ปกิณณกธรรม ตอนที่ 862
ตอนที่ ๘๖๒
สนทนาธรรม ที่ ราวินโฮม รีสอร์ท จ.นครนายก
วันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๙
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่ละเอียดมาก ยิ่งฟังธรรม ยิ่งเข้าใจ ยิ่งเห็นความลึกซึ้ง แต่ถ้าความเข้าใจน้อย ก็เหมือนกับว่า รู้มากแล้ว ใช่ไหม แต่ว่าขาดความรอบรู้ในปริยัติ ซึ่งจะต้องถึงความเป็นสัจจญาณ มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะว่าเราเรียนมากี่ปี เราได้ฟังเรื่องเห็นเกิดดับมากี่ครั้ง แต่เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นเรา ทั้งๆ ที่ก็กำลังเห็น และกำลังฟังด้วย ปัจจัยยังไม่พอที่จะถึงปฏิปัตติ ซึ่งเป็นกิจจญาณของปัญญาที่จะรู้ ค่อยๆ รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น ถ้าจะไปกล่าวถึงอาการ ๓ ของอริยสัจจ์ ๔ เป็น ๑๒ รอบนี่ ไม่มีทางที่จะรู้ได้ ถึงอริยสัจจะที่ ๓ และที่ ๔ เพราะทรงแสดงไว้ว่าอริยสัจจะทั้ง ๔ ลึกซึ้ง ทั้ง ๔ นี่ แล้วจะประมาทได้อย่างไร ว่าจะไปทำอย่างนั้น ไปทำอย่างนี้ แล้วก็จะรู้แจ้งสัจจธรรม ไปสำนักปฏิบัติ นั่งนานๆ เดินบ้าง แล้วเข้าใจอะไร แล้วจะมีทางที่จะเข้าถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงพระมหากรุณาให้เราได้ค่อยๆ เกิดปัญญาไหม เพราะฉะนั้น ทางหลงมีมาก
ด้วยเหตุนี้ จึงแสดงว่าอริยสัจจะที่ ๒ เป็นสิ่งที่จะต้องละตั้งแต่ต้น เพราะว่ามากมายเหลือเกิน จะไปละตอนไหนได้ ถ้าตอนต้นไม่ละ เพราะฉะนั้น แม้แต่การเริ่มศึกษาธรรม ตั้งจิตไว้ชอบ ถ้าฟังเผิน “เรา” อีกแล้ว ต้องตั้งจิตไว้ชอบ แต่ความจริง “จิต” ต่างหาก เจตสิกและจิตที่ได้ฟังมาแล้ว ทำให้รู้ว่า ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะเดี๋ยวนี้มีแล้ว เพราะเกิดแล้วตามปัจจัย ถ้าไม่รู้เดี๋ยวนี้ จะเข้าใจความเป็นอนัตตา ซึ่งเป็นปัจจัยให้เห็นเดี๋ยวนี้ได้อย่างไร เพราะเห็นเดี๋ยวนี้ มีปัจจัยให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น จะรู้ “เห็น” ก็ต้องเพราะฟังธรรมและเข้าใจ จึงละการติดข้องในเห็น เพราะเรื่องละนี่ ไม่ใช่ไปละอื่นเลย เราติดข้องในอะไร เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ชีวิตประจำวันทั้งหมด เพราะฉะนั้น จะละ ก็คือ ละความไม่รู้ ที่ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วเคยเข้าใจอย่างนี้หรือเปล่า แต่ก็พูดถึงอาการ ๓ รอบของอริยสัจจ์ ๔ เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่ว่าไม่ใช่รีบร้อน แต่เป็นเรื่องรู้จักธรรมที่เกิดดับสืบต่อ สะสมมาตามความเป็นจริงว่า ยังยึดถือสภาพธรรม เพราะไม่เข้าใจ มากน้อยแค่ไหน ต้องเป็นคนที่ตรงจริงๆ จึงจะได้สาระจากพระธรรม อย่าลืม ทั้ง ๔ อริยสัจจะ ลึกซึ้ง
อ.วิชัย ในส่วนของการที่จะเข้าใจ “สิ่งที่ปรากฏ” เช่น เห็น แล้วก็รู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งเป็นการที่จะคิดถึงนิมิตสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็มีการที่จะคิด จนเป็นอัตถบัญญัติต่างๆ มีปัจจัยในการที่จะทรงจำ แล้วก็ยังไม่เห็นความที่เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น แต่ว่าดูเหมือนว่า การที่จิตเป็นไปอย่างนี้ ก็เป็นปกติของเขาที่จะต้องเห็นแล้วก็ต้องคิดจากนิมิตสัณฐาน แล้วก็ทรงจำว่าคืออะไร
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เขาจำผิดไว้มากแค่ไหน
อ.วิชัย ก็นานมากแล้ว
ท่านอาจารย์ แล้วจะให้ค่อยๆ ละการจำผิด เป็นจำถูกขึ้น แค่ไหน
อ.วิชัย ต้องอบรมนานมากเหมือนกัน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องคิดถึงเลย กาลเวลา ว่าจะเข้าใจเห็นขณะนี้ เพียงหนึ่งอย่าง ทีละหนึ่ง จึงจะชื่อว่ารู้ชัด ถ้าหลายๆ อย่าง ไม่มีทางรู้ชัด เหมือนเดี๋ยวนี้ รู้ชัดไม่ได้เลยสักอย่าง ใช่ไหม แต่ว่าถ้าจะรู้จริงๆ ชัดจริงๆ ต้องทีละหนึ่ง นั่นคือ รู้รอบในสิ่งที่ปรากฏ ไม่มีสิ่งอื่นปะปนเลย
เพราะฉะนั้น จะคำนึงถึงไหมว่าเมื่อไหร่ เพียงแต่ว่าฟังไปแล้วเข้าใจขึ้น แล้วปัญญาความเห็นถูก นั่นแหละ จะทำกิจของปัญญา
อ.วิชัย บางครั้งก็มีการคิดถึง แล้วก็มีความต้องการจะรู้ ขณะนั้นก็รู้ว่าเป็นความต้องการที่ อยากจะให้รู้เพียงแค่สิ่งที่ปรากฏ เป็นเพียงแค่สีเท่านั้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ลึกซึ้งไหม ธรรม
อ.วิชัย สมุทัย ก็ลึกซึ้งด้วย
ท่านอาจารย์ ทั้งหมด เพราะฉะนั้น กว่าปัญญาจะเกิดแทนความไม่รู้ เพราะว่าปัญญาเท่านั้น ที่จะละ อย่างอื่นละไม่ได้เลย เอาโลภะไปละโลภะ ไม่มีทางเป็นไปได้ แม้แต่สติ หรือศรัทธา หรือสภาพธรรมอื่นๆ ก็ละไม่ได้ ต้องปัญญา แต่ปัญญาจะเกิดเอง ก็ไม่ได้ ต้องอาศัยกุศลธรรม เช่น โสภณเจตสิก ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป นั่นจึงจะเป็นการละ เพราะบางคนคิดว่าจะไปนั่ง สำนักปฏิบัติ จะไปละ แล้วเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นนี่ จะละอย่างไร เพราะติดในเห็น ใช่หรือเปล่า ติดในได้ยิน ใช่หรือเปล่า แล้วจะละอย่างไร เพราะฉะนั้น ต้องเป็นชีวิตปกติประจำวันเท่านั้น ที่สามารถทำให้ถึงการรู้ แล้วละได้ เพราะว่าติดข้องในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ไปติดข้องในที่อื่น แต่ติดข้องในชีวิตประจำวัน แล้วจะไปทำอย่างอื่นให้ละนี่ การไม่เข้าใจธรรมเป็นการที่จะทำให้พระธรรมอันตรธาน เพราะฉะนั้น ชีวิตจริงเท่านั้นที่จะให้ความจริง ที่ปัญญาจะรู้ได้
ตอนที่สนทนากันที่สนามบิน ก็มีโทรทัศน์ คุณนีน่าก็สนใจสุนัขมาก น่ารักมาก ดิฉันก็เห็นในโทรทัศน์ ถ้าไม่มีการฟังมาก่อน จะรู้ไหมว่า ขณะนั้นกำลังติดสิ่งที่กำลังน่าดูในโทรทัศน์ แสดงว่าก่อนจะได้ฟังธรรม ไม่รู้เลย ขณะไหนเป็นโลภะ ขณะไหนเป็นความเข้าใจธรรม การฟังธรรม สลับกันเร็วมาก แต่ว่าเมื่อได้ฟังแล้ว ก็รู้ว่าเป็นธรรมทั้งหมด ไม่ให้เห็นโทรทัศน์ได้ไหม ไม่ได้ แต่แทนที่จะเป็นโทรทัศน์ ก็เป็นคนนั้น คนนี้ที่นั่งอยู่ที่นี่ ต่างกันที่ไหน
เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้ว่าทั้งหมด ไม่ว่าเมื่อไหร่ ก็เป็นธรรม มีจริงๆ เกิดแล้วปรากฏ แต่ถ้าไม่ได้ฟังธรรมเลย เราก็รู้ว่าหมดไปแล้ว ใช่ไหม โดยความเป็นเรา แต่จากการที่เคยฟังมาแล้ว คุณนีน่าก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าขณะนั้นกำลังพอใจ สนุกกับสุนัขที่อยู่ในโทรทัศน์ เพราะฉะนั้น ถ้าสะสมปัญญามา ไม่มีใครจะทำอะไรได้เลย สามารถจะถึงการละความติดข้องในขณะหนึ่งขณะไหนก็ได้ โดยไม่เลือก เพราะว่าก่อนที่เราจะไปนั่งที่สนามบิน คุณนีน่าจะรู้ไหมว่าจะมีโทรทัศน์เรื่องสุนัขน่ารัก ไม่รู้เลย เพราะฉะนั้น ข้างหน้าต่อไปนี่ เราก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่จากการที่เราได้สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในขณะที่มีสิ่งที่กำลังปรากฏนั้น ก็จะทำให้สามารถ มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งเป็นอะไรก็ได้ แต่ก็สามารถที่จะเข้าใจถูกได้ ขณะนั้น จึงรู้ว่าไม่ใช่เรา แต่ธรรมเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวติด เดี๋ยวเข้าใจ เดี๋ยวอะไร ทุกอย่างเร็วมาก
ผู้ฟัง ทุกอย่าง ต่างกันโดยความคิด อาจจะเป็นความคิดโดยตัวตน นี่ยากจริงๆ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จึงมีปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ ห่างไกลกันคนละขั้น ไม่ใช่พอฟังแล้วก็ปฏิบัติได้เลย เป็นไปไม่ได้เลย จากปริยัตินี่ ถ้าไม่รอบรู้จริงๆ เป็นสัจจญาณ ก็ไม่มีทาง ที่จะถึงปฏิปัตติ ซึ่งเป็นกิจจญาณ ของสติและปัญญา
อ.กุลวิไล ตอนแรกดิฉันก็คิดว่าทุกขสัจจ์ นี่ เราต้องรู้ก่อนแน่นอน เพราะว่าเป็นธรรมที่เกิดดับ แล้วก็มีสมุทัย ที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ แต่ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจว่าสัจจะที่ ๒ นี่ ต้องละตั้งแต่ต้น เพราะว่าแม้แต่เห็นมีขณะนี้ มีความติดข้องในสิ่งที่เห็นนี่ ก็จะเห็นได้ว่า สิ่งที่เราต้องละ ก็คือละสิ่งที่กำลังติดข้องในขณะนี้
ท่านอาจารย์ ต้องละ ตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ขั้นฟัง ทีละคำ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ขณะที่ว่าจะไปละ ตั้งแต่ต้นนี่ จะไปละเห็นตั้งแต่ต้นนี่ เป็นไปไม่ได้ แต่ต้องละ แม้แต่การตั้งจิตไว้ชอบในการฟังธรรม ว่าฟังเพื่ออะไร ถ้าฟังเพราะอยากจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ผิดหรือถูก “อยาก” อย่าลืม ไม่ได้ละอะไรเลย แล้วก็แฝงไว้ด้วย ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ละตั้งแต่ต้น คือ ตั้งแต่เริ่มฟัง ว่าฟังเพื่ออะไร เป็นผู้ที่ตรงต่อความจริง เพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้น ฟัง ไม่ใช่เพื่อ "เรารู้" แต่ฟังเพราะรู้ว่า เมื่อไม่รู้แล้ว ฟังแล้วเป็นความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ซึ่งจะต้องฟังด้วยความเข้าใจถูก คือ ละว่า ไม่ใช่ “เรา” ที่ฟังเพื่อ ”เรา” แล้วเป็นอย่างนี้หรือเปล่า นี่คือ ถ้าตราบใดที่ยังไม่เป็นอย่างนี้ ก็ฟังเพื่อเรา เยอะมาก ฟังเพื่อเราที่จะได้รู้ จะได้จำ จะได้ตอบได้ สอบได้ อย่างนั้นหรือ ละ ไม่ใช่ละเลย แล้วจะถึงการรู้แล้วละ รู้แล้วละ รู้แล้วละ ได้อย่างไร เพราะแม้ตั้งแต่ต้นก็ไม่ได้ละแล้ว
เพราะฉะนั้น อย่างที่คุณกุลวิไลว่า ละการยึดติดในเห็นตั้งแต่ต้นนี่ ก็ต้องจากการฟังว่า ไม่ใช่เรา โดยความแยบคายจริงๆ ว่าทั้งหมดในชีวิต ที่จะได้ฟังธรรมนี่ เพื่อละความไม่รู้
อ.กุลวิไล ขณะที่มีความเข้าใจในสิ่งที่เห็น ที่กำลังปรากฏ ขณะนั้นก็เป็นปัญญา ไม่ต้องกล่าวว่า ละ ก็คือขณะนั้นก็เป็นไปกับกุศลธรรมนั่นเอง
ท่านอาจารย์ ธรรมเปลี่ยนไม่ได้เลย กุศลก็เป็นกุศล อกุศลก็เป็นอกุศล แต่เพราะไม่รู้ กุศลและอกุศลก็เกิดสลับกัน ก็ยากที่จะรู้ว่าขณะไหนเป็นโลภะ เป็นอกุศล และขณะไหนเป็นกุศล เห็นไหม
เพราะฉะนั้น แม้ขณะนี้เองก็มีจักขุปสาท เป็นรูปพิเศษที่สามารถกระทบกับเฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ และสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ มีจริงๆ แต่ไม่เคยรู้เลยว่ามีอย่างไร อยู่ที่ไหน แต่ก็มีจริงที่มหาภูตรูป เพราะเมื่อมีมหาภูตรูปแล้วต้องมีรูปที่สามารถกระทบตา เป็นสีสัน วรรณะ หนึ่งรูป กลิ่นก็อยู่ที่มหาภูตรูป สามารถกระทบกับจมูกเท่านั้น ไม่กระทบกับอย่างอื่นเลย รสก็อยู่ที่มหาภูตรูป แต่ปรากฏเมื่อกระทบลิ้น เวลากระทบลิ้น มหาภูตรูปไม่ได้ปรากฏเลย มหาภูตรูปเป็นแต่เพียงพื้น “มหาภูตะ” เป็นธาตุที่เป็นรูป ที่เป็นใหญ่ ถ้าปราศจากธาตุทั้ง ๔ นี้แล้ว รูปอื่นมีไม่ได้เลย นี่คือความเป็นปัจจัยทั้งหมดของสิ่งซึ่งปรากฏชั่วนิดเดียว จะใช้คำว่าแวบเดียวก็ได้ และก็ดับไป เพราะฉะนั้น ความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ใครจะปฏิเสธ เวสารัชชญาณ ที่จะแกล้วกล้า ที่จะบอกความจริงอย่างละเอียดยิ่งทั้งปวง ซึ่งใครก็ค้านไม่ได้
เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ เราเรียนเรื่องอารัมมณปัจจัย แต่เกื้อกูลไหม ขณะที่กำลังเห็น แต่ว่าเป็นสิ่งที่จะค่อยๆ สะสม จนกระทั่ง ค่อยๆ มั่นใจว่า ทุกอย่างนี้เป็นสิ่งที่มีจริงชั่วคราว เพียงเมื่อมีปัจจัยทำให้เกิดแล้วดับไป ถ้าสิ่งนั้นเกิดปรากฏในลักษณะนั้น ซึ่งจะเป็นเราไม่ได้เลย เป็นแต่ละลักษณะของสิ่งนั้นเท่านั้น แล้วก็ดับ จะเป็นเราได้หรือ
เพราะฉะนั้น การที่จะละความเป็นตัวตน ซึ่งยึดมั่นในธรรมมานานแสนนานนี่ ก็ต่อเมื่อฟังแล้ว แต่ละคำกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งกว่าจะปรุงแต่ง จนกระทั่งทำให้ปัญญาเริ่มที่จะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่ในขั้นของการฟัง แต่ ปฏิ เฉพาะ ปฏิ ถึงเฉพาะลักษณะหนึ่ง โดยความเป็นอนัตตา นี่คือคำสอนในเรื่องของอริยสัจจ์ ๔ ซึ่งแสดงอาการ ๓ รอบ คือ ปราศจากปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ไม่ได้ หรือ จะกล่าวว่าปริยัติ การฟังพระพุทธพจน์ จนกว่าจะรอบรู้ ถึงความเป็นสัจจญาณ จึงจะเป็นปัจจัยให้สติปัฏฐานเกิด
เพราะฉะนั้น ใครได้ยินชื่อสติปัฏฐาน แล้วไปทำสติปัฏฐาน ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ด้วยเหตุนี้การฟังพระธรรม จึงต้องละเอียด จึงจะตรงกับพระพุทธประสงค์ที่ว่า ทรงแสดงแต่ละคำเพื่อให้เกิดปัญญาที่สามารถถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ด้วยเหตุนี้ ก็ไม่ใช่เพียงแต่ว่าตั้งแต่ต้น คือเห็น แต่ตั้งแต่ต้น คือ แม้การฟัง ต้องฟังให้ถูก ไม่ใช่ว่าฟังด้วยความเป็นเราที่ต้องการจะรู้ เพราะฉะนั้น พอถึงสำนักปฏิบัติ ทั่วโลก ที่เวียดนามก็มีมาก สำนักที่จะฟังธรรมนั้นไม่มี นอกจากกลุ่มที่เริ่มสนใจธรรมเป็นคณะ เหมือนคณะศึกษาธรรมตั้งแต่เริ่มต้น
พูดถึงปัจจัย พอกล่าวอย่างนี้ก็เรียนถามท่านว่า ที่ท่านต้องการเข้าใจชื่อต่างๆ และก็ปัจจัยต่างๆ นี่ เป็นอะไร ท่านก็เริ่มรู้ว่า เป็นโลภะ เพราะตราบใดที่ยังมีโลภะจะไม่ให้โลภะเกิดได้หรือ ด้วยเหตุนี้ จึงมีว่าโลภะไม่เกิดเมื่อไหร่ ไม่ติดอะไร ก็ไม่ติดข้องเฉพาะเวลาที่มรรคจิต ผลจิตเกิด นิพพานเกิด นั่นแหละ โลภะเกิดไม่ได้เลย ไม่มีทางที่โลภะจะไปติดข้องในมรรค ผล นิพพาน แต่ว่าอย่างอื่น แซงได้ แทรกได้โดยตลอด
เพราะฉะนั้น ท่านก็เริ่มรู้ แล้ววันหนึ่งดิฉันก็ขอร้องให้ผู้ที่ฟัง พูดถึงสำนักปฏิบัติ ที่ปฏิบัติว่า อยากทราบว่าปฏิบัติอย่างไร เขาจะได้เข้าใจว่านั่นเป็นหนทางที่จะเข้าใจธรรมหรือ ไม่มีใครพูดเลย เงียบ แม่ชีซึ่งตอนนี้ได้ทราบว่าเป็นหัวหน้าแม่ชีของสำนักหนึ่ง พูดชัดเจน การปฏิบัติโดยวิธีนั่ง นอน ยืน เดิน หรือการกระทำใดๆ ก็ตาม ไม่เป็นเหตุนำมาซึ่งปัญญา ความเห็นถูก แล้วก็กล่าวว่า เช่น อารัมมณปัจจัยที่เราพูดเมื่อเช้านี้หรือวันก่อน โดยไม่รู้ว่าขณะนี้ สิ่งที่ปรากฏ เราใช้คำว่า อารมณ์ เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิด ไม่มีประโยชน์ของการที่จะศึกษาชื่อต่างๆ แต่ไม่รู้ว่าขณะนี้แหละ แม้แต่คำว่า อารัมมณปัจจัย ก็เมื่อกำลังมีสิ่งที่ปรากฏทางตาอย่างนี้แหละ
นี่คือประโยชน์จริงๆ ของการเข้าใจธรรมว่า เรียนทำไม ไม่ใช่เรียนไปจำชื่อ ชาติหน้าลืมหมด แต่เรียนให้รู้ว่า เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องเรียกชื่อว่า อารัมมณปัจจัย แต่มีสิ่งที่จิตกำลังรู้ ประโยชน์ของการศึกษาธรรม เตือนให้รู้ว่า ไม่มีใครไปทำอะไรได้เลย มีแล้ว สิ่งที่ปรากฏก็ปรากฏแล้ว เพราะจิตเกิดขึ้นเห็น โดยปัจจัย ไม่มีการไปทำอะไรได้เลย ก็เป็นที่น่าอนุโมทนา ที่แม่ชีสามารถที่จะรู้ประโยชน์ของการฟังเรื่องปัจจัย และการศึกษาธรรม
เพราะฉะนั้น ฟังธรรม จนกว่าจะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ แม้แต่อารัมมณปัจจัย ไม่ใช่ชื่อ แต่เดี๋ยวนี้มีอารมณ์ คือ สิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ฟังธรรมจนกว่าจะรู้ความจริง โดยนัยประการต่างๆ ถ้าพูดถึงสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้กำลังปรากฏ สนใจในสิ่งที่จิตรู้ทั้งวัน ลืมว่าข้างหลัง เบื้องหลัง ที่ถูกคว่ำไว้ก็ คือ จิต นั่นแหละ ไม่มีรูปร่างใดๆ เลย ธาตุรู้อย่างเดียว เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ขาดเลย
เพราะฉะนั้น จึงทรงแสดงสภาพธรรมทั้งหมด ที่เป็นสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ โดยอารมณ์ว่า ไม่เคยขาดเลย แต่เราก็ลืมเดี๋ยวนี้ แต่ฟังบ่อยๆ จนกว่าเข้าใจถูก ในความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏ มี กำลังปรากฏ ไม่ใช่สภาพรู้ ต่างกับธาตุรู้ซึ่งเห็น เท่านี้ แต่ละหนึ่งขณะ จะปราศจากจิตกับอารมณ์ไม่ได้เลย
อ.กุลวิไล ที่ท่านอาจารย์ได้ให้ความเข้าใจตอนต้นว่า ยังมีผู้ที่กลัวที่จะรู้ความจริง เพราะว่าจริงๆ แล้ว ความจริงก็เป็นสิ่งที่ควรรู้ แล้วสิ่งที่รู้ได้ ก็ต้องเป็นปัญญานั่นเอง แต่ยังมีผู้ที่กลัวที่จะรู้ความจริง
ท่านอาจารย์ เห็นกำลังของโลภะไหม ชีวิตนี้ก็สบายดี รู้ไปทำไม นี่คือไม่อยากรู้ ไม่คิดว่าจำเป็น หรือ ไม่คิดว่ามีประโยชน์ ทรัพย์สินเงินทองก็มี แต่ว่ามีจริงหรือเปล่า ถ้าคิดว่ามีจริง อยู่ไหน ถ้าไม่คิด และบางคนก็สูญหาย ถูกขโมย คุณนีน่าก็ถูกขโมยที่ฮอลแลนด์ ก็ถามว่าเป็นอย่างไรกับธรรม ดิฉันก็บอกว่า ก็ไม่มีปัจจัยที่จะเห็น เท่านั้นแหละ ใช่ไหม ที่ว่าถูกขโมย ก็คือว่าไม่มีปัจจัยที่จะเห็นสิ่งนั้นอีก เท่านั้น
เพราะฉะนั้น เห็นสิ่งอื่นก็มีปัจจัยที่จะเห็นสิ่งอื่น และความจริง ถ้าไม่คิด ไม่ว่าเงินหรือทอง ทั้งหมดนี่ เป็นเศษกระดาษหรือเปล่า หรือว่าเป็นแค่วัตถุที่เรายินดีติดข้อง นำมาซึ่งสิ่งที่เราต้องการ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เราคิดว่าเรามีทรัพย์สินเงินทองมาก จากโลกนี้ไปแล้ว ไหนของเรา เป็นของเราอีกต่อไปหรือเปล่า หรือมีหรือเปล่า เมื่อไม่มีเราแล้ว ทรัพย์สินเงินทองนั้นจะมีเป็นของเราได้หรือ เพราะฉะนั้นก็ระหว่างที่อยู่ในโลกนี้ ก็เป็นเรื่องของความคิดทั้งหมด ไม่ใช่ไม่มี มี แต่ไม่เข้าใจความจริงว่า คืออะไร คือสิ่งที่จะปรากฏ หรือไม่ปรากฏ ถ้ายังไม่ถูกขโมยไป ก็มีปัจจัยที่จะเห็น ถ้าถูกขโมยไปหมด ก็ไม่มีปัจจัยที่จะเห็น แม้แต่เงินในธนาคาร ถ้ามีการล้มละลาย กลายเป็นเศษกระดาษหมด ก็ไม่มีปัจจัยที่จะให้มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพราะสิ่งนั้นๆ
เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นเรื่องที่เหตุกับผลตรง แต่คนไม่เข้าใจ ทำไมคนจน ทำไมคนมั่งมี ถ้าไม่มีเหตุ จะเป็นอย่างนั้นหรือ ทำไมบางคนมีบริวารมาก มีบริวารน้อย ถ้าไม่มีเหตุจะเป็นอย่างนั้นหรือ ทุกอย่างต้องมีเหตุ แต่เพราะไม่เข้าใจ ก็ติดข้อง และไม่ได้สะสมการที่จะเห็นประโยชน์อย่างยิ่ง คือ ความเห็นถูกต้องของสิ่งที่มีในชีวิตแต่ละขณะ ก็ทำให้ไม่อยากที่จะเข้าใจความจริง เพราะติดข้อง เพราะคิดว่าความจริงเสียดาย
เกิดมาแล้วอยากอายุสักเท่าไหร่ดี เสียดายไหม ถ้าน้อย เห็นไหม ไม่มีใครคิดถึงว่าต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน แต่ก่อนจะเป็นอย่างนั้น ชีวิตทั้งชีวิตนี่ เมื่อชีวิตนี้ ชาตินี้เป็นอดีตของชาติหน้า ทำอะไรไว้ในชาตินี้ ไม่มีทางที่จะรู้ได้เมื่อถึงชาติหน้า แต่รู้ได้จริงๆ ในชาตินี้แหละ ทำอะไร เพราะชาตินี้เป็นอดีตของชาติหน้า ชัดเจน ไม่ต้องถามใคร แต่พอถึงชาติหน้าลืมหมด ทำอะไรไว้ก็ไม่รู้ ใช่ไหม คิดถึงว่าชาติก่อนเราทำดี ชั่ว แค่ไหนนี่ ไม่มีทางรู้ แต่ดี ชั่ว ทุกวันเดี๋ยวนี้แหละ เป็นสิ่งที่รู้ได้ในชาตินี้ ซึ่งเป็นชาติก่อนของชาติหน้า และชาตินี้ก็เป็นอนาคตของชาติก่อน ก่อนจะเกิดมาเป็นคนนี้ เป็นใครอยู่ที่ไหน อาจจะสงสัยว่า แล้วชาติหน้าเราจะเป็นอะไร เหมือนเราสงสัย ใช่ไหม ยังไม่ถึงชาติหน้าก็สงสัยว่าชาติหน้าเราจะเป็นอะไร แต่พอถึงชาติหน้า ก็ชาติก่อนเราเป็นอะไร ไม่พ้นความสงสัยไปได้ เพราะฉะนั้น ชาติก่อนเราไม่รู้เลย เราจะเกิดที่ไหน แต่ละวันจะเป็นอย่างไร เกินการคาดคะเน
อ.วิชัย ความรู้ที่มั่นคงในความจริงที่เป็นทุกขนิโรธ และทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา คืออย่างไร
ท่านอาจารย์ แต่ความจริงต้องตามลำดับขั้น เพราะเหตุว่า ยังไม่ถึงกิจจญาณก็จริง แต่สัจจญาณต้องมีแน่นอน ที่ว่า เดี๋ยวนี้เป็นทุกขสัจจะ ไม่ไปแสวงหาที่ไหนเลยทั้งสิ้น เพราะว่ามีแล้ว ปรากฏแล้ว ไม่รู้
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 841
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 842
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 843
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 844
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 845
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 846
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 847
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 848
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 849
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 850
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 851
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 852
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 853
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 854
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 855
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 856
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 857
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 858
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 859
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 860
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 861
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 862
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 863
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 864
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 865
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 866
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 867
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 868
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 869
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 870
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 871
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 872
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 873
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 874
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 875
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 876
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 877
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 878
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 879
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 880
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 881
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 882
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 883
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 884
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 885
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 886
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 887
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 888
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 889
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 890
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 891
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 892
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 893
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 894
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 895
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 896
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 897
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 898
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 899
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 900
