ปกิณณกธรรม ตอนที่ 752


    ตอนที่ ๗๕๒

    สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

    วันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ จะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรจะเกิดขึ้นขณะต่อไป แต่สิ่งที่มีในขณะนี้ ถ้าไม่รู้ก็คงเป็นความไม่รู้ไปตลอด เพราะว่าสิ่งที่ยังไม่มาถึงก็มาถึงแล้ว คือเป็นปัจจุบันขณะนี้ แล้วก็หมดไปเป็นอดีต ไม่รู้ความจริงถ้าขณะนั้นไม่เข้าใจ และสิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็มาถึงเป็นปัจจุบัน แล้วก็เป็นอดีต เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมีปัจจัยจึงเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป และกว่าจะเข้าใจอย่างนี้อีกนานไหม แล้วถ้าไปหลงผิดจะอีกนานสักเท่าไรแล้วก็เป็นการหันหลังให้พระสัมมา สัมพุทธเจ้า หันหลังให้พระสัทธรรม มีคำสอนอื่นซึ่งปิดบังแล้วก็ทำให้คนไขว้เขว แล้วก็หลงเข้าใจผิด คิดว่าถูก เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่หวังดี เป็นมิตรจริงๆ เราจะพูดคำที่ถูกต้องไหม แล้วแต่ใครจะสำนึก ไม่ว่าจะเป็นพระวินัยหรือข้อความในพระสูตรหรือในพระอภิธรรม เพราะฉะนั้นไม่ได้หวังที่จะให้ใคร และเข้าใจผิดเลย แต่ว่าให้เขารู้ความจริงว่าที่เคยเข้าใจนั่นแหละถูกหรือไม่ ถ้าเขาคิดว่าถูกก็สนทนากันเพื่อที่จะได้มีการได้เข้าใจกันขึ้นจากการสนทนา ทุกคำไม่ใช่ของใครทั้งสิ้นนอกจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมที่จะสนทนาให้เข้าใจกันยิ่งขึ้น นั่นคือเคารพในพระธรรม ถ้าคนที่ได้ฟังคิดว่าไม่ควรที่จะพูดว่าสำนักปฏิบัติผิด มีไหม และทำไมคิดอย่างนั้น เพราะอะไร นี้ก็เพียงคำถามเท่านั้น เพราะไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความคิดของใครได้ แต่ถ้าคิดว่าไม่ควรพูดว่าสำนักปฏิบัติผิด คนนั้นคิดอย่างไร

    สนทนาธรรม ที่ สุชาดา รีสอร์ท จ.สระบุรี

    วันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ผู้ฟัง ดิฉันได้ฟังสนทนาธรรม พูดถึงเรื่องงู ๔ ตัว ขออาจารย์ขยายความค่ะ

    ท่านอาจารย์ ในห้องนี้มีงูหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ แต่มีธรรมะ แล้วจะเปรียบธรรมะว่าอย่างไรดี ว่าธรรมะที่ตัวมีสิ่งซึ่งเป็นโทษเหมือนงูที่คอยกัด ให้ข้าวให้น้ำกิน เลี้ยงดูอย่างดี ทุกอย่าง ทุกประการ งูนี้ก็ได้แก่ธาตุทั้ง๔ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เมื่อมีแล้วที่กายนี้ ทุกข์ก็เกิด เดี๋ยวปวดที่นั่น เดี๋ยวเจ็บที่นี่ ไม่ได้อยู่เฉยเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราคิดว่ามี แล้วก็ชอบมาก รักมาก เลี้ยงดูป้อนปนเปรอ ทุกสิ่งทุกอย่าง ให้โทษแค่ไหน เดี๋ยวก็เจ็บตา เดี๋ยวก็เจ็บเท้า แล้วก็ไม่รู้ความจริงว่าแท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่มีนี่เป็นทุกข์ โดยเฉพาะรูปร่างกาย ถ้าไม่มีก็จะไม่มีการเจ็บหรือการปวดเมื่อย โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เพราะฉะนั้นแค่อุปมาว่างู ก็พอแล้ว ไม่ต้องมากมายถึงกับ ๔ ตัว กัดตรงโน้น ตรงนี้ เพราะฉะนั้นคำอุปมานี่ทำอย่างไรถึงจะเห็นได้ว่าธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ที่กายของเรา ที่ยึดถือว่าเป็นเรานี่แท้ที่จริงไม่ได้นำความสุขมาให้เลย มีแต่นำโทษภัยให้มา เหมือนกับงูซึ่งวันหนึ่งกัด วันนี้ยังไม่กัด เจ็บตรงไหนกัดตรงนั้น เหมือนถูกงูกัด แต่ความจริงก็คือว่าเพราะสิ่งนั้นมี ก็เป็นปัจจัยให้มีความรู้สึก ซึ่งถ้ากระทบกับสิ่งซึ่งแข็งมาก ไม่ต้องเรียกอะไรเลย เราอาจจะเรียกว่า ปืน มีด ดาบ แต่ความจริง คือ แข็ง กระทบสัมผัสนี่เราไม่รู้หรอก ไม่มีรูปร่างจะไปเห็นว่าเป็นอะไร แต่ความรู้สึกขณะนั้นทำให้ร่างกายเจ็บปวด ถ้าเป็นสิ่งซึ่งไม่มากมาย กำลังพอดีๆ สบายๆ อากาศก็ดี ขณะนั้นก็ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นทุกข์ แต่ขณะใดก็ตามที่มีอะไรกระทบกายที่เคยว่าเป็นกายของเราจะต้องมีความรู้สึกอย่างหนึ่งอย่างใด คือ สุขหรือทุกข์ ซึ่งเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ที่ตัวของเราที่ว่าเป็นธาตุดิน น้ำไฟ ลม ก็เกิดดับ เร็วจนกระทั่งเราไม่รู้เลย เห็นมีไหม ได้ยินมีไหม เห็นเกิดหรือเปล่า ดับไหม ได้ยินเกิดหรือเปล่า ดับหรือเปล่า ไม่พร้อมกันเลยใช่ไหม ระหว่างนี้เหมือนเห็นกับได้ยินพร้อมกันใช่ไหม แต่ความจริงไม่พร้อมกัน และระหว่างเห็นกับได้ยินมีรูปซึ่งเกิดแล้วดับ ใครรู้ เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถจะรู้จักรูปได้ ถ้าขณะนั้นไม่ใช่ขณะที่ กำลังรู้ลักษณะของรูปหนึ่งรูปใด จึงจะกล่าวได้ว่ารูปที่ปรากฏนั้น เกิดแล้วก็ดับไป ขณะนี้เราเพียงแต่พูดว่ารูปเกิดดับเร็วมาก สุดที่จะประมาณได้ รูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ และระหว่างจิตเห็นกับจิตได้ยินก็มีรูปเกิน ๑๗ ขณะแล้วใช่ไหม ที่เกิดดับโดยไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เข้าใจว่ามี หามีไม่ จะมีต่อเมื่อกำลังปรากฏแล้วก็หมดไป นี่คือกว่าเราจะเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ และความจริงที่ทรงแสดงนี่ไม่เปลี่ยน เราก็เข้าใจได้ทีละเล็กที่ละน้อย แต่กว่าจะถึงการประจักษ์แจ้งว่าไม่มี นอกจากสิ่งที่กำลังปรากฏ แม้แต่รูปที่เราว่าเรามีนั้น มีเมื่อปรากฏ เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่รูปไม่ปรากฏ จำว่ามี นั้นก็ผิดแล้ว เพราะไม่มี แต่ก็จำว่ามี ไม่มีจริงๆ เพราะอะไร เกิดแล้วดับ สั้นมาก เร็วมาก ปรากฏเมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละ ขณะนั้นเกิดแล้าดับ ส่วนอื่นที่ ไม่ปรากฏ ก็เกิดแล้วดับแล้ว

    ผู้ฟัง อาจารย์บอกว่า มีงูที่ตรงข้างหน้าตัวหนึ่ง แล้วข้างหลังอีกตัวหนึ่ง คือ อะไร

    ท่านอาจารย์ เห็นไหมว่าพอพูดถึงคำเปรียบเทียบ ก็หันไปหางูเลย อยู่ที่ไหนก็ช่างเถอะ ที่ตัวนี่ทั้งนั้น ถ้านอกตัวก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ร่างกายของเรา แต่เฉพาะรูปแข็งๆ ที่ตัว อ่อนๆ ที่ตัว ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ตัวนี่ยึดถือว่าเป็นเรา แล้วก็จะเอาคำอุปมาอะไรมาแสดงให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่ให้โทษ เป็นทุกข์ มีแต่ทำร้ายทำลาย เมื่อถึงเวลาก็จะอุปมาว่าเป็นงู แต่ไม่ได้หมายความมีงูจริงๆ ข้างหน้าเรา ข้างหลังเรา ฟังธรรมะต้องเข้าใจ พอเข้าใจแล้วก็ตัดอุปมาไปได้เลย ถ้าตราบใดที่ยังไปคิดว่าเป็นงู แล้วก็หางูๆ อยู่นั่นแหละ แทนที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม

    ผู้ฟัง คือที่ท่านอุปมา มหาภูตรูป เปรียบเหมือนกับงูพิษ ๔ ตัว คือ ท่านไม่ได้อุปมา รูปอื่น แต่ท่านยกมหาภูตรูป ท่านอาจารย์กรุณาอธิบายเพิ่มเติม

    ท่านอาจารย์ มหาภูตรูปมีเท่าไหร่ แล้วงูมีเท่าไหร่ ก็ ๔ ถ้าไม่มีมหาภูตรูป รูปอื่นก็มีไม่ได้ และที่ตัว เวลากระทบสัมผัส อะไรปรากฏ เท่านั้นเอง ไม่ต้องไปคิดมาก งู ๔ ตัว เวลาที่งูตัวแข็ง ธาตุดินกัด ทำให้เป็นอะไร เวลางูธาตุน้ำกัด ทำให้เป็นอย่างไร ตับไตไส้พุงเป็นอย่างไร เน่าเฟะ หรืออะไร ไปนั่งคิดนะ แต่ว่าสาระสำคัญก็ คือว่าเมื่อไหร่จะคลายการยึดถือรูปว่าเป็นเรา จุดประสงค์คือเมื่อไหร่เวลานี้ เราพูดถึงรูป ก็ไม่ได้คิดถึงสักรูปเดียวที่กาย พูดไปอีกเท่าไหร่ ก็ไม่ได้คิดถึงสักรูปที่กาย แต่ทรงแสดงธรรมเพื่อให้ระลึก คือ รู้ ระลึก คือ รู้ว่ามีรูปที่กาย แต่ไม่ใช่เพียงคิด ขณะที่กำลังกระทบสัมผัสนั่นแหละ คือ ได้เข้าใจคำสอนแล้วว่าทั้งหมดนี่เพื่อที่จะให้เข้าใจ สิ่งที่มีจริง ซึ่งเคยยึดถือว่าเป็นเรา แต่กว่าจะเป็นอย่างนั้นได้ก็ต้องอาศัยพระธรรมที่ทรงแสดงมากมาย จนกว่าเดี๋ยวนี้ ใครรู้รูปที่กาย

    อ.อรรณพ แล้วจะพ้นจากงูหรือว่าพ้นจากธาตุทั้ง ๔ ไปได้อย่างไร ในเมื่อ ดินน้ำ ไฟ ลม นี้ก็ประชุมอยู่ในกายนี้ แล้วก็มีความแปรปรวนไป ทุกข์กาย ประการต่างๆ

    ท่านอาจารย์ ตราบใดที่ไม่รู้จักงู ก็จับงู ฆ่างู พ้นจากที่จะมีงูไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่ายึดถืองูว่าเป็นเรา เกิดมานี่ก็ทุกอย่างเลย ทุกวันเลย ทุกขณะเลยยึดถือไว้หมด ยึดถือรูปทุกรูป ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ยึดถือเสียง ยึดถือ กลิ่น ทั้งหมดที่มี ยึดถือว่าเป็นเราหรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะพ้นได้ต่อเมื่อรู้ความจริง ว่าแท้ที่จริงแล้วไม่มีสักอย่างเดียว มีแต่สิ่งซึ่งกำลังปรากฏ แต่ไม่ได้เข้าถึงความจริงว่าสิ่งนี้คืออะไร เห็นก็เป็นดอกไม้ เห็นก็เป็นคน เห็นก็เป็นโต๊ะ แล้วจะไม่มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้อย่างไร เพราะยังไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงเห็นอะไร แล้วเหตุว่ามีความยึดมั่น ต้องการในสิ่งที่ปรากฏหมดทุกอย่าง

    เพราะฉะนั้น ต้องละคลายการยึดมั่นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะความจริงไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เป็นอัตตาที่มั่นคงที่ไม่เกิดดับ เหมือนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร ก็ตรัสรู้สิ่งที่กำลังมี ซึ่งคนอื่นไม่รู้ว่าแท้ที่จริงสิ่งซึ่งคนอื่นเข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่ความจริงเป็นแต่ละหนึ่งซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่สืบต่ออย่างเร็วมากจนกระทั่งปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ ก็เลยยึดถืออย่างมั่นคงว่าสิ่งนั้นจริง แล้วก็เที่ยง

    เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมก็เพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมี ซึ่งลึกซึ้ง และก็ยาก เพราะเหตุว่าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง แต่เรานี่ไม่มีทางจะรู้อย่างพระองค์ตรัสรู้ จนกว่าจะได้ฟังคำจริงที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง จนเข้าใจจริงๆ ว่าไม่ใช่เรา จนกว่าจะประจักษ์แจ้งอย่างที่พระองค์ได้ทรงประจักษ์แจ้ง คือทรงประจักษ์แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เกิดแล้วดับไม่ว่าจะเป็นทางไหน ทางตา หรือ ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะฉะนั้นก็คือว่า เป็นบุญที่ได้ฟังคำจริง ที่มีโอกาสจะได้เข้าใจว่าใครเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้อะไร ทรงแสดงธรรมอะไร และเราเริ่มฟังแล้วก็เข้าใจแค่ไหน แต่ความจริงนี้ผู้ที่ได้ฟังแล้วก็ได้รู้ความจริงในครั้งโน้น เป็นพระสาวกซึ่งเป็นพระอรหันต์หมดกิเลส เป็นพระอนาคามีบุคคลหมดความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หมดการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา แต่ ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว แล้วเดี๋ยวนี้หายไปไหนคนเหล่านั้นที่มีปัญญา เพราะฉะนั้นก็เป็นแต่ละยุคสมัยก่อนที่ท่านเหล่านั้นจะได้รู้แจ้งสัจธรรมท่านก็เหมือนคนที่เพิ่งเริ่มฟังธรรม แต่ว่าเห็นประโยชน์ของการที่จะเข้าใจสิ่งที่มี ไม่ใช่ว่าผ่านไปตั้งแต่เกิดแล้วก็ตายจากไปโดยไม่รู้ความจริงอะไรเลย เพราะฉะนั้นที่ฟังก็เพื่อที่จะเข้าใจความจริง ซึ่งเป็นความถูกต้องว่าไม่มีเรา แต่ถ้าฟังแล้วทำอย่างไร วิธีไหน อย่างนี้พอไหม จะต้องฟังแค่ไหน ก็คือ ไม่เข้าใจเลยว่าเป็นธรรม เพราะขณะนั้นก็เป็นเราที่หวังที่จะรู้ ไม่ใช่ว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป

    อ.ธิดารัตน์ ขณะนี้ก็ไม่รู้การเกิดดับ แต่ให้ฟังเรื่องราวไปก่อนเพื่อสังขาร

    ท่านอาจารย์ นี่ก็หวังแล้วให้ฟังไปก่อน ฟังแล้วเข้าใจก็จบแล้ว ก็รู้ว่าแสนไกล และฟังอีกก็เข้าใจอีกหน่อยหนึ่ง ฟังอีกก็เข้าใจอีกหน่อยหนึ่งก็เป็นปกติ

    อ.ธิดารัตน์ ฟังเพื่อให้รู้ว่าสภาพธรรมขณะนี้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    ท่านอาจารย์ ฟังเพื่อเข้าใจความจริงว่าความจริงเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นพระธรรมทั้งหมดนี้ไม่ใช่สำหรับพูด สำหรับจำ แต่เพื่อเมื่อไหร่ที่สิ่งนั้นกำลังมี ระลึกได้ระลึกถึงคำ และก็สามารถที่จะเห็นโทษ แต่ว่าไม่ใช่ว่าทุกคนซึ่งเกิดมาแล้วก็ติด ชีวิตจริงๆ นี่ติดในรูป รูปที่ติดมากที่สุดคือรูปของตัวเอง อะไรจะสวยกว่ากันข้างนอกหรือที่ตัว ไปประดับประดาอะไรสักเท่าไหร่ ให้สวยงามมากๆ แต่ก็ยังไม่เท่ากับประดับตัวเอง เพราะฉะนั้นตอนนี้ต่างหากที่เมื่อไหร่วันไหนที่เราได้ยินคำว่างูพันอยู่ เดี๋ยวตรงแขน เดี๋ยวตรงไหนก็แล้วแต่ ขณะนั้นหมายความว่าเริ่มเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีสาระ เพราะวันหนึ่งก็ไม่มีการที่จะยึดถือรูปร่างกายนี้ว่าเป็นเรา อย่างที่เขาใช้คำว่า ละสังขาร แต่เขาเข้าใจผิด คิดว่าละสังขารคือหมดกิเลส แต่ความจริง สังขารทั้งหลายก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้ ไม่มีใครสามารถที่จะเป็นเจ้าของ หรือจะเอาไปได้เลย จากโลกนี้ไปแล้วก็พาไปด้วยได้ เป็นไปไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมเพื่อค่อยๆ เข้าใจจนกว่าจะถึงการเริ่มหน่ายคลาย แต่ไม่มีทางถ้าปัญญายังไม่สมบูรณ์ถึงขั้นวิปัสสนาญาณ เพราะเหตุว่าหน่ายคลายในเรื่องราว ซึ่งเป็นบัญญัติเท่านั้นเอง ไม่ใช่ตัวจริงของธรรม ซึ่งกำลังปรากฏลักษณะที่มีจริงแต่ละหนึ่ง โดยความเป็นอนัตตาทั้งหมด ไม่ใช่ว่าพอฟังแล้วตัวตนเราจะมาปฏิบัติแล้ว จะมาระลึก และจะเห็นโทษของงู ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ต้องเข้าใจทั้งหมดว่าคำนี้ไม่เว้น ไม่ว่าเมื่อไหร่ขณะไหนก็คือความไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นตราบใดที่ไม่เข้าใจคำนี้จริงๆ ก็จะเป็นเรา เหมือนเดิม มากหรือน้อย เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วก็คือว่าปัญญาที่เกิดจากการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องรู้เลยว่าคำของใคร เพราะฉะนั้นกว่าใครที่จะค่อยๆ เข้าใจจนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจในขณะนี้ได้ จนกระทั่งถึงขั้นประจักษ์ความจริงของสิ่งนั้นซึ่งเปลี่ยนไม่ได้เลย คือสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ตามความเป็นไปของธรรมนั้น ตามเหตุตามปัจจัย สิ่งนั้นต้องดับไปเป็นธรรมดา ไม่มีใครบังคับบัญชาได้ตั้งแต่เกิด จะให้เป็นอย่างนั้นก็ไม่ได้ กำลังร้อนจะให้เกิดเป็นเย็นสบายๆ ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นธรรมใดซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น เป็นธรรมตา ธรรมดาของธรรมนั้น ซึ่งเพราะปัจจัยนั้น จึงต้องเป็นอย่างนั้น เมื่อเกิดแล้วก็ต้องดับไป นี่คือไม่ใช่เป็นคำพูดที่แค่จำ แต่ฟังบ่อยๆ แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่าเราจะฝืนการสะสมของเราซึ่งเป็นกิเลสที่เคยยึดถือเป็นอุปทานอย่างมั่นคงมากมาย ให้มารู้ลักษณะของสภาพธรรมไม่ได้ ฝืนไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจะพูดเรื่องการเกิดดับไม่ต้องพูดเลย ฟังให้เข้าใจว่าความจริงเป็นอย่างนี้ แต่ว่าไม่มีใครสามารถที่จะประจักษ์ความจริงอย่างนี้ได้ นอกจากปัญญาที่เกิดจากการเข้าใจทีละเล็กที่ละน้อย แล้วก็ละคลายความต้องการ ละความเป็นตัวตนที่หาวิธีพยายามทำทั้งหมด ขณะนั้นก็คือว่าถ้าเป็นอย่างนั้นเพราะตัวตน ฟังธรรมเพื่อความเป็นตัวตน แต่ถ้าฟังเพื่อเข้าใจก็เข้าใจแค่นี้ วันนี้ได้ฟังแค่นี้ยังไม่พอ เมื่อไหร่มีโอกาสได้ฟังอีก ก็ฟัง แล้วก็เข้าใจอีก ฟังอีกก็เข้าใจอีกโดยที่ว่าไม่มีการที่จะพยายามไปประจักษ์การเกิดดับ หรือจะไปละคลายความติดข้อง เพราะขณะนั้นก็ไม่พ้นความเป็นเรา

    เพราะฉะนั้นกว่าที่จะค่อยๆ ชำระล้างจิตให้ผ่องใส อย่างโอวาทะปาติโมกข์ ละบาป บำเพ็ญบุญให้ถึงพร้อม ชำระจิตให้บริสุทธิ์ ต้องมีปัญญาด้วย ถ้าไม่มีปัญญาจิตใจไม่มีทางจะบริสุทธิ์ได้เลย เพราะว่าสะสมความสกปรก กิเลสมากมายนานาชนิดหนาแน่น ในสังสารวัฎมาแสนนาน ใครคิดที่จะไปชำระกิเลส ๗ วัน ๘ เดือน อะไรที่ไหนก็ตามแต่ เพราะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าจะบำเพ็ญบารมีทั้งหมด ๔ อสงไขยแสนกัป นานเท่าไหร่ แล้วเราฟังแค่นี้แล้วเราก็จะไปพยายามละ และ พยายามรู้ พยายามประจักษ์แจ้งการเกิดดับ ไม่ต้องกล่าวถึงเลย นอกจากตัวตน แต่ฟังแล้วเข้าใจว่ากล่าวถึงธรรมเดี๋ยวนี้ ซึ่งธรรมเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ได้ปรากฏ แม้แต่เพียงคำที่ว่าเห็นอะไร เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แค่หลับตาไม่เห็นก็ยังไม่สามารถที่จะรู้ความจริงว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้

    เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรง ผู้ที่จะได้สาระจากพระธรรมคือผู้ตรงๆ ถ้าไม่ตรงต่อความจริงไม่มีทางได้สาระเลย เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมต้องฟังเพื่อเข้าใจในขณะที่กำลังฟัง ในขณะที่อ่านก็เข้าใจในขณะที่อ่าน ในขณะที่ตรึกตรองก็ตรึกตรองในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง แล้วเพิ่มความเข้าใจขึ้น ทีละเล็กทีละน้อยด้วยความไม่ใช่เราเลย ไม่ต้องเดือดร้อนเลย จะเป็นอย่างไรก็คือว่าเป็นตามที่สะสมมา แต่ละคนที่นี่ไม่เหมือนกันเลย เห็นแล้วก็คิดต่างๆ กันไป ไม่มีธรรมซึ่งอาศัยตรงนี้ไปเกิดตรงโน้น ตรงไหนก็ตรงนั้น เพราะฉะนั้นตรงนี้มีเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมาที่จะเกิดก็เกิดเป็นอย่างที่สะสมมา แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจถูกต้องในความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นจะกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งเข้าใจถูกต้อง ในธรรมซึ่งเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นใครก็ตามไปที่ไหนไปสำนักปฏิบัติคิดว่าจะไปปฏิบัติจะรู้แจ้ง ขณะนั้นไม่ได้เข้าใจธรรมซึ่งเป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง ฟังอาจารย์พูดธรรมอยู่ ก็บอกว่าลงเรือกันจะไปดูหิ่งห้อย ทุกคนก็จะไปกันหมดเลย ก็มีความละอายแก่ใจเหลือเกินว่าลงกันไปดู หนีไปหมดเลย พร้อมทั้งตัวเราเองด้วย อาจารย์ช่วยวิเคราะห์ว่าเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ดิฉันไม่มีสิทธิ์จะไปวิเคราะห์อะไรเลย ธรรมที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ใครฟังแล้วเข้าใจ คนนั้นก็เป็นผู้วิเคราะห์ ละอายใจไปดูหิ่งห้อย และละอายใจ ละอายใจแค่นั้นหรือ ทั้งวันนี้ไม่ละอายใจเลยหรือ อาหารเช้าอร่อยมั้ย อาหารกลางวันเป็นอย่างไร เดินไปดูภูมิประเทศที่โน่นที่นี่ แม้แต่ที่นี่ก็เป็นที่ที่สบายมากเลย ลมเย็นแล้วก็ทุกสิ่งทุกอย่างสวยงามสะดวก ละอายใจไหม

    อ.อรรณพ ชอบครับท่านอาจารย์ ไม่ได้ละอายอะไร

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นชอบดูหิ่งห้อย ชอบลงเรือ ชอบรับประทานอาหารอร่อย ชอบลมพัดเย็นสบาย ชอบสถานที่ ที่สบาย ไม่ละอายใจหรือ เป็นผู้ตรง ทำไมไปละอายตอนดูหิ่งห้อย

    อ.อรรณพ คงหมายความว่าตอนนั้น ท่านอาจารย์ยังยืนพูดธรรมกับบางท่านอยู่แล้วก็มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งมาฟังอยู่ แต่พอหิ่งห้อยมาก็ไปลงเรือกันหมด

    ท่านอาจารย์ เป็นเราหมดเลยแล้วก็ฟังธรรมแล้วก็เสียดายที่ไม่ละอายใจ ตอนโน้นตอนนี้ มาละอายใจเฉพาะตอนที่จะลงเรือไปดูหิ่งห้อย นี่ คือไม่ตรง ไม่ตรงเลย เพราะเหตุว่าอกุศลเกิดเพราะเหตุปัจจัย ใครไม่มีอกุศล แต่สามารถเข้าใจถูกในสภาพธรรมไม่ว่าอะไรทั้งนั้นว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เลือกตอนไปดูหิ่งห้อย เลือกไม่ได้เพราะว่าเป็นความจริง เพราะฉะนั้นการฟังธรรม เพื่อเข้าใจว่าขณะนี้เราไม่รู้ จึงฟังเพื่อรู้ เราฟังนี่เราไม่ได้บอกว่าทุกคนมานั่งที่นี่ละอายใจกันหมดเลย ละอายใจที่ไม่รู้ ละอายใจมากจึงต้องมาฟัง ไม่ใช่อย่างนั้น แต่มาแล้วเพราะเห็นประโยชน์ เพราะว่า ลักษณะที่ละอายใจ และต้องหมายความถึงว่ายังเป็นเราละอายใจ หรือว่าเป็นการรู้ว่าขณะนั้น เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ถ้าเราไม่ฟัง แต่เมื่อมาฟังแล้วไม่ต้องไปนั่งคิดว่าเรามาเพราะเราละอายใจ เป็นเองเป็นธรรมตั้งแต่เกิดเลย เป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป ไม่เป็นใครสักคน ตั้งแต่เกิดจนตาย ถึงแม้ขณะนี้ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็คือว่ามีธาตุรู้ ซึ่งกำลังเห็น กำลังคิดทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏ เพราะมีธาตุรู้ที่กำลังรู้สิ่งนั้น เกิดดับสืบต่อเร็วมาก แต่ถ้าไม่ได้ฟังธรรมมก็เป็นเรา โดยไม่รู้ว่าแท้ที่จริงเดี๋ยวนี้เป็นธาตุรู้ คือจิตพร้อมเจตสิกซึ่งกำลังเกิดดับทำกิจการงาน ไม่มีเรา และแม้แต่ขณะที่มาที่นี่ก็เป็นเพราะกุศลจิต ละอายที่จะไม่เข้าใจธรรม จึงมา ไม่ต้องไปมีตัวตนอีกต่างหากซึ่งไปละอาย แต่เข้าใจว่าเมื่อไหร่สภาพธรรมใดเกิดขึ้น ขณะนั้นก็คือธรรมฝ่ายดีก็ละอายต่ออกุศล

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 176
    28 มี.ค. 2567