ปกิณณกธรรม ตอนที่ 858


    ตอนที่ ๘๕๘

    สนทนาธรรม ที่ ร้านโป๊ด เรสเตอร์รอง

    วันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ ทั้งๆ ที่กำลังมีกำลังปรากฏ ตั้งแต่เกิดจนตายทุกวัน ไม่เคยรู้มาก่อน แต่จะรู้เมื่อได้ฟังพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่ออนุเคราะห์ให้คนที่ไม่สามารถจะรู้ได้ด้วยตัวเองนะคะ เมื่อฟังพระธรรมแล้วก็สามารถที่จะเข้าใจขึ้น จึงรู้จักความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าจากการที่ไม่เข้าใจอะไร ไม่รู้อะไรก็ได้รู้ได้เข้าใจขึ้น ถ้าคำนั้นทำให้เข้าใจ จึงเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คำใดก็ตามนะคะ ไม่ทำให้เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น คำนั้นไม่ใช่คำสอนงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมีใครเป็นที่พึ่ง ตอนปฏิบัติทำยังไงคะ

    ผู้ฟัง เออเขาก็ให้เดินนะคะ

    ท่านอาจารย์ เขาให้เดิน แล้วเราก็เดิน เขาให้ทำอะไร เราก็ทำ แล้วเข้าใจอะไร ไม่มีในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ขณะนี้นั่งสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้ไหมคะ ถ้าฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่กำลังรับประทานอาหารสามารถที่จะเข้าใจขณะนั้นได้ไหม เมื่อเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่กำลังทำงานสามารถที่จะเข้าใจ สภาพที่มีจริงในขณะนั้นได้มั้ย ในเมื่อเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำเป็นคำที่ทำให้เข้าใจถูก ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตามที่มีจริงๆ ขณะนั้น พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่างที่มีนะคะ โดยประการทั้งปวงถึงที่สุด ซึ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลงได้เลย เพราะเหตุว่าสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้เพราะเป็นธรรม เห็นเปลี่ยนเห็นให้เป็นได้ยินได้ไหมคะ แล้วเดินทำอะไร มีไหมคะในพระไตรปิฏก ที่ใครไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระผู้มีพระภาคตรัสให้เขาเดิน มีไหมคะ

    เพราะฉะนั้นไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน เพราะว่ามีอีกมากที่เป็นประโยชน์ ที่สามารถที่จะเข้าใจได้แม้เดี๋ยวนี้ แล้วจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะได้เข้าใจคำนั้น แต่คำอื่นทั้งหมดที่ไม่พูดถึงสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ให้เข้าใจ คำนั้นไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเวลาที่เข้าใจแล้วเนี่ย เราสามารถที่จะรู้เลย คำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำไหนไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะแม้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ก็ไม่ได้พูดให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมี แล้วจะไปเข้าใจอะไร สิ่งที่ผ่านไปแล้วหมดแล้วไม่กลับมาอีก พรุ่งนี้อะไรจะเกิดไม่มีใครรู้เลย แน่ๆ ใช่ไหมคะ

    เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่จะรู้ถูกเห็นถูก คือสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ และสิ่งที่มีจริงก็กำลังมีด้วย เพราะฉะนั้นจะมีปัญญาเข้าใจถูกเห็นถูกก็ต้องในสิ่งที่กำลังมี ไม่ใช่สิ่งที่หมดไปแล้วหรือว่าสิ่งที่ยังไม่มาถึง แล้วก็การฟังนี่เพื่ออะไรค่ะ ไม่ว่าฟังอะไรเพื่อเข้าใจในสิ่งที่ฟัง เพราะฉะนั้นถ้าฟังแล้วเข้าใจนะคะ วันหนึ่งสามารถที่จะรู้ความจริงตรงตามที่ได้ฟัง จากปริยัติคือรอบรู้ในแต่ละคำ ที่ได้ฟังถูกต้อง ถ้าได้เข้าใจถูกต้องแล้วนะคะ ก็จะรู้ได้ค่ะว่าสิ่งที่มีจริงนี่ค่ะ สามารถเข้าใจได้ แต่เข้าใจเองไม่ได้ ต้องฟังพระธรรม จากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นก็รู้ได้นะคะ ฟังพระธรรมหรือเปล่า หรือว่าไม่ได้เกิดความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น

    อ.คำปั่น ครับที่ท่านอาจารย์ ได้กล่าวให้ได้คิดนี่ก็เป็นประโยชน์นะครับ ว่าจะได้รู้จักว่าพระคือใครนะครับ ซึ่งก็เป็นผู้ที่ประเสริฐ ประเสริฐเพราะคุณความดี ตั้งแต่มีอัธยาศัยใหญ่ ที่จะสละอาคารบ้านเรือนนะครับ สละวงศาคณาญาติ สละกองทรัพย์สมบัติ สละญาติสนิทมิตรสหาย เพื่อมุ่งสู่พระธรรมวินัยจริงๆ ครับ เพื่อศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา จึงจะเป็นพระภิกษุจริงๆ ในพระธรรมวินัยนี้ครับ

    ท่านอาจารย์ เพื่อขัดเกลากิเลส ไม่ใช่ปล่อยให้กิเลส เพิ่มมากทุกวันใช่ไหมคะ แต่พอเห็นโทษ และก็เป็นผู้ที่สามารถจะประพฤติอย่างประเสริฐ ที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตด้วย คุณเป็ดรู้จักพระหรือยังคะ พระภิกษุในธรรมวินัย เพราะเหตุว่าถ้าไม่รู้จักอย่างนี้ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระองค์ทรงบัญญัติสิกขาบท ด้วยพระองค์เองนะคะ หลังจากที่มีผู้ที่ประพฤติสิ่งที่ไม่สมควรก็ประชุมสงฆ์ และก็ให้พิจารณาว่าสิ่งนั้นควรแก่เพศบรรพชิตมั้ย เมื่อสงฆ์เห็นว่าควรหรือไม่ควรอย่างไรก็ตามนะคะ ก็บัญญัติตามที่ที่ประชุมมีมติ เพราะเหตุว่าต้องเป็นผู้ที่ตรง ถ้าไม่สมควรก็ประพฤติไม่ได้ และก็ให้ประพฤติแต่สิ่งที่สมควรเท่านั้น คุณเป็ดคิดว่าพุทธบริษัทเราเนี่ย ควรจะรู้จักพระภิกษุไหมคะ หรือว่าคิดว่าพระภิกษุ แต่ว่าไม่รู้จักว่าเป็นภิกษุในธรรมวินัยหรือเปล่า เพราะไม่ได้เข้าใจเลยว่าพระภิกษุคือใคร ผู้ที่ไม่ประพฤติตามพระวินัยในครั้งโน้นก็มี พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุเหล่านั้นว่ายังไงบ้างคะคุณคำปั่น

    อ.คำปั่น ครับก็มีมากครับ ก็จะเข้าใจไปทีละคำครับ อย่างเช่นโมฆะบุรุษครับ ก็คือผู้ที่ว่างเปล่าจากคุณความดี เพราะว่าไม่ได้น้อมประพฤติตามพระธรรมวินัย ไม่มีความเคารพยำเกรงในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ ถ้าเราเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะเคารพผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ไหม

    อ.คำปั่น นอกจากนั้นก็จะมีอีกหลายคำนะครับ ก็คือเป็นมหาโจรครับ เพราะว่าเป็นโจร ในคราบ ของผ้ากาสาวพัสตร์ครับ เพราะว่าบอกว่าจะประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เป็นผู้ที่เหมาะควรแก่ก้อนข้าวของชาวบ้าน แต่พอรับก้อนข้าวที่ชาวบ้านถวายด้วยศรัทธาแล้ว หรือว่าปัจจัยต่างๆ แล้ว แต่ว่าไม่ได้ทำตัวให้คุ้มค่ากับก้อนข้าวของชาวบ้าน แต่ประพฤติผิด ไม่ถูกต้อง ตามพระธรรมวินัย ก็เป็นผู้ที่หลอกลวงชาวบ้านเป็นมหาโจร

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ถ้าบวชแล้วนะคะ ไม่ศึกษาธรรมวินัย เพราะว่าการบวชเพื่อที่จะขัดเกลากิเลส ด้วยการเข้าใจพระธรรม เพราะเหตุว่าถ้าไม่เข้าใจธรรมจะบวช ขัดเกลากิเลสได้ยังไง ด้วยเหตุนี้ถ้าผู้ใดบวชแล้วเป็นพระภิกษุ แต่ไม่ศึกษาพระธรรมวินัยไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยนะคะ เราก็รู้ได้ว่าผู้นั้นเป็นมหาโจร เป็นโมฆะบุรุษ

    อ.คำปั่น ครับ นอกจากนั้นนะครับ ก็เปรียบเหมือนกับบุคคลลีบครับ ก็สังเกตดูนะครับ ข้าวลีบ สีจะเป็นสีเหลืองแต่ข้างในไม่มีเมล็ดข้าว ไม่มีข้าวสารอยู่ข้างใน ก็เหมือนกับผู้ที่สละอาคารบ้านเรือนแล้วนะครับ ไปครองผ้ากาสาวพัสตร์ ซึ่งเป็นผ้าของเพศบรรพชิต แต่ว่าข้างในคือจิตใจของท่าน ไม่ได้มีคุณธรรมเลย ไม่ได้ขัดเกลากิเลส ไม่ได้มีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยเลย เที่ยวย่ำยีสิกขาบทน้อยใหญ่ ก็เป็นโทษสำหรับผู้นั้น เปรียบเหมือนกับข้าวลีบ ที่ดูเหมือนเป็นข้าวจริง แต่ข้างในไม่มีเลย ก็คือพระรูปนั้นไม่มีคุณธรรมใดๆ เลย คำหนึ่งที่ปรากฏในอรรถกถา พรหมชาลสูตรก็คือกล่าวถึง เศรษฐีหัวโล้น กล่าวถึงว่า เป็นผู้ที่สะสมปัจจัยสะสมอาหาร ในอรรถกถาครับ แสดงไว้ชัดเจนว่า แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่นะครับ ซึ่งเป็นบุคคลผู้เลิศผู้ประเสริฐที่สุดในโลก แม้ข้าวสารเพียงเล็กน้อยที่จะเก็บไว้เพื่อรุ่งขึ้น ไม่มีสำหรับพระองค์ นี่คือความประเสริฐสูงสุดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้ที่บัญญัติพระวินัยด้วยพระองค์เอง เพราะฉะนั้นพระภิกษุรูปใดก็ตาม ที่สะสมลาภสักการะ สะสมวัตถุต่างๆ เพื่อประโยชน์ของตัวเอง ก็เป็นเศรษฐีหัวโล้น

    ท่านอาจารย์ คุณเป็ดคะ คิดว่ามีประโยชน์มั้ย ที่จะได้เข้าใจพระธรรมวินัย

    ผู้ฟัง มากเลยค่ะ อาจารย์

    ท่านอาจารย์ ค่ะมิฉะนั้นแล้วทุกคนก็เห็นประโยชน์ ของการที่จะดำรงพระศาสนาสำหรับคนรุ่นหลังต่อไป แต่ว่าถ้าไม่เข้าใจพระธรรมวินัย หรือเข้าใจผิดนะคะ เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ไม่ใช่เป็นการดำรงรักษาไว้ซึ่งพระธรรม เพราะฉะนั้นชาวบ้านในครั้งโน้นนะคะ เวลาที่พระภิกษุไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เขากล่าวว่ายังไงคะ เพ่งโทษ ติเตียน โพนทนา เพื่อประโยชน์ค่ะ เพ่งโทษที่นี่หมายความว่าให้เห็นโทษ ไม่ใช่อย่างไปพยายามหาโทษคนอื่น ซึ่งเขาไม่ได้ทำผิด แล้วเราไปเพ่งโทษไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ แต่เมื่อทำผิดแล้วเพ่งโทษให้รู้ว่านั่นผิด แล้วก็ติเตียน ทำผิดแล้วจะสรรเสริญได้อย่างไร เพราะฉะนั้นชาวบ้าน ซึ่งเป็นคฤหัสถ์นี่ค่ะ เพ่งโทษเพราะเขารู้ว่า ผู้ใดประพฤติตามพระวินัย และผู้ใดไม่ได้ประพฤติ ตามพระวินัยนะคะ เมื่อไม่ประพฤติก็ให้รู้สิ ว่าไม่ได้ประพฤติตามพระวินัย เพราะฉะนั้นก็ติเตียน ไม่สมควรที่จะเป็นอย่างนั้น แล้วก็โพนทนา โพนทนาที่นี้นะคะ ไม่ได้หมายความว่าไปกล่าวความชั่วร้ายของคนอื่นนะคะ แต่กระจายข่าวให้รู้ทั่วกัน เพื่อที่จะรักษาพระธรรมวินัยว่าที่ถูกต้องนั้นต้องประพฤติปฏิบัติอย่างไร เป็นหน้าที่ของคฤหัสถ์ด้วย มิฉะนั้นแล้วก็จะไม่มีการที่จะดำรงพระศาสนาไว้ได้ ถ้าคฤหัสถ์ไม่รู้พระธรรมวินัยด้วย ตามสมควร แล้ว ตอนนี้เรากำลังเพ่งโทษหรือเปล่าคะ เพื่อประโยชน์ เพราะฉะนั้นติเตียนแน่นอนค่ะ สำหรับผู้ที่ไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย แล้ว โพนทนาด้วย คือบางคนบอกว่าไม่ต้องพูด พูดทำไมใช่ไหมคะ แต่ต้องพูดเพื่อประโยชน์ มิเช่นนั้นแล้ว จะรู้จะเข้าใจถูกต้องได้ยังไง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมเพื่อการขัดเกลา และสำหรับผู้ที่เป็นพุทธบริษัทก็ขัดเกลากิเลสในเพศของตน เช่นคฤหัสถ์นะคะ ก็ศึกษาพระธรรมวินัยด้วย มิฉะนั้นก็จะไม่รู้ว่า อะไรเป็นธรรม อะไรเป็นวินัย อะไรไม่ใช่ใช่ไหมคะ อย่างไปปฏิบัติอย่างเงี้ย ยังไม่รู้เลยว่าปฏิบัติคืออะไร เดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง เพราะมีจริงๆ ก็ไม่รู้ ว่าจะรู้สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ได้อย่างไร ต้องตามลำดับของปัญญาด้วย เพราะเหตุว่าปัญญาคือความเห็นถูกความเข้าใจถูก มิฉะนั้นแล้วนะคะ ก็เพียงแต่ได้ยินชื่อว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะไม่ได้เข้าไปนั่งใกล้ คือศึกษาคำสอน จนกระทั่งเห็นพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ ซึ่งถ้าพระองค์ไม่ทรงบำเพ็ญบารมีที่จะตรัสรู้ และทรงแสดง จะไม่มีใครมีโอกาสได้เข้าใจ สิ่งที่มีในขณะนี้ตามความเป็นจริงได้เลย เพราะฉะนั้นการศึกษา ต้องตามลำดับ ไม่รู้อะไรเลยแล้วไปปฏิบัติ ผิดแน่นอนค่ะ เพราะฉะนั้นผู้ที่มีความหวังดี ก็ต้องทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุด ใครจะอยากให้ใคร ต้องได้รับโทษอย่างมาก ในการที่ประพฤติผิดพระวินัย โทษก็คือว่าเกิดในอบายภูม ไม่ละอายต่อ พระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยากบวช แล้วบวชแล้วทำอะไร เพราะว่าในสมัยโน้นนะคะ ไม่มีใครหรอกที่จะอยากบวช แต่เพราะว่ารู้ว่าชีวิตคฤหัสถ์ คับแคบสำหรับเขา เพราะว่าทั้งวันเนี่ยก็เป็นเรื่องของอกุศลทั้งนั้นแต่ชีวิตของบรรพชิตของพระภิกษุนี่ค่ะ ตั้งแต่เช้าตื่นจนหลับ เป็นชีวิตที่ขัดเกลากิเลส ดุจสังข์ขัด หมายความว่าทุกอย่างตั้งแต่ตื่นค่ะ จะต้องเป็นเรื่องของการที่จะศึกษาธรรม ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยทั้งหมด เพราะเป็นผู้ประเสริฐ เป็นสาวก เพราะฉะนั้นถ้าเราบอกว่า เรานับถือพระรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะนะคะ เป็นที่พึ่ง พึ่งยังไงคะ ถ้าไม่เข้าใจธรรม ถ้าไม่ศึกษาธรรม พึ่งขอนุ่นขอนี่ กราบทีหนึ่งก็ขอเยอะ แล้วไม่เข้าใจอะไรเลย ก็ไม่ต้องกราบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเพียงขอ กราบใครก็ได้ที่คิดว่าจะให้ใช่ไหมคะ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้สิ่งที่ประเสริฐที่สุด ซึ่ง ไม่มีใครจะให้ได้นอกจากพระองค์ คือคำสอนให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มี ซึ่งยากนะคะ ถ้าเราไม่เริ่มต้น ก็จะไม่มีวันถึงการที่จะขัดเกลากิเลสได้ แม้ว่ากิเลสมีมากนะคะ หมดได้แต่ต้องด้วยความเพียร และด้วยบารมีอื่นๆ นะคะ ถ้าเราเห็นประโยชน์เราก็ทำใช่ไหมคะ แต่สิ่งใดที่ไม่มีประโยชน์ เราจะทำหรือ ทำทำไมในเมื่อไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์แล้ว ยากแสนยาก ก็สมควรแก่การที่จะสะสม เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์ที่ดีก็คือเป็นผู้ที่ศึกษาพระธรรมด้วย แล้วก็ขัดเกลากิเลสด้วย ตามการสะสมที่จะเป็นไปได้ ไม่ใช่เชื่อง่าย และก็ไม่ใช่ทำตามคำของใคร เพราะว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สั่งใครเลยทั้งสิ้นนะคะ แต่ทรงแสดง เพราะฉะนั้นทุกคำที่เป็นพระพุทธพจน์นะคะ มีปัญญาในทุกคำ เช่นละชั่ว ไม่ได้บอกให้คนหนึ่งคนใดละเลยเพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ปัญญาที่รู้ว่าไม่ดีนั่นแหละละ แต่ถ้าไม่รู้ว่าไม่ดีจะละทำไมจะละได้ยังไง ในเมื่อยังไม่เห็นความเป็นโทษของอกุศล ด้วยเหตุนี้นะคะ ผู้ที่จะละอกุศล ก็คือผู้ที่เห็นโทษของธรรมที่เป็นอกุศล ทุกคำนี่ค่ะเป็นเรื่องของปัญญาทั้งหมด แล้วถ้าพุทธบริษัทไม่ศึกษานะคะ พระศาสนาก็อันตรธาน และถ้าเข้าใจผิดก็ช่วยกันทำลายพระพุทธศาสนาแน่นอน เพราะฉะนั้นต้องรู้นะคะ ถ้าพุทธบริษัทช่วยกันทะนุบำรุงพระศาสนา คือต้องศึกษาพระธรรมให้เข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่ว่าให้คนอื่นศึกษาแล้วเราไม่ศึกษา ทุกคนคิดอย่างนี้เหมือนกันหมด ก็ไม่มีใครศึกษา เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่ง คนเนี่ยนะคะ ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งตนเอง และผู้อื่น ก็คือได้ฟังพระธรรม และเข้าใจพระธรรม ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมเพราะปัญญาที่เข้าใจ ไม่ใช่ว่ามีความเป็นตัวตนที่จะสามารถทำอะไรได้ แต่เมื่อมีปัญญาแล้วนะคะ ปัญญานำไปในกิจทั้งปวง

    อ.คำปั่น ครับนี่คือความประเสริฐของการที่มีโอกาส ได้ยินได้ฟังพระธรรมนะครับ คำที่ได้ยินได้ฟังนะครับ ก็จะค่อยๆ กระจ่างขึ้นนะครับ แม้แต่คำว่ารัตนะครับ ซึ่งอาจารย์ก็ได้กล่าวเมื่อสักครู่นี้นะครับ พระรัตนตรัยใช่ไหมครับ สิ่งที่มีค่าสิ่งที่ประเสริฐ สิ่งที่ไม่มีอะไรเทียบเท่า สิ่งที่ปรากฏได้โดยยาก และเป็นเครื่องบริโภคใช้สอยของบุคคล ผู้ไม่ต่ำทรามนะครับ เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นผู้ที่เห็นคุณค่า เห็นประโยชน์จริงๆ นะครับ ที่จะเป็นผู้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ก็คือพึ่งด้วยการศึกษาพระธรรม คำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงครับ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ครับ เมื่อไม่นานนี้พระภิกษุ ได้ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ ถึง ๔ ใบเนี่ย ชาวบ้านก็ยินดีกับเค้า แต่ผมไม่ยินดีกับเค้าเนี่ย เป็นความเข้าใจผิดหรือถูกอย่างไรครับ ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ใครเป็นคนนำสุขมาให้เค้าคะ

    ผู้ฟัง กุศลธรรมที่เขาทำไว้ในปางก่อน

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้นขณะนี้กำลังเห็น หรือเมื่อไหร่ก็ตามที่เห็นนะคะ มีสิ่งที่เห็นกับสิ่งที่ถูกเห็นนะคะ ถ้าเป็นสิ่งที่น่าพอใจสวยงามดีขณะนั้น ก็เป็นเพราะเหตุที่ได้กระทำไว้ เป็นปัจจัยให้แม้เหตุนั้นได้กระทำไว้นานแสนนานนะคะ แต่ถึงเวลาที่จะให้ผล ก็ทำให้จิตเห็นเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ดีที่น่าพอใจ ไม่มีใครจะนำมาให้ได้เลยค่ะ เพราะฉะนั้นเหตุเท่านั้นที่จะนำมาซึ่งผล ที่แล้วแต่ได้กระทำไว้มากน้อยแค่ไหน ก็เป็นอย่างนั้น ถ้าเข้าใจอย่างนี้นะค่ะ มีเขาไหมมีหรือว่ามีเห็น

    ผู้ฟัง มีแต่เห็น

    ท่านอาจารย์ ค่ะมีแต่เห็นซึ่งเกิดเพราะเหตุที่ได้กระทำแล้ว และจะรู้สึกยังไงล่ะคะ หรือว่าต้องรู้สึก หรือว่าแล้วแต่ขณะนั้นอะไรจะเกิดขึ้น ก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ถ้าใครได้ดีมีสุข คือว่าเป็นผลของกุศลที่ได้กระทำแล้ว อนุโมทนาในกุศลที่ทำให้ผลเกิดขึ้น ถูกหรือผิดค่ะ

    ผู้ฟัง ถูกครับ

    ผู้ฟัง ต้องเป็นเรื่องๆ ค่ะ และต้องเป็นขณะจิตด้วย เพราะฉะนั้นไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้นะคะ ว่าได้กระทำกรรมไว้มากน้อยแค่ไหน และกรรมแต่ละกรรมเนี่ยกล้ามากหรือว่าอ่อนนะคะ ไม่กล้ามากนั่นก็แล้วแต่ว่า ถึงแม้พระผู้มีพระภาคใกล้จะปรินิพพานนะคะ กรรมที่เป็นอกุศลที่ได้กระทำแล้ว ในอดีตนานมาแล้ว ก็ยังทำให้พระองค์ประชวรก่อนที่จะปรินิพพานได้ เพราะฉะนั้นไม่มีใครสามารถที่จะรู้กรรมที่ได้กระทำแล้วนะคะ ในชาตินี้พอจะรู้ แต่ก็จำได้ก็คงไม่หมด และชาติก่อนๆ อีกมาก ก็แล้วแต่ว่าถึงวาระที่กรรมไหนพร้อมที่จะให้ผล ทำให้วิบากคือผลของกรรมเกิดขึ้นนะคะ ขณะแรกที่สุดคือเกิด และเมื่อเกิดแล้ว ก็มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ถ้าเป็นสิ่งที่ดีน่าพอใจนะคะ ต้องเป็นเพราะกุศลที่ได้ทำแล้ว เพราะฉะนั้นจะนั่งร้องไห้เสียใจ ถ้าสมมุติว่าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็ไม่มีใครทำให้นอกจากกรรมที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้นไม่มีเขา แต่ว่าขณะใดก็ตาม มีการเห็นสิ่งที่น่าพอใจ ขณะนั้นเป็นผลของกุศลที่ได้กระทำ ถ้าไม่เรียกชื่อธรรม แต่ก็มีลักษณะของธรรม ความยินดีหรือยินร้าย ก็ห้ามไม่ได้ใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ใช่ครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะแล้วแต่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ความถูกต้องอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นก่อนจะยินดีนี่ มีความถูกต้องไหม ที่พระภิกษุถูกลอตเตอรี่

    ผู้ฟัง ไม่ถูกต้องเลย

    ท่านอาจารย์ ไม่ถูกต้อง จะยินดีกับความไม่ถูกต้องไหมคะ

    ผู้ฟัง กระผมไม่ยินดีด้วย

    ท่านอาจารย์ ค่ะ

    อ.คำปั่น กราบท่านอาจารย์ครับ ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวให้ได้คิดนะครับ ว่าการที่จะมีลอตเตอรี่ ก็ต้องมีการซื้อใช่ไหมครับ เพราะฉะนั้นเนี่ย ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควร

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ทีนี้ไม่ซื้อ แต่มีคนเอามาให้ได้ไหมคะ

    อ.คำปั่น ไม่ได้ ครับท่านอาจารย์ครับ

    ท่านอาจารย์ ถึงให้ก็รับไม่ได้

    อ.คำปั่น ครับสิ่งที่ควรก็คือ ศึกษาพระธรรมวินัย รักษาพระธรรมวินัย อันนี้คือสิ่งที่ถูกต้องครับ เพราะว่ามีในสิกขาบทด้วยนะครับ ว่าพระภิกษุปราศจากการซื้อขายหนึ่งนะครับ ปราศจากการซื้อขาย ไม่มีการซื้อของครับ ในส่วนของพระภิกษุ ไม่มีการขายด้วย และที่สำคัญนะครับ การเล่นอะไรก็ตามที่มันไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ที่เรียกว่าเล่นการพนัน ประการต่างๆ การเล่นที่ไม่เหมาะสม พระภิกษุในพระธรรมวินัยไม่กระทำ เพราะฉะนั้นก็ต้องครอบคลุม ความประพฤติที่ดีงามทั้งหมด ที่เหมาะควรแก่เพศบรรพชิตจริงๆ ผู้ที่บวชเข้าไปแล้วนะครับ จะไม่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะไม่ควรเลย เหมือนอย่างคฤหัสถ์ ไม่มี เพราะว่าเป็นเพศที่สูงยิ่ง ที่จะต้องศึกษาพระธรรมวินัย และขัดเกลากิเลสจริงๆ ครับ

    ท่านอาจารย์ แต่ทุกอย่างต้องชัดเจนนะคะ เพราะว่าหลายคนก็อาจจะไม่แน่ใจเพราะว่าพระภิกษุไม่ได้ซื้อ แต่ว่ามีคนเอาไปให้ แต่คิดดูค่ะ ชีวิตของพระภิกษุต่างกับคฤหัสถ์ที่ไม่ยินดีในเงิน และทอง เพราะเหตุว่าเงิน และทองนำมาซึ่ง รูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะ อย่างชาวบ้าน เพราะฉะนั้นชาวบ้านนี่ค่ะ เต็มไปด้วยความเพลิดเพลินนะคะ ในสิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่พระภิกษุสละแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่นำไปให้พระภิกษุ ซึ่งจะนำมาซึ่ง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่สัมผัสทางกาย เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่สละแล้ว เพราะฉะนั้นการที่จะถวายสิ่งหนึ่งสิ่งใดแก่พระภิกษุ ผู้นั้นต้องเป็นผู้ที่เข้าใจพระวินัยตามสมควรด้วย ว่าสิ่งใดควร และสิ่งใดไม่ควร เพราะฉะนั้นถ้ารับไว้ก็เหมือนกับรับเงิน และทอง หรือว่ารับรูป เสียงกลิ่น รส โผฏฐัพพะนะคะ ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าจะถูกลอตเตอรี่หรือเปล่า แต่ก็รับแล้วด้วยความหวัง ด้วยความยินดี ด้วยความพอใจ เพราะฉะนั้นการที่จะกล่าวถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดนะคะ ต้องชัดเจน มิฉะนั้นก็จะมีผู้กล่าวว่า ไม่ได้ซื้อนำมาถวายเอง แต่รับได้หรือ ในเมื่อสิ่งนั้นก็เหมือนๆ กับเงิน และทอง

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 178
    19 เม.ย. 2567