ปกิณณกธรรม ตอนที่ 755


    ตอนที่ ๗๕๕

    สนทนาธรรม ที่ สุชาดา รีสอร์ท จ.สระบุรี

    วันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ แต่ถ้ายังไม่เข้าใจ ต่อให้ตรัสอย่างไร เราไปหยิบแล้ว บรรทัดไหน เรื่องไหน สูตรไหนมา เราก็ไม่เข้าใจว่าเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ชั่วขณะที่ปรากฎก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เป็นคนนี้อีกนานไหม แล้วคนต่อไป จากชาตินี้เป็นใคร เหมือนชาติก่อน เป็นนกก็ได้ เป็นงูก็ได้ เป็นช้างก็ได้ แต่ชาตินี้เป็นใคร เพราะฉะนั้นชาตินี้เป็นอย่างนี้ จะกลับมาเป็นคนนี้อีกไม่ได้เลย ทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นเป็นไปตามที่สะสมปรุงแต่ง กรรมทั้งหลายที่สะสมมานานในสังสารวัฎ และในชาตินี้ด้วยก็จะเป็นปัจจัยทำให้เกิดอีก ถ้าไม่มีกิเลสเลย ไม่มีความติดข้องเลย ประจักษ์แจ้งความจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างแสนสั้น เกิดแล้วก็ดับตลอดเวลา ไม่ใช่ใครเลย ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จนกระทั่งสามารถดับการที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา เที่ยง มั่นคง ได้ เพราะว่าประจักษ์จริงๆ ด้วยปัญญาที่ไม่ใช่ข้้นฟัง แต่ว่าสามารถที่จะค่อยๆ รู้ขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แล้วก็คลายการที่เคยไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏทางตา เดี๋ยวนี้ใช่ไหม ปรากฏรูปร่างสัณฐานเมื่อเห็น หลับตาแล้วมีไหม ไม่มีเลย ลืมตาขึ้นมาก็มีสิ่งที่ปรากฏ จำได้อีกไม่ใช่คนไหนเลย คนเก่า เมื่อเราหลับตาแล้วลืมตาขึ้นมาก็เป็นอย่างนี้ แต่ความจริงถ้าไม่มีมหาภูตรูป ๔ ไม่มีรูปอื่นๆ ที่สามารถที่จะทำให้สีสันปรากฏเป็นอย่างนี้ ต่างจากดอกไม้ ต่างจากโต๊ะ ต่างกับคนคนนี้ การที่จะจำนิมิตสิ่งที่ปรากฏ พอเห็นก็ตั้งขึ้นมาเป็นสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นอย่างนี้ และก็ไม่เคยรู้ความจริง ก็เป็นคน และยังจำชื่อได้ เวลานี้ใครรู้จักใครโดยชื่อหมดหรือไม่ แต่เห็นจำได้ ไม่ต้องเรียกชื่อ แต่ว่าเวลาจำชื่อแล้ว ไม่เห็น พูดขึ้นมาก็จำได้ทันทีว่าเป็นใคร ไม่สับสน นี่คือความจำในสิ่งที่ปรากฏเหมือนเที่ยง เหมือนเป็นคนหนึ่งคนใด สิ่งหนึ่งสิ่งใด จนกว่าจะแตกย่อยเป็นแต่ละหนึ่งซึ่งแยกขาดจากกัน

    เสียงไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ไม่ใช่แข็งที่กำลังกระทบสัมผัส แต่ละหนึ่งก็เป็นสิ่งที่มีจริงรวมกันแล้วกลายเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งทำให้ยึดมั่นว่าเป็นสิ่งนั้น ไม่ว่าจะลืมตาเห็น หลับตายังจำได้ รูปร่างสัณฐานต่างๆ เพราะฉะนั้นเคยพอกพูนความไม่รู้มานานแสนนาน แล้วก็สามารถละคลายการติดข้องจนกระทั่งประจักษ์จริงๆ เข้าใจคำแต่ละคำ ไม่ว่าจะเป็นสงัด ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามแต่ในพระไตรปิฏก โดยไม่สงสัยในสภาพธรรม ไม่ใช่ในชื่อ เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้จริงๆ ในแต่ละคำ ก็ต้องรู้ว่า ถ้ามีโอกาสได้ฟังอีก ก็เข้าใจเพิ่มขึ้นอีก แต่จะมีหรือไม่ ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย

    ทุกคนออกจากบ้านมุ่งหน้าไปสู่ที่หนึ่งที่ใด ยังไม่ทันถึงเลย จากโลกนี้ไปแล้ว คงจำได้ผู้หญิงที่ขึ้นเครื่องบิน เสียชีวิตบนเครื่องบิน เขากำลังจะไปไหน ในความคิดของเขา แต่ไม่มีเลย ไม่ว่าสถานที่ที่เขาจะไป หรืออะไรทั้งสิ้น เพราะว่าจิต เกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนพ้นความเป็นบุคคลนี้ สิ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้โดยสิ้นเชิง จะกลับมาเป็นคนนี้อีกไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเป็นการแสดงให้เห็นว่า เมื่อถึงเวลา หรือถึงวันนั้น ทั้งๆ ที่ถึงเวลานี้แล้วก็ยังไม่รู้ความจริงว่า ไม่ใช่มีเฉพาะตอนนั้น เดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ และไม่ดับ และสิ่งที่ดับแล้วจะกลับมาอีกไม่ได้เลย

    นี่คือฟังไปจึงรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ ทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมให้เข้าใจ แม้เพียงคำเดียวว่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ซึ่งมีจริงๆ และกำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ จะเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเข้าใจ แล้วรู้ว่าเป็นจริงอย่างนั้นเมื่อปัญญานั้นอบรมเจริญ จนประจักษ์แจ้งว่าทุกคำที่ได้ยินทั้งหมดจริงอย่างนั้น แต่ละคำๆ แต่ต้องเป็นปัญญาที่สามารถที่จะรู้ได้ ถ้าไม่ใช้ปัญญา ก็ไม่มีทาง

    เพราะฉะนั้นจึงเข้าใจว่าธรรมอย่างหนึ่งที่ประเสริฐสุด ในบรรดาสิ่งที่เกิดมีทั้งหลายก็คือความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งที่มี ซึ่งรู้เองไม่ได้เลย นอกจากผู้ที่บำเพ็ญบุญบารมีจนถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงสามารถที่จะตรัสรู้ความจริงด้วยพระองค์เอง แต่ต้องจากการที่เคยสะสมมาแล้วนานนับไม่ถ้วน

    ผู้ฟัง ความยึดถือ กับความเป็นตัวตน

    ท่านอาจารย์ ยึดถืออะไร และอะไรยึดถือ เห็นไหมคะ ต้องชัดเจนไม่มีเรา แต่อะไรยึดถือ แล้วยึดถืออะไร เดี๋ยวนี้มีไหม

    ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้มี

    ท่านอาจารย์ กระเป๋าของคุณสุกัญญา ยึดถือใช่ไหม นี่ของเรา ไม่มีความเห็นใดๆ ว่าเที่ยงหรือไม่เที่ยงเลย แต่ของเราแน่ๆ เลย ไม่ใช่ของคนอื่น ใครเอาไปได้ไหมหรือว่าใครเอาไปไม่ได้ นี่ของเรา กระเป๋าของเรา ของที่อยู่ในกระเป๋าก็ของเรา ยึดถือหรือเปล่า ยึดถือด้วยความติดข้อง กามุปาทาน ยึดถือในความเป็น นี่เรา ก็เป็น กามุปาทาน ไม่แยกกามกับภวะ เป็นความติดข้อง เกิดมาทันทีที่รู้สึกตัวก็ยึดถือแล้ว ในความเป็น ยังไม่รู้อะไรเลยก็ยึดถือแล้ว เพราะฉะนั้นยึดถือด้วยโลภะ ด้วยความติดข้อง กับยึดถือด้วยความเห็นผิด ต่อให้ได้ฟังอย่างไรว่าเกิดดับ แต่ก็ยังเห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่เห็นเกิดดับเลย เพราะฉะนั้นความยึดถือว่าไม่เกิดดับ และเป็นคนนั้น เช่นคุณอรรณพนี่ ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ยึดถือไว้มั่นคงแค่ไหน ตราบใดที่ไม่รู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วไม่มีใคร มหาภูตรูปซึ่งเป็นที่ตั้งของสีสันวรรณะที่ทำให้ปรากฏเป็นสีสันต่างๆ จำได้ว่าเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ คนนั้น คนนี้ ก็ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไปแต่ไม่รู้

    เพราะฉะนั้นก็แค่ฟัง แต่ยังมีการยึดถือมั่นคงมาก หมดไม่ได้เลยแค่ฟัง ฟังแล้ว เสียงก็เกิดขึ้น และดับไป แล้วไม่กลับมาอีก ได้ยินไม่ใช่เรา เป็นธาตุซึ่งอาศัยโสตปสาทรูป รูปพิเศษที่สามารถกระทบเสียง และเพราะกรรมที่ได้ทำไว้ จึงทำให้จิตได้ยินเกิดขึ้นได้ยินเสียง แล้วก็ดับไป แต่ไม่เคยเข้าใจ เพราะฉะนั้นก็ยังยึดถือในขณะที่ได้ยินว่าเรา และในเสียงว่าเป็นเสียงอะไร เสียงลม ถามคนอื่นเสียงอะไร เสียงนก เห็นไหมว่าบางคนก็แล้วแต่ ก็ยังคงยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    เพราะฉะนั้นยึดถือ ๒ อย่าง ด้วยโลภะหรือด้วยทิฏฐิ ด้วยความยินดีติดข้อง หรือด้วยความเห็นผิด ก็ต้องแยก แล้วก็ต้องตรง ขณะนี้มีอะไร รู้ไม่ได้เลย เกิดแล้วดับแล้ว จนกว่าปัญญาถึงขั้นที่สามารถรู้ในขณะที่สิ่งนั้นกำลังปรากฏจริงๆ

    ผู้ฟัง ถ้าเข้าใจถึงความยึดถือจะละคลายความเป็นตัวตนได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ยึดถือในสิ่งที่ไม่มี ฟังไว้ จำไว้ จริงหรือไม่ สะสมไปจนกว่าจะเริ่มรู้ลักษณะของสภาพธรรม สภาพธรรมต่างหากที่แสดงความไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรื่องของสภาพธรรม เพราะฉะนั้นตัวธรรมจริงๆ เช่น แข็งเดี๋ยวนี้ เสียงเดี๋ยวนี้ เห็นเดี๋ยวนี้ ทุกอย่างที่มีจริงยังไม่ได้เป็นที่ตั้งของการระลึกรู้ มีก็ไม่ระลึก แล้วก็ไม่สามารถจะรู้ได้ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ถามว่าแข็งไหม ตอบว่าแข็งเป็นธรรมดา ความจำในสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจถูกต้องว่าขณะนั้น เป็นสิ่งที่มีจริงชั่วขณะที่ปรากฏ เวลาแข็งไม่ปรากฏแล้ว และยังมีแข็งหรือไม่ มีอย่างอื่นก็ไม่รู้ว่าแข็งหมดแล้ว เพราะฉะนั้นก็เป็นที่ตั้งของความยึดถือว่าเที่ยง ยังมีอยู่ตลอด มีแต่เกิดมาแล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง แต่เพราะความไม่รู้ก็หลงจำ อัตตสัญญา สัญญาวิปลาส จำคลาดเคลื่อนก็ยังมีอยู่ และเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ยังมีเราอยู่แน่นอนเลย ไม่ว่าเมื่อไร จะหลับ จะตื่น จะพูด จะคิด ก็ยังคงเป็นเรา ทั้งๆ ที่ความจริงก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นด้วยเหตุใดเมื่อรู้สภาพธรรมไม่ใช่เพียงแค่ฟัง แต่กำลังถึงเฉพาะลักษณะของธรรมจริงๆ ลักษณะของธรรมนั้นๆ แสดงความเป็นอนัตตา แก่ปัญญาระดับไหน ปัญญาที่เพิ่งเริ่มฟัง เริ่มเข้าใจแล้วก็เริ่มรู้ตรงลักษณะนั้นยังไม่พอ จนกว่าจะทั่ว ค่อยๆ คลาย ว่าขณะนี้เดี๋ยวนี้มีเพียงสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ถ้าขณะนั้นยังไม่ค่อยละคลายความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็แสดงว่าความเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏยังไม่พอ เพียงแค่ฟัง เพราะฉะนั้น จะพอก็ต่อเมื่อเป็นความเห็นแจ้ง ความรู้ชัด ซึ่งใช้คำว่าวิปัสสนา เกิดมาจากไหน ถ้าไม่มีการฟังให้เข้าใจเดี๋ยวนี้ จะรู้ไหมว่าไม่มีเราเลย แต่เป็นธรรมทั้งหมด ปรากฏได้เฉพาะแต่ละทางด้วย สับสนก้าวก่ายกันไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงก็แสดงความจริงกับปัญญาที่ฟังแล้ว และก็ไม่มีความคิดด้วยความเป็นเราว่าอยากจะรู้คำนั้น คำนี้ เรื่องนั้น เรื่องนี้สิ่งนั้น สิ่งนี้ การเกิดขึ้น และดับไป นั่นอยากทั้งหมดเลย ไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นเราจะมีคนที่อยู่กับเรา ไม่เคยพลัดพรากจากไปเลย โดยสมมติ ทุกขณะใกล้ชิดมาก ไม่ห่างไป แล้วก็ไม่มีการยอมให้เขาห่างไปด้วย เพราะไม่รู้จักว่าแท้ที่จริงเป็นโทษเป็นภัยมหาศาล เพราะตราบใดที่ยังมีเขาก็มีการเกิด และเกิดก็เหมือนที่เคยเกิดแล้ว และเหมือนเดี๋ยวนี้ด้วย แล้วเหมือนต่อไปด้วย คือเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น แล้วก็ไม่มีอะไร สนุกมาก สวยมาก อร่อยมาก ดีมาก เพลินมาก แล้วก็ไม่มี มาถึงที่สุดคือแล้วก็ไม่มี ไม่มีจริงๆ และความจริงก็กำลังไม่มี แต่ยังไม่มีปัญญาที่สามารถจะรู้ได้ เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่ฟัง ไม่ใช่ข้ามไปคิดเรื่องอื่น ฟังให้เข้าใจคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นจนกว่าจะมั่นคง

    ผู้ฟัง ต้องปัญญาอย่างเดียว

    ท่านอาจารย์ ปัญญาเท่านั้นที่สามารถจะรู้ได้ เพราะฉะนั้นจึงกล่าวว่าในบรรดาสังขารธรรมทั้งหลายคือธรรมที่เกิด ปัญญาประเสริฐสุด ไม่เห็นผิด ไม่เข้าใจผิด เพราะว่าที่เราหลงยินดีพอใจ ยึดมั่น ก็เพราะไม่รู้ความจริง และปัญญาก็สามารถที่จะรู้ความจริงตรงตามที่ได้ฟังด้วย มิฉะนั้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่ตรัสคำใดๆ ถ้าคนไม่สามารถที่จะอบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งรู้ความจริงได้ แต่ตรัสคำจริงเพื่อให้เข้าใจถูกต้อง ไม่ไปจำอื่นไว้มากมายเหมือนเคย แต่เริ่มจำความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริง จนกว่าความเข้าใจจะเพิ่มขึ้นจนกระทั่งเห็นความเป็นอนัตตาว่า ขณะนี้กำลังเริ่มเข้าใจสิ่งที่กำลังมี โดยไม่ต้องไปคิดถึงคำใดๆ เลย เพราะได้ฟังมาแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าขณะนั้นสภาพธรรมปรากฏอย่างเดียวนี้เลย เสียงเกิด และเสียงดับ แต่ปัญญาที่จะละความยินดีติดข้อง ยังไม่มี ต่อเมื่ออบรมแล้ว ขณะนั้นปัญญาที่ละความติดข้องก็เกิด ถึงจะรู้ว่าเสียงธรรมดา ทุกอย่างธรรมดา แต่ขาดปัญญาที่จะรู้ความจริงจึงไม่สามารถที่จะละความติดข้องได้ เพราะฉะนั้นจึงอยู่ที่ปัญญา ความเห็นถูก

    อ.อรรณพ โทษของความไม่รู้หนักมาก เพราะว่าสามารถจะทำให้ปฏิเสธแม้กระทั่งพระพุทธพจน์ซึ่งทรงแสดงสภาพธรรมที่กำลังเกิดปรากฏตามความจริง แสดงลักษณะของโลภะที่ยึดติดไว้มากมาย กล้าปฏิเสธการประกาศความจริงเช่นนี้ ถึงกับออกมาทางวาจาว่าไม่ต้องศึกษา แล้วก็รู้เองก็เป็นโทษหนัก

    ท่านอาจารย์ แต่ตรงกันข้ามก็มี ที่ฟังแต่พุทธพจน์

    อ.อรรณพ ก็เหมือนดูดีเลย เอาพุทธพจน์โดยตรง

    ท่านอาจารย์ แต่พูดอย่างนี้เพราะไม่เข้าใจพุทธพจน์ ปฏิเสธคำของพระสารีบุตรคำของพระโมคัลลานะ คำของพระเถระ มุ่งแต่พุทธพจน์ เข้าใจผิด เพราะเหตุว่าคำจริงทุกคำ ไม่ว่าใครพูด ใครกล่าวที่ไหน เมื่อไหร่ คำจริงนั้นเป็นคำของพระสัมมาสัมเจ้าทั้งสิ้น

    อ.อรรณพ พระรัตนตรัย มี ๓ คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะฉะนั้น ถ้าปฏิเสธอรรถาจารย์ตั้งแต่ท่านพระสารีบุตร ลงมา ก็หมายความว่าปฏิเสธรัตนะที่๓ และเมื่อปฏิเสธรัตนะที่ ๓ ก็ชื่อว่าปฏิเสธรัตนะทั้ง ๓ อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีการตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่มีใครเป็นสาวก หรือผู้ฟังจะไปฟังคำของใครที่จะทำให้รู้ความจริง เป็นไปไม่ได้ นอกจากผู้ที่ตรัสรู้ความจริง วาจาสัจจะทั้งหมด เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นว่าผู้อื่นสามารถที่จะเข้าใจได้ ก็ทรงแสดงพระธรรมให้คนนั้นเข้าใจอบรมประพฤติปฏิบัติจนถึงความหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ได้ จึงมีพระรัตนตรัย เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่พระสาวก พระธรรมคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ของใครทั้งสิ้น และพระสาวกคือผู้ที่ได้อบรมเจริญปัญญาจนรู้แจ้งอริยสัจธรรม มิฉะนั้นการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นโมฆะ เป็นหมัน เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถที่จะรู้ธรรมเช่นพระองค์ได้ เพราะฉะนั้นการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือว่าทรงบำเพ็ญพระบารมีด้วยพระมหากรุณา พระองค์ไม่รู้ตอนเป็นพระโพธิสัตว์ ใครก็ไม่รู้ แต่สิ่งนี้มีจริง ย่อมสามารถรู้ได้ ในความจริงซึ่งหลากหลาย เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวเมตตา ทุกอย่างมีจริงทั้งนั้น แล้วทำอย่างไร อบรมอย่างไร รู้อย่างไร จึงสามารถที่จะรู้ความจริงของทุกอย่างได้

    เพราะฉะนั้นผู้ที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญพระบารมี ด้วยบารมี ๑๐ ที่เหนือใคร ซึ่งผู้ที่เป็นสาวกนั้นใครอยากจะเป็นบำเพ็ญเพื่อจะเป็นถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้างไหม หรือแค่พระสาวกก็หนักหนาสาหัสจริงๆ เพราะว่ากิเลสมากมายจริงๆ กว่าจะรู้ความจริงได้ ไม่ต้องถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นักหนาขนาดนั้นไม่รู้จะเกิดอีกนานเท่าไหร่สำหรับคนที่บำเพ็ญบารมีไม่ถึงการที่จะรู้แจ้งสัจธรรม เกิดไปอีกนับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้นมีพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เพราะพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ จนถึงการบรรลุคุณธรรมเป็นสังฆรัตนะ จึงเป็นผู้ที่บริสุทธิ์จากกิเลส โดยมีพระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรม และผู้ที่รู้แจ้งสภาพธรรมตามที่ได้ฟังพระธรรมก็เป็นพระสาวก

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นการปฏิเสธพุทธพจน์ก็มีอยู่ ๒ ลักษณะ คือปฏิเสธที่จะไม่ศึกษาพระธรรมวินัยเลย แล้วก็ไปปฏิบัติกันเลยอย่างหนึ่ง ก้บมุ่งที่จะเลือกเฉพาะที่เป็นพระพุทธพจน์โดยไม่ฟังคำของพระอริยสาวกทั้งหลายที่ท่านมีความเมตตากรุณา ขยายความไว้เพื่อให้เข้าใจความจริงด้วยจิตที่เกื้อกูลโดยแท้ ที่รู้ว่าคนรุ่นหลังนั้นปัญญาน้อย หากไม่มีการอรรถาธิบายไว้ก็ไม่สามารถจะเข้าใจอรรถอันลึกซึ้งของพระบาลีซึ่งเป็นพุทธพจน์ได้ เพราะฉะนั้นการที่มีความคิดทั้ง ๒ อย่าง ก็เป็นการปฏิเสธพระธรรมวินัย และทำให้พระธรรมวินัยลบเลือนเสื่อมสูญ

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นความกล้าที่เป็นอหิริกะ อโนตตัปะ กล้าที่จะไม่ละอาย แล้วก็ไม่เกรงกลัวไม่เห็นโทษภัยของการที่จะไม่เคารพในพระสงฆ์ซึ่งเป็นพระอริยบุคคล เพราะเหตุว่าแม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสรับรองคำที่สาวกล่าวเวลาที่มีผู้ไปเฝ้าแล้ว กราบทูลถามถึงการสนทนาของพระเถระทั้งหลาย พระองค์ก็รับรอง และอนุโมทนาด้วยในคำจริงเหล่านั้น แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังชื่นชมอนุโมทนา แล้วผู้ที่ปฏิเสธคำของสาวกนั้น เป็นใคร

    ผู้ฟัง ในกลุ่มที่ท่านเอาแต่พุทธวัจนะมา ก็ยกพระสูตรหนึ่งเอามาเปรียบเทียบว่า ฟังแต่คำกล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ เป็นร้อยกรอง มีอักษรอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิต

    ท่านอาจารย์ สาวกของใคร ไปฟังคนไหนก็เป็นสาวกคนนั้น พิจารณาทุกคำแม้แต่คำว่านักปราชญ์ไม่ได้หมายความถึงพระอริยเจ้า แค่คนที่เป็นคนที่คิดไตร่ตรองแล้วกล่าวคำ อาจจะแต่งเป็นบทกวีหรืออะไรจูงใจคนได้สารพัด แต่ว่าไม่ใช่ผู้ที่รู้แจ้งอริสัจธรรมจึงไม่ใช่สาวก ในที่นี้ไม่ได้หมายความถึงสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาวกของผู้ที่กล่าวคำนั้นๆ ที่ประดิษฐ์คำขึ้นมาแล้วก็กล่าว ใครเชื่อคนนั้นก็เป็นสาวกของคนนั้น นี่เป็นโทษของการศึกษาโดยไม่ละเอียดโดยไม่ได้เข้าใจจริงๆ เพราะจริงๆ แล้วสาวกคือผู้ฟัง ฟังใคร เชื่อใคร ก็สาวกของคนนั่นแหละ

    ผู้ฟัง ผมมาอยู่ในหมู่บ้านที่ชาวบ้านไม่มีใครฟังธรรมเลย เพื่อนบ้านผมก็แนะนำว่าให้เข้าเมืองตาหลิ่วให้หลิ่วตาตาม เพราะว่าชาวบ้านเวลาขับรถผ่านตรงนี้ที่มีผูกผ้าแดงก็บีบแตร แต่ผมก็ถามว่าทำไมต้องบีบ เขาบอกว่าเข้าเมืองตาหลิ่วให้หลิ่วตาตาม แล้วจะทำอย่างไนถ้าอยู่ในสภาพที่ต้องหลิ่วตาตาม แล้วจะถูกต้องตามหลักของพระธรรมคำสอนได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ เกิดมาแล้วตายทุกคนหรือไม่

    ผู้ฟัง ทุกคน

    ท่านอาจารย์ จะบีบแตรได้ไม่บีบแตรก็ตาย แล้วทำไมจะต้องไปบีบแตรโดยที่ว่าอย่างไรก็ต้องตาย ไม่บีบก็ตาย บีบก็ตาย

    ผู้ฟัง ก็ยังกลัว

    ท่านอาจารย์ กลัวอะไร

    ผู้ฟัง กลัวตาย

    ท่านอาจารย์ไม่ได้กลัวความชั่ว และความเห็นผิดใช่ไหม เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาเลย

    ผู้ฟัง และอย่างหนึ่งคือ เพื่อนบ้านผมก็จะตั้งชมรมปัจฉิมวัย เขาบอกว่าเพื่อให้ผู้ที่อายุมากแล้วมาใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าที่เกิดมาไม่เสียชาติเกิด

    ท่านอาจารย์ ไม่เสียชาติเกิดคือไม่มีปัญญาหรือมีปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาก็เสียชาติเกิด

    ผู้ฟัง แล้วจะให้ทำอย่างไรให้เพื่อนบ้านเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ยาก คือขอให้เราประพฤติตามอย่างมั่นคงไม่หวั่นไหว มีความเข้าใจถูกความเห็นถูกในธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ตรัสถึงสิ่งที่มีจริงให้ทุกคนสามารถที่จะฟังก่อน ไม่ใช่ไม่ฟังเลยแล้วคิดเอง ฟังแล้วไตร่ตรอง แล้วค่อยๆ เข้าใจคำที่เป็นคำจริงเพิ่มขึ้น นี้คือพระพุทธประสงค์ ที่จะไม่ให้คนหลงผิด เพราะว่าธรรมเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง ยากแน่นอน ละเอียดลึกซึ้งมาก เพราะเป็นสิ่งที่กว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ก็ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานมากเพื่อที่จะรู้ความจริง เพราะฉะนั้นไม่ใช่ใครที่ไม่ฟังแล้วก็บอกว่านับถือพระพุทธเจ้า แล้วก็จะรู้ความจริง ถ้าไม่ฟังไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้ แล้วก็ไม่รู้จักว่าสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใครด้วย เพราะไม่รู้ว่าพระองค์ตรัสรู้อะไร

    ผู้ฟัง ตอนนี้เกิดความรู้สึกกลัวตายขึ้นมาว่า เรายังไม่รู้อะไรเลย ว่าจะเตรียมตัวอย่างไรดี

    ท่านอาจารย์ ตายแล้วต้องเกิด อย่างไรก็ต้องเกิด แล้วที่ไม่เกิดไม่มี เพราะฉะนั้นจะเกิดเป็นอะไรก็เลือกไม่ได้อีก แต่ทั้งหมดที่เป็นชีวิตนี้ ความดี ความชั่ว การกระทำกุศล และอกุศลทั้งหลาย รวมทั้งชาติก่อนๆ ด้วยที่ยังไม่ได้ให้ผล ก็สามารถที่จะให้ผลประมวลมาซึ่งกรรมที่ได้ทำแล้ว นี่เป็นเหตุที่ว่าถ้ากลัวตายจริงๆ ก็ทำดี ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ตายเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ไม่ประมาท คือทำดี เพื่อบุคคลที่จะเกิดสืบต่อจากคนนี้ คือธรรมที่จะมีข้างหน้านี่ก็ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 176
    27 มี.ค. 2567