ปกิณณกธรรม ตอนที่ 731


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๓๑

    สนทนาธรรม ที่ เรือนทองทิพย์ จ.เชียงราย

    วันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๘


    ท่านอาจารย์ ที่เห็นนี่คือสิ่งหนึ่ง ในโลกกี่โลกก็ตาม จะมีธรรมเพียงอย่างเดียวที่สามารถเห็นได้ คือสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้ เสียงไม่ได้ปรากฏให้เห็น กลิ่นไม่ได้ปรากฏให้เห็น ความคิดไม่ได้ปรากฏให้เห็น ความโลภไม่ได้ปรากฏให้เห็น ไม่มีอะไรสักอย่างที่ปรากฏให้เห็นได้ นอกจากสิ่งที่กำลังปรากฏเท่านั้น ๑ ในบรรดาทั้งหลาย สิ่งนี้แม้มีจริง แต่ถ้าไม่มีเห็น สิ่งนี้ปรากฏไม่ได้ว่ามี ต่อไปเราจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งมีความเข้าใจความเป็นอนัตตามั่นคงขึ้น

    นี่คือปริยัติ แต่ถ้าไม่มีความรู้อย่างนี้เลย กำลังเห็นอย่างนี้ กำลังจะกระทบอย่างนี้ จะรู้ได้อย่างไรว่า เป็นธรรมไม่ใช่เรา ไม่มีทาง เพราะฉะนั้น จึงอาศัยพระธรรมเป็นที่พึ่ง เคยพูด พุทธัง สะระณังคัจฉามิ ไหม

    ผู้ฟัง เคย

    ท่านอาจารย์ หมายความว่า

    ผู้ฟัง ไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม แล้วพูดทำไม

    ผู้ฟัง อยู่ในบทสวด

    ท่านอาจารย์ นั่นสิ แล้วสวดทำไม

    ผู้ฟัง สวดเอาสมาธิ

    ท่านอาจารย์ แล้วสมาธิคืออะไร

    ผู้ฟัง ความเป็นหนึ่ง ความนิ่งๆ ของจิต

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรม หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ สมาธิไม่ใช่จิต ต้องแยกละเอียดยิบเลย จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง แต่ละหนึ่งที่กำลังปรากฏในเสียง ในกลิ่น ในอะไรก็ตามแต่ ทีละหนึ่งด้วย จิตทำอย่างอื่นไม่ได้เลย จิตจำไม่ได้ จิตดีชั่วไม่ได้ แต่ว่ามีสภาพนามธรรมที่เกิดกับจิต แต่ไม่ใช่จิต แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ๕๒ ประเภท แล้วแต่ว่าจะมีเจตสิก นามธรรมที่เกิดกับจิต ใช้คำว่า เจตสิก แล้วแต่ว่าเจตสิกใดเกิดกับจิตนั้น ก็ทำหน้าที่ของเจตสิกนั้นๆ พร้อมกับจิตที่เกิดขึ้นเห็น หรือเกิดขึ้นรู้แจ้งอารมณ์ เพราะฉะนั้น แข็งมีใช่ไหม อะไรรู้แข็งว่าแข็งมี ร่างกายจริงๆ ไม่ใช่สภาพรู้

    เพราะฉะนั้น ต้องแยกละเอียดตั้งแต่ต้น ว่าสิ่งที่มีจริงหลากหลายมากมาย และก็ต่างกันเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ สภาพที่เกิดขึ้นอย่างหนึ่ง มีไม่ใช่ไม่มี แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เช่น แข็ง เสียง กลิ่น รส ไม่รู้อะไรเลย แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้ หรือสภาพรู้เกิดขึ้นรู้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ไม่ปรากฏว่ามี ค่อยๆ ฟัง ถ้าไม่มีสภาพรู้ หรือธาตุรู้เกิดขึ้นรู้สิ่งนั้นๆ ก็ไม่ปรากฏว่ามีสิ่งนั้น เคยได้ยินคำว่า โลก ไหม เคยคิดว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง แต่ก่อนนี้คิดว่าเป็นดาวเคราะห์ดาวหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ แต่ความจริง พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสคำนี้ไว้หมายความถึง สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา สิ่งที่เกิดดับนั่นแหละเป็นโลก แต่ละหนึ่งๆ ๆ พอรวมกันก็กว้างใหญ่ไพศาลใช่ไหม กล่าวว่าดาวดวงหนึ่ง แต่ความจริงแตกย่อยไปแล้ว ก็คือต้องมีธาตุที่เป็นหนึ่ง ไม่เหมือนกับธาตุใดๆ เลยทั้งสิ้น เช่น เห็นไม่ใช่ได้ยิน เสียงไม่ได้กลิ่น เป็นแต่ละหนึ่งทั้งหมด เป็นธรรมทั้งหมด เป็นอนัตตาทั้งหมด เพราะฉะนั้น ที่เคยเข้าใจว่าเรา ถูกหรือผิด

    ผู้ฟัง ผิด

    ท่านอาจารย์ ผิด แต่เป็นเราอยู่ใช่ไหม

    ผู้ฟัง เป็นอยู่

    ท่านอาจารย์ จนกว่าจะเข้าใจขึ้น ถ้าความเข้าใจยังน้อย ก็ยังเป็นเราอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้น จึงมีปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ ๓ คำภาษาบาลี แต่หมายความว่า ปริยัติ คือรอบรู้ในพระพุทธพจน์ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยากไหม คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง ยาก

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไรว่ายาก

    ผู้ฟัง บางความหมาย ผมก็ไม่รู้ความหมายจริงๆ ของคำ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ที่ยาก และเราสามารถที่จะรู้ได้เร็วไหม

    ผู้ฟัง ไม่เร็ว

    ท่านอาจารย์ นานไหมกว่าจะรู้ได้

    ผู้ฟัง ใช้เวลานาน

    ท่านอาจารย์ นี่คือปริยัติ ยังไม่ถึงปฏิปัตติ ถ้าไม่มีความเข้าใจเลย ไม่มีเหตุปัจจัย ที่จะทำให้สติสัมปชัญญะเกิดขึ้น ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมเพียงหนึ่ง ทีละหนึ่ง ด้วยความเข้าใจขึ้นในความไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ปริยัติ ส่องทาง ให้ปฏิปัตติเกิดขึ้น รู้ความจริง ถ้าไม่มีปริยัติการฟังเลย ไม่มีทางเลยที่จะเข้าใจถูก เพราะแข็งก็ยังคงเป็นเรา เป็นโต๊ะ แต่ความจริงแข็งเป็นอะไรไม่ได้เลย เพราะแข็งเป็นแข็ง สิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นเป็นแข็ง เป็นธรรมทั้งหมด

    เพราะฉะนั้น แม้แต่การฟัง ก็ยังสามารถที่จะรู้ได้ว่าเราฟังใคร คำจริงทุกคำ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นคำของพระองค์ ไม่ว่าท่านพระสารีบุตรจะกล่าว ท่านพระโมคคัลลานะจะกล่าว หรือใครจะพูด คำจริงนั้นต้องมาจากการที่ได้ฟัง ได้เข้าใจ คำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เพราะฉะนั้น เราสามารถที่จะเกิดความเข้าใจของตัวเอง การฟังพระธรรมนี้ไม่ใช่ให้เชื่อ แต่ว่าพิจารณาแล้วว่าความเห็นถูกเกิดขึ้นเมื่อไร ความเห็นถูกไม่ใช่เห็นผิด ความเห็นถูกเกิดแล้วเป็นความเห็นถูก ไม่ใช่เรา จนกว่าทุกอย่างเมื่อไร เพราะปัญญารอบรู้ ในพระพุทธพจน์ เริ่มเป็นปัจจัย ที่สามารถที่จะเข้าถึงความจริงของเห็นเดี๋ยวนี้ ตรงตามที่ได้ฟัง ทีละเล็กทีละน้อยๆ จนสภาพธรรมนั้นปรากฏจริงๆ อย่างที่ตรัสไว้ดีแล้ว ด้วยปัญญาของตนเอง ที่จากการฟัง จนกระทั่งเป็นปัจจัยให้ ขณะนั้นเป็นปกติ รู้สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นปกติ เพราะถ้าไม่ใช่เป็นปกติไม่มีทางรู้ความจริง เพราะความเป็นเราลึกมาก และโลภะก็เป็นมายาอย่างยิ่ง ลวงอย่างยิ่ง ให้คิดว่านี่ถูก นี่ใช่ แต่ความจริงเป็นเรา เพราะไม่ได้รู้ความจริงทีละเล็กทีละน้อย ขณะนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า เห็น เกิดดับ จริงไหม

    ผู้ฟัง จริง

    ท่านอาจารย์ จริง มีศรัทธาแล้ว จากไม่มีศรัทธา มีศรัทธา และศรัทธาจะเพิ่มขึ้นมั่นคงขึ้นไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นเลย ไม่ฟังคำของคนอื่นเลย แต่ฟังคำที่ฟังแล้วเข้าใจตรง สามารถไตร่ตรองเองได้ เข้าใจเองได้ เป็นสาวกคือผู้ฟัง ไม่ใช่สาวกของเดียรถีย์ ในสมัยพุทธกาลมีอาจารย์สัญชัย มีมัคกลิโคสาร มีปูรณะกัสสปะ ไม่ใช่คำของคนเหล่านั้นเลย แต่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น คนที่ฟังแล้วเข้าใจ สามารถที่จะบอกได้ เข้าใจได้เลย นั่นเป็นคำของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า หรือเป็นคำของคนที่คิดเอง หรือเป็นคำที่เพียงอ่าน และเข้าใจเอง อธิบายเอง เขียนตำราเอง บอกคนอื่นเอง แต่ไม่ถูกต้อง เพราะว่ายังเป็นเขา เพราะฉะนั้น มีที่พึ่งหรือยัง

    ผู้ฟัง มีแล้ว

    ท่านอาจารย์ ใคร

    ผู้ฟัง พระพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ เท่านั้นหรือ มีอะไรอีกไหม

    ผู้ฟัง คำสอนของพระองค์

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น มีพระพุทธเจ้า มีพระธรรม และอะไรอีก

    ผู้ฟัง พระสงฆ์ด้วย

    ท่านอาจารย์ พระสงฆ์ สุปฏิปันโน ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไม่ใช่เพราะคนอื่นสรรเสริญว่าเขาปฏิบัติดี แต่ต้องเป็นปัญญา ที่ทำให้ปฏิบัติดี คือ ปฏิบัติตรง และถูกตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น เราก็มีตนเป็นที่พึ่ง แต่ไม่ได้หมายความเป็นเราจริงๆ แต่มีปัญญาความเห็นถูก จากการได้ฟังพระธรรม ทำให้สามารถที่ชาตินี้ไม่หลงผิด ไม่เข้าใจผิด เพราะเหตุว่าถ้าเข้าใจผิด หันหลังให้พระสัทธรรม ไม่มีโอกาสที่จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เหมือนพวกเดียรถีย์ในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าประทับอยู่ไม่ไกลเลย ไม่มาเฝ้า เราอาจจะเป็นอย่างนั้น ถ้าเราประมาท

    ผู้ฟัง น่ากลัว

    ท่านอาจารย์ น่ากลัวมาก เพราะฉะนั้น จึงเป็นผู้ที่ตรง บารมีทั้ง ๑๐ มั่นคง อดทน ยากแน่ๆ ถ้าบอกว่าไม่ยากผิดหรือถูก

    ผู้ฟัง ผิด

    ท่านอาจารย์ ผิด ต้องยอมรับตามความเป็นจริง เพื่อเราจะได้เป็นคนที่เห็นถูกต้อง ชาตินี้มีโอกาสที่จะได้ประจักษ์ รู้แจ้งการเกิดดับของจิตเดี๋ยวนี้ไหม ไม่ว่าจะเห็น หรือจะได้ยิน หรือจะคิด

    ผู้ฟัง ไม่แน่ใจ

    ท่านอาจารย์ ไม่แน่ใจนี่หมายความว่า ยังมีหวังหรือ

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ คือโลภะ ยังเป็นทาสของโลภะ แล้วอะไรจะรู้ว่านั่น เป็นสิ่งที่เป็นศัตรูภายใน ไม่ได้อยู่ข้างนอกเลย ศัตรูภายนอก ทำร้ายกายได้ ทำร้ายใจไม่ได้ แปลว่าศัตรูภายใน ทำร้ายใจทันทีที่เกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา อนุเคราะห์อย่างยิ่ง และข้อสำคัญ ต้องไม่ลืมว่า หลังจากที่ตรัสรู้ เมื่อตรัสรู้แล้ว ไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดงพระธรรม เพราะอะไร ธรรมลึกซึ้ง กว่าจะได้ตรัสรู้ คือรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ ยากแค่ไหน ต้องเป็นปัญญาจริงๆ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีปัญญาเล็กน้อย คือเริ่มตั้งแต่เข้าใจถูกเห็นถูกด้วยการฟัง ไม่มีปัจจัยที่จะทำให้สามารถถึงเฉพาะด้วยสติสัมปชัญญะ ที่รู้ความจริงเดี๋ยวนี้ได้ นี่คือพระธรรมที่ทรงแสดงไว้เพื่ออนุเคราะห์ พระมหากรุณาไม่ให้เห็นผิด เพราะเหตุว่าถ้ามีความเห็นผิด ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว ชาตินี้ยังหันหลังให้พระสัทธรรม เพราะฉะนั้น ต่อไปก็ไม่มีวันพบ ก็จะเป็นพวกเดียรถีย์ สาวกเดียรถีย์ เพราะไม่เห็นประโยชน์ของการเป็นผู้ที่ตรง ที่สามารถจะเริ่มเข้าใจถูกต้อง ในขั้นฟังความจริง เพราะฉะนั้น ศรัทธา หรือไม่ศรัทธา รู้ได้เลย ถ้าเป็นความเห็นผิด ไม่ใช่ศรัทธา จิตขณะนั้นไม่ได้ผ่องใส มีโลภะ มีความต้องการ มีความไม่รู้ มีความเห็นผิด เพราะฉะนั้น จิตขณะนั้นหม่นหมอง เจือปนด้วยกิเลส ท่านใช้คำว่า เศร้าหมอง มีมลทิน เพราะกิเลส ซึ่งกิเลสทั้งหมดดับได้ มีผู้ที่บรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์มากมาย เพราะรู้ความจริง ไม่ใช่เพราะไม่รู้ การฟังจึงเป็นผู้ที่ละเอียดอย่างยิ่ง เป็นผู้ที่ตรง และรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร แล้วเราเป็นใคร ถามอีกครั้งหนึ่ง ชาตินี้มีโอกาสที่จะได้รู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่แน่ใจ คงไม่

    ท่านอาจารย์ คง หมายความว่าอย่างไร มีหวัง

    ผู้ฟัง ก็อยากจะทำให้ดีที่สุด

    ท่านอาจารย์ อยาก ใครอยาก

    ผู้ฟัง ผมเอง ความโลภ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ปัญญา เพราะไม่รู้ว่าที่เรายึดถือว่าเรา คือ จิต เจตสิก รูปเท่านั้น ปรมัตถธรรม เราได้ยินคำว่า ธรรมสิ่งที่มีจริง เรายังได้ยิน ปรมัตถธรรม ปะ-ระ-มะ คือ บรม อัตถะ คือสภาพนั้นๆ แหละ ไม่มีใครบังคับบัญชาได้ โกรธเกิด ลักษณะของโกรธ เปลี่ยนอย่างอื่นไม่ได้เลย อวิชชากำลังไม่รู้ ไม่เข้าใจ จะให้เป็นความรู้ความเข้าใจได้อย่างไร อวิชชาไม่มีทางที่จะเข้าใจ แต่ว่าปัญญาความเข้าใจเกิดขึ้น อวิชชาก็ไม่สามารถที่จะเกิดในขณะที่วิชชาเกิดได้ ทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งวิชชามีกำลังขึ้น เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดในชีวิต ในบรรดาสังขารทั้งหมด ปัญญาประเสริฐสุด เพราะสามารถดับกิเลสได้ ถ้าดับกิเลสไม่ได้ ไม่มีพระอรหังสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีสาวก แต่ไม่ใช่ว่า ใคร ก็ดับได้โดยไม่รู้อะไร ต้องมั่นคง เพราะฉะนั้น ศรัทธา คือ ได้ฟังแล้ว เคยฟังอย่างนี้มาก่อนหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เคย

    ท่านอาจารย์ เพราะก่อนการตรัสรู้จะไม่มีใครกล่าวคำอย่างนี้เลย ใหม่หมด แต่พอตรัสรู้แล้วทรงแสดงพระธรรมแล้ว ได้ยินได้ฟังต่อๆ กันมา แต่ต้องรักษาคำสอนไว้ ไม่ให้คลาดเคลื่อนหรือลบเลือน เพราะเข้าใจผิดได้ง่ายมาก อย่างเมื่อกี้นี้จะพยายาม คลาดเคลื่อนแล้ว และก็ไม่รู้ตัว ถ้าไม่บอก ถ้าไม่มีคำของพระเจ้าตรัสไว้ อย่างละเอียดยิ่ง ป้องกันทุกอย่าง ปริยัติ ปฏิปัตติ ยังไม่พอ สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ กำกับไว้อีก เพราะฉะนั้น มีที่พึ่ง เมื่อได้ฟังพระธรรม และเข้าใจขึ้น ความเป็นผู้ตรง คนอื่นเลือกให้ไม่ได้เลย ตามการสะสม ใครสะสมที่จะมีโลภะมาก โลภะพาไปได้ตลอด พาไปไหนก็ไปได้ พาไปสวรรค์ก็ได้ รูปพรหมก็ได้ อรูปพรหมก็ได้ วนเวียนอยู่อย่างนี้ พาออกจากสังสารวัฏฏ์ และดับกิเลสไม่ได้

    แต่ละคำลึกซึ้งมาก แค่นี้ไม่กี่คำ ๔๕ พรรษากี่คำ และทุกคำเป็นคำจริง และความจริง สอดคล้องกันหมด จากคํานี้สู่คำนั้นๆ ๆ ตรงกันหมด ไม่คลาดเคลื่อน ถ้าเป็นอนัตตา อนัตตาทั้งหมด ไม่ใช่ตรงนี้อนัตตา ตรงนั้นอัตตา ผิดแล้ว ไม่ใช่ผู้ตรง

    เพราะฉะนั้น โอกาสแม้แต่จะได้ยินได้ฟัง นำมาซึ่งความถูกต้อง ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ ชาติต่อไปมีโอกาสได้ฟังอีก ได้เข้าใจอีก แต่ถ้าฟังแล้วไม่ไตร่ตรอง ไม่พิจารณา สุนักขัตตลิจฉวีบุตร ก็ยังคิดว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม โดยเพียงไตร่ตรอง ใคร่ครวญ สามารถรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิดแล้วแสดง สุนักขัตตลิจฉวีบุตร ยังคิดอย่างนี้ เพราะสะสมความเห็นผิดมา

    เพราะฉะนั้น ความเห็นผิดอันตรายมาก ไม่รู้ตัวเลยว่า ความเห็นผิด ไม่ใช่เขาบอก เราสะสมมาใช่ไหม ที่จะเชื่อ เพราะเขาบอกมา เราไม่เชื่อก็ได้ คนที่ฟังพระเห็นถูกมี เห็นผิดมี อย่างสุนักขัตตลิจฉวีบุตร ทำไมทรงกล่าวถึงชีวิตของแต่ละบุคคล ในอดีต ในสมัยก่อนการตรัสรู้ จนกระทั่งถึงสมัยที่พระองค์ทรงแสดงธรรม เพราะเป็นธาตุแต่ละหนึ่งซึ่งหลากหลายมาก ใครเปลี่ยนแปลงธาตุไม่ได้เลย จะกล่าวว่า สิ่งที่มีจริง เป็นธาตุไม่ผิด และธาตุแต่ละหนึ่งๆ หลากหลายมาก อย่างความติดข้องที่ไม่รู้สึกตัวเลย ก็มี ที่รุนแรงจนกระทั่งทั้งวันก็ยังมี ต้องมีเหตุทั้งนั้นเลย ถ้าไม่มีเหตุก็เกิดไม่ได้ ทำไมเราชอบเรื่องนี้ คิดแต่เรื่องนี้ อีกเรื่องหนึ่งก็ชอบเหมือนกัน แต่ไม่สนใจเท่าไร

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่างเป็นคำสอนที่ทรงแสดงความจริง เป็นผู้ที่ตรง และก็เป็นผู้ที่เห็นคุณค่าของพระธรรมแต่ละคำ ไม่ใช่ว่าง่าย ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ รู้ได้ ประมาทมากเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร พระบารมีที่ทรงบำเพ็ญมา ทำให้สามารถที่จะตรัสรู้ความจริง ที่เราใช้คำว่า อริยสัจจะ เริ่มตั้งแต่ทุกขอริยสัจจะ เห็นสภาพเดี๋ยวนี้ที่กำลังเกิดดับ ทรงแสดงความจริงนี้ให้คนอื่นรู้ได้ ปฏิบัติตามได้ ด้วยการที่ได้ทรงอบรมมาแล้ว ซึ่งพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ต่างกันที่ว่าไม่มีใครมีโอกาสได้ฟังคำ อย่างละเอียดยิ่ง ที่จะอนุเคราะห์แต่ละคำจริงๆ คุณค่ามหาศาลที่ทำให้พ้นจากความเห็นผิด

    เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่เห็นคุณค่า รัตนะที่ประเสริฐสุดล้ำค่าไม่มีอะไรเทียบได้เลย เงินทองซื้อปัญญาไม่ได้ ชื่อเสียง บริวาร ลาภยศ ซื้อปัญญาไม่ได้ แต่ปัญญามาจากการได้ยินได้ฟังคำที่ถูกต้อง ถ้าใครไม่มีโอกาสได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดเอง ถูกไหม เขาเป็นใคร ถ้าเราเชื่อเขา โทษเขาไม่ได้ เขาคิดอย่างไรเขาพูดอย่างนั้น แต่เขาไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราสามารถที่จะไตร่ตรองว่า คำนั้นถูกไหม แต่ว่าก่อนอื่นต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงสามารถจะรู้ว่า คำใดถูก คำใดผิด เริ่มมีศรัทธาไหม

    อย่างที่ว่า ตั้งตนไว้ชอบ และกิจของปัญญา นำไปในกิจทั้งปวง บางคนก็โน่น กิจรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แสนไกล ยังไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร สัจจะของธรรมคืออะไร ก็แค่นี้ จะไปรู้แจ้งอริยสัจจธรรมแล้ว แต่กิจแรกของปัญญา เริ่มเห็นถูกว่า เพราะได้ฟังคำจริง จึงเริ่มเข้าใจ เพราะฉะนั้น ถ้าหากปราศจาก หรือไม่ฟังอีกต่อไป จะเอาคำจริงที่ไหนมาเพิ่มความเข้าใจได้ นี่คือกิจแรกของปัญญา

    ปัญญาจริงๆ แล้วทำให้ไม่ฟังคำอื่น รู้ว่าคำนั้นไม่ได้ทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้น ศรัทธาไม่ได้เพิ่มเลย ถ้าติดตามคำของคนอื่น แต่ว่าขณะใดก็ตามที่รู้ ปัญญาคือความเห็นถูกตั้งแต่เริ่มถูกว่า ต้องฟัง เพราะความเข้าใจมาจากการได้ยินได้ฟัง ไม่ใช่ฟังคนอื่นด้วย ฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศรัทธาเพิ่มขึ้น ฟังอีก เข้าใจอีกเพิ่มขึ้น

    เพราะฉะนั้น ในบรรดาเจตสิกที่ดีงามทั้งหมด ๒๕ ประเภท แสดงศรัทธาไว้ก่อน จิตที่ผ่องใสขณะนั้น ไม่มีโลภะที่ต้องการ ที่จะทำอย่างอื่น แต่เพราะไม่รู้ จึงฟัง ขณะนั้นไม่มีโมหะ เพราะไม่ได้ฟัง จึงไม่รู้ เพราะฉะนั้น ขณะที่ฟังเข้าใจ ขณะนั้นไม่มีโมหะ เริ่มรู้แล้ว จะไม่มีโมหะได้อย่างไร จะไม่มีโลภะติดข้องด้วยความต้องการที่เป็นเราที่อยากจะรู้อยากจะทำ ขณะนั้น ก็มีความเห็นถูกเกิดร่วมด้วย ศรัทธาก็เพิ่มพร้อมความเข้าใจถูก

    เพราะฉะนั้น จะเห็นศรัทธาที่ไหน ในพระอริยบุคคล คือพระโสดาบัน ตั้งแต่เริ่มฟัง จนกระทั่งเพิ่มขึ้น เป็นสัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ ประกอบด้วยเจตสิกอื่นๆ ที่ใช้คำว่า สติปัฏฐาน๔ อินทรีย์๕ คู่กันหมด ประกอบกันไปหมด เป็นความจริงที่สอดคล้องทั้งหมด เป็นความถูกต้องทั้งหมด เป็นผู้ที่ทำบุญไว้แต่ปางก่อนจึงมีโอกาสได้ฟัง แต่เมื่อฟังแล้ว ตั้งจิตไว้ชอบด้วย สามารถที่จะรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด จะมีประโยชน์หรือผิด ขณะที่เข้าใจผิด ไม่เข้าใจถูก ความเข้าใจถูกก็ไม่มี

    ผู้ฟัง พื้นฐานผมไม่ได้เข้าวัดเข้าวา ...

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ทุกคนถึงอยากจะรู้ว่า พื้นฐานจริงๆ คืออะไร พื้นฐานจริงๆ คือ ความเข้าใจถูก ที่ค่อยๆ มั่นคงขึ้น และถ้าไม่มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ก็ไม่มั่นคง เวลานี้พระพุทธศาสนากำลังเสื่อม หรือกำลังเจริญ

    ผู้ฟัง กำลังเสื่อม

    ท่านอาจารย์ ทำไมกล่าวอย่างนี้

    ผู้ฟัง คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีศีลกันแล้ว

    ท่านอาจารย์ แล้วปัญญาไม่พูดถึงหรือ ศาสนาคืออะไร พุทธศาสนาคืออะไร และเสื่อมคืออะไร เห็นไหม เราเอาสิ่งอื่นมาปะปนแล้ว ทุกคำต้องตรง ศาสนาคือคำสอน พุทธ คือ ปัญญา พุทธศาสนา คือ คำสอนของผู้ที่ทรงปัญญา เหนือบุคคลอื่นใดทั้งสิ้น คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น พุทธศาสนากำลังเสื่อม หมายความว่าอะไร ต้องตรงทุกคำเลย คนในโลกมีมากไหม มาก คนฟังพระธรรมมีมากไหม น้อย คนไหนก็ตามที่ไม่ได้ฟัง พระธรรมอันตรธานจากเขา ไม่ต้องคอยไปถึงกี่พันปี แต่ว่าเมื่อถึงเวลานั้นก็คือว่าไม่มีใครอีกแล้ว ที่จะกล่าวคำจริง เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ฟังความจริงก็คือ ศาสนาอันตรธานจากคนนั้นที่เข้าใจผิด

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 176
    11 มี.ค. 2567