ปกิณณกธรรม ตอนที่ 885


    ตอนที่ ๘๘๕

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมเอเชี่ยน หาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ มีเรื่องเยอะไหมคะแต่ละคน ค่ะ แล้วก็จะมีต่อไปไหม และก็สามารถที่จะเข้าใจความจริงของเรื่องต่างๆ ได้ไหม ว่าแท้ที่จริงนะคะ เดี๋ยวนี้เนี่ย แค่เดี๋ยวนี้นะคะ ไม่ต้องคิดถึงอะไรเลย สิ่งที่เมื่อเช้านี้ก็หมดไปแล้ว ตอนเย็นก็ยังไม่มาถึง เดี๋ยวนี้กำลังอยู่ตรงนี้ มีอะไรที่ไม่รู้บ้างเห็นไหมคะ แทนที่จะบอกว่ารู้อะไรบ้าง ก็เปลี่ยนคำถามได้มีอะไรที่ไม่รู้บ้าง เดี๋ยวก็หาไม่เจออีก รู้อะไรก็หาไม่เจอ ไม่รู้อะไรก็หาไม่เจอใช่ไหมคะเพราะไม่รู้ แต่รู้เมื่อไหร่เมื่อนั้นก็จะพบ ทุกคำตอบของทุกคำถาม ใครอยากหมดกิเลสบ้าง กิเลสมีมาก เวลาสนุกเนี่ยเป็นกิเลสหรือเปล่า แล้วไม่มีใครอยากสนุกเหรอคะ เดี๋ยวนี้มีกิเลสไหมคะ มีรู้จักกิเลสที่มีเดี๋ยวนี้หรือยัง ไม่ได้ยินแม้แต่ชื่อ เพราะได้ยินคำเดียวนะคะ คือกิเลส แต่กิเลสมีหลายระดับ เวลาโกรธเห็นชัดเลยกิเลส เวลาขุ่นใจนิดนึงเห็นรึเปล่า เห็นยาก แต่ว่าทราบไหมค่ะว่ากำลังเห็นเดี๋ยวนี้ กิเลสเกิดแล้ว อะไรจะปานนั้นคะ แค่เห็นเกิดแล้วมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น กิเลสเกิดแล้ว แล้วจะดับกิเลสคิดดู ถ้าไม่ใช่ปัญญาจริงๆ ไม่มีทางที่จะดับกิเลสได้เลย เพราะว่าไม่มีเรา แต่มีธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งหลงเข้าใจว่าเป็นเรา ธรรมที่หลากหลายนะคะ ฝ่ายดีก็มี ฝ่ายไม่ดีก็มี อย่างความโลภความโกรธ ทุกคนก็บอกว่าไม่ดี ความไม่โลภความไม่โกรธ ทุกคนก็บอกว่าดี แล้วบังคับได้ไหม

    เพราะฉะนั้นเป็นอะไรแน่ ๒ อย่าง ๓ อย่าง ๔ อย่าง ๕ อย่าง ทุกอย่างที่มีเนี่ย เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดปรากฏเมื่อไหร่ ต้องรู้ว่าไม่มีใครไปทำให้เกิดได้ เกิดแล้วทั้งนั้น ได้ยินแล้วใช่มั้ยคะ เห็นไหมคะ ใครไปทำให้ได้ยินบ้าง เห็นแล้วใช่ไหมคะ กำลังเห็น ใครทำให้เห็นบ้าง คิดแล้วใช่ไหม ใครทำให้คิดบ้าง นี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ ซึ่งทุกคนที่ไม่เคยฟังพระธรรม เนี่ยไม่คิดว่าธรรมเป็นชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นก็แยกธรรมไปเลยอีกโลกนึง แล้วบอกว่า ยังไม่ศึกษาหรอก คอยก่อนถึงยามแก่เฒ่าไม่มีอะไร เราก็จะศึกษาธรรม โดยไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม หรืออะไรเกิดก็คือธรรมเกิด ถ้าไม่มีธรรมเกิดจะมีใครที่ไหนได้ แต่เพราะไม่รู้ความจริงของธรรมแต่ละ๑ ซึ่งเกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย ด้วยความหลงค่ะ ก็อยู่ในโลกนี้ ถ้าไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมเลย ก็จากโลกนี้ไปทุกคน แต่ด้วยการไม่รู้ และยังเพิ่มพูนกิเลสด้วย

    เพราะฉะนั้นก็ยังไม่ต้องถึงนิพพาน เพราะว่าแม้จะเข้าใจในนิพพาน จะต้องยากกว่าเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้หรือเปล่า อย่างเห็นอย่างนี้ค่ะ มีจริงๆ ใครรู้บ้างว่า ขณะได้ยินต้องไม่มีเห็น เห็นต้องดับไป แต่ขณะนี้เหมือนไม่เห็นแล้วดับไปเลย เห็นก็ยังเห็นอยู่ และได้ยินก็ได้ยิน แต่พระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ตามความเป็นจริงว่าสภาพธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้นี่นะคะ จิตเนี่ยเกิดขึ้นรู้ทีละหนึ่งขณะ ทีละหนึ่งอย่าง เพราะฉะนั้นในขณะที่กำลังได้ยิน จะมีอย่างอื่นไม่ได้เลยทั้งสิ้นนอกจากเสียง เพราะฉะนั้นการได้ฟังธรรม ก็ทำให้มีการเข้าใจ สิ่งที่มีในขณะนี้ จากที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน และก็รู้ว่า สิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนี่นะคะ แสดงตั้งแต่ต้นให้เข้าใจถูก เพราะไม่มีการที่จะรู้ว่า ขณะเห็นไม่ใช่ขณะได้ยิน เพราะไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญาที่เกิดจากการฟัง แล้วก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้เริ่มเข้าใจถูก ในสิ่งที่ปรากฏ ละคลายไปเท่าไหร่ ไม่ยึดถือว่าสภาพธรรมเที่ยงเป็นเรา สภาพธรรมจึงจะสามารถปรากฏ ว่าเป็นอย่างนั้นได้กับปัญญาที่ได้อบรมแล้วเห็น พราะฉะนั้นไม่ว่าใครจะหวังอย่างไรนะคะ ที่จะไปรู้การเกิดดับของสภาพธรรมในขณะนี้ หวังเปล่า รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า พระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสให้ใครทำอะไร ซึ่งไม่ใช่การเข้าใจธรรมคือสิ่งที่กำลังปรากฏ

    ผู้ฟัง ได้ฟังมาว่า ไม่มีอะไรในสิ่งที่กำลังปรากฏค่ะ หรือเหมือนกับการส่องกระจกแล้วก็ไม่มีอะไรในกระจกนะคะ ซึ่งเป็นการที่เข้าใจยากมากเลยอ่ะค่ะ

    ท่านอาจารย์ อะไรก็ต้องบอกเลยว่าอะไรไม่งั้นจะคิดกันได้ยังไงค่ะ ไม่มีอะไรหมายความว่าอะไรคะ ที่ไม่มี

    ผู้ฟัง ไม่มีคน ไม่มีต้นไม้ ไม่มีดอกไม้

    ท่านอาจารย์ แล้วมีอะไร เห็นไหมคะ ธรรมต้องเป็นเรื่องที่ละเอียดชัดเจนค่ะ เพราะว่าส่วนใหญ่เราคิดมาก่อน ตามความคิดของเราสะสมมาแสนนาน พอได้ฟังธรรมก็เริ่มคิดธรรมตามที่เราสะสม แทนที่จะฟังละเอียด ที่จะต้องรู้ว่าไม่มีอะไร และอะไรล่ะที่ว่าไม่มี

    ผู้ฟัง ที่ไม่มีก็คือ สัตว์ บุคคลนะคะ สิ่งของค่ะ

    ท่านอาจารย์ เช่นแข็งเป็นอะไรหรือเปล่าคะ มีอะไรในแข็ง

    ผู้ฟัง มีเพียงแข็งอ่ะคะ

    ท่านอาจารย์ ก็ตรงกับที่เข้าใจว่าแข็งก็เป็นแข็ง แข็งจะเป็นอื่นไม่ได้ มีอะไรในแข็ง หรือเปล่าคะ ไม่มีทาง แข็งเป็นได้อย่างเดียวคือแข็ง ถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็ชัดเจน ไม่คิดเองอีกต่อไป แล้วก็หายสงสัยด้วย รู้แต่เพียงว่ายังไม่ประจักษ์แจ้งความจริง แต่เริ่มเห็นถูกต้อง ว่าธรรมแต่ละหนึ่งเปลี่ยนไม่ได้ ได้ยินเกิดแล้วดับแล้ว เปลี่ยนได้ยินให้เป็นอย่างอื่นได้มั้ย เสียงไม่มี แล้วก็มี แล้วก็หามีไม่ ยังไม่เกิดก็ไม่มีเสียง แต่พอเกิดเป็นเสียง ให้เป็นอื่นไม่ได้เลยนะคะ แล้วเสียงก็หมด แค่นี้ค่ะ เสียงหมดไป หมดไป แต่ไม่มีใครเข้าใจความจริงของเสียง และเข้าใจความจริงของสิ่งอื่นๆ นอกจากเสียง ซึ่งมีปรากฏทางตาบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง คิดนึกถึงใจเมื่อกี้นี้ก็หมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ต้องเข้าใจด้วยนะคะ ทิ้งความคิดความเข้าใจเดิมๆ แต่ฟังแล้วพิจารณา เวลาที่เริ่มเข้าใจอย่างหนึ่ง ก็จะทำให้เข้าใจอย่างอื่นต่อไปอีกๆ ได้

    ผู้ฟัง ก็ได้ศึกษาหลายๆ สำนักนะครับ แล้วก็สิ่งหนึ่งที่ได้ยินได้ฟัง ก็คือการทำอะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าทำบุญทำกุศลรักษาศีล หรือว่าสวดมนต์ภาวนาอะไรพวกนี้นะครับ เราตอนนั้นเราทำ อย่างเช่นว่าจะได้ขึ้นสวรรค์เมื่อไหร่บ้าง มันก็มีกำลังใจ มีความกระตือรือร้นในการที่จะทำ แต่หลังจากที่ฟังธรรมมาปีนึง เราก็มีความรู้สึกว่าเอ๊ะตัวนี้เป็นกุศลเป็นอกุศลหรือเปล่า รู้สึกความกระตือรือร้นมันค่อยๆ หายไป

    ท่านอาจารย์ ขอประทานโทษด้วยนะคะ ความกระตือรือร้น เรื่องอะไรที่หายไป

    ผู้ฟัง ก็คือในการที่ว่าจะทำบุญทำกุศลสวดมนต์ภาวนา อย่างในกรณีที่บอกว่าทุกคืนเราก็จะสวดมนต์ แต่พอจะเริ่มสวด เราก็ดูใจตัวเราเองละ เห็นแล้วว่าเอ๊ะมันไม่ใช่กุศลอ่ะ เราอยากจะได้อะไรสักอย่างนึง อะไรทำนองเนี้ยที่มันเกิดขึ้นนะครับ มันแว๊บเข้ามาแว๊บเข้ามาแต่ละครั้ง

    ท่านอาจารย์ ให้รู้อย่างนั้นดีไหมคะ

    ผู้ฟัง ดีครับ รู้ว่าดี แต่ว่าความกระตือรือร้น บางครั้งคนรอบข้าง เมื่อมองเราก็เอ๊ะมันเรามันผิดปกติไป จากเดิมนี่สวดมนต์ได้เป็นครึ่งชั่วโมงอะไรเงี้ยนะครับ แต่สิ่งพวกนี้มันก็ยากที่จะอธิบายนะครับ อาจารย์ เดี๋ยวเราแว๊บขึ้นมาปั๊บเนี่ย หรือบางครั้งเนี่ยเราจะไปทำอะไรขึ้นมาเนี่ย มันแว๊บขึ้นมานี่ไม่ใช่เนี่ย ทำเพื่อเราอยากจะได้อะไรสักอย่าง มันก็เลยหยุด ผมก็สับสนนิดหน่อยครับอาจารย์

    ท่านอาจารย์ สวดมนต์ครึ่งชั่วโมงเข้าใจกี่คำ

    ผู้ฟัง ก็ ณ เวลานั้นเมื่อทบทวนเวลานี้ ก็น้อยมากครับ ก็ได้แค่ส่วน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมให้เข้าใจ หรือให้สวด ไม่ต้องเข้าใจ บอกเก็บไว้สวด หรือว่าทุกคำเพื่อให้เข้าใจถูกต้อง

    ผู้ฟัง ณ วันนี้ต้องบอกว่า เพื่อให้เข้าใจ เพราะณ ปัจจุบันอย่างก่อนนอนเนี่ย แค่ลำดับนะครับ อาจารย์ว่าเอ่อนึกถึงพระคุณขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าในแง่ว่า ต้องเริ่มต้นด้วยพระปัญญาคุณ ถัดมาก็เป็น พระบริสุทธิคุณ ในความรู้สึกผมนะ สลับขั้นก็ไม่ได้ เพราะว่าต้องมีปัญญาก่อนถึงไปหาบริสุทธิ์ และก็พระมหากรุณาธิคุณ อันนั้นกลับกลายเป็นว่าครึ่งชั่วโมงกับ ๓ คำ แค่เนี้ย ความรู้สึกต่างกัน แต่ก็คิดว่ายังคงต้องฟังอีกมาก

    ท่านอาจารย์ แต่ประโยชน์อยู่ที่เข้าใจ ไม่ใช่อยู่ที่พูดคำที่ไม่รู้จักครึ่งชั่วโมง

    ผู้ฟัง ใช่ครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้นะคะ ว่าถ้ามีความเข้าใจจริงๆ แค่คำเดียวธรรม สิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ นะคะ ซึ่งเป็นธรรมเพราะเหตุว่ามีจริงๆ แต่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ หรือว่าสิ่งที่มีเนี่ย ห้ามไม่ให้หมดไปก็ไม่ได้ แสดงให้เห็นความจริงของสิ่งที่มีจริงใช่ไหม ถ้าเราไม่ใช้คำว่าธรรมก็ใช้สิ่งที่มีจริง แต่ถ้าใช้คำว่าธรรม ก็ต้องเข้าใจด้วยว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงจริงทุกกาลสมัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ต้องของสิ่งที่มีจริงไม่ใช่ของสิ่งที่ไม่มี เพราะฉะนั้นทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าทุกสมัยจะเป็นอย่างไร เข้าใจอย่างนี้เมื่อไหร่นะคะ ระลึกถึงพระปัญญาคุณมั้ยคะ ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย ไม่มีใครรู้ว่าตั้งแต่เกิดมาเนี่ย ถ้าไม่มีธรรมเกิดก็ไม่มีใคร แต่ไม่มีใครรู้จักธรรม ว่าธรรมเนี่ย หลากหลายมากจริงๆ นะคะ แค่มีปัจจัยเกิดแล้วดับไปใครจะรู้ได้ เร็วปานนั้น แต่ผู้ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีนะคะ ทรงรู้ความจริงของธรรมแต่ละหนึ่ง โดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวงถึงที่สุด แค่นี้ค่ะ มีการเห็นพระปัญญาคุณไหมคะ ว่าถ้าไม่ทรงตรัสรู้ไม่ทรงแสดงธรรม เราจะได้ยินคำนี้ และจะเข้าใจธรรมมั้ย เราก็ไปหาธรรมตามตัวหนังสือ ไปหาธรรมโน่น เป็นธรรม นี่เป็นธรรม

    บางคนนะคะ เขาก็ไปหาธรรมเนี่ยเหนือจดใต้ แต่หารู้ไม่ว่าพอเข้าใจแล้ว เดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม เมื่อไหร่ก็เป็นธรรม พ้นธรรมไม่ได้เลย แต่ไม่รู้จักว่าเป็นธรรมแค่นี้คะ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ ทำให้เราซึ่งเกิดหลังจากที่ได้ทรงแสดงพระธรรม และปรินิพพานไปแล้วนานมากนะคะ เกิน ๒๕๐๐ ปี ก็ยังมีโอกาสที่จะได้ฟัง และได้เข้าใจ เพราะฉะนั้นพระคุณมากแค่ไหน เพราะฉะนั้นการระลึกถึงพระคุณนะคะ ทุกครั้งที่เข้าใจธรรม เป็นพุทธานุสติ ไม่ใช่ไปนั่งท่องพุทโธ แต่ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร แต่ทุกครั้งที่ได้เข้าใจธรรม ก็มีการระลึกถึงพระคุณได้ เพราะฉะนั้นคนที่เคยสวดมนต์นะคะ นานๆ เดี๋ยวนี้ก็เหลือสั้นๆ คือส่วนที่เข้าใจ พูดคำที่รู้จัก แต่คำที่ไม่รู้จักก็จะไม่พูด พูดไปผิดๆ ถูกๆ ด้วยใช่ไหมคะ เพราะว่าบางคนก็ออกเสียงไม่ถูก เช่นอรหันต์ผิด ละต้องอะระหันต์ แค่นี้ค่ะเราก็ไม่รู้ล่ะ

    อ.อรรณพ ที่ว่ามีกำลังใจ มีความกระตือรือร้น ที่จะทำอย่างนั้น เช่นจะสวด หรือจะทำอะไรด้วยการจดจ้องอย่างนี้นะครับ เพราะอะไร มีกำลังใจจริงๆ มีความกระตือรือร้อนจริงๆ ที่จะทำอย่างนั้นนะฮะ แต่กระตือรือร้อนด้วยอะไร กระตือรือร้นด้วยความอยาก เพราะว่าเค้าบอกว่า ถ้าสวดแล้วจะดีอย่างนี้อย่างโน้น แล้วก็มีบทสวดมากมายนะฮะ กระตือรือร้นเพราะความเข้าใจผิด ความเห็นผิด คิดว่าทำอย่างเงี้ยแหละ นะฮะ มีการกระทำอย่างนี้ เป็นบ่อยๆ เป็นนิจเป็นอาจิณแล้วจะดี เพราะฉะนั้นก็เป็นความเข้าใจผิดความเห็นผิด กระตือรือร้นด้วยความเห็นผิดนะครับ และที่สำคัญคือกระตือรือร้นเพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเข้าใจขึ้น ความรู้ค่อยเพิ่มขึ้น ก็รู้ว่าที่สวดไปนั้นเพราะติด เพราะอยากได้ ที่สวดไปนั้นเพราะว่าความเห็นผิด คิดทึกทักไปเองว่าเป็นอย่างนั้น แล้วก็เพราะเราไม่ได้รู้พระธรรม เพราะเมื่อมีความรู้เพิ่มขึ้นนะครับ การที่จะเป็นกระตือรือล้นเช่นนั้นก็ถูกขัดเกลาไป

    ผู้ฟัง ครับผมขออีกนิดหนึ่งนะครับ พอดีเป็นวิศวกรนะครับ สิ่งหนึ่งที่ประยุกต์ก็คือว่า สามัญลักษณะ ตรงนี้นะครับ อนิจจังทุกขังอนัตตา ต้องปรับใช้ทุกครั้ง เพราะปกติเวลาคิดเรื่องอะไรเนี่ย เราก็จะลืม เพราะเนื่องจากว่า ในงานทางด้านวิศวกรรมมันต้องมีกฎนะครับ กฏนั่นกฏนี่กำกับ ก็เลยอันนี้อาจจะเป็นความรู้ที่ใช้ปฏิบัติ แต่ว่าจะถูกผิดยังไงก็คงต้อง ผมก็ต้องฟังต่อไปนะครับ ขอบคุณครับ

    ท่านอาจารย์ ขณะที่ปรับนั่นคือคิดใช่ไหมคะ ค่ะ ไม่ว่าจะใช้คำไหนทั้งสิ้น ก็ต้องรู้ว่าหมายความถึงโลกไหน มี ๖ โลก ทางตาไม่ได้คิดเลย เพราะเพียงเห็น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ทางหูมีเสียงปรากฏให้ได้ยิน คิดไม่ได้ ทางจมูกมีกลิ่นปรากฏห้ามไม่ได้เลย ทางลิ้นนะคะ รสปรากฏ ทางกายกระทบสิ่งที่เย็นบ้าง ร้อนบ้าง อ่อนบ้าง แข็งบ้าง ไม่ว่าจะกระทบตา อะไรก็ตามนะคะ ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายคิดทั้งนั้นนะคะ เพราะฉะนั้นที่ว่าจะประยุกต์ หรือจะยังไงก็ตามแต่นะคะ ขณะนั้นก็คือคิดแต่ไม่ใช่เรา ทำไมคิดไม่เหมือนกัน ทำไมวันนี้คิดอย่างนี้ หรือวันนี้แหละ ครู่เดียวก็เปลี่ยนความคิดได้เป็นอย่างอื่น ตามเหตุตามปัจจัยซึ่ง ทั้งหมดนะคะ หนทางนี้คือหนทางที่จะเข้าใจความจริงว่า สิ่งที่มีจริงนี่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ของใครซักคนเดียว เลือกเกิดก็ไม่ได้ พ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูง ข้างหน้าจะเป็นยังไง เลือกไม่ได้เลยใช่ไหมคะ เลือกที่จะเห็น ที่จะได้ยินในแต่ละวัน ก็ไม่ได้ เลือกไม่เจ็บไม่ป่วยได้มั้ย เลือกไม่คิดร้ายๆ ได้มั้ย ก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ทั้งอย่างที่เป็นสิ่งที่มีจริงนี่นะคะ เป็นธรรม ซึ่งกว่าจะรู้ความจริง เพราะเหตุว่าเราอาจจะบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง แต่เดี๋ยวนี้อะไรไม่เที่ยง ต้องชัดเจนกว่านั้น ไม่ใช่เพียงแต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกสิ่งไม่ได้ พร้อมกันทีเดียวไม่ได้ ต้องปรากฏทีละหนึ่ง ปรากฏพร้อมกันไม่ได้เลย ที่ไม่รู้เลยนะคะ ก็คือว่าสิ่งที่เกิดนะคะ ๑ นั่นน่ะ ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฎฏ์ แล้วอันไหนจะเป็นเราที่จะเหลือความเป็นเรา ทั้งในชาตินี้นะคะ เมื่อวานนี้ก็หมดแล้ว เมื่อวานนี้ทำอะไรบ้างคะ เยอะ จำได้หมดมั้ย แค่เหลือนิดเดียวที่จำ แต่ตอนที่ยังไม่เป็นวันนี้นะคะ วันก่อนเนี่ยรับประทานอาหารอร่อย หรือเมื่อกี้นี้ก็ได้ อาหารเที่ยง มื้อกลางวันโน่นก็อร่อยนี่ก็อร่อยนะคะ เดี๋ยวนี้อยู่ไหน พรุ่งนี้ลืมเลย ถ้าวันนี้ไม่พูดถึงก็ลืมแล้ว แต่ขณะนั้น โน่นก็อร่อย นี่ก็อร่อย แต่ละอย่างมีความสำคัญเฉพาะขณะที่ปรากฏ ซึ่งสั้นมาก แล้วหมดไปแล้วลืม แต่ละชาติ มีประโยชน์อะไร ถ้ารู้ความจริงสิคะมีประโยชน์ แต่ถ้าไม่รู้ความจริงก็เป็นอย่างนี้ไป โดยไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว ไม่เหลืออะไรเลยสักอย่างเดียว แต่ห้ามไม่ให้ติดข้องไม่ได้นะคะ ทั้งๆ รู้อย่างนี้ แสดงให้เห็นว่าปัญญาไม่พอค่ะ

    การดับกิเลสไม่ใช่ง่าย ต้องมีความเข้าใจจริงๆ

    ผู้ฟัง ฟังที่ท่านอาจารย์ กล่าวในเทปเนี่ยครั้งแรกก็ไม่เข้าใจ ต้องครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ ครั้งที่ ๔ เพราะฉะนั้นต้องมีความอดทน แล้วก็มีวิริยะด้วย พยายามที่จะไตร่ตรองให้เข้าใจ แล้วก็ฟังให้ละเอียด ในโลกปัจจุบันนี้ก็เผินกันมาก เพราะว่าเขาอยากจะได้อะไรเร็ว เข้าใจเร็ว

    ท่านอาจารย์ นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย นับถือใคร นับถืออะไร มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งจริงๆ หรือเปล่า หรือเพียงแต่กล่าวคำว่า มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่ถ้าไม่เข้าใจธรรม จะพึ่งยังไงคะเนี่ย

    ผู้ฟัง ที่อาจารย์กล่าวว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งค่ะ

    ท่านอาจารย์ พึ่งเพื่อให้เข้าใจธรรม เพื่อดับกิเลส

    ผู้ฟัง ดิชั้น คิดว่าเรื่องนี้เนี่ยเจ้าตัวเนี่ย ถ้าหากว่าศึกษาเข้าใจเองก็จะพบเอง

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นผู้ที่ตรงนะคะ จะได้สาระจากพระธรรม มีข้อความนี้ในพระไตรปิฎกค่ะ

    ผู้ฟัง ค่ะ ผู้ที่เข้าใจก็คือ เจริญปัญญาขึ้น

    ท่านอาจารย์ สาวกคือผู้ฟัง

    ผู้ฟัง ก็จะลดละ แล้วก็กิเลสเนี่ยค่อยๆ ได้เอง เจ้าตัวรู้เอง

    ท่านอาจารย์ ข้อสำคัญที่สุดนะคะ พอได้ยินคำว่าปัญญาเป็นเราหรือเปล่า เรียกว่าเป็นความเข้าใจถูก ซึ่งมาจากการฟัง เพราะฉะนั้นการที่จะดับกิเลสได้นะคะ ไม่ใช่เราจะดับ แต่ปัญญาที่เข้าใจถูกต้องซึ่งเกิดแล้ว ก็ทำหน้าที่ของปัญญา เพราะเหตุว่าสภาพธรรมถ้าศึกษาแล้วก็จะรู้ได้นะคะ ว่าสภาพธรรมเนี่ย มีธรรมหลายอย่างที่เป็นฝ่ายดีที่จะปรุงแต่งให้แต่ละขณะเกิดขึ้น จากการฟังตอนต้นๆ ที่ไม่เข้าใจ อาจจะบอกว่าไม่เข้าใจเลยยากมาก แต่ แต่ละคำไม่เคยฟังมั้ย และก็มีประโยชน์มั้ย ถ้ามีประโยชน์นะคะ ฟังต่อไปจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นมั้ย เพราะเป็นคำจริงที่กล่าวถึงความจริง ถ้าผู้นั้นเห็นประโยชน์อย่างนั้นนะคะ นั่นคือปัญญาไม่ใช่เรา แล้วจากการฟัง และเข้าใจทีละเล็กน้อย ปัญญาทั้งนั้นเลยค่ะ แม้ทีละเล็กทีละน้อยก็เป็นปัญญา แต่คนที่ฟังเผินเข้าใจเผินนะคะ ก็เป็นเรา ที่อยากจะมีปัญญามากๆ ถึงกับถามว่าแล้วทำยังไง ฟังยังไง หาวิธีนะคะ ที่จะให้ปัญญาเกิดนั่นก็คือความไม่รู้ และความเป็นตัวตน แต่เมื่อเป็นปัญญา และปัญญาไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย ไม่ได้เข้าใจอย่างนั้นเลย แต่ปัญญาเป็นความเข้าใจถูกความเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง ซึ่งกำลังค่อยๆ ได้ยินได้ฟังเพิ่มขึ้น เข้าใจเพิ่มขึ้น

    เพราะฉะนั้นปัญญา ก็ทำกิจของปัญญา แต่ว่าเวลาที่เผินนะคะ ตัวตนเราเนี่ยก็จะไปหาทางพยายามทำหน้าที่ของปัญญา ปัญญาก็เกิดไม่ได้ เพราะตัวตนพยายามไปทำหน้าที่ของปัญญาอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเมื่อปัญญาเกิดไม่ได้นะคะ ปัญญาจะเจริญขึ้นได้อย่างไร คนนั้นก็หมดทางที่จะเข้าถึงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้นะคะ คนที่ศึกษาธรรมเผินๆ หรือว่าศึกษาแบบตำรา ศึกษาพระอภิธรรมมัตถสังคหะ ตอบได้เลยจิตมีกี่ประเภท จิตแต่ละหนึ่งมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไร จิตแต่ละหนึ่งทำกิจอะไร และกิเลสมากมายกี่ระดับขั้น แต่เขาก็ไปปฏิบัติธรรม ไม่ได้เข้าใจว่าไม่มีใครปฏิบัติธรรมได้เลย นอกจากปัญญา ซึ่งเริ่มจากการค่อยๆ เข้าใจก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่ของปัญญาละ คือถูกต้องตรงตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมเนี่ยนะคะ ไม่เหมือนวิชาการอื่นที่อยู่ในหนังสือ ไปทำการบ้าน หรือไปพยายามคิดของตัวเองออกมานะคะ แต่ว่าศึกษาธรรมต้องรู้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีธรรม ก็ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น และธรรมแต่ละหนึ่ง ๑ๆ เนี่ยเกิดเองไม่ได้เลย ไม่ได้ตามใจชอบของใคร ที่อยากจะให้อะไรเกิด แต่ว่ามีปัจจัยที่จะทำให้เกิด ถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็จะเข้าใจคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ธรรมทั้งหลาย ไม่เว้นเลยนะคะ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ขณะนี้เป็นเราเห็นหรือเปล่าคะ เพราะไม่รู้ค่ะใช่ไหมคะ เห็นเกิดขึ้น ไม่มีใครไปทำอะไรให้เห็นเกิด ถ้าไม่มีตา จักขุปสาท กรรมเป็นปัจจัยให้รูปนี้เกิดขึ้น ไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏนี่กระทบตา เห็นเกิดไม่ได้เลย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 178
    24 เม.ย. 2567