ปกิณณกธรรม ตอนที่ 886
ตอนที่ ๘๘๖
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมเอเชี่ยน หาดใหญ่ จ.สงขลา
วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีตา จักขุปสาท กรรมเป็นปัจจัยให้รูปนี้เกิดขึ้น ไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏกระทบตา เห็นเกิดไม่ได้เลย แต่สองสิ่ง เมื่อสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้กระทบตา ยังไม่มีการเห็น แต่เมื่อกระทบแล้วเป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้น กำลังเห็นเดี๋ยวนี้เห็นแล้วก็ดับไป ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เริ่มเข้าใจถูกต้องว่า ทั้งหมดเป็นธรรม อะไรบ้างที่ไม่ใช่ธรรม ไม่มีเลยสักอย่างเดียว เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าใจจริงๆ ในความเป็นธรรม ก็คือปัญญานั่นแหละ เริ่มเป็นผู้ที่ตรงมีเหตุผล และรู้ว่าไม่ใช่เรา แม้ปัญญาก็ไม่ใช่เรา ปัญญาเกิดแล้วก็ดับไป พอดับไปโทสะเกิดก็ได้ โลภะเกิดก็ได้ มานะเกิดก็ได้ สภาพธรรมที่เกิดใครยับยั้งไม่ได้เลย มีปัจจัยเกิดก็เกิด ปัญญาก็ไม่ใช่สภาพธรรมเหล่านั้น เพราะฉะนั้นปัญญาเกิดเมื่อไหร่ ปัญญาทำหน้าที่ของปัญญาคือเข้าใจถูก แล้ววันหนึ่งวันหนึ่งปัญญาจะเกิดน้อยหรือจะเกิดมาก เพราะฉะนั้นไม่มีตัวตนไปทำหน้าที่ของปัญญา แต่ถ้ามีตัวตนไปทำหน้าที่ของปัญญาเมื่อไหร่ ก็คือว่า ผู้นั้นไม่ได้เข้าใจธรรมว่าธรรมไม่ได้อยู่ในหนังสือ แต่ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้เพิ่มขึ้น ตรงขึ้น ถูกต้องขึ้น เพราะฉะนั้นปัญญานั่นเองทำหน้าที่ของปัญญา แต่ว่าถ้าใครไปพยายามที่จะเป็นปัญญา พยายามจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ก็คือกั้นปัญญา ปัญญาเกิดไม่ได้ เพราะตัวตนเข้าใจว่าจะต้องทำอย่างหนึ่งอย่างใด
ผู้ฟัง เป็นโดยเฉพาะที่มีโลภะคือความต้องการ อันนี้ก็ไม่ทราบที่ทำๆ ทั้งหลาย ที่แท้เป็นโลภะ เป็นความต้องการ
ท่านอาจารย์ อยู่ด้วยกันมานานแสนนาน แทบจะว่าทุกโอกาส ทางตาเดี๋ยวนี้มีโลภะไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เห็นไหม แค่เห็นก็มีแล้ว ทางหูก็มี ก็แล้วแต่ เกิดได้บ่อยมาก แต่ว่าหลบๆ ซ่อนๆ ไม่ให้ใครรู้ใครเห็นว่า ขณะนี้มีโลภะหรือเพราะโลภะเป็นไปด้วยโลภะ แค่เอื้อมมือไปตักอาหาร โลภะหรือเปล่า ตักสิ่งที่ชอบไปเรื่อยๆ ทีละคำสองคำ ไม่รู้เลยว่าเป็นโลภะ ซึ่งอยู่มานานและจะอยู่ต่อไปด้วย จนกว่าปัญญาจะรู้จักโลภะ ก็เริ่มละโลภะ เพราะเห็นโทษของโลภะ
ผู้ฟัง การนั่งสมาธิก็มีมาก่อนพระพุทธเจ้า คือฝึกจิตกันได้ระดับสูง แต่ว่าไม่สามารถดับกิเลสได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่วิปัสสนา วิปัสสนาคืออะไร เห็นไหม ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัญญาทั้งหมด เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่รู้ ก็คือว่าไม่ใช่การเข้าใจธรรม คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อเมื่อไหร่คืออะไร และเข้าใจได้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นแต่ละคำ เมื่อนั้นก็เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าพระองค์ตรัสรู้จริงๆ ซึ่งคนอื่นตอบไม่ได้เลย รักษาศีล แต่ศีลคืออะไร ตอบได้ไหม ศีลมีกี่ข้อตอบได้ รักษากี่ข้อตอบได้ แต่ตอบไม่ได้ว่าศีลคืออะไร ซึ่งคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ตอบทุกอย่าง เพราะตรัสรู้ความจริงของทุกอย่าง โดยประการทั้งปวงถึงที่สุด ทุกคำ เพราะเป็นคำที่ส่องถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด
ผู้ฟัง พระพุทธเจ้าสอนละเอียดมากเลย
ท่านอาจารย์ เพราะได้ฟังก็รู้ ถ้าคนที่ไม่ได้ฟังก็ไม่รู้ว่าละเอียด
ผู้ฟัง ทำให้รู้ว่าดีชั่ว ถูกผิด ควรไม่ควร อะไร อยู่ตรงไหน
ท่านอาจารย์ นั่นคือปัญญาไม่ใช่เรา และปัญญาจะเจริญขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเข้าใจขึ้น
ผู้ฟัง บรรดาผู้มีปัญญาทั้งหลาย จะสามารถที่จะจรรโลงพระพุทธศาสนาได้หรือเปล่า เพราะว่าดิฉันเอง แม้แต่คนเดียวที่จะโน้มน้าวเพื่อน ยังไม่มีปัญญาเลย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นที่กล่าวว่า พระศาสนาอันตรธาน ก็คือว่าอันตรธานจากคนที่ไม่เข้าใจธรรม นั่นคืออันตรธานแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าโลกนี้ ยังมีคนที่เข้าใจธรรมอยู่ พระศาสนาก็ยังไม่อันตรธานจากคนที่เข้าใจ ต่อเมื่อไหร่ไม่มีการเข้าใจพระธรรมเลย ไม่มีสักคน ก็คือว่าอันตรธานทั้งหมดในโลกนี้ แต่สวรรค์ยังมี
ผู้ฟัง ผู้ที่ศึกษาพระธรรมแล้วก็เข้าใจ เข้าใจ หรือปัญญา จะไม่ไปสู่อบาย
ท่านอาจารย์ ถ้ายังไม่ถึงความเป็นพระโสดาบันบุคคล ประมาทไม่ได้เลย เพราะกรรมที่ได้ทำแล้ว ซึ่งเราไม่รู้ว่ากรรมไหนจะทำให้ไปสู่อบายภูมิ แต่สำหรับผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลทั้งหมดไม่ไปอบายภูมิ ไม่มีเหตุพอที่จะให้เกิดในอบายภูมิได้
ผู้ฟัง อบายภูมิเพื่อเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน
ท่านอาจารย์ ค่ะ
ผู้ฟัง ซึ่งพอไปอบายแล้ว ปัญญาไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้เลย สมมติเกิดในนรกร้อนรุ่ม เดือดร้อนแสนสาหัสเสียจน
ท่านอาจารย์ เกิดเป็นมนุษย์ยังไม่ฟังพระธรรมเลย แล้วพูดถึงเกิดในนรกนี่ก็แสนยาก เพราะอะไร เพราะว่าจิตที่เกิดไม่ประกอบด้วยปัญญา เป็นผลของอกุศลกรรม
อ.คำปั่น อย่างเช่นข้อความในพระวินัย ที่ท่านพระมหาโมคคัลลานะกับท่านพระลักขณะ ซึ่งในขณะที่ลงจากเขาคิชฌกูฏ ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ก็เห็นเปรตมีลักษณะรูปร่างเหมือนกับพระภิกษุ ทรงจีวร ทรงบาตร แต่ว่าขณะนั้นถูกไฟไหม้ทั้งตัวเลย ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดทรมาน แสดงถึงว่าเกิดเป็นเปรต ซึ่งเป็นหนึ่งในอบายภูมิ ก็เป็นด้วยผลของอกุศลกรรม ซึ่งในพระวินัยก็แสดงไว้ว่าพระภิกษุรูปนี้ ก่อนที่จะมาเกิดเป็นเปรต เกิดในสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ แต่ว่าเป็นพระภิกษุลามก คำว่าลามกหมายถึงผู้มีความประพฤติที่ต่ำทราม ปฏิญาณว่าตัวเองจะเป็นพระภิกษุ ที่สละอาคารบ้านเรือน ที่จะขัดเกลากิเลสจริงๆ แต่ว่าไม่ได้น้อมประพฤติอย่างนั้น มีการย่ำยี เที่ยวล่วงละเมิดสิกขาบทต่างๆ ก็เป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิ นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้าได้อ่านในเปตวัตถุ ก็จะมีหลากหลายตัวอย่างของผู้ที่ได้เกิดเป็นเปรต บางคนมีรูปร่างสวยงาม แต่พอมีผู้อื่นมาทำให้ตัวเองหมดความสวยความงามก็โกรธผู้อื่น วันหนึ่งก็ไปขโมยเสื้อผ้าของผู้อื่นมาใส่ จิตอกุศลที่จะขโมยของของผู้อื่นมาเป็นของๆ ตน กรรมมีแล้ว อกุศลกรรมมีแล้ว ก็สะสมอยู่ในจิต เมื่อถึงคราวที่อกุศลกรรมแม้เพียงการขโมยผ้าของผู้อื่น ก็ทำให้เกิดเป็นเปรตได้ ก็ลองพิจารณาดู พอเกิดเป็นเปรตแล้วก็มีรูปร่างที่น่ากลัว แล้วก็ไม่มีอะไรที่จะปกปิดอวัยวะ ก็ได้รับความทุกข์ความทรมานเดือดร้อน
ท่านอาจารย์ เร็วมากเลย จากชาตินี้เป็นเปรตได้เลย เย็นนี้ก็ได้ พรุ่งนี้ก็ได้ ไม่รู้ก็ไม่กลัว ยังไม่ถึงเวลา แต่ถ้าถึงเวลาแล้วก็น่าสงสารมากเลย ที่อีกนานเลยกว่าจะพ้นจากความเป็นเปรต
ผู้ฟัง พระภิกษุคือผู้ที่บวชในบวรพุทธศาสนา เพื่อศึกษาพระธรรมคำสอน สละบ้านเรือนทรัพย์สินเงินทอง ถ้าดูใน ณ ปัจจุบันนี้ ก็รู้สึกจะไม่ค่อยเห็น แล้วเราจะไปทำบุญกับใคร ถ้าอย่างนั้น
ท่านอาจารย์ เข้าใจธรรมนี่เป็นบุญหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นบุญ
ท่านอาจารย์ ไม่ยากที่จะต้องไปขวนขวายที่ไหนใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ โอกาสไหนก็ได้ที่เป็นสิ่งที่ดีก็ทำ เพราะว่าถ้ากุศลจิตไม่เกิดขณะนั้นอกุศลก็เกิด ต้องไม่ประมาทแม้กุศลเล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ เพราะว่าถ้าขณะนั้นอกุศลเกิดก็ทำสิ่งที่ดีงามไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ทำดีเพราะรู้ว่าถ้าไม่ทำ ก็เป็นอกุศล และก็ทำดีเท่าไหร่ก็ไม่พอ จนกว่าจะมีการเข้าใจถูกต้องว่าขณะนั้นเป็นอะไร
ผู้ฟัง คือสรุปว่าให้เราฟังพระธรรมให้เข้าใจ
ท่านอาจารย์ นั่นเป็นสาวกหรือเปล่า
ผู้ฟัง ถูกต้อง สาวก
ท่านอาจารย์ แล้วพระผู้มีพระภาคทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อใคร
ผู้ฟัง เพื่อสาวก
ท่านอาจารย์ เพื่อให้ผู้ที่สามารถจะเข้าใจธรรมได้ ได้มีโอกาสได้ฟัง แล้วก็มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น บุญอะไรสูงสุด
ผู้ฟัง บุญอะไรสูงสุด เข้าใจพระธรรมคำสอน
ท่านอาจารย์ เพราะถ้าปัญญาไม่เกิดก็ดับกิเลสไม่ได้ การที่จะสละเพศคฤหัสถ์ ใช้คำว่าสละ ไม่ได้หมายความว่ามีเยื่อใย บุคคลในครั้งพุทธกาล เวลาที่ท่านละอาคารบ้านเรือน ที่จะออกบวชเป็นบรรพชิต แม้มารดาบิดาเวลาท่านไปบิณฑบาต หรือไปพำนักอยู่ ท่านก็ไม่ได้บอก ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องที่จะแสดงให้เห็นว่า ต้องการอาหารอร่อย หรือว่าให้ญาติรู้ว่ามาหามาเยี่ยมเลย เพราะฉะนั้นจิตใจของท่านจะมั่นคง อาจหาญ กล้าหาญที่จะสละ สิ่งที่สละจริงๆ ไม่ใช่สละเพื่อได้ อย่างมีเด็กนักเรียนก็ไปบวชมา ก็ถามบอกเป็นอย่างไรบ้าง ดีมากเลย อาหารก็อร่อย เงินก็ได้ด้วย แล้วอย่างไร นี่ไม่ใช่พระพุทธศาสนาแน่ เพราะเหตุว่าถ้าเป็นพระพุทธศาสนา พุทธบริษัทมีบรรพชิตและคฤหัสถ์ ทั้งสองเพศศึกษาเล่าเรียนธรรม รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ตามอัธยาศัยที่ได้สะสมมาตรงตามความเป็นจริง ไม่ได้ให้คฤหัสถ์ไปบวช ไม่มีการบวชหมู่ ๑๐๐ รูป ๑,๐๐๐ รูป ๑๐,๐๐๐ รูป ๑๐๐,๐๐๐ รูป ๑,๐๐๐,๐๐๐ รูป ไม่มีใครให้ใครไปบวชได้เลย เพราะเหตุว่าการบวช บวชใคร ไม่ใช่ให้คนอื่นเขาบวชใช่ไหม คนที่จะบวชก็ต้องรู้ว่าบวชหรือไม่บวช
เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่กล้าที่จะรู้ความจริง อาจหาญที่จะทำสิ่งที่ถูก ถ้าไม่อยากจะบวชแล้วไปให้เขาบวชได้หรือ แล้วบวช ๑๐๐ รูปเพื่ออะไร ๑,๐๐๐ รูปเพื่ออะไร บางคนเขาก็คิดแล้วว่า ไม่ต้องเสียเงิน การบวช ๑๐๐ รูป เพราะว่าได้มากกว่า ๑๐๐ รูปที่บวช จากการจัดการบวช นี่ก็แสดงให้เห็นว่าทั้งหมดไม่ได้เป็นไปเพื่อเข้าใจพระธรรม หรือว่าจะรักษาคำสอนที่บริสุทธิ์อย่างยิ่ง คำสอนใดๆ ทั้งหมดไม่มีคำสอนใดที่บริสุทธิ์เท่าคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเป็นไปเพื่อการรู้ความจริง และสามารถที่จะดับกิเลสได้ ไม่เกิดอีกเลย ไม่ว่ากิเลสใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจะมีอะไรที่สามารถที่จะดับกิเลสได้ ถ้าไม่ใช่ปัญญา ความเห็นที่ถูกต้องตามความเป็นจริงของสภาพธรรม ซึ่งขณะนี้ไม่เป็นไปอย่างที่ปรากฏ อย่างที่ปรากฏก็มีคน มีโต๊ะ มีเก้าอี้ มีดอกไม้ แต่ตามความเป็นจริงก็คือว่า ขณะเห็นมีสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ ไม่มีใคร ถูกต้องไหม ค่อยๆ พิจารณาจนกว่าจะรู้ว่าทางตาที่เห็นอะไร เมื่อไหร่ ก็คือว่าไม่เคยรู้การเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วของสิ่งที่ปรากฏ และเห็น และการเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วของสภาพธรรมที่ปรากฏให้เห็น เหมือนไม่ดับเลย เมื่อไม่ดับก็มีรูปร่างสัณฐานต่างๆ สีสันต่างๆ ม่วงบ้าง ส้มบ้าง เหลืองบ้าง ขาวบ้าง เขียวบ้าง สภาพที่จำมี เพราะฉะนั้นก็จำสิ่งต่างๆ รู้ได้โดยอาการนั้นๆ แม้ไม่เอ่ยเป็นชื่อใดๆ เลยทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏ เรายังไม่ได้รู้จักชื่อเลย แต่การเกิดดับสืบต่ออย่างเร็ว ก็ทำให้ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ เริ่มจำแต่ยังไม่คิดถึงชื่อ แต่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เหมือนเด็กที่เกิดใหม่ เพิ่งเกิด เห็นไม่รู้เลยว่าเห็นอะไร จนกว่าจะค่อยๆ ชิน ค่อยๆ ชิน จนกระทั่งรู้ว่าเป็นคน หลากหลาย แต่ยังไม่มีชื่อ จนกว่าจะได้ยินเสียง ซึ่งค่อยๆ คุ้นหูคุ้นหูจนกระทั่งรู้ว่านี่อะไร นั่นอะไร ก็เริ่มพูดใช่ไหม อย่างเด็กคนหนึ่งคำแรกที่เขาพูดก็คือป้า ไม่ใช่แม่ ไม่รู้ว่าเขาจะจำแบบไหนอย่างไร ก็เป็นเรื่องของแต่ละหนึ่งเท่านั้นเอง นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้รู้ความจริงของธรรมเลยว่า จริงๆ แล้วต่างกับที่เราคิดมากมาย เพราะเหตุว่าสิ่งที่ปรากฏเหมือนไม่ดับ จึงมีการยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทันทีที่ยึดถือก็ติดข้องในสิ่งนั้นแล้ว
เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ทุกคนยังต้องการเห็น ไม่มีใครที่จะเลิกไม่อยากจะเห็นใช่ไหม ยังต้องการเห็นอยู่ ยังต้องการได้ยิน ต้องการทุกอย่าง ทางจมูกต้องการกลิ่น ทางลิ้นต้องการรส ทางกายก็ต้องการสัมผัส ที่เย็นร้อนบ้าง อ่อนแข็งบ้าง อย่างอาหารบางอย่าง รสไม่ต้องพูดถึง แต่พูดถึงความนิ่มของแป้งหลากหลายมาก จนกระทั่งไม่เหมือนกันเลย ใครจะทำให้เหมือนก็ไม่เหมือน นี่ก็แสดงให้เห็นว่าทางกายสามารถที่จะรู้แจ้งสิ่งที่กระทบ แม้ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร แต่ทั้งหมดก็เกิดดับสืบต่อรวมกันแน่นมาก ทันทีที่สิ่งหนึ่งดับไป สิ่งอื่นก็เกิดปรากฏสืบต่อ ไม่ให้รู้เลยว่าขณะนี้สภาพธรรมเดี๋ยวนี้ เกิดขึ้นและดับไปแต่ละหนึ่ง ดับไปไม่เหลือเลย ไม่กลับมาอีกในสังสารวัฏ แต่ว่าถ้าไม่รู้อย่างนี้ ก็ยังคงติดข้อง ยังละความติดข้องไม่ได้เลย รู้เพียงแค่นี้ไปอีกนานเท่านาน จนกว่าปัญญาอีกระดับหนึ่งสามารถจะเกิดขึ้นได้ เพราะความเข้าใจเพิ่มขึ้น ในความมั่นคงแต่ละคำ ได้ยินคำว่าขณะนี้สิ่งที่ปรากฏเกิดแล้วปรากฏว่ามีจริงๆ แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีก ไม่เหลือเลย ยังไม่ได้ทำให้มีการคิดที่จะสละหรือละความติดข้อง ได้ยินอีก ๑๐ ครั้ง ๑๐๐ ครั้ง กี่ชาติ ยัง ยังไม่ถึงเวลา แต่เมื่อถึงเวลาแล้ว เริ่มเห็นถูก สภาพธรรมก็จะปรากฏกับบุคคลนั้นได้ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ว่านึกอยากจะไปทำให้สภาพธรรมเกิดดับ ก็จะไปประจักษ์การเกิดดับ ทั้งๆ ที่ไม่รู้อะไรเลย นี่เป็นคำสอนที่ลึกซึ้ง ที่จะต้องรู้ว่าถ้าเป็นหนทางที่ถูก ก็สามารถที่จะถึงการรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ต้องเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก และรู้ว่าเป็นไปเพื่ออะไร
เพราะฉะนั้นในครั้งพุทธกาล ผู้ที่สะสมมาที่จะสละอาคารบ้านเรือน พร้อมที่จะประพฤติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงขอบวช เมื่อบวชแล้วบวชทำไม ฟังพระธรรมตลอด ไม่ว่าพระผู้มีพระภาคจะเสด็จที่ไหน แม้ว่าจะอยู่ในพระวิหารเดียวกันกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จจาริกไปสู่ที่อื่น ติดตามไปเพื่อฟัง เพราะฉะนั้นชีวิตของบรรพชิตในครั้งนั้น ก็ศึกษาธรรมและประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย ด้วยความเคารพอย่างยิ่งว่า แม้ความประพฤติก็ต้องขัดเกลา ผิดจากเพศคฤหัสถ์ ชีวิตคฤหัสถ์ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ ไม่มีใครติเตียน ตะโกนดังๆ ก็ได้ อย่างมากก็มีคนว่า ทำไมคนนี้ตะโกนเสียงดัง แต่ถ้าเป็นบรรพชิต อาบัติ หมายความว่า ต้องเห็นว่าเป็นโทษ ต้องปลงอาบัติ ด้วยการปลงคือสำนึก ต้องอาบัติหมายความว่า ทำสิ่งที่ผิดจากที่พระผู้มีพระภาคบัญญัติไว้ ก็เป็นการมีโทษที่เป็นอาบัติ และเมื่อเป็นอาบัติแล้ว ตราบใดที่ไม่สำนึกและไม่ปลง ก็ไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย แม้แต่แต่ละคนที่เกิดมา ใครทำ สูงต่ำ ดำขาว ตาสีฟ้าก็มี สีน้ำตาลก็มี มีหมดใครทำ ไม่มีใครทำได้เลย นอกจากกรรมที่ละเอียดมาก และก็สะสมมานานมาก กรรมที่ทำให้เกิด ที่ใช้คำว่า ปฏิสนธิ ในภาษาบาลี หมายความว่าสืบต่อจากจิตขณะสุดท้ายของชาติก่อน จิตขณะสุดท้ายดับเมื่อไหร่ คนนั้นตาย เป็นคนนั้นต่อไปอีกไม่ได้เลย ทันทีที่จิตขณะสุดท้ายดับ ปฏิสนธิจิตคือกรรมหนึ่ง ก็ทำให้จิตซึ่งเป็นผลของกรรมเกิดสืบต่อทันที ไม่เป็นบุคคลนั้นอีก แต่สืบต่อจากคนนั้น
เพราะฉะนั้นจะเป็นใครชาติหน้า ก็มาจากชาตินี้แหละ แล้วก็มาจากชาติก่อนๆ ด้วยที่ได้ทำไว้ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าทุกคนต้องตายแน่ เกิดแล้วต้องตาย ตายแล้วถ้าเข้าใจธรรมก็รู้ว่าอะไรตาย จิตเกิดดับสืบต่อทุกขณะ เป็นขณิกมรณะ ตายทุกขณะ เพราะไม่กลับมาอีกเลย แล้วก็จนกว่าจะตายจริงๆ ที่เราเรียกว่าคนนั้นตายคนนี้ตาย คือสมมติมรณะ รู้กันว่าคนนี้ตาย แต่ต้องเกิด ใครรู้ เพราะว่าแม้ขณะนี้จิตเมื่อสักครู่นี้ก็ดับแล้ว เมื่อคืนนี้ก็ดับแล้ว เมื่อเช้านี้ก็ดับแล้ว เดี๋ยวนี้ก็กำลังดับ แต่ละหนึ่งขณะไม่เหลือถึงพรุ่งนี้เลย สักขณะเดียว เพราะฉะนั้นจากขณะสุดท้ายของชาติก่อน ดับไปที่เรียกว่าตาย ก็มีกรรมทำให้ผลของกรรมเกิดขึ้นเป็นบุคคลใหม่ แล้วแต่จะเป็นมนุษย์ เป็นช้าง เป็นงู เป็นนก เป็นเทวดา เป็นอะไรก็ตาม แต่ไม่ถึงรูปพรหมแน่ เพราะว่าเหตุไม่มีที่จะทำให้เกิดที่นั่นได้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุ
เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ตรง ก็คือเกิดมาแล้ว เป็นมิตรต่อกัน มีความหวังดีต่อกัน คนที่เป็นมิตรนี่ไม่ได้หวังร้ายต่อใครเลย เพราะฉะนั้นใครที่ไม่ได้ศึกษาธรรม ไม่ได้เข้าใจพระธรรมวินัย แล้วประพฤติผิดเป็นโทษอย่างยิ่ง ผู้ที่มีความเป็นมิตรคือเมตตา อยากจะให้เขาเกิดในนรกไหม อยากจะเห็นคนที่มองเห็นกันอยู่ในชาตินี้ ไปเกิดเป็นเปรตไหม ก็น่าสงสารอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นทางเดียวที่จะอนุเคราะห์ ก็คือว่าไม่มีคำใดของใคร นอกจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงทั้งพระธรรมและพระวินัยให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตาม ได้รู้จักว่าประพฤติปฏิบัติตามในเพศใด ในเพศของคฤหัสถ์ หรือว่าในเพศของบรรพชิต เราก็เป็นมิตรทั้งสองฝ่าย คือไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต ก็กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้ถูกต้อง เพราะฉะนั้นตลอดเวลาที่มีคนขอคำแนะนำ ก็จะตอบว่าไม่มี แต่มีคำที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว และก็ขึ้นอยู่กับบุคคลนั้นเอง เราแนะนำสักเท่าไหร่ ใครจะทำตามหรือไม่ทำตามก็เพียงแค่ฟัง แต่ถึงเวลาจริงๆ ก็ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
เพราะฉะนั้นปัจจัยที่สำคัญ คือสามารถเห็นถูกต้องเป็นปัญญา เพราะว่าไม่มีใครที่จะทำหน้าที่ละกิเลสได้เลย ถ้าปัญญายังไม่เกิด ไม่มีหนทาง นอกจากฟัง ฟังแล้วเข้าใจ ปัญญาที่เข้าใจ ก็เริ่มเห็นประโยชน์ของความเข้าใจว่าความเข้าใจนี้ต่างหาก ที่จะทำให้รู้สิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ไม่ใช่เรา หรือไม่ใช่เขา เพราะไม่มีใครนอกจากธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อมีความมั่นคงในปัญญา ไม่ใช่เราแน่ แต่เมื่อมีความเข้าใจเกิดขึ้น ความเข้าใจค่อยๆ สะสม แม้ขณะนี้ก็กำลังสะสม เพราะฉะนั้นก็เป็นหน้าที่ของปัญญา ที่ว่าถ้าฟังมาก เข้าใจมาก ปัญญาที่สะสมไว้แล้ว ก็สามารถที่จะทำกิจของปัญญาในกุศลทั้งปวงได้เพิ่มขึ้น แต่ถ้ายังมีเราไปคิดว่า เราจะทำอย่างนั้นได้ เราจะไปปฏิบัติอย่างนี้ เราจะไปเดินอย่างโน้นหรืออะไรอย่างนี้ ก็ไม่มีทางที่ความเป็นเราจะทำให้รู้ความจริงของธรรม แต่กั้นไม่ให้เห็นถูกต้อง และถ้าเป็นอย่างนั้น ก็คือว่าแม้ศึกษาธรรมก็ไม่ได้เข้าใจว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรม และเดี๋ยวนี้ก็ดับแล้วทันทีที่ปรากฏ ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่ปรากฏอย่างนี้ แล้วจะไปหาอะไรมาเข้าใจได้ เพราะทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับ เร็วมาก เป็นผู้ที่อดทนใช่ไหม เพราะรู้ว่าไม่มีเรา ปัญญาทำให้อดทน
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 841
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 842
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 843
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 844
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 845
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 846
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 847
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 848
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 849
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 850
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 851
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 852
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 853
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 854
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 855
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 856
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 857
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 858
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 859
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 860
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 861
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 862
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 863
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 864
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 865
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 866
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 867
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 868
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 869
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 870
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 871
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 872
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 873
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 874
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 875
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 876
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 877
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 878
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 879
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 880
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 881
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 882
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 883
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 884
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 885
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 886
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 887
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 888
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 889
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 890
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 891
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 892
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 893
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 894
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 895
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 896
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 897
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 898
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 899
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 900
