ปกิณณกธรรม ตอนที่ 859
ตอนที่ ๘๕๙
สนทนาธรรม ที่ ร้านโป๊ด เรสเตอร์รอง
วันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
ท่านอาจารย์ ถ้าเห็นใครถวายเงินให้พระภิกษุรู้สึกอย่างไร รับด้วย นับด้วย รับก็แตะต้องแล้ว รับแล้ว ไม่ถูกต้อง ใช่ไหม แล้วนับด้วย ยินดีหรือเปล่าในขณะนั้น เพราะฉะนั้นแม้เพียงยินดี ก็ไม่ใช่เพศบรรพชิต เหมือนงูพิษ เท่ากับเขาถวายงูพิษมาให้ เพื่อที่จะกัด ทำลายความเป็นภิกษุ ซึ่งอันตรายอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าปฏิญาณตน หรือว่าให้คนอื่นรู้ ประกาศโดยทั่วไปว่าเป็นภิกษุ แต่ว่าความประพฤติไม่ใช่เป็นไปตามพระวินัย
เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นอย่างนี้ หวังดี เอ็นดู สงสาร ถ้าสามารถที่จะเกื้อกูลได้ โดยการที่จะชี้แจงหรือกราบเรียน หรืออะไรก็แล้วแต่จะทำได้ แต่ว่าคฤหัสถ์นี่ ยาก เพราะเหตุว่าพระภิกษุเป็นเพศที่สูงกว่า เพราะฉะนั้น หนทางเดียวที่คฤหัสถ์จะทำได้ ในฐานะของพุทธบริษัทที่มีความหวังดีต่อกันจริงๆ ก็คือ ให้บุคคลนั้นได้ทราบว่าจะต้องประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยอย่างไร
เพราะฉะนั้น การที่กล่าวถึงพระวินัยนี้ เพื่อประโยชน์จริงๆ สำหรับให้คฤหัสถ์ได้รู้ว่า ไม่ควรจะไปทำให้เพศบรรพชิตต้องได้รับโทษเพราะการกระทำของเรา ถ้าคฤหัสถ์ไม่ถวาย ภิกษุไม่ตกนรก ไม่ไปอบายภูมิ แต่ถ้ารับเงินและทอง จากโลกนี้ไปแล้ว ที่ไปก็คืออบายภูมิ มีใครอยากเห็นใครตกนรกบ้างไหม ถ้ามีทางที่จะช่วยได้ ก็ควรที่จะหวังดี โดยกล่าวถึงข้อความตามที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้แล้ว
อ.คำปั่น แม้แต่ในสมัยพุทธกาล ผู้ที่เป็นพุทธบริษัท ท่านเป็นผู้ที่เข้าใจพระธรรม เวลาท่านเห็นอะไรที่ไม่ควร ท่านก็สามารถที่จะชี้แจงให้ผู้อื่นเข้าใจได้ อย่างเช่น นายบ้านชื่อมณิจูฬก ท่านนี้เป็นผู้ที่เข้าใจพระธรรมวินัย ท่านก็สามารถที่จะกล่าวชี้แจงในที่ประชุมได้ว่า ในเมื่อพระภิกษุก่อนบวช เป็นผู้ที่สละอาคารบ้านเรือน สละกองทรัพย์สมบัติแล้ว สละเงินและทองแล้ว แล้วเพราะเหตุใดจึงจะไปรับเงินและทองอีก เพราะว่าเพศบรรพชิตเป็นเพศที่สูงยิ่งจริงๆ เป็นเพศที่มุ่งสู่ภาวะของความเป็นผู้ที่เว้นทั่ว เว้นจากเครื่องติดข้อง อย่างที่คฤหัสถ์เคยเป็น เว้นจากสิ่งที่ไม่ดีทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นความเป็นบรรพชิต ความเป็นเพศที่สูงยิ่ง ก็ต้องเป็นเพศที่สละจริงๆ และสิ่งที่จะเกื้อกูลได้ ก็คือการได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม และน้อมประพฤติตามพระธรรมวินัย ผู้ที่เป็นอุบาสกอุบาสิกาก็มีส่วนสำคัญในการที่จะช่วยกันรักษาความถูกต้อง ด้วยการศึกษาให้เข้าใจและก็กล่าวในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นจะได้มีความเข้าใจอย่างถูกต้องตามไปด้วย
ท่านอาจารย์ คุณต่ายศึกษาพระธรรมใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่ ศึกษาอภิธรรม เรียนพระอภิธรรม ๗ ปี
ท่านอาจารย์ ๗ ปี เดี๋ยวนี้ อภิธรรมอยู่ที่ไหน
ผู้ฟัง อยู่ที่ใจ
ท่านอาจารย์ อยู่ที่ใจ ที่ใจ มีอะไรบ้าง
ผู้ฟัง รับรู้จากทั้ง ๖ ทวาร
ท่านอาจารย์ ที่สะสมมา ไม่หายไปไหนเลย ไม่ว่าจะเป็นกุศล อกุศล น้อย มาก อย่างไร ชาติไหนก็ตาม เกิดแล้วดับเป็นของธรรมดา แต่เมื่อเกิดแล้ว ดับแล้ว ก็จริง แต่สิ่งที่มีในจิตที่ดับไปนั้น ก็สะสมสืบต่อในจิตขณะต่อไป เป็นธรรมดา ธรรมเกิดก่อนที่ใครคนหนึ่งคนใดจะไปโยนิโส หรือว่าพิจารณาให้แยบคาย ให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้หรือเปล่า มนสิการเจตสิก สภาพธรรมที่ใส่ใจในอารมณ์ เป็นสัพพจิตตสาธารณเจตสิก เกิดกับจิตทุกประเภท ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขณะนั้นเกิดแล้ว เป็นไปตามการสะสม ไม่มีเราจะไปพยายามให้ไม่เป็น เพราะว่าเกิดแล้วทั้งนั้นก่อนที่ใครจะไปพยายาม สภาพธรรมนั้นมีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ไม่มีใครสักคนที่สามารถจะไปพยายามได้ ไม่ว่าอะไร เช่น เดี๋ยวนี้คิด คิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย จะทำเห็น ก็ไม่ได้ เพราะเห็นแล้ว จะทำได้ยิน ก็ไม่ได้ ได้ยินเกิดแล้ว แม้แต่คิด ก็คิดต่างกันตามเหตุตามปัจจัย เพราะเหตุว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้นการศึกษาพระธรรมทั้งหมด หรือแม้แต่พระธรรมที่ละเอียด แสดงว่าไม่มีใครสามารถจะบังคับบัญชาได้เลย ก็เป็นสิ่งซึ่งมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ เพื่อให้รู้ว่า ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น จิตเกิดแล้วดับ เป็นธรรมดา เพราะว่าจิตที่เกิด ยังมีกิเลส เพราะฉะนั้นเวลาที่เกิดแล้วดับแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น ทั้งหมด เว้นจุติจิตของพระอรหันต์ ซึ่งไม่เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดเลย
เดี๋ยวนี้จิตกำลังเกิดดับหรือเปล่า
ผู้ฟัง เกิดดับอยู่
ท่านอาจารย์ กี่ชาติ “ชาติ (ชา-ติ) ” หมายความถึง จิตที่เกิดนี้หลากหลายมาก แต่ถึงกระนั้น ก็ประมวลไว้โดยการเกิด ว่าจิตแต่ละหนึ่งที่เกิดนั้นต้องเป็น ๑ ใน ๔ คือ เป็นกุศล ๑ เป็นอกุศล ๑ ซึ่งเป็นเหตุ แล้วก็จิตที่เกิดขึ้นเป็นวิบาก เพราะว่าเหตุมีแล้ว กระทำแล้ว ถึงวาระที่จะทำให้ผลเกิดขึ้นจิตนั้นเกิดเพราะเหตุที่ได้กระทำแล้ว
เพราะฉะนั้นจิตที่เป็นผล ภาษาบาลีใช้คำว่า วิปาก (วิ-ปา-กะ) คนไทยก็เรียกว่า วิบาก เพราะฉะนั้นก็มีจิตที่เป็นกุศล ๑ อกุศล ๑ เป็นเหตุ แล้วก็มีกุศลวิบากคือผลของกุศล และอกุศลวิบาก ซึ่งเป็นผลของอกุศล ก็เป็นกุศล ๑ อกุศล ๑ วิบาก ๑ แล้วก็มีจิตซึ่งไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศลด้วย ไม่ใช่วิบากด้วย แต่มีปัจจัยเกิดขึ้น เป็นกิริยา เดี๋ยวนี้มีจิตมีกี่ชาติ ที่กำลังนั่งอยู่ขณะนี้
ผู้ฟัง กุศลชาติ อกุศลชาติ วิปากชาติ กิริยา
ท่านอาจารย์ กิริยาจิตคืออะไร
ผู้ฟัง คือเป็นจิตของพระอรหันต์
ท่านอาจารย์ เท่านั้นหรือ เรามีไหม
ผู้ฟัง น่าจะมี แต่ก็
ท่านอาจารย์ การศึกษาธรรม ไม่ใช่ศึกษาตัวหนังสือ ในตำรา หรือว่าจำนวน แต่ไม่ว่าจะศึกษาละเอียดขึ้น ก็คือเข้าใจขึ้นทุกครั้งที่ได้ยิน ไม่ใช่ว่าได้ยินเปล่าๆ แต่ได้ยินแล้วสามารถที่จะเข้าใจ สิ่งที่เราได้ฟังหรือได้อ่าน มั่นคง อย่างจิตมี ๔ ชาติแน่นอน ใช่ไหม กุศล ๑ อกุศล ๑ วิบาก ๑ กิริยา ๑ คำถามก็คือว่า เดี๋ยวนี้มีจิตชาติอะไรบ้าง
ผู้ฟัง กุศล
ท่านอาจารย์ กุศล เมื่อไหร่
ผู้ฟัง ขณะที่นั่งฟัง
ท่านอาจารย์ ฟังเฉยๆ เป็นกุศลไหม เวลานี้ ทุกคนฟังทั้งนั้นเลย
ผู้ฟัง น่าจะเป็นกุศล
ท่านอาจารย์ ฟังเฉยๆ เป็นกุศลไหม ได้ยินนี่
ผู้ฟัง ฟัง ไม่เป็น แต่ถ้าไปพิจารณาก็จะเกิด
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้เลย
ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้เป็นกุศลแน่นอน
ท่านอาจารย์ แล้วก็ไม่มีใครไปพิจารณาด้วย พิจารณานั้น"กุศล" ที่เราจะพิจารณาดับไปแล้ว พยายามเท่าไหร่ นึกเท่าไหร่ ว่าจิตนั้นเป็นอะไร ก็เปล่าประโยชน์ เพราะไม่ใช่กำลังปรากฏให้เข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น
ด้วยเหตุนี้ เราศึกษาธรรม หรือว่าจะศึกษาพระอภิธรรม พระสูตร พระวินัย ก็เพื่อที่จะเข้าใจความไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อชื่อว่า ศึกษาธรรม ก็ต้องเข้าใจว่าเป็นธรรมทั้งหมด ถ้ายังหลงเหลือความคิดว่าเป็นเรา ขณะนั้นก็หมายความว่า ยังไม่รอบรู้ในพระพุทธพจน์ ด้วยเหตุนี้ ถ้าศึกษาจริงๆ นี่ ธรรมเปลี่ยนไม่ได้เลย ขณะนี้มีจิตกี่ชาติ
ผู้ฟัง กุศลชาติ
ท่านอาจารย์ มีกุศลจิตแล้วมีอะไรอีก เราจะไม่ศึกษาแล้วจำคำในตำรา แต่ต้องเข้าใจจริงๆ เป็นกุศลเมื่อไหร่ เป็นอกุศลเมื่อไหร่ เป็นวิบากเมื่อไหร่ เป็นกิริยาเมื่อไหร่ จะได้ชัดเจน ว่านี่คือการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประโยชน์ก็คือว่าให้ทุกคนได้เริ่มเข้าใจว่า ไม่มีเรา มีแต่จิต ซึ่งเป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง วิบากบ้าง กิริยาบ้าง แล้วก็มีเจตสิก ซึ่งต้องเกิดกับจิตทุกขณะ มากน้อยต่างกันตามประเภท อกุศลจิตมีเจตสิกร่วมด้วยมากหรือน้อยกว่ากุศลจิต นี่คือเดี๋ยวนี้ เราเริ่มค่อยๆ เข้าใจ ทีละนิดทีละน้อย จะได้เข้าใจว่า ไม่มีเราจะไปเปลี่ยนแปลง ศึกษาแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นศึกษานี่ไม่อยู่ในตำราเลย ทุกคำที่ได้ฟัง เข้าใจ อกุศลเป็นธรรมดา อกุศลเจตสิกมีเท่าไหร่ เราฟังธรรมกันแล้ว ใช่ไหม แล้วก็ศึกษาธรรมพอสมควร เพราะฉะนั้น โอกาสของการสนทนาธรรมก็คือว่า พูดเรื่องนี้แหละ จะได้ไม่ลืม และจะได้เข้าใจในเหตุผล จนกระทั่งเราไม่ต้องไปพลิกตำราเลย แต่เราก็สามารถที่จะเริ่มเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ตามความเป็นจริงได้ โดยเข้าใจในเบื้องต้นว่า ไม่มีเรา แต่มีธรรม เดี๋ยวนี้ทั้งหมดเป็นจิต เจตสิก รูป แต่การศึกษาธรรมก็จะทำให้เราค่อยๆ เข้าใจความต่างของกุศลจิตและอกุศลจิต อกุศลเจตสิกทั้งหมดมี ๑๔ โสภณเจตสิกเกิดกับกุศลก็ได้ วิบากก็ได้ กิริยาก็ได้ จึงใช้คำว่า โสภณ ไม่ใช่คำว่า กุศล เท่านั้น เพราะสภาพของเจตสิกที่ดีงามนี้สามารถจะเกิดได้ทั้งกับจิตที่เป็นเหตุคือกุศล จิตเป็นผลของกุศลคือกุศลวิบาก และกิริยาจิตของพระอรหันต์ จำนวนของอกุศลเจตสิกมีเท่าไหร่
อ.คำปั่น อกุศลเจตสิกมี ๑๔
ท่านอาจารย์ แล้วโสภณเจตสิกมีเท่าไหร่
อ.คำปั่น โสภณเจตสิก มี ๒๕
ท่านอาจารย์ โสภณเจตสิกมีมากกว่า แต่เกิดน้อยกว่า เห็นไหม นี่คือความต่างในเหตุผล ทั้งหมดนี้ถ้าเราไม่เพียงแต่จำชื่อ แต่พิจารณาด้วย อกุศลเจตสิกมีเพียง ๑๔ โสภณเจตสิกมีมากกว่า แต่อะไรเกิดบ่อยกว่า เห็นไหม อกุศลเจตสิกเกิดบ่อยกว่า เพราะอกุศลจิตวันนี้เยอะมาก เมื่อกี้รับประทานอาหารอร่อยไหม เป็นเราหรือว่าเป็นธรรม เป็นกุศล หรือเป็นอกุศล เห็นไหม เพราะฉะนั้น จึงต้องอาศัยเจตสิกที่เป็นฝ่ายโสภณ อย่างน้อย ๑๙ ประเภทเกิด ขณะนั้นจิตจึงจะเป็นกุศลจิตได้ หรือเป็นโสภณจิตได้ มีกำลัง ทั้งๆ ที่วันทั้งวันนี่ เป็นอกุศลทั้งนั้นเลย ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อกุศลบ่อยๆ แต่กุศลก็ยังเกิดได้บ้าง เช่นขณะที่เข้าใจธรรม ไม่ใช่เพียงฟังแต่ไม่เข้าใจ ฟังแล้วจำ จำแล้วลืม ก็คือว่าขณะนั้นก็ไม่ชื่อว่าเข้าใจ แต่ขณะใดที่เข้าใจ ขณะนั้นเป็นจิตที่ดีแน่ และก็มีกำลังพอที่จะเกิดด้วย นี่แสดงให้เห็นว่า ถ้ามีกุศลจิตเกิดบ่อยๆ ก็ต้องมีเหตุ ก็ทำให้กุศลมั่นคงขึ้น ด้วยเหตุนี้แต่ละคนก็จะเห็นได้ว่า ก่อนฟังธรรมนั้น กุศลคงน้อยกว่าแน่ๆ เลย แต่พอฟังธรรมและขณะที่เข้าใจ กุศลจิตก็เกิดมากกว่า แต่ทั้งหมดก็ไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้น กว่าปัญญาจะถึงระดับที่ทั้งหมดเป็นธรรม เพื่อที่จะละคลายความรัก ความชัง ละทั้งความยินดีและยินร้าย เพราะรู้ความจริงว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีปัจจัยเกิด ไม่มีปัจจัยเกิดไม่ได้ สักอย่างเดียว ทุกอย่างที่เกิด เราเพียงยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นปัจจัยให้เกิด แต่แน่นอนก็คือว่า ใครก็ไปทำให้ธรรมใดๆ เกิดไม่ได้เลย ไม่ว่าธรรมเดี๋ยวนี้เป็นอะไร ก็เพราะมีปัจจัยที่สมควรที่จะต้องให้เป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น ไม่ใช่เราเลย
ด้วยเหตุนี้การศึกษาธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะโดยวิธีใด จะอ่านหรือว่าจะฟัง หรือจะไตร่ตรอง ก็เพื่อให้เข้าใจความจริงตามที่ได้ฟัง แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ว่าบังคับได้ไหม ให้เป็นกุศล เราโกรธ ก็ให้ไปคิดอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อว่าอกุศลจะไม่เกิด โกรธขึ้นมาก็ไปหาวิธีต่างๆ ที่จะไม่ให้เป็นอกุศล หาใหญ่เลย แต่ก็เป็นเรา แล้วไม่มีใครเลยที่สามารถที่จะดับอกุศลได้ นอกจากปัญญาที่เกิดขึ้นตามลำดับขั้น ตั้งแต่ขั้นฟัง ฟังอย่างนี้แล้วไม่โกรธได้ไหม ไม่มีทาง ฟังอย่างนี้แล้วไม่ชอบสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้ไหม ก็ไม่มีทาง เพราะว่าสะสมมามาก มากประมาณไม่ได้เลย ไม่เห็นหยุดเลยวันนี้ ตั้งแต่ลืมตาก็อกุศลทั้งนั้น แต่ก็ยังมีกุศล ขณะที่ได้ฟังพระธรรม
นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งไม่ว่าจะศึกษามากน้อยเท่าไหร่ก็ตาม แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ เข้าใจสภาพที่ได้ศึกษาว่าเป็นอย่างนั้นแน่นอน เห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน เห็นไม่ใช่เรา ได้ยินไม่ใช่เรา คิดไม่ใช่เรา กุศลไม่ใช่เรา อกุศลไม่ใช่เรา ถูกต้องไหม ต้องไตร่ตรอง แล้วก็เป็นความมั่นใจของตนเอง ไม่ใช่ว่าเชื่อตาม
ขณะนี้กำลังฟังธรรมซึ่งเป็นอภิธรรมหรือเปล่า ถ้าละเอียดขึ้นๆ ก็เป็นอภิธรรม เพราะว่าลึกซึ้งและละเอียดขึ้น เพราะเหตุว่ากำลังมีเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าไม่ได้ฟังธรรมเลย ไม่มีทางเลยที่จะรู้ว่า ไม่ใช่เราเลยสักอย่างเดียว ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วย เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเกิดแล้วดับ เร็วสุดที่จะประมาณได้ และผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ก็รู้ว่าธรรมที่เกิดแล้วดับแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย ไปหาที่ไหนก็ไม่มี หาไม่เจอ เพราะดับหมดเลย
อันนี้เป็นมนสิการเจตสิกหรือเปล่า เห็นไหม เราไม่จำเป็นต้องไปเรียกชื่อเลย เพราะว่าหนึ่งขณะจิต มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ถ้าขณะนั้นมีปัญญา ก็มีทั้งมนสิการเจตสิก ปัญญาเจตสิก และเจตสิกอีกมากด้วย แต่ไม่ปรากฏ มี แต่ไม่ปรากฏ เลือกให้ปรากฏ ได้ไหม จะดูอย่างนั้น จะดูอย่างนี้ ได้ไหม ได้ยินคำว่ามุทิตา ก็จะรู้มุทิตาขณะนั้นขณะนี้ได้ไหม ผิดหมดเลย เพราะเหตุว่าดับแล้วในขณะที่กำลังคิด และก็ยังคงเป็นเราที่คิดจะทำอย่างนั้นอย่างนี้
ผู้ฟัง เป็นเรื่องยากมากที่จะบอกว่า ทุกอย่างไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นค่อยๆ คิด แล้วจะตอบถูก ใช่เราหรือเปล่า เห็นเป็นเห็น
ผู้ฟัง เห็นแล้วดับไป ทุกอย่าง
ท่านอาจารย์ ถ้าเช่นนั้น เรา ก็ไม่มีเลย ดับไปหมดทุกขณะ เพราะทุกอย่างดับ
ผู้ฟัง แต่ทุกอย่างมันก็ยังเป็นเรื่องของการยึดมั่น ถือมั่น นี่ตัวเรา นี่เสื้อผ้าของเรา นี่เป็นสิ่งของของเรา ก็ยังเป็นความรู้สึกที่ว่า ยังเป็นเราอยู่
ท่านอาจารย์ พระอรหันต์มีของเราไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ จากความเป็นปุถุชน จากการเป็นพระโพธิสัตว์ ถึงการตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะมีเหตุปัจจัยที่สามารถที่จะทำให้เป็นอย่างนั้นได้
ผู้ฟัง อย่างนี้ก็จะต้องฟังอีก คงจะต้องเป็นสักแสนชาติ
ท่านอาจารย์ ไม่เดือดร้อน เพราะว่าฟังแล้วเข้าใจ แต่ถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจ หรือเข้าใจผิด ไร้ประโยชน์ แต่ถ้าเข้าใจแล้ว ก็รู้ว่าเข้าใจอีกๆ เพราะมีสิ่งที่ปรากฏที่เข้าใจได้ ฟังไป เข้าใจไป แล้วก็จะรู้ว่าต้องฟังอีกนานเท่าไหร่ จนกว่าจะตรัสรู้
ผู้ฟัง อย่างชาตินี้ที่เราได้มานั่งฟังพระธรรม แล้วพอชาติหน้าเราก็จำไม่ได้ว่าเราเกิดเป็นอะไรชาติที่แล้ว แล้วเราก็คงจะมีบุญที่ได้ฟังพระธรรมต่อในชาติหน้า
ท่านอาจารย์ เหมือนชาตินี้ที่ได้ฟังพระธรรมต่อจากชาติก่อน มีชาติก่อนไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นชาติหนึ่งชาติใด จะเหมือนอย่างนี้ไหม ที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นลืมชาติก่อนแล้ว ใช่ไหม
ผู้ฟัง ลืมไปแล้ว
ท่านอาจารย์ ชาตินี้ก็ต้องลืมแน่ แต่ก็เคยได้ฟังมาแล้ว แล้วถ้ามีความเข้าใจแล้ว คนอื่นเอาความเข้าใจนั้นออกไปจากใจของคุณโป๊ดได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่มีทางเลย เป็นตู้นิรภัยที่ปลอดภัยที่สุด แม้แต่ลมแดดก็ไม่ต้อง ไม่ไปกระทบ หรือไปแตะต้องได้เลย ใครก็เอาไปไม่ได้
ผู้ฟัง โป๊ดก็ยังไม่เข้าใจว่า สิ่งที่ปรากฏนี่ มันปรากฏอย่างไร ในเมื่อเห็นก็คือเห็น ได้ยินคือได้ยิน
ท่านอาจารย์ ตอนนี้ทราบแล้วใช่ไหม ถ้าเห็นไม่มี จะรู้ไหม ว่าเห็นเป็นอย่างไร
ผู้ฟัง ตอนนี้ทราบแล้ว
ท่านอาจารย์ ชัดเจน
ผู้ฟัง ชัดเจน
ท่านอาจารย์ ใครก็เอาไปไม่ได้ เมื่อเข้าใจแล้ว
ผู้ฟัง กราบสวัสดีท่านอาจารย์ มีคำถามจากคุณชวนชมที่ประเทศญี่ปุ่น ที่บอกว่าหยอกล้อให้ตกใจเล่น มีโทษอย่างไร เห็นบอกว่าคฤหัสถ์ถ้าเว้นก็เว้นได้ เพราะคนเราก็ย่อมมีเพื่อนหยอกล้อกันเล่นเสมอ
ท่านอาจารย์ คฤหัสถ์หรือบรรพชิต เห็นไหม ถ้าจะหยอกล้อกันเล่น ก็ไม่ต้องไปเป็นบรรพชิต เชิญคุณคำปั่น
อ.คำปั่น ถ้าพูดถึงอกุศลนี่ ไม่ว่าจะเป็นเพศใด ก็ไม่ควรอยู่แล้วใช่ไหม เพราะว่าถ้าพูดถึงการหยอกล้อกัน หรือว่าการทำให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตกใจ ด้วยความคึกคะนอง อย่างเช่นที่บอกว่าภิกษุจี้ภิกษุด้วยกันก็เป็นโทษ เพราะว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะไม่ควร ความไม่เหมาะไม่ควรที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นเพราะจิตประเภทใด ก็ต้องเป็นอกุศลจิต ถ้ามีกุศลเกิดขึ้นจะไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน นี่ก็เป็นความจริงที่แสดงถึงความเป็นจริงว่า ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ตาม ความเป็นไปของธรรมเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ถ้าอกุศลเกิดกับคฤหัสถ์ก็ไม่ดี เพราะว่าธรรมขณะนั้นก็คืออกุศลธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ถ้าเกิดกับเพศบรรพชิต ก็อกุศลธรรมนั่นแหละที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นความเป็นจริงก็คือ ศึกษาให้เข้าใจความจริง แล้วปัญญาก็จะสามารถที่จะคอยประคับประคองให้ชีวิตเป็นไปในทางที่ถูกที่ควรได้ เพราะว่าปัญญาคือความเข้าใจธรรมนี้ อุปการะเกื้อกูลให้คุณความดีทั้งหลายเจริญขึ้น และอกุศลทั้งหลายก็ถูกขัดเกลา ละคลาย เพราะฉะนั้นปัญญาจึงเป็นสิ่งที่มีค่า เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดจริงๆ
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องหยอกล้อกิเลสก็มากแล้ว ไม่ใช่หรือ ยังหยอกด้วย ล้อด้วย บางทีก็ตกใจมากเลยใช่ไหม บางคนอาจจะเป็นลมไปก็ได้ ก็เป็นโทษ เพราะว่าถ้าคำนึงถึงอกุศลก็มีอยู่แล้วมาก ควรจะเพิ่มหรือเปล่า ด้วยเหตุนี้ ถ้าเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ แม้ข้อความในพระไตรปิฎก เช่นเรื่องละคร การละเล่น นางสีดา พระราม อะไรก็แล้วแต่ ยาว พวกนั้น ปกติก็อกุศลอยู่แล้ว เมาอยู่แล้ว ด้วยความไม่รู้ แต่ก็ยังเพิ่มอีกและก็ไม่ใช่คนเดียว ชวนคนอื่นหมดเลย หนังสือต่างๆ รายสัปดาห์ อะไรมากเลย มีแล้ว กิเลสก็ยังไม่พอ เพราะฉะนั้น จะเห็นจริงๆ ว่าถ้าไม่เห็นโทษจริงๆ คิดไหมที่จะละกิเลส หรือว่าคิดไหม เพียงแค่ได้ฟังพระธรรมเพื่อที่วันหนึ่งกิเลสจะได้ลดน้อยลง
เพราะฉะนั้นทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จริง แล้วก็เป็นเหตุที่จะให้อกุศลเจริญมากขึ้นด้วย ด้วยเหตุนี้พระผู้มีพระภาคพระองค์เดียวเท่านั้นที่จะทรงบัญญัติ การกระทำที่เป็นภิกษุ บางคนคิดว่าเล็กน้อยเหลือเกิน ทำไมต้องละเอียดอย่างนี้ ทำไมขัดเกลาอย่างนี้ เพราะเขาไม่มีปัญญาที่จะรู้ว่า ถ้าไม่ขัดเกลาจริงๆ ก็มีแต่การจะเพิ่มกิเลส เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นโทษของกิเลส จนกระทั่งคิดว่าตนเองนั้น สามารถที่จะมีชีวิตอยู่อย่างเพศบรรพชิตได้และอุปสมบท ก็ต้องประพฤติตาม มิเช่นนั้นก็ลาสิกขาไป ดีที่สุด คือว่าไม่อยู่ให้เป็นโทษแก่ตนเอง ทั้งยังมีชีวิตอยู่ และหลังจากที่สิ้นชีวิตแล้วด้วย
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 841
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 842
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 843
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 844
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 845
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 846
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 847
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 848
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 849
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 850
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 851
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 852
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 853
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 854
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 855
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 856
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 857
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 858
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 859
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 860
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 861
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 862
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 863
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 864
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 865
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 866
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 867
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 868
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 869
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 870
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 871
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 872
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 873
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 874
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 875
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 876
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 877
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 878
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 879
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 880
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 881
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 882
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 883
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 884
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 885
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 886
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 887
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 888
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 889
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 890
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 891
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 892
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 893
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 894
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 895
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 896
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 897
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 898
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 899
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 900
