ปกิณณกธรรม ตอนที่ 866


    ตอนที่ ๘๖๖

    สนทนาธรรม ที่ ราวินโฮม รีสอร์ท จ.นครนายก

    วันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นกว่าจะละความติดข้องได้ ก็ต่อเมื่อรู้ว่าไม่เหลือ นั่นคือปัญญาที่สามารถจะค่อยๆ ละความไม่รู้ ซึ่งในขณะนั้นที่ละความติดข้อง ก็ละความไม่รู้ ถ้ายังไม่รู้ ก็ละติดข้องไม่ได้

    อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงกามาสวะ หรือ กามโอฆะ หรือ กามโยคะ ก็หมายถึง ความยินดีพอใจเป็นไปในกาม ซึ่งก็ทรงแสดงเรื่องของกามว่า หมายถึง รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ แต่ว่าลักษณะของความยินดีพอใจ อย่างเช่น ดอกไม้ ไม่ใช่ว่าเป็นความพอใจเฉพาะสีเท่านั้น แต่ว่าก็ยังมีความพอใจในการที่จะคิดถึงนิมิตของสิ่งนั้นจนจำได้ ว่าเป็นดอกอย่างนั้น อย่างนี้ สีนั้น สีนี้ ความพอใจที่เป็นไปอย่างนี้ เป็นลักษณะของกามาสวะ ด้วยหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ กาม (กา-มะ) ได้แก่ รูปที่ปรากฏให้เห็นได้ทางตา เสียง ได้ยิน กลิ่น เวลาที่กลิ่นปรากฏ รส เวลาที่รสปรากฏ ติดข้อง การกระทบสัมผัส อากาศร้อนหน่อย ก็มีแต่เสียงบ่น ใช่ไหม ยังไม่ต้องเจ็บปวดมากมาย แค่ร้อนไปก็เดือดร้อนแล้ว ก็แสดงความติดข้องในสิ่งที่กระทบกาย เย็นบ้าง ร้อนบ้าง อ่อนบ้าง แข็งบ้าง ตึงบ้าง ไหวบ้าง เมื่อมีสิ่งนี้ แล้วไม่รู้ แล้วจะไม่ให้พอใจในสิ่งนั้นได้อย่างไร จะให้ไปพอใจในสิ่งที่ไม่มีหรือ ในเมื่อกามโลกก็ได้แก่ มนุษย์โลก เทวโลก สวรรค์ ๖ ชั้น แล้วก็อบายภูมิ ๔ เต็มไปด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ก็ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ เพราะไม่รู้ เหนียวแน่น หนาแน่นมาก หมักดองไว้ในจิต กระทบเมื่อไหร่เกิดทันที ชั่วขณะ ๓ ขณะจิต จากจิตเห็นที่ดับไป อกุศลเกิดแล้ว

    เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ มากมายสักแค่ไหน แต่ไม่รู้ จึงเป็นอาสวะ พร้อมที่จะไหลไปทันทีที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ เพราะขณะที่เป็นภวังค์ โลกนี้ไม่ปรากฏเลย หลับสนิท ไม่รู้ว่าเป็นใคร มีใครอยู่ที่ไหนใดๆ ทั้งสิ้น แต่เราเรียกว่า ตื่น ก็ต่อเมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ แค่สิ่งนั้นยังไม่ดับ อาสวะ คือ สิ่งที่สะสมมาก็ไหลไป เกิดแล้ว นี่คือ ธรรม ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถที่จะแสดงถึงขณะจิตได้ว่า แต่ละขณะนี้เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เกิดแล้วยับยั้งไม่ได้เลย แต่ไม่รู้

    อ.วิชัย ถ้าเป็นความพอใจในรูปส่วนอื่น ที่ไม่ใช่ทรงแสดงถึงว่าเป็นกามคุณ ๕ หรือว่าเป็นความยินดีพอใจในจิตที่เห็นบ้าง จะเป็นลักษณะของความยินดีพอใจ ที่ทรงจำแนกว่าเป็นกามาสวะ หรือ ภวาสวะ อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ภวาสวะ คือ ความเป็น ต่างกับที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เกิดมาไม่มีใครรู้เลย ปฏิสนธิจิตเกิดแล้วดับ แล้วก็กรรมเดียวกันนั่นแหละทำให้จิตเกิดสืบต่อดำรงความเป็นบุคคลนั้น แม้ยังไม่มีอะไรปรากฏ แต่ก็มีสภาพของจิตซึ่งเป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นครั้งแรก ยังไม่มีอะไรปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่จากการที่ได้สะสมความยินดีพอใจมานานมาก เพียงแค่รู้สึกตัวก็ติดข้องในความเป็นเรา ไม่ต้องพูดด้วย ธรรมไม่ต้องไปพูด ไปบอก เห็น กำลังเห็น ก็ไม่ต้องว่า แต่เห็นเกิดแล้วเห็น

    เพราะฉะนั้น ทันทีที่เกิด แรกที่สุดของการรู้สึกตัวก็ติดข้องแล้ว ใน “ความเป็น” แม้ในนรก ถ้าคิดว่าไม่อยากถึง ไม่อยากไป ก็แล้วใคร ที่คิดอย่างนั้น

    ผู้ฟัง อาจารย์ก็ใช้คำว่า ทะเลชื่อ ทะเลภาพ ซึ่งเป็นอวิชโชฆะ นี่จะเห็นชื่ออย่างเห็นภาพไปหมด ก็ขอให้จริงใจ เพื่อจะเห็นว่า มันเป็นอย่างนั้นอยู่ ความยากต่างๆ แต่บอกความยาก แล้วก็ต้องฟังต่อ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ เป็นปัจจัยให้เกิดการฟังได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ จึงฟัง เพื่อจะได้เข้าใจ

    เพราะฉะนั้น ปัจจัยหนึ่ง คือ ปกตูปนิสสยปัจจัย ไม่ต้องเรียกชื่อ เพราะเหตุว่าปัจจัยนี่ซับซ้อนมาก ชั่วหนึ่งขณะจิต พูดถึงสิ่งที่มีจริงโดยนัยของธาตุ ไม่ใช่ใครเลยสักคน เป็นแต่ละธาตุ โลภะก็เป็นธาตุโลภะ โทสะก็เป็นธาตุโทสะ จิตเห็น ก็จะเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากจักขุวิญญาณธาตุ ทุกอย่างเป็นธาตุหมด โดยนัยนี้ก็ได้

    โดยนัยของอายตนะ ในขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าขาดสิ่งที่ปรากฏทางตา จิตเห็นเกิดได้ไหม ไม่ได้ ถ้าขาดจักขุปสาทรูปซึ่งกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา จิตเห็นเกิดได้ไหม ถ้าขาดเจตสิก จิตเกิดได้ไหม เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่ง ณ ที่นั้น เป็นอายตนะ ที่ประชุม ที่ต่อ ที่ทำให้สภาพธรรมปรากฏ นี่ก็คือแสดงโดยนัยของธาตุ ถ้าโดยนัยของขันธ์ สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ที่กาย ภายในหรือภายนอก ภายใน ภายนอกมีไหม ลองกระทบสัมผัส แข็งภายนอกก็มี

    เพราะฉะนั้น ธรรมไม่ได้จำกัด แต่ต้องรู้รอบ เมื่อสิ่งนั้นกำลังปรากฏว่าเป็นเพียงแข็ง แต่ก่อนนี้เคยเป็นภายในหรือภายนอก แต่เวลาที่ลักษณะจริงๆ ปรากฏ ก็คือ ลักษณะที่แข็ง เพราะฉะนั้นก็แสดงธรรมเดี๋ยวนี้ โดยนัยต่างๆ โดยประการทั้งปวง

    โดยนัยของอริยสัจจ์ ซึ่งขณะนี้ทุกอย่างเกิดแล้วต้องดับ เป็นทุกข์ไหม เห็นไหม ถ้าไม่ได้ฟัง ก็ไม่เห็นเป็นทุกข์เลย เพราะไม่รู้ว่าดับ แต่ความจริงเพียงแค่ ๑ ขณะจิตที่เกิด ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ ดับแล้วก็สืบต่ออย่างเร็วมาก ทำให้หลงเข้าใจว่ายังมีอยู่ เพราะฉะนั้น ที่จะรู้ความจริง เป็นอริยสัจจะ ก็ต่อเมื่อประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไป ทั้งหมดก็แสดงโดยนัยต่างๆ ได้ โดยนัยของปฏิจจสมุปบาท โดยนัยของอริยสัจจะ โดยนัยของอายตนะ โดยนัยของธาตุ โดยนัยของขันธ์ ก็คือสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เพราะฉะนั้น ความเข้าใจค่อยๆ เพิ่มขึ้น เพื่อที่จะได้เข้าใจถูกต้องว่า ไม่มีใครไปละอกุศลได้ นอกจากปัญญาที่เกิดจากความเห็นที่ถูกต้อง

    เดี๋ยวนี้ มีอาสวะไหม เริ่มรู้จักชื่อ เริ่มรู้ว่าเกิดเมื่อไหร่ ในขณะที่เห็น รูปยังไม่ทันดับเลย เกิดแล้ว และรูปก็มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะเท่านั้น เร็วแสนเร็ว และแค่จิตเห็นเดี๋ยวนี้ดับไป แล้วมีจิตอื่นเกิดต่อ ๓ ขณะ อาสวะก็เกิดแล้ว เดี๋ยวนี้หิวไหม เกิดอาสวะแล้วใช่ไหม เพราะรู้สึก

    อ.อรรณพ อาสวะเป็นกิเลสที่บางเบา แล้วก็ไหลไปได้ทันที อย่างสีซึ่งเป็นรูป ยังไม่ทันดับไป โลภะก็ไหลไปทางตา ติดข้องในสีนั่นแล้ว

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จึงแสดงว่า เป็นโอฆะห้วงน้ำใหญ่มาก จากฝั่งนี้ไปสู่ฝั่งโน้น ฝั่งไม่รู้กับฝั่งรู้ความจริง จนกระทั่งดับความไม่รู้ได้

    อ.อรรณพ ท่านเปรียบเทียบกิเลสดุจห้วงน้ำนี่ ก็คือ โลภะ ทิฏฐิ อวิชชา ซึ่งขณะนี้เราก็ไม่ได้คิดว่าเราอยู่ในห้วงน้ำอะไรเลย เพราะตรงนี้ก็เป็นที่ดอน มีภูเขา มีอะไร ไม่รู้สึกจริงๆ

    ท่านอาจารย์ แล้วคิดว่าไม่อยู่ในความมืดด้วย

    อ.อรรณพ สว่าง กลางวัน

    ท่านอาจารย์ แต่รู้หรือเปล่า ตามความเป็นจริง การรู้ความเป็นจริงต้องสว่างกว่าสิ่งสว่างใดๆ ทั้งหมด ทั้งๆ ที่อยู่ในความมืด

    อ.อรรณพ คือ ทำไมช่างคิดต่างกับพระธรรมหมดเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะ “ไม่รู้” ตรงกันข้ามเลยกับ ความรู้ความเข้าใจถูก

    อ.อรรณพ เพราะความไม่รู้นี้แหละจะคิดทุกอย่างที่ตรงข้ามกับความจริง ซึ่งเป็นความรู้หมดเลย

    เพราะฉะนั้น สภาพเจตสิกธรรมที่มีลักษณะตรงกันข้ามกันจริงๆ ก็คือ โมหะ กับ ปัญญา ซึ่งจะตรงกันข้ามในทุกๆ ลักษณะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อีกชื่อหนึ่งของปัญญาคืออโมหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ ตรงกันข้ามกัน

    อ.อรรณพ นี่ก็เป็นประโยชน์ที่ว่า คำในพระไตรปิฎกไม่ได้มีไว้มาให้งวยงงกัน แต่ท่านอาจารย์กล่าวเมื่อสักครู่ว่า ชื่อเจตสิกนี้ คือ ปัญญาเจตสิก แต่เมื่อท่านจะต้องการให้เห็นลักษณะที่ตรงกันข้ามกับโมหะเจตสิก ท่านก็ใช้คำว่า อโมหะ จริงๆ การที่ค่อยๆ ได้เรียนธรรมอย่างนี้ เป็นความเข้าใจที่เป็นไปในตัว แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจจากแต่ละคำที่ทรงจำแนกหลากหลาย ใช้พยัญชนะหลากหลาย ก็เพื่อให้เห็นลักษณะ

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ละไปในตัว เพราะเข้าใจขึ้น แต่ถ้าไม่เข้าใจ ไม่มีทางที่จะคลายได้เลย เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกังวลใดๆ เลยทั้งสิ้น เข้าใจเมื่อไหร่ ความไม่เข้าใจก็ลดน้อยลงไป ตามกำลังของความเข้าใจ แต่ที่จะไปรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ประจักษ์แจ้งความจริง ดับการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ไม่ใช่ด้วยความไม่รู้ และความเป็นตัวตน ที่จะทำอย่างนั้น

    อ.อรรณพ แม้ท่านอาจารย์กล่าวคำนี้เป็นการที่เข้าใจขึ้น แม้จะยังไม่ประจักษ์แจ้งดับกิเลสอะไรๆ หมด แต่ก็ ละ เข้าใจไปในตัว ละไปในตัว เจริญไปในขณะนี้ไปในตัว แต่ขณะเดียวกัน โลภะก็ไม่ได้หนีไปไหน พอได้ยินก็ดีใจทันทีเลย ลักษณะของความชอบ ติดข้อง ก็เกิด

    ท่านอาจารย์ ระดับไหน

    อ.อรรณพ ระดับที่เขาเกิดขึ้นมา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่อนุสัย ไม่ใช่อาสวะ นี่แสดงให้เห็นว่า ทำไมถึงได้มีระดับกำลังของโลภะ และธรรมอื่นๆ ต่างๆ กัน แต่ทั้งหมดก็เป็นธรรม จนกว่าจะเป็น “ธรรม” แล้วก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าไม่มี “เรา”

    อ.อรรณพ โลภะ พระองค์ท่านทรงจำแนกไว้มากจริงๆ ซึ่งท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงว่า เป็นนายช่างเรือนที่พระองค์ท่านทรงแสดงแล้ว ก็เป็นอกุศลธรรมมากมายทั้ง ๙ กอง แล้วบางกองมากกว่าหนึ่งอีกด้วย เช่น เป็นทั้งกามาสวะ เป็นทั้งภวาสวะนี่ หลากหลายมาก แล้วก็ที่เตือนใจมากอีกอย่างก็คือว่า เป็นเพื่อนสนิท ซึ่งเกิดกับจิตอยู่บ่อยๆ ประเดิมตั้งแต่เกิด พอเกิดมา วิถีจิตแรก ชวนะแรกก็ติดข้องในภพ

    ท่านอาจารย์ ต่อไปก็เป็นครูบ้าง เป็นอาจารย์บ้าง เป็นลูกศิษย์บ้าง

    อ.อรรณพ มากมาย

    ท่านอาจารย์ ตามตลอด

    อ.อรรณพ แล้วในอรรถกถา ท่านอธิบายชื่อของโลภะเต็มไปหมด ซึ่งก็เป็นการอธิบายลักษณะของโลภะที่หลากหลาย แตกต่างกันมากมาย เพราะฉะนั้น ด้วยเหตุนี้พระองค์ท่านจึงทรงแสดงโลภะว่า เป็นสมุทัย

    ท่านอาจารย์ บางทีก็คิดว่าดี เพราะไม่รู้ชื่อนั้น ซึ่งความจริงอย่าง อาสา ก็คืออะไร

    อ.อรรณพ โลภะ

    ท่านอาจารย์ โลภะ

    อ.อรรณพ บางชื่อ อาจจะไม่รู้ความหมาย แต่ฟังแล้วดูหรูหรามาก วิสัตติกา

    ท่านอาจารย์ แล้วอย่างไร ไปไหน มาอย่างไร เป็นวิสัตติกา

    อ.อรรณพ ความซ่านไป

    ท่านอาจารย์ ความซ่านไป เหมือนอาหารที่จากรากไปถึงยอดของต้นไม้ จะเหลือส่วนไหน ที่ไม่มีอาหารบ้าง

    อ.อรรณพ อาจารย์กรุณายกตัวอย่าง ความซ่านไปของโลภะในขณะนี้ที่เกิดกับพวกเรา

    ท่านอาจารย์ เหมือนต้นไม้จากรากไปถึงยอด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    อ.อรรณพ ซ่านไปทุกทวารเลย

    ท่านอาจารย์ เพียงแค่เกิดมา ยังไม่ทันไรเลย ก็โลภะแล้ว ยังไม่ทันรู้ว่า เป็นอะไรก็ติดข้องในความเป็น

    อ.อรรณพ ซ่านไปในทุกภพภูมิ ซ่านไปในทุกทวาร

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นข้อปฏิบัติใด หนทางใด ที่ไม่ทำให้ออกจากสังสารวัฏ หนทางนั้นทั้งหมดเป็นมิจฉาปฏิปทา ไม่ว่าจะทำให้เกิดบนสวรรค์ หรือว่า พรหมโลก รูปพรหม อรูปพรหม ทั้งหมด เห็นโทษของกิเลสของตน แต่ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ก็นำไปสู่ภพภูมิตามควรแก่กุศลนั้นๆ แต่ว่าไม่ได้ดับสังสารวัฏ แม้แต่ข้อความที่ว่า เหมือนหงายของที่คว่ำ คว่ำแน่นเลย ไม่ใช่คว่ำบางๆ เปิดง่ายๆ คว่ำแน่นๆ อย่างนี้ แล้วจะหงายของที่คว่ำ คิดดู แล้วก็เปิดของที่ปิด เวลานี้ถูกปิดไว้แล้ว อารมณ์ที่ปรากฏทั้งหมดปิดบังจิตเจตสิก ซึ่งเกิดขึ้นทำงานของตนๆ โดยไม่ขาดสาย ทำกิจเห็น ทำกิจได้ยิน ทั้งหมดไม่รู้เลย โน้นคนนี้ นั่นคนนั้น ทั้งหมดก็คือ หน้าที่การงานของจิต

    เพราะฉะนั้น เปิดของที่ปิด ปิดไว้แน่นอีกเหมือนกัน บอกทางแก่คนหลง รู้ตัวหรือเปล่า หลงอยู่ไหน กลางป่า หรือที่ไหน แต่ว่าหลงอยู่ในสังสารวัฏ หนักหนากว่าหลงอื่น หลงป่าก็ยังออกได้ มีคนนำทางออก แต่ว่าหลงอยู่ในสังสารวัฏนานแสนนานมาแล้ว และก็ต่อไปอีกนานแสนนาน จะออกได้อย่างไร ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม นี้ก็คือ พุทธานุสติ ธรรมานุสติ แต่ถ้าไม่เข้าใจพระคุณเลย ไม่มีทางที่จะเป็นพุทธานุสติ หรือ ธรรมานุสติ ได้เลย

    บอกทางแก่คนหลง ทุกคนหลงอยู่ในสังสารวัฏ จะหลงต่อไปอีกนานเท่าไหร่ ส่องประทีปในที่มืด เห็นสว่างๆ อย่างนี้ แต่ไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น มืดแค่ไหนทั้งๆ ที่ปรากฏด้วยแสงไฟ แต่ก็ไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วมืดสนิท จิตมืดสนิท เจตสิกมืดสนิท โดยสภาวะที่ไม่ใช่รูปที่สามารถกระทบตา เพราะฉะนั้น ธรรมอื่นทั้งหมด ไม่มีทางปรากฏเลย ทางตา แข็งก็มองไม่เห็น หวานก็มองไม่เห็น เผ็ด เปรี้ยว เค็ม มองไม่เห็น เพียงแต่จำไว้ว่าสีอย่างนี้แหละเผ็ด พริกรูปร่างต่างๆ เผ็ดทั้งนั้นเลย ก็เป็นเรื่องของธรรมทั้งหมด โดยนัยของขันธ์ ก็มี ๕ ไม่ต้องไปท่องไปจำก็ได้ เพราะว่าชินหู แต่ว่าไม่ชินกับลักษณะของสภาพธรรม

    อ.อรรณพ อาจารย์พูดลึกซึ้งมาก แต่เดี๋ยวก็รับประทานอาหาร เดี๋ยวก็เฮฮาอะไรกัน เดี๋ยวก็หลงลืม

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่หลงได้เมื่อเข้าใจธรรม มีปัจจัยพร้อมที่สติสัมปชัญญะจะเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นเลือกไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ ขณะไหน ทั้งสิ้น

    ผู้ฟัง เนื่องจากว่าเมื่อเช้าได้พูดถึงเรื่องของอกุศลธรรม ๙ กอง ก็ผ่านไป กองแรก ก็คือ อาสวะ แล้วก็ต่อไปก็จะเป็นโอฆะ ซึ่งทั้ง ๒ อย่างนี้ มีสภาพธรรมเดียวกัน แต่เหตุใดจึงต่างกันเป็นอาสวะ แล้วก็โอฆะ

    ท่านอาจารย์ เพื่อแสดงให้เห็นความจริงว่าสิ่งที่ไม่รู้นั้น มากแค่ไหน จะข้าม โอฆะ ห้วงน้ำใหญ่ ก็ไม่พ้นจาก ๔ อย่างที่เป็นอาสวะ

    ผู้ฟัง แสดงว่า อาสวะ ก็เป็นการแสดงลักษณะของอกุศลที่เกิดเบาบางมาก แต่ว่าพอหลายๆ ขณะมารวมกัน ตั้งแสนโกฎกัป ก็เป็นโอฆะ ไม่ทราบ คือ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ คือไม่จำเป็นต้องไปจำจำนวน แต่ให้ทราบว่า ขณะนี้ไม่รู้ตัวเลย ว่ามีอกุศลเท่าไหร่ ในขณะที่เห็นครั้งหนึ่ง และเดี๋ยวนี้เห็นกี่ครั้ง เพราะฉะนั้น แต่ละครั้งก็เหมือนห้วงน้ำ ซึ่งปัญญาจะต้องข้าม ไปอีกฝั่งหนึ่ง ถ้าอยู่ฝั่งนี้ก็ท่วมทับด้วยอวิชชาเหมือนเดิม ใช่ไหม ความยากก็ยิ่งยากมากขึ้น แต่พอได้ฟังแล้ว ก็เป็นผู้ที่ไม่ประมาทว่า แม้เพียงแค่เห็น อกุศลก็เกิดแล้ว

    อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงเรื่องของความเห็นผิด ถ้าเป็นประเภทที่บุคคลที่สะสมที่จะมีความเห็นผิด อย่างเช่นในครั้งพุทธกาลก็จะมี ปูรณกัสสปะ มักขลิโคสาล เป็นต้น ที่สะสมความเห็นผิดมา ก็จะเห็นถึงว่า เหตุปัจจัยของความที่ให้เกิดความเห็นผิดก็มาก เป็นไปเป็นปกติ ในการดำเนินชีวิตของเขา ในความเห็นของเขา แต่ถ้าพูดถึงบุคคลที่เริ่มศึกษาพระธรรมนี่ ลักษณะของอาการของความเห็นผิด จะมีปัจจัยให้เกิดความเห็นผิดอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีอกุศลแล้ว ไม่รู้ เห็น ก็เป็นอกุศลหลังจากที่เห็นแล้ว

    อ.วิชัย แต่ว่าโดยมากก็เป็นความพอใจ แต่ว่าความที่จะเห็นผิดด้วย

    ท่านอาจารย์ ความพอใจเป็นอกุศล ใช่ไหม

    อ.วิขัย เป็นอกุศลธรรม

    ท่านอาจารย์ ใครพอใจ

    อ.วิขัย ก็ยังเป็นเราอยู่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ปัญญาก็ต้องตรง ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏ แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้ ก็ปรากฏไม่ได้ ไม่ต้องไปไหนไกลเลย เพียงแค่เดี๋ยวนี้ ไม่รู้แล้ว แล้วก็ฟังเพื่อเข้าใจขึ้น จนกว่าจะรู้อย่างนี้ได้ เพราะว่าถ้ารู้ไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะฟัง แต่เพราะเหตุว่า ฟังแล้วเข้าใจ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย ในที่สุดก็สามารถจะรู้ ตรงตามที่ได้ฟัง

    อ.วิชัย เช่นกล่าวถึงเรื่องของความเห็นผิดที่เป็นสักกายทิฏฐิ ก็ดูเหมือนกับก็รู้ว่ามี แต่ว่าอาการของความเห็นที่จะปรากฏให้เกิดความรู้ความเข้าใจนี้ ไม่ปรากฏที่จะรู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีปรากฏให้อะไรรู้

    อ.วิขัย ต้องเป็นปัญญา

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นปัญญา เพราะฉะนั้น ปัญญามีหรือยัง มีปัญญาขั้นฟังเข้าใจ แต่ปัญญาขั้นที่รู้ตรงธรรมซึ่งไม่ใช่เรา แต่ละหนึ่ง ยังไม่ได้เกิดขึ้น

    อ.วิชัย เป็นการกล่าวจากความเข้าใจว่า ขณะใดก็ตามที่ลักษณะของธรรมไม่ปรากฏที่จะให้ปัญญารู้ว่าไม่ใช่ตัวตน ขณะนั้นก็มีความเป็นตัวตนที่ยึดถือสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ก็เป็นเราที่ฟังธรรม จนกว่าจะฟังแล้วเข้าใจจริงๆ ว่าแต่ละหนึ่ง ไม่ใช่เรา แต่ก็ยังไม่ได้ประจักษ์ความจริงของแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นความเข้าใจธรรมก็มีหลายระดับขั้น ที่จะดับการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ไม่ใช่เพียงแค่ฟัง

    ขณะใดก็ตามที่เป็นธรรมจริงๆ ขณะนั้นไม่สามารถที่จะเข้าใจผิดยึดถือว่าเป็นเรา แต่เพราะเหตุว่าขณะนี้ฟังเรื่องธรรม แต่ลักษณะที่เป็นธรรมยังไม่ได้ปรากฏ เพราะว่าต้องปรากฏกับปัญญาที่อบรมแล้วเท่านั้น

    อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงอกุศลธรรม ที่เป็นประเภทอุปาทาน พระองค์ก็ทรงแสดงที่จะกล่าวถึงเรื่องของความยินดี ติดข้อง พอใจ ที่เป็นกามุปาทาน แต่ในส่วนของความเห็นผิด พระองค์ทรงแสดงถึงความต่างกัน ออกเป็นถึง ๓ ประเภท ที่เป็น ทิฏฐุปาทาน สีลัพพัตตุปาทาน กับ อัตตวาทุปาทาน ที่แสดงถึงความต่าง หลากหลายต่างๆ

    ท่านอาจารย์ ความต่างหลากหลาย คือ อัตตวาทุปาทาน มีทุกคน นอกจากผู้ที่เป็นพระอริยบุคคล แต่ว่าในบรรดาของความเห็นผิดที่ทุกคนมีเป็นปกติก็คือว่า ไม่รู้ว่าสภาพธรรมเดี๋ยวนี้เกิดดับ จึงยึดถือว่า เป็นเรา ที่เที่ยง เพราะฉะนั้น ก็ปกติของคนที่ไม่ใช่พระอริยบุคคล ยังไม่ได้ดับความเห็นผิดที่ยึดถือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทุกอย่างที่มีว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    เมื่อวันก่อนเราก็พูดถึง อัตตวาทุปาทาน หมายความถึง ความเห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ไม่ใช่เฉพาะตัว สิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามแต่ ความจริงเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่เพราะไม่รู้ ไม่ปรากฏให้รู้ ปรากฏแต่เพียงนิมิตของสิ่งที่เป็นอย่างนั้น ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น เห็นเวลานี้ ทุกคนก็บอกว่าเห็น แต่ไม่รู้ว่า เห็นเกิดดับ เพราะฉะนั้น ใครเห็น ก็เราเห็น คนอื่นมีไหมที่เห็น หรือมีแต่เราเห็น ก็มีด้วย เพราะฉะนั้น เห็นของคนอื่น ก็เป็นอัตตวาทุปาทาน เห็นของเราก็เป็นอัตตวาทุปาทาน ถ้าไม่แยกเป็นสักกายะ คือ เฉพาะตรงนี้ที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา และเป็นเขาคือคนอื่น เราไม่ยึดเขาว่าเป็นเรา

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 178
    14 พ.ย. 2568