นดินมีทุกสิ่งทุกอย่าง มีบริวารมีสมบัติมากมายมหาศาล แล้วไม่มีอีกเลย เพียงเท่าที่มีแสนสั้น
ถ้าย่อชีวิตทั้งหมดออกมา จะยาวนานสักเท่าไหร่ก็ตาม ก็เหลือเพียงแต่ละหนึ่งขณะ ถ้าขณะนี้ไม่มี ชีวิตก็ไม่มี แต่เมื่อขณะนี้ดับหมดไปแล้ว ไม่กลับมาอีกไม่เหลือเลย แต่มีปัจจัยที่จะทำให้สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เกิดสืบต่อ เหมือนไม่มีอะไรดับสูญหายไปเลยทั้งสิ้น แล้วก็หายไปหมด พี่น้อง พ่อแม่ เพื่อนฝูง ทรัพย์สมบัติไม่เหลือเลย เวลาที่จากไปแล้ว ไม่มีอะไรที่จะตามไปได้เลย แม้แต่ที่เราเคยเป็นเรา ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ชาตินี้รูปร่างอย่างนี้เป็นอย่างนี้มา ก็ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีเลย แต่ว่าเรามาจากไหน เราไม่ใช่คนเก่าเหมือนชาติก่อนเลย แต่สืบต่อมาจากชาติก่อน เพราะเหตุว่าถ้ารู้จักธรรมจริงๆ ตามที่ได้ฟังพระธรรม ก็จะเริ่มเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทรงแสดงความจริงทุกสิ่งทุกอย่างถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง ที่จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจความจริงขึ้น ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป เพราะเหตุว่าจากไป โดยไม่รู้อะไรเหมือนเดิม ทุกชาติที่ผ่านมา หรือว่ามีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟัง ได้สะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูก ซึ่งเป็นความจริง เพราะมีจริงกำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้นจะกล่าวว่า ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พูดอย่างนี้ผิดไหม ไม่รู้จักจริงๆ ได้ยินแต่ชื่อ ตรัสรู้อะไรก็ไม่รู้ สอนเพียงแค่ว่าศีล ๕ เท่านั้นหรือ ศีล ๕ ใครๆ ก็สอนได้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ศีลคืออะไร เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นปัญญาที่จะทำให้เราไม่เคยรู้มาก่อน แล้วก็สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งรู้จริงๆ ว่า ผู้ที่ตรัสคำต่างๆ ที่เราได้ยินได้ฟัง ต้องมีพระองค์เดียว คือผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิฉะนั้นแล้ว ต่างคนก็ต่างคิด ฟังธรรมมานิดหนึ่ง ไม่ได้ศึกษาให้รอบคอบ ก็คิดเองหมด เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่ยาก ที่ใครจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นผู้ที่ตรง มีเหตุผล และก็มีความมั่นคงที่จะรู้ว่าสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้รู้ได้ แต่รู้เองไม่ได้ ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคยได้ยินใครบอกว่าพระธรรมยากไหม พูดแล้วไม่เรียน หรือว่าพูดแล้วก็ต้องฟังจนกว่าจะเข้าใจ เพราะว่าสิ่งที่ยาก ยากแน่นอน แต่ว่าสามารถที่จะรู้ได้
ด้วยเหตุนี้ เมื่อทรงตรัสรู้ที่ไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดงธรรม เพราะในขณะนั้นที่ว่าไม่น้อมพระทัย เพราะเห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งของสิ่งที่มีธรรมดาธรรมดาอย่างนี้ เห็นอย่างนี้ ได้ยินอย่างนี้ แต่ก็รู้ว่ามีบุคคลที่เมื่อได้ฟังแล้วสามารถจะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นจึงได้ทรงแสดงพระธรรม เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่ได้ยิน สามารถจะเข้าใจได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดและไม่เผิน เพราะฉะนั้นธรรมเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง เรื่องอะไรก็ได้ทั้งหมดเป็นธรรมทั้งนั้น เพราะฉะนั้นสนทนาธรรม ก็คือสนทนาให้เข้าใจความจริงของทุกสิ่งทุกเรื่องที่มี มีเรื่องเยอะไหม แต่ละคน แล้วก็จะมีต่อไปไหม และก็สามารถที่จะเข้าใจความจริงของเรื่องต่างๆ ได้ไหม
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 841
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 842
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 843
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 844
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 845
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 846
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 847
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 848
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 849
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 850
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 851
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 852
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 853
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 854
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 855
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 856
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 857
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 858
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 859
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 860
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 861
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 862
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 863
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 864
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 865
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 866
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 867
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 868
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 869
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 870
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 871
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 872
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 873
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 874
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 875
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 876
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 877
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 878
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 879
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 880
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 881
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 882
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 883
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 884
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 885
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 886
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 887
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 888
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 889
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 890
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 891
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 892
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 893
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 894
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 895
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 896
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 897
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 898
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 899
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 900
