ปกิณณกธรรม ตอนที่ 885


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๘๕

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมเอเชี่ยน หาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ มีเรื่องเยอะไหมแต่ละคน แล้วก็จะมีต่อไปไหม และก็สามารถที่จะเข้าใจความจริงของเรื่องต่างๆ ได้ไหมว่า แท้ที่จริงเดี๋ยวนี้ แค่เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องคิดถึงอะไรเลย สิ่งที่เมื่อเช้านี้ก็หมดไปแล้ว ตอนเย็นก็ยังไม่มาถึง เดี๋ยวนี้กำลังอยู่ตรงนี้ มีอะไรที่ไม่รู้บ้างเห็นไหม แทนที่จะบอกว่ารู้อะไรบ้าง ก็เปลี่ยนคำถามได้ว่า มีอะไรที่ไม่รู้บ้าง เดี๋ยวก็หาไม่เจออีก รู้อะไรก็หาไม่เจอ ไม่รู้อะไรก็หาไม่เจอใช่ไหมเพราะไม่รู้ แต่รู้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็จะพบทุกคำตอบของทุกคำถาม ใครอยากหมดกิเลสบ้าง กิเลสมีมาก เวลาสนุกเป็นกิเลสหรือเปล่า แล้วไม่มีใครอยากสนุกหรือ เดี๋ยวนี้มีกิเลสไหม มี รู้จักกิเลสที่มีเดี๋ยวนี้หรือยัง ไม่ได้ยินแม้แต่ชื่อ เพราะได้ยินคำเดียว คือกิเลส แต่กิเลสมีหลายระดับ เวลาโกรธเห็นชัดเลย กิเลส เวลาขุ่นใจนิดหนึ่งเห็นหรือเปล่า เห็นยาก แต่ว่าทราบไหมว่ากำลังเห็นเดี๋ยวนี้ กิเลสเกิดแล้ว อะไรจะปานนั้น แค่เห็นเกิดแล้วมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น กิเลสเกิดแล้ว แล้วจะดับกิเลสคิดดู ถ้าไม่ใช่ปัญญาจริงๆ ไม่มีทางที่จะดับกิเลสได้เลย เพราะว่าไม่มีเรา แต่มีธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งหลงเข้าใจว่าเป็นเรา ธรรมที่หลากหลาย ฝ่ายดีก็มี ฝ่ายไม่ดีก็มี อย่างความโลภความโกรธ ทุกคนก็บอกว่าไม่ดี ความไม่โลภความไม่โกรธ ทุกคนก็บอกว่าดี แล้วบังคับได้ไหม

    เพราะฉะนั้นเป็นอะไรแน่ ๒ อย่าง ๓ อย่าง ๔ อย่าง ๕ อย่าง ทุกอย่างที่มีเป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดปรากฏเมื่อไหร่ ต้องรู้ว่าไม่มีใครไปทำให้เกิดได้ เกิดแล้วทั้งนั้น ได้ยินแล้วใช่ไหม เห็นไหม ใครไปทำให้ได้ยินบ้าง เห็นแล้วใช่ไหม กำลังเห็น ใครทำให้เห็นบ้าง คิดแล้วใช่ไหม ใครทำให้คิดบ้าง นี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทุกคนที่ไม่เคยฟังพระธรรม ไม่คิดว่าธรรมเป็นชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นก็แยกธรรมไปเลยอีกโลกหนึ่ง แล้วบอกว่า ยังไม่ศึกษา คอยก่อนถึงยามแก่เฒ่าไม่มีอะไร แล้วก็จะศึกษาธรรม โดยไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม หรืออะไรเกิดก็คือธรรมเกิด ถ้าไม่มีธรรมเกิดจะมีใครที่ไหนได้ แต่เพราะไม่รู้ความจริงของธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย ด้วยความหลง ก็อยู่ในโลกนี้ ถ้าไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมเลย ก็จากโลกนี้ไปทุกคน แต่ด้วยการไม่รู้ และยังเพิ่มพูนกิเลสด้วย

    เพราะฉะนั้นก็ยังไม่ต้องถึงนิพพาน เพราะว่าแม้จะเข้าใจนิพพาน จะต้องยากกว่าเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้หรือเปล่า อย่างเห็นอย่างนี้ มีจริงๆ ใครรู้บ้างว่า ขณะได้ยินต้องไม่มีเห็น เห็นต้องดับไป แต่ขณะนี้เหมือนไม่เห็นว่าดับไปเลย เห็นก็ยังเห็นอยู่ และได้ยินก็ได้ยิน แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ตามความเป็นจริงว่าสภาพธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้ จิตเกิดขึ้นรู้ทีละหนึ่งขณะ ทีละหนึ่งอย่าง เพราะฉะนั้นในขณะที่กำลังได้ยิน จะมีอย่างอื่นไม่ได้เลยทั้งสิ้นนอกจากเสียง เพราะฉะนั้นการได้ฟังธรรม ก็ทำให้มีการเข้าใจสิ่งที่มีในขณะนี้ จากที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน และก็รู้ว่า สิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง แสดงตั้งแต่ต้นให้เข้าใจถูก เพราะไม่มีการที่จะรู้ว่า ขณะเห็นไม่ใช่ขณะได้ยิน เพราะไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญาที่เกิดจากการฟัง แล้วก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้เริ่มเข้าใจถูกในสิ่งที่ปรากฏ ละคลายไปเท่าไหร่ ไม่ยึดถือว่าสภาพธรรมเที่ยง เป็นเรา สภาพธรรมจึงจะสามารถปรากฏว่า เป็นอย่างนั้นได้กับปัญญาที่ได้อบรมแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครจะหวังอย่างไร ที่จะไปรู้การเกิดดับของสภาพธรรมในขณะนี้ หวังเปล่า รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสให้ใครทำอะไร ซึ่งไม่ใช่การเข้าใจธรรมคือสิ่งที่กำลังปรากฏ

    ผู้ฟัง ได้ฟังมาว่า ไม่มีอะไรในสิ่งที่กำลังปรากฏ หรือเหมือนกับการส่องกระจกแล้วก็ไม่มีอะไรในกระจก ซึ่งเป็นการที่เข้าใจยากมากเลย

    ท่านอาจารย์ อะไรก็ต้องบอกด้วยว่าอะไร ไม่เช่นนั้นจะคิดกันได้อย่างไร ไม่มีอะไรหมายความว่า อะไรที่ไม่มี

    ผู้ฟัง ไม่มีคน ไม่มีต้นไม้ ไม่มีดอกไม้

    ท่านอาจารย์ แล้วมีอะไร เห็นไหม ธรรมต้องเป็นเรื่องที่ละเอียดชัดเจน เพราะว่าส่วนใหญ่เราคิดมาก่อน ตามความคิดของเราสะสมมาแสนนาน พอได้ฟังธรรมก็เริ่มคิดธรรมตามที่เราสะสม แทนที่จะฟังละเอียด ที่จะต้องรู้ว่าไม่มีอะไร และอะไรที่ว่าไม่มี

    ผู้ฟัง ที่ไม่มีก็คือ คน สัตว์ บุคคล สิ่งของ

    ท่านอาจารย์ เช่น แข็งเป็นอะไรหรือเปล่า มีอะไรในแข็ง

    ผู้ฟัง มีเพียงแข็ง

    ท่านอาจารย์ ก็ตรงกับที่เข้าใจว่า แข็งก็เป็นแข็ง แข็งจะเป็นอื่นไม่ได้ มีอะไรในแข็ง หรือเปล่า ไม่มีทาง แข็งเป็นได้อย่างเดียวคือแข็ง ถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็ชัดเจน ไม่คิดเองอีกต่อไป แล้วก็หายสงสัยด้วย รู้แต่เพียงว่ายังไม่ได้ประจักษ์แจ้งความจริง แต่เริ่มเห็นถูกต้องว่า ธรรมแต่ละหนึ่งเปลี่ยนไม่ได้ ได้ยินเกิดแล้วดับแล้ว เปลี่ยนได้ยินให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม เสียงไม่มี แล้วก็มี แล้วก็หามีไม่ ยังไม่เกิดก็ไม่มีเสียง แต่พอเกิดเป็นเสียง ให้เป็นอื่นไม่ได้เลย แล้วเสียงก็หมด แค่นี้ เสียงหมดไป หมดไป แต่ไม่มีใครเข้าใจความจริงของเสียง และเข้าใจความจริงของสิ่งอื่นๆ นอกจากเสียง ซึ่งมีปรากฏทางตาบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง คิดนึกทางใจเมื่อสักครู่นี้ก็หมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมต้องเข้าใจด้วยว่า ทิ้งความคิดความเข้าใจเดิมๆ แต่ฟังแล้วพิจารณา เวลาที่เริ่มเข้าใจอย่างหนึ่ง ก็จะทำให้เข้าใจอย่างอื่นต่อไปอีกต่อไปอีกได้

    ผู้ฟัง ก็ได้ศึกษาหลายๆ สำนัก แล้วก็สิ่งหนึ่งที่ได้ยินได้ฟัง ก็คือการทำอะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าทำบุญทำกุศลรักษาศีล หรือว่าสวดมนต์ภาวนาอะไรพวกนี้ เราตอนนั้นเราทำ อย่างเช่นว่าจะได้ขึ้นสวรรค์อะไรบ้าง ก็มีกำลังใจ มีความกระตือรือร้นในการที่จะทำ แต่หลังจากที่ฟังธรรมมาปีหนึ่ง เราก็มีความรู้สึกว่าตัวนี้เป็นกุศลเป็นอกุศลหรือเปล่า รู้สึกความกระตือรือร้นค่อยๆ หายไป

    ท่านอาจารย์ ความกระตือรือร้นเรื่องอะไรที่หายไป

    ผู้ฟัง ก็คือในการที่ว่าจะทำบุญทำกุศลสวดมนต์ภาวนา อย่างในกรณีที่บอกว่าทุกคืนเราก็จะสวดมนต์ แต่พอจะเริ่มสวด เราก็ดูใจตัวเราเอง เห็นแล้วว่าไม่ใช่กุศล เราอยากจะได้อะไรสักอย่างหนึ่ง อะไรทำนองนี้ที่เกิดขึ้น มันแว๊บเข้ามาแว๊บเข้ามาแต่ละครั้ง

    ท่านอาจารย์ รู้อย่างนั้นดีไหม

    ผู้ฟัง ดี รู้ว่าดี แต่ว่าความกระตือรือร้น บางครั้งคนรอบข้าง เมื่อมองเราก็เราผิดปกติไป จากเดิมสวดมนต์ได้เป็นครึ่งชั่วโมงอะไรอย่างนี้ แต่สิ่งพวกนี้ก็ยากที่จะอธิบาย เดี๋ยวเราแว๊บขึ้นมาทันที หรือบางครั้งเราจะไปทำอะไรขึ้นมา มันแว๊บขึ้นมานี่ไม่ใช่ ทำเพื่อเราอยากจะได้อะไรสักอย่าง ก็เลยหยุด ผมก็สับสนนิดหน่อย

    ท่านอาจารย์ สวดมนต์ครึ่งชั่วโมงเข้าใจกี่คำ

    ผู้ฟัง ก็ ณ เวลานั้น เมื่อทบทวนเวลานี้ก็น้อยมาก ก็ได้แค่สวด

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมให้เข้าใจ หรือให้สวด ไม่ต้องเข้าใจ เก็บไว้สวด หรือว่าทุกคำเพื่อให้เข้าใจถูกต้อง

    ผู้ฟัง ณ วันนี้ต้องบอกว่า เพื่อให้เข้าใจ เพราะ ณ ปัจจุบันอย่างก่อนนอน แค่ลำดับว่านึกถึงพระคุณขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าในแง่ว่า ต้องเริ่มต้นด้วยพระปัญญาคุณ ถัดมาก็เป็น พระบริสุทธิคุณ ในความรู้สึกผม สลับขั้นก็ไม่ได้ เพราะว่าต้องมีปัญญาก่อนถึงไปหาบริสุทธิ์ และก็พระมหากรุณาธิคุณ อันนั้นกลับกลายเป็นว่าครึ่งชั่วโมงกับ ๓ คำ แค่นี้ ความรู้สึกต่างกัน แต่ก็คิดว่ายังคงต้องฟังอีกมาก

    ท่านอาจารย์ แต่ประโยชน์อยู่ที่เข้าใจ ไม่ใช่อยู่ที่พูดคำที่ไม่รู้จักครึ่งชั่วโมง

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ แค่คำเดียว ธรรม สิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรม เพราะเหตุว่ามีจริงๆ แต่ว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ หรือว่าสิ่งที่มี ห้ามไม่ให้หมดไปก็ไม่ได้ แสดงให้เห็นความจริงของสิ่งที่มีจริงใช่ไหม ถ้าเราไม่ใช้คำว่าธรรมก็ใช้สิ่งที่มีจริง แต่ถ้าใช้คำว่าธรรม ก็ต้องเข้าใจด้วยว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ ทุกกาลสมัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ต้องของสิ่งที่มีจริงไม่ใช่ของสิ่งที่ไม่มี เพราะฉะนั้นทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าทุกสมัยจะเป็นอย่างไร เข้าใจอย่างนี้เมื่อไหร่ ระลึกถึงพระปัญญาคุณไหม ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย ไม่มีใครรู้ว่าตั้งแต่เกิดมา ถ้าไม่มีธรรมเกิดก็ไม่มีใคร แต่ไม่มีใครรู้จักธรรมว่า ธรรมหลากหลายมากจริงๆ แค่มีปัจจัยเกิดแล้วดับไปใครจะรู้ได้ เร็วปานนั้น แต่ผู้ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ทรงรู้ความจริงของธรรมแต่ละหนึ่งโดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวงถึงที่สุด แค่นี้ มีการเห็นพระปัญญาคุณไหมว่า ถ้าไม่ทรงตรัสรู้ไม่ทรงแสดงธรรม เราจะได้ยินคำนี้และจะเข้าใจธรรมไหม เราก็ไปหาธรรมตามตัวหนังสือ ไปหาธรรมโน่นเป็นธรรมนี่เป็นธรรม บางคนเขาก็ไปหาธรรมเหนือจรดใต้ แต่หารู้ไม่ว่าพอเข้าใจแล้ว เดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม เมื่อไหร่ก็เป็นธรรม พ้นธรรมไม่ได้เลย แต่ไม่รู้จักว่าเป็นธรรม แค่นี้ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ ทำให้เราซึ่งเกิดหลังจากที่ได้ทรงแสดงพระธรรม และปรินิพพานไปแล้วนานมาก เกิน ๒,๕๐๐ ปี ก็ยังมีโอกาสที่จะได้ฟังและได้เข้าใจ

    เพราะฉะนั้นพระคุณมากแค่ไหน เพราะฉะนั้นการระลึกถึงพระคุณ ทุกครั้งที่เข้าใจธรรม เป็นพุทธานุสติ ไม่ใช่ไปนั่งท่องพุทโธ แต่ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร แต่ทุกครั้งที่ได้เข้าใจธรรม ก็มีการระลึกถึงพระคุณได้ เพราะฉะนั้นคนที่เคยสวดมนต์นานๆ เดี๋ยวนี้ก็เหลือสั้นๆ คือส่วนที่เข้าใจ พูดคำที่รู้จัก แต่คำที่ไม่รู้จักก็จะไม่พูด พูดไปผิดๆ ถูกๆ ด้วยใช่ไหม เพราะว่าบางคนก็ออกเสียงไม่ถูก เช่น อรหันต์ผิดแล้ว ต้องอะระหันต์ แค่นี้เราก็ไม่รู้แล้ว

    อ.อรรณพ ที่ว่ามีกำลังใจ มีความกระตือรือร้นที่จะทำอย่างนั้น เช่น จะสวด หรือจะทำอะไรด้วยการจดจ้องอย่างนี้ เพราะอะไร มีกำลังใจจริงๆ มีความกระตือรือร้นจริงๆ ที่จะทำอย่างนั้น แต่กระตือรือร้นด้วยอะไร กระตือรือร้นด้วยความอยาก เพราะว่าเขาบอกว่า ถ้าสวดแล้วจะดีอย่างนี้อย่างโน้น แล้วก็มีบทสวดมากมาย กระตือรือร้นเพราะความเข้าใจผิด ความเห็นผิด คิดว่าทำอย่างนี้ มีการกระทำอย่างนี้เป็นบ่อยๆ เป็นนิจเป็นอาจิณแล้วจะดี นั่นก็เป็นความเข้าใจผิดความเห็นผิด กระตือรือร้นด้วยความเห็นผิด และที่สำคัญก็คือกระตือรือร้นเพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเข้าใจขึ้น ความรู้ค่อยเพิ่มขึ้น ก็รู้ว่าที่สวดไปนั้นเพราะติด เพราะอยากได้ ที่สวดไปนั้นเพราะว่าความเห็นผิด คิดทึกทักไปเองว่าเป็นอย่างนั้น แล้วก็เพราะเราไม่ได้รู้พระธรรม เพราะเมื่อมีความรู้เพิ่มขึ้น การที่จะไปกระตือรือร้นเช่นนั้นก็ถูกขัดเกลาไป

    ผู้ฟัง พอดีเป็นวิศวกร สิ่งหนึ่งที่ประยุกต์ก็คือว่า สามัญลักษณะตรงนี้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ต้องปรับใช้ทุกครั้ง เพราะปกติเวลาคิดเรื่องอะไร เราก็จะลืม เพราะเนื่องจากว่า ในงานทางด้านวิศวกรรมมันต้องมีกฏ กฏนั่นกฏนี่กำกับ ก็เลยอันนี้อาจจะเป็นความรู้ที่ใช้ปฏิบัติ แต่ว่าจะถูกหรือผิดอย่างไร ก็คงต้อง ผมก็ต้องฟังต่อไป

    ท่านอาจารย์ ขณะที่ปรับนั่นคือคิดใช่ไหม ไม่ว่าจะใช้คำไหนทั้งสิ้น ก็ต้องรู้ว่าหมายความถึงโลกไหน มี ๖ โลก ทางตาไม่ได้คิดเลย เพราะเพียงเห็น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ทางหูมีเสียงปรากฏให้ได้ยิน คิดไม่ได้ ทางจมูกมีกลิ่นปรากฏห้ามไม่ได้เลย ทางลิ้น รสปรากฏ ทางกายกระทบสิ่งที่เย็นบ้าง ร้อนบ้าง อ่อนบ้าง แข็งบ้าง ไม่ว่าจะกระทบตา อะไรก็ตาม ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย คิดทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นที่ว่าจะประยุกต์หรือจะอย่างไรก็ตามแต่ ขณะนั้นก็คือคิดแต่ไม่ใช่เรา ทำไมคิดไม่เหมือนกัน ทำไมวันนี้คิดอย่างนี้ หรือว่าวันนี้แหละ ครู่เดียวก็เปลี่ยนความคิดได้เป็นอย่างอื่นตามเหตุตามปัจจัย ซึ่งทั้งหมดหนทางนี้คือหนทางที่จะเข้าใจความจริงว่า สิ่งที่มีจริงไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครสักคนเดียว เลือกเกิดก็ไม่ได้ พ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูงข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เลือกไม่ได้เลยใช่ไหม เลือกที่จะเห็น ที่จะได้ยินในแต่ละวัน ก็ไม่ได้ เลือกไม่เจ็บไม่ป่วยได้ไหม เลือกไม่คิดร้ายๆ ได้ไหม ก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรม ซึ่งกว่าจะรู้ความจริง เพราะเหตุว่าเราอาจจะบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง แต่เดี๋ยวนี้อะไรไม่เที่ยง ต้องชัดเจนกว่านั้น ไม่ใช่เพียงแต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกสิ่งไม่ได้ พร้อมกันทีเดียวไม่ได้ ต้องปรากฏทีละหนึ่ง ปรากฏพร้อมกันไม่ได้เลย ที่ไม่รู้เลย ก็คือว่าสิ่งที่เกิดหนึ่งนั่นดับแล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏ แล้วอันไหนจะเป็นเราที่จะเหลือความเป็นเรา ทั้งในชาตินี้ เมื่อวานนี้ก็หมดแล้ว เมื่อวานนี้ทำอะไรบ้าง เยอะ จำได้หมดไหม แค่เหลือนิดเดียวที่จำ แต่ตอนที่ยังไม่เป็นวันนี้ วันก่อนรับประทานอาหารอร่อย หรือเมื่อสักครู่นี้ก็ได้ อาหารเที่ยง มื้อกลางวัน โน่นก็อร่อยนี่ก็อร่อย เดี๋ยวนี้อยู่ไหน พรุ่งนี้ลืมเลย ถ้าวันนี้ไม่พูดถึงก็ลืมแล้ว แต่ขณะนั้นโน่นก็อร่อยนี่ก็อร่อยแต่ละอย่าง มีความสำคัญเฉพาะขณะที่ปรากฏซึ่งสั้นมาก แล้วหมดไปแล้วลืม แต่ละชาติ มีประโยชน์อะไร ถ้ารู้ความจริงมีประโยชน์ แต่ถ้าไม่รู้ความจริงก็เป็นอย่างนี้ไป โดยไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว ไม่เหลืออะไรเลยสักอย่างเดียว แต่ห้ามไม่ให้ติดข้องไม่ได้ ทั้งๆ รู้อย่างนี้ แสดงให้เห็นว่าปัญญาไม่พอ การดับกิเลสไม่ใช่ง่าย ต้องมีความเข้าใจจริงๆ

    ผู้ฟัง ฟังที่ท่านอาจารย์กล่าวในเทปครั้งแรกก็ไม่เข้าใจ ต้องครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ ครั้งที่ ๔ เพราะฉะนั้นต้องมีความอดทน แล้วก็มีวิริยะด้วย พยายามที่จะไตร่ตรองให้เข้าใจ แล้วก็ฟังให้ละเอียด ในโลกปัจจุบันนี้ก็เผินกันมาก เพราะว่าเขาอยากจะได้อะไรเร็ว เข้าใจเร็ว

    ท่านอาจารย์ นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะฉะนั้นนับถือใคร นับถืออะไร มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งจริงๆ หรือเปล่า หรือเพียงแต่กล่าวคำว่า มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่ถ้าไม่เข้าใจธรรม จะพึ่งอย่างไร

    ผู้ฟัง ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง

    ท่านอาจารย์ พึ่งเพื่อให้เข้าใจธรรม เพื่อดับกิเลส

    ผู้ฟัง คิดว่าเรื่องนี้ เจ้าตัวถ้าหากว่าศึกษาเข้าใจเองก็จะพบเอง

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นผู้ที่ตรง จะได้สาระจากพระธรรม มีข้อความนี้ในพระไตรปิฎก

    ผู้ฟัง ผู้ที่เข้าใจก็คือ เจริญปัญญาขึ้น

    ท่านอาจารย์ สาวกคือผู้ฟัง

    ผู้ฟัง ก็จะลดละ แล้วก็กิเลสค่อยๆ ได้เอง เจ้าตัวรู้เอง

    ท่านอาจารย์ ข้อสำคัญที่สุด พอได้ยินคำว่าปัญญาเป็นเราหรือเปล่า หรือว่าเป็นความเข้าใจถูกซึ่งมาจากการฟัง เพราะฉะนั้นการที่จะดับกิเลสได้ ไม่ใช่เราจะดับ แต่ปัญญาที่เข้าใจถูกต้อง ซึ่งเกิดแล้วก็ทำหน้าที่ของปัญญา เพราะเหตุว่าสภาพธรรมถ้าศึกษาแล้วก็จะรู้ได้ว่า สภาพธรรมมีธรรมหลายอย่างที่เป็นฝ่ายดีที่จะปรุงแต่งให้แต่ละขณะเกิดขึ้น จากการฟังตอนต้นๆ ที่ไม่เข้าใจ อาจจะบอกว่าไม่เข้าใจเลย ยากมาก แต่แต่ละคำเคยฟังไหม และก็มีประโยชน์ไหม ถ้ามีประโยชน์ฟังต่อไปจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นไหม เพราะเป็นคำจริงที่กล่าวถึงความจริง ถ้าผู้นั้นเห็นประโยชน์อย่างนั้น นั่นคือปัญญาไม่ใช่เรา แล้วจากการฟังและเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ปัญญาทั้งนั้นเลย แม้ทีละเล็กทีละน้อยก็เป็นปัญญา แต่คนที่ฟังเผินเข้าใจเผิน ก็เป็นเรา ที่อยากจะมีปัญญามากๆ ถึงกับถามว่าแล้วทำอย่างไร ฟังอย่างไร หาวิธีที่จะให้ปัญญาเกิด นั่นก็คือความไม่รู้และความเป็นตัวตน แต่เมื่อเป็นปัญญา และปัญญาไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย ไม่ได้เข้าใจอย่างนั้นเลย แต่ปัญญาเป็นความเข้าใจถูกความเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง ซึ่งกำลังค่อยๆ ได้ยินได้ฟังเพิ่มขึ้น เข้าใจเพิ่มขึ้น

    เพราะฉะนั้นปัญญาก็ทำกิจของปัญญา แต่ว่าเวลาที่เผิน ตัวตน เราก็จะไปหาทางพยายามทำหน้าที่ของปัญญา ปัญญาก็เกิดไม่ได้ เพราะว่าตัวตนพยายามไปทำหน้าที่ของปัญญาอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเมื่อปัญญาเกิดไม่ได้ ปัญญาจะเจริญขึ้นได้อย่างไร คนนั้นก็หมดทางที่จะเข้าถึงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ คนที่ศึกษาธรรมเผินๆ หรือว่าศึกษาแบบตำรา ศึกษาพระอภิธรรมมัตถสังคหะ ตอบได้เลยจิตมีกี่ประเภท จิตแต่ละหนึ่งมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไร จิตแต่ละหนึ่งทำกิจอะไร และกิเลสมากมายกี่ระดับขั้น แต่เขาก็ไปปฏิบัติธรรม ไม่ได้เข้าใจว่าไม่มีใครปฏิบัติธรรมได้เลย นอกจากปัญญา ซึ่งเริ่มจากการค่อยๆ เข้าใจ ก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่ของปัญญา คือถูกต้องตรงตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ไม่เหมือนวิชาการอื่นที่อยู่ในหนังสือ ไปทำการบ้าน หรือไปพยายามคิดของตัวเองออกมา แต่ว่าศึกษาธรรมต้องรู้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรม ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีธรรม ก็ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น และธรรมแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งเกิดเองไม่ได้เลย ไม่ได้ตามใจชอบของใคร ที่อยากจะให้อะไรเกิด แต่ว่ามีปัจจัยที่จะทำให้เกิด ถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็จะเข้าใจคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ธรรมทั้งหลาย ไม่เว้นเลย ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ขณะนี้เป็นเราเห็นหรือเปล่า เพราะไม่รู้ใช่ไหม เห็นเกิดขึ้น ไม่มีใครไปทำอะไรให้เห็นเกิด ถ้าไม่มีตา จักขุปสาท กรรมเป็นปัจจัยให้รูปนี้เกิดขึ้น ไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏกระทบตา เห็นเกิดไม่ได้เลย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 178
    24 มิ.ย. 2568