ปกิณณกธรรม ตอนที่ 864


    ตอนที่ ๘๖๔

    สนทนาธรรม ที่ ราวินโฮม รีสอร์ท จ.นครนายก

    วันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ ถ้าค้นหาโดยทั่วจากพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ จะไม่พบ “เรา” เลย ไม่มีเลย แต่ว่าเพราะความไม่รู้ และก็เป็นสิ่งซึ่งปรากฏ โดยการที่ติดข้องตั้งแต่เกิด แล้วถ้าไม่มีการได้ยิน ได้ฟัง ให้เข้าใจ ก็จะติดข้องต่อไปจนตาย และไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียวด้วย ต่อไปอีกมากมายหลายชาติ

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมเป็นเรื่องละตั้งแต่ต้น คือรู้ว่าสภาพธรรมที่ติดข้องมีจริง แต่อะไรก็ละไม่ได้ นอกจากปัญญา เลิกคิดที่จะไปทำอะไร ที่จะมาไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ไม่มีมานะ ไม่มีความริษยา ไม่มีสภาพธรรมทั้งหมดในแต่ละวัน แต่ละขณะนี้ ก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แต่ว่าต้องเป็นผู้ที่ตรง หนทางนี้ไกล หนทางนี้ละเอียด และหนทางนี้ จะเป็นไปได้ ด้วยความไม่ประมาท

    พระปัจฉิมวาจา “จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม” แม้แต่ในการฟัง ฟังแล้วต้องรู้ว่า ฟังแล้วเข้าใจ นั่นคือ พระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ให้ใครเพียรอ่าน แล้วไม่รู้ แล้วไม่เข้าใจ และก็ไปทำอะไร ด้วยความเป็นตัวตน

    เพราะฉะนั้น กว่าจะละ การยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เพียงมีปัจจัยเกิดแล้วดับ แค่ฟังอย่างนี้ คนที่อบรมมานาน จะถึงความสลดใจ สลดใจที่นี่ ไม่ได้ หมายความถึง เศร้าใจ เสียใจ แต่เป็นปัญญาที่เห็นถูกต้องว่า กี่ชาติแล้ว มีความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏทั้งนั้น

    เพราะฉะนั้น การที่จะละสิ่งที่สะสมมานาน ต้องละตามลำดับ คือ ไม่ใช่ละโลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งยังเป็นไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพพะ แต่ละการที่เคยเข้าใจผิดว่าสิ่งที่มีขณะนี้เป็นเรา หรือว่าเป็นของเรา

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น การฟังธรรมเท่านั้น ที่จะทำให้ขณะนั้นสามารถที่จะรู้ เพราะระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ตรงตามความเป็นจริงที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของการสะสม ที่จะต้องเข้าใจว่า สิ่งที่มีจริง ที่รู้ได้ ก็คือ สิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม เพราะฉะนั้น ก็กินความไปถึงอริยสัจจที่ ๒ ด้วย

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ก็เน้นถึงการละโลภะ ตั้งแต่ขั้นการฟังแล้วเข้าใจ ซึ่งก็พอจะเห็นได้ว่า พอมีความเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้นๆ แล้วในขั้นการฟัง การที่จะไปติดข้องในความเห็นผิดอะไรต่างๆ ก็คลายลง แต่ก็ไม่ใช่ว่าหมดไปทันที

    ท่านอาจารย์ แม้ขณะที่ฟัง ก็ยังคิดถึงเรื่องอื่น แล้วก็ยังเห็นสิ่งอื่นด้วย นี่คือความรวดเร็วอย่างยิ่งของธรรม ซึ่งนักมายากล ก็ลวงได้ไม่เท่าธรรม เพราะเหตุว่าธรรมเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ ขณะที่นักมายากล กำลังคิดเรื่องกล กำลังทำกล ขณะนั้นจิตเร็วกว่านั้นมาก

    เพราะฉะนั้นก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริง เพราะเหตุว่า ธรรมทั้งหลายซึ่งเกิดดับสืบต่อไม่ขาดสายนี้ ลวงตลอดเวลา ให้คิดว่ามีเรา แล้วก็มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจริงๆ แต่ถ้าแยกออกไปแล้ว เป็นแต่ละทาง ก็ไม่เหลือเลยสักทางเดียว

    เพราะฉะนั้น ปัญญาที่ยังไม่ถึงการที่จะละ ก็ฟังไว้ เข้าใจไว้ พอถึงเวลาที่ปัญญาที่ได้อบรมแล้ว สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ตรงตามที่ได้ฟัง ขณะนั้นก็ยิ่งเห็นความเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น เริ่มตั้งแต่ฟังเข้าใจในความเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า นักมายากล นี่ หมายถึงความรวดเร็วความเกิดดับของสภาพธรรมนั้น ก็คือ เป็นนักมายากล ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เคยดูกลไหม

    ผู้ฟัง เคย

    ท่านอาจารย์ รู้ไหมว่าเขาทำอย่างไร

    ผู้ฟัง แอบๆ แล้วก็ปึ๊บมาเลย อะไรอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จิตขณะนี้เป็นอย่างนั้นไหม เกิดดับเร็ว ไม่มีใครรู้ ตลอดเวลา ทุกคนสนใจในสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ตั้งแต่ตื่นจนหลับ เป็นเรื่องของสิ่งที่จิตรู้ทั้งนั้น แต่ลืม ว่าถ้าไม่มีจิต ไม่มีสภาพรู้ ก็ไม่มีอะไรที่จะปรากฏให้รู้ได้

    เพราะฉะนั้น ธาตุรู้ ขณะนี้กำลังเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ ไม่ว่าจะเห็นเป็นอะไรทั้งสิ้น แต่ว่าลืม ว่ามีธาตุรู้ และเมื่อไหร่จะรู้ว่า ไม่ใช่เรา เพราะเหตุว่า ไม่ใช่แต่เฉพาะสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู พอจะคิดได้ เมื่อกี้เห็น เดี๋ยวนี้ไม่เห็นแล้ว เมื่อกี้ได้ยิน ได้ยินก็ดับไปแล้ว ก็คิดได้แค่นี้ แต่ว่าความจริงธาตุรู้ ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ขาดเลย มาจากไหน มาจากชาติก่อน และต่อไปจากชาตินี้แล้ว ก็ไม่มีใครยับยั้งการเกิดดับของจิตได้เลย ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ที่ได้สะสมมา จากชาตินี้เองด้วย

    ผู้ฟัง สภาพธรรมที่ไม่รู้ ก็เกิดดับ คือ ต่างก็เป็นนักมายากลทั้งคู่เลย

    ท่านอาจารย์ เขาไม่รู้หรอกว่าเขาลวง เขาติดข้อง เขาก็ไม่ติดข้อง เพราะไม่รู้อะไรเลย สภาพซึ่งมีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น ไม่ว่าขณะไหน ก็ต้องไม่รู้

    เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคทรงใช้คำรวม ว่า รูปธรรม รูป (รู-ปะ) กับ ธรรม (ทำ-มะ) ธรรมที่เป็น รูปธรรม หมายความถึง สภาพที่มีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้

    เพราะฉะนั้น คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นจริงทุกกาลสมัย แม้ขณะนี้ก็มีสภาพธรรมซึ่งเกิดปรากฏให้เห็น แต่ไม่รู้อะไร แต่ก็มีธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้น แล้วก็รู้ว่าเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นธรรมทั้งหมด

    อ.กุลวิไล ที่ท่านมุ่งหมายถึง จิต เป็น มายากลที่ว่าลวงนั้น ...

    ท่านอาจารย์ ท่านเปรียบ แต่เร็วกว่านั้นมาก

    อ.กุลวิไล โดยสภาพธรรม หรือว่า เพราะว่าจิตที่มีความไม่รู้ คือ โมหะ ที่เป็นอกุศลจิตนี่ ลวง ที่ปิดบังไม่ให้รู้ธรรมตามความเป็นจริง เพราะว่าโดยสภาพธรรมของจิตแล้ว เขาก็ต้องเกิดดับ แต่ธรรมเขาก็ต้องเกิดดับสืบต่อ นั่นเอง

    ท่านอาจารย์ ก็มีสภาพนามธรรม ซึ่งไม่สามารถจะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ

    อ.กุลวิไล เพราะว่า โดยสภาพของธรรมแล้วนั้น ถ้าอกุศลจิตก็แน่นอน เพราะว่ามีความไม่รู้ในธรรมตามความเป็นจริงด้วย และถ้าเป็นโลภมูลจิต ก็มีความเห็นผิดที่จะยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ถ้าจิตที่เป็นวิบากจิต อย่างจิตเห็น จิตได้ยิน เขาก็เกิดขึ้น แล้วก็รู้ปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ แล้วก็ดับไป ซึ่งโดยสภาพธรรมแล้ว เขาก็ทำกิจการงานของเขา โดยที่เขาไม่มีอวิชชา ที่จะไปปิดบังสภาพธรรม ตามความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องมีเจตนา แต่ว่าการเกิดดับอย่างเร็วที่สุดของเขา ของสภาพธรรม ซึ่งเป็นนามธรรมนั้น ใครเข้าใจได้ เมื่อเข้าใจไม่ได้ ก็ลวง ซึ่งความจริงเกิดดับ แต่ก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้

    เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องคิดทั้งหมด ธรรมเกิดขึ้น ทำกิจของธรรม ไม่มีใครไปบอกว่า ให้ทำอย่างนี้ ให้ทำอย่างนั้น แต่ว่าธรรมแม้ความคิดก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ให้คิดนั้น เป็นไปไม่ได้ ไม่ได้คิดเรื่องที่กำลังคิด ก็เป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้น หนทางเดียว ผู้ที่ตรง สัจจบารมี ไม่ได้หลีกเลี่ยงสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ว่าเพราะได้ฟังพระธรรม รู้ว่านั่นเป็นสิ่งที่มีจริงชั่วขณะ หลงยึดถือว่าเป็นเราโกรธบ้าง มานานแสนนาน แต่ความจริงสภาพธรรมนั้น ทุกอย่างมีปัจจัยเกิดแล้วเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น จะให้อะไรเหนื่อย ก็คิดเอง ใช่ไหม แต่ความจริงเป็นธรรม คือ จิตนิยาม มีปัจจัยเกิดขึ้น แค่เห็นนิดเดียวแล้วดับนี่ จิตนั้นจะเหนื่อยไหม ไม่ว่าจะเป็นวิบากจิต ผลของกรรม ทำให้จิตเห็นขณะนี้เกิดขึ้น หรือการสะสมทำให้เป็นกุศลอกุศล ก็เกิดขึ้น ไม่มีใครไปทำให้เลย เพราะว่าสภาพธรรมนั้น เกิดแล้ว เป็นอย่างนั้นแล้ว ตามเหตุตามปัจจัย แต่ที่ลืมก็คือว่าแสนสั้น ชั่วขณะที่เพียงเกิดแล้วดับ ด้วยเหตุนี้ ถ้าเป็นผู้ที่มีปัญญา ที่จะละความติดข้อง สติปัฏฐานทุกบรรพ เพียงอาศัยระลึก เพราะเหตุว่าระลึกรู้ก็ดับ ทันเหนื่อยไหม

    ผู้ฟัง ขอเรียนถามเรื่องสภาพธรรมที่เหนื่อย แสดงว่าขณะนั้นมีความไม่พอใจเกิดขึ้น โทสะเกิด

    ท่านอาจารย์ ต้องรู้จักคำว่าเหนื่อยก่อน ขอเชิญคุณกุลวิไล

    อ.กุลวิไล เหนื่อยมีจริงใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่ อย่างเช่นเวลาทำงาน หรือว่ายกของหนักๆ หรือทำงานบ้านแล้วเหนื่อยนี่ ขณะนั้นมีความรู้สึกไม่พอใจ ในสภาพธรรมนั้น ใช่ไหม

    อ.กุลวิไล ต้องแล้วแต่ว่า ถ้ามีความไม่พอใจ ขณะนั้นต้องมีเวทนาที่เป็นโทมนัสเวทนาเกิดร่วมด้วย แล้วจิตก็ต้องเป็นโทสมลูจิต ขณะนั้นสงบไหม

    ผู้ฟัง ไม่ ไม่สงบ

    อ.กุลวิไล ไม่สงบ ฉันใด ขณะที่สนุก ดูเหมือนว่าชอบ ใช่ไหม ต่างกันกับเวลาที่เราไม่ชอบในอารมณ์นั้น แต่ขณะนั้นสงบไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่สงบ

    อ.กุลวิไล ไม่สงบเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เหนื่อยไหม

    ผู้ฟัง สนุกแบบเหนื่อย ก็มี

    อ.กุลวิไล แต่ก็ต้องแล้วแต่ว่า เวทนานั้นเป็นโสมนัสเวทนา หรือว่าโทมนัสเวทนา แต่อกุศลเป็นอกุศล อกุศลไม่สงบแน่นอน แต่ถ้าเป็นกุศล สงบ

    ท่านอาจารย์ กว่าจะรู้ความจริง ก็ต้องศึกษาเข้าใจตั้งแต่ต้นว่า เหนื่อย คืออะไร บางคนทำงานที่เขาชอบจนถึงดึก ไม่เหนื่อย เพราะชอบ เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้จริงๆ ว่าเหนื่อยมี เมื่อยก็มี เจ็บก็มี แล้วแต่ ทั้งหมดเป็นอะไร เป็นสิ่งที่มีจริงในขณะนั้น แต่เพราะยึดถือว่าเป็นเรา จึงเหนื่อย เขาดับแล้ว ทุกอย่างที่เกิด ไม่มีอะไรเหลือจะมาเหนื่อยเลย ใช่ไหม แต่ความเป็นเรา ความรักตัวก็ทำให้รู้สึกว่าขณะนั้นเหนื่อย เพราะเหนื่อยมีจริงๆ แต่เหนื่อยเป็นธรรม ซึ่งเกิดขึ้นชั่วขณะจิตแล้วดับ สั้นมาก แต่เกิดบ่อย

    เพราะฉะนั้น ก็แล้วแต่ว่า ระยะเวลาที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดดับสืบต่อนาน ก็ทำให้ปรากฏถึงความเมื่อย ความเหนื่อย หรือความไม่สบายใจ เหนื่อยต้องไม่สบายใจแน่ ใช่ไหม แต่ถ้ากำลังทำสิ่งเดียวกัน แต่คนหนึ่งชอบมาก ไม่ยอมหยุด เขาบอกเขาไม่เหนื่อย

    เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ว่าเหนื่อยก็เป็นลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งไม่ชอบ ไม่พอใจ และถ้าเป็นกาย ก็เป็นทุกข์กาย อาจจะเมื่อย หรืออาจจะหิว หรืออาจจะอะไรก็ได้ แล้วแต่

    อ.อรรณพ เมื่อสักครู่เป็นอันสรุปได้ว่า เหนื่อยนี่เพราะเป็นเรา ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพราะเป็นเรา และเป็นสิ่งที่เราไม่พอใจ

    อ.อรรณพ คนทั่วไปเขาก็บอกว่า เหนื่อยกาย เหนื่อยใจ

    ท่านอาจารย์ เขาทำอะไรที่เขาเหนื่อยกาย ถ้าเขาไปเล่นกีฬา ฟุตบอล มีคนดูเยอะ เหนื่อยไหม

    อ.อรรณพ ภูมิใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น แล้วแต่ ขณะนั้นเป็นสภาพธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดเป็นอย่างนั้น จะเป็นอื่นไม่ได้ เช่น ความทุกข์กาย มีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ดับ ถ้าสามารถที่จะมีปัญญาเข้าใจถูก แทนที่จะติดข้อง เป็นเราเหนื่อย แต่ว่าเป็นความเข้าใจสภาพธรรมนั้นๆ บ่อยๆ เนืองๆ เหนื่อยไหม

    เพราะฉะนั้น เวลาที่เป็นกุศล ไม่เหนื่อย แต่เวลาที่ชอบ ก็เพลินไป เหมือนไม่เหนื่อย ไม่เมื่อย และอะไรหมด แต่สภาพธรรมก็เพียงเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ชั่วขณะที่แสนสั้น เท่ากันหมด ไม่ว่าจะเป็นจิตประเภทใด เจตสิกก็ต้องมีอายุที่สั้น เพียงเกิดขึ้นแล้วก็ดับ ถ้าเป็นรูปก็อายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ รูปๆ หนึ่งก็ดับไป ทั้งหมด เพื่อให้รู้ว่า ไม่ใช่เรา แต่ไม่ใช่เพื่อให้เราหลงตาม การที่เราอยากจะรู้โน่น อยากจะรู้นี่ จะไปนับอย่างไรแน่ จะไปคอยดูท่านบริโภค ก็คงไม่ได้ ใช่ไหม แต่ที่สำคัญก็คือว่า ปัญญาเท่านั้น ที่จะเป็นอย่างนั้นได้ ถ้าไม่มีปัญญา ไม่มีทางฝืน อร่อยก็รับประทานต่อไป ใช่ไหม แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่า ผู้มีปัญญา ย่อมรู้สภาพธรรมในขณะนั้น เมื่อไม่ติดข้อง ก็สมควรที่จะหยุด ไม่ใช่ไปตามท่านพระสารีบุตร ต่อไปนี้ เอ๊ะ จวนอิ่มแล้ว เลิกแล้วก็ดื่มน้ำ นั่นไม่มีเวลาคิด และทำอย่างนั้นก็ไม่ใช่ปัญญา เพราะว่าแต่ละหนึ่ง และไม่มีวันซ้ำ ๑ ขณะจิตของแต่ละหนึ่งบุคคล ๑ ขณะจิตดับ ไม่กลับมาอีกเลย เป็นปัจจัยให้อีกขณะจิตหนึ่ง เกิดสืบต่อ เป็นอย่างนี้มาตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ก็เพียงแต่ มี แล้วก็ไม่มี จากไม่มี ก็เกิดมี แล้วก็หามีไม่ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ถ้าปัญญาไม่รู้จริงๆ อย่างนี้ ละความเป็นตัวตนไม่ได้

    ผู้ฟัง ข้อความที่ท่านพระสารีบุตร ท่านบริโภคอาหาร มีข้อความที่ไพเราะมาก ผมได้ยินมีคำว่า ผู้มีใจเด็ดเดี่ยว

    ท่านอาจารย์ เลยอยากเด็ดเดี่ยวอยากท่านพระสารีบุตร หรือเปล่า นี่คือ การฟัง ซึ่งต้องเข้าใจความหมายซึ่งเป็นปัญญา ทุกคำเป็นเรื่องของปัญญาทั้งหมด ผู้มีใจเด็ดเดี่ยวที่จะรู้ความจริง

    เพราะฉะนั้น ในขณะบริโภค มีสติสัมปชัญญะหรือเปล่า มีใจเด็ดเดี่ยวที่จะเข้าใจรสอาหาร มีใจเด็ดเดี่ยวที่จะรู้การเคลื่อนไหวของร่างกาย มีใจเด็ดเดี่ยวขณะที่เห็นอาหารหรือเปล่า เพราะฉะนั้น ใจเด็ดเดี่ยว ไม่ใช่มหาโจรเด็ดเดี่ยว ยอมตาย ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เป็นการที่รู้ว่าธรรมมี เดี๋ยวนี้ก็มี กำลังปรากฏ แต่รู้ยาก เพราะเหตุว่าลึกซึ้ง ต้องอาศัยคำสอนและความเข้าใจ

    เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหมดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเรื่องปัญญาทั้งหมด แม้แต่การบริโภคอาหาร บางคนก็อาจจะบอกว่า ยังไม่ถึงขั้นนั้น ก็หัดๆ ไว้ก่อน หัดๆ ไว้ แต่ก็ลืม เพราะว่าถ้าไม่ใช่ความเข้าใจจริงๆ ขณะนั้นก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

    เพราะว่าอะไร เดี๋ยวทานใหม่ เพราะหิวต่อ หรืออะไรอย่างนี้ ก็เป็นชีวิตปกติประจำวัน ซึ่งชีวิตประจำวันเท่านั้นที่จะทำให้รู้การสะสมที่แท้จริงของแต่ละบุคคล เพราะเหตุว่าเกิดแล้วตลอดเวลา โดยที่ว่าไม่มีใครสามารถที่จะไปทำอะไรให้เกิดขึ้นได้เลย

    อ.วิชัย ตอนเช้าก็มีโอกาสได้ฟัง ท่านพระสารีบุตร ก็มีการไปสนทนา ก็มีข้อความสนทนา ซึ่งสมณพราหมณ์บางพวกก็กล่าวว่า ทุกข์อันตนเองทำบ้าง หรือว่า บางพวกก็กล่าวว่า ทุกข์อันบุคคลอื่นทำให้บ้าง แต่ท่านพระสารีบุตรก็กล่าวว่า ทุกข์เกิดเพราะผัสสะ

    การที่จะเข้าใจว่า ขณะนี้ก็มีสภาพธรรมที่เกิดดับ แล้วก็เป็นทุกข์เพราะว่าเกิดแล้วก็ดับไป แต่ว่าที่ท่านกล่าวว่า ถ้าทุกข์เกิดเพราะอาศัยผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะทุกข์ก็เกิดไม่ได้ คือ ข้อความละเอียดเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่า ชาวเมืองนั้นพอพูด ผัสสะ เขาก็รู้ เพราะเป็นภาษาของเขา ใช่ไหม แต่สำหรับคนไทย ผัสสะคืออะไร ยังไม่รู้เลย

    อ.วิชัย ผัสสะก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเกิดขึ้น และก็กระทบกับอารมณ์ อารมณ์ หมายถึง สิ่งที่จิตรู้ เหมือนขณะนี้ ก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา จะปรากฏก็ต่อเมื่อมีธาตุรู้เกิดขึ้นรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ว่าธาตุรู้ที่เกิดขึ้น ถ้าสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธาน กล่าวถึงจิตที่ทำกิจเห็นในสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ขณะที่จิตเกิดขึ้น ก็ต้องมีสภาพธรรมที่เกิดร่วมกันกับจิต รู้สิ่งเดียวกันกับจิต ทำหน้าที่ต่างๆ ตามลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ อย่างเช่น ผัสสะ ก็เกิดขึ้นกระทบในสิ่งที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น การฟังธรรมจึงต้องเป็นผู้ที่ฟังตามลำดับ โดยการรู้ว่าธรรม คือ สิ่งที่มีจริง เมื่อสิ่งที่มีจริงมี ต้องหมายความว่า สิ่งนั้นเกิดขึ้น แต่ว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นเพราะอะไร ซึ่งก็ต่างพูดถึงเรื่องทุกข์ ว่าจะเกิดขึ้นเพราะเขาทำให้ หรือว่าเราทำเอง หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าถ้าเป็นธรรมตรง จิตเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีผัสสะเจตสิก

    เพราะเหตุว่า สภาพของนามธรรมมี ๒ อย่าง คือ จิต เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากรู้ แจ้ง สิ่งที่กำลังปรากฏ เช่น กำลังเห็น นี่คือจิตที่ทำกิจเห็น กำลังได้ยิน ก็เป็นจิตที่เกิดขึ้นได้ยินเสียง แต่ว่าจิตเกิดขึ้นตามลำพังไม่ได้ ธรรมทั้งหลายที่จะเกิดขึ้น ต้องมีธรรมที่เกื้อกูล อุดหนุน สนับสนุน ทำให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น จิตก็เช่นเดียวกัน จะเกิดโดยปราศจากเจตสิก ซึ่งเป็นธาตุรู้ แต่ไม่ใช่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้อย่างจิต ไม่ได้

    ด้วยเหตุนี้ เจตสิก นี่ ทุกวัน เราพูดถึง เป็นเจตสิก แต่เราบอกว่าเรา ใช่ไหม โกรธไหม โกรธ ไม่รู้เลยว่าเป็นสภาพธรรมที่โกรธ แต่เป็นเราโกรธ เพราะฉะนั้น การที่สภาพธรรมที่เป็นนามธาตุเกิดขึ้น ก็มีผัสสะเจตสิก เป็นเจตสิกซึ่งไม่ใช่จิต แต่เป็นสภาพเจตสิกซึ่งกระทบกับอารมณ์ เพราะฉะนั้น จิตและเจตสิกที่เกิดร่วมกันในขณะนั้น จะรู้อื่นไม่ได้นอกจากรู้สิ่งที่ผัสสะกระทบ เพราะฉะนั้น ที่กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ ไม่รู้เลยว่า ผัสสะกระทบเสียง แต่เวลาได้ยินเสียง แล้วเราก็คิดถึงเรื่องอื่น จิตที่เกิดต่อไปก็กระทบเรื่องที่กำลังคิดในขณะนั้น

    เพราะฉะนั้น จะมีสักขณะหนึ่งซึ่งปราศจากผัสสะเจตสิกไม่ได้ เพราะเหตุว่าไม่มีสักขณะเดียวที่จิตจะเกิดขึ้นโดยไม่มีเจตสิก และที่ขาดไม่ได้คือ จิตหนึ่งขณะจะต้องมีเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยอย่างน้อยที่สุด ๗ ผัสสะเป็น ๑ ซึ่งขณะนี้ใครกำลังเห็น เพราะผัสสะกระทบสิ่งที่ปรากฏ และจิตเห็น และเจตสิกทั้งหลายก็เกิดขึ้นรู้อารมณ์เดียวกับที่ผัสสะกระทบ ขณะที่ได้ยิน แค่จะรู้ว่า เป็นจิตที่ได้ยิน ก็ยาก แล้วที่จะรู้ถึงว่าจิตขณะนั้น เกิดพร้อมเจตสิก ๗ ประเภท ก็ยิ่งยาก

    แต่นี่เป็นพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ ทรงแสดงละเอียดยิ่ง ว่าแต่ละเจตสิกเป็นปัจจัยให้จิตเกิดโดยสถานะใด ตามประเภทของเจตสิกนั้นๆ ก็ยิ่งยาก และยิ่งรู้ว่าเพียงหนึ่งขณะจิตดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด ถ้าจิตนี้ยังไม่ดับไป จิตขณะต่อไปก็เกิดไม่ได้ โดยฐานะอะไร ต้องเกิดดับสืบต่ออย่างนี้

    จิตทุกขณะ มีปัจจัยที่จะทำให้จิตเกิดสืบต่อทันทีที่จิตนั้นดับ โดยอนันตรปัจจัย แค่ศึกษาธรรมให้เข้าใจก่อน แล้วเพียงเข้าใจว่า ชื่อนั้น หมายความถึงบุคคลที่ใช้ภาษานั้นก็เข้าใจได้ แต่สำหรับเรา เข้าใจแล้ว เราก็จำ อนันตระ ไม่ขาดสาย เพราะฉะนั้น จิตเกิดดับไม่ขาดสาย เว้นจุติจิตของพระอรหันต์เท่านั้น เมื่อดับแล้วไม่เป็นปัจจัยให้จิตหรือสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมเกิดเลย

    เพราะฉะนั้น ใครกล่าวถูก พราหมณ์ทั้งหลายคิดเอง แต่ผู้ที่ทรงตรัสรู้ ตรัสรู้ถึงขณะจิต แต่ละหนึ่งขณะว่าปราศจากผัสสเจตสิกไม่ได้ เพราะฉะนั้น ใครทำ คนอื่นทำหรือว่าเราทำ ทุกข์ที่เกิดขึ้น ใครทำ

    อ.วิชัย มีสภาพธรรมเกิดขึ้น ทำกิจหน้าที่

    ท่านอาจารย์ ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น เป็นธรรม ซึ่งมีปัจจัยเกิดดับตลอดเวลา ถ้ายังไม่เข้าใจอย่างนี้ พรากความเป็น "เรา" จากธรรมที่กำลังปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้น ปริยัติ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเข้าใจโดยรอบรู้ว่าไม่เปลี่ยนแปลง ต่อไปนี้ ใครทำให้เราทุกข์ ผัสสะ เจตสิก

    อ.อรรณพ ผัสสะ เจตสิก ทำให้ทุกข์

    ท่านอาจารย์ ทำให้จิตและสภาพธรรม เกิดเป็นไปตามผัสสะ ที่กระทบกับอารมณ์

    อ.อรรณพ จึงเป็นทุกข์ด้วย

    ท่านอาจารย์ เมื่อผัสสะกระทบสิ่งใด จิต เจตสิก รู้สิ่งนั้น ตามประเภทของจิตนั้นๆ เพราะเหตุว่าจิตทุกขณะไม่ขาดผัสสะ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 178
    14 พ.ย. 2568