ปกิณณกธรรม ตอนที่ 775


    ตอนที่ ๗๗๕

    สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

    วันที่ ๑ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ แล้วพระผู้มีพระภาคตรัสเรื่องแข็ง แข็งสำคัญนักหรือ ถ้าไม่ฟังธรรมต่อไปก็คิดว่า คนอื่นเขาพูดเรื่องอื่นใหญ่ๆ โตๆ คำยากๆ แล้วนี่พูดถึงแข็ง ก็แข็งมีจริงๆ เหมือนเห็นมีจริงๆ เหมือนคิดมีจริงๆ เหมือนเสียงมีจริงๆ แต่สิ่งที่มีจริงทุกอย่าง สั้นมาก ปรากฏแล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ ที่จะกล่าวว่า วันนี้เป็นอย่างไร ขาแข็ง มือแข็งหรือเปล่า เดินได้ไหม ก็กล่าวถึงสภาพธรรมที่มีจริง แต่เข้าใจว่า เป็นขา เป็นแขน เป็นมือ แต่ลักษณะแท้จริงก็คือ ธรรมอย่าง ๑ ไม่ว่าที่ไหน แข็งเป็นแข็ง เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่ได้ฟัง ต้องเป็นอย่างนั้นเปลี่ยนไม่ได้เลย เช่น เห็นเป็นเห็น เห็นจะเป็นคน เห็นจะเป็นแมว เห็นจะเป็นนก เห็นจะเป็นเทวดา เห็นจะเป็นพรหมได้ไหม เพราะเห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วดับ ไม่ว่าที่ไหนทั้งสิ้น เปลี่ยนลักษณะของธรรมซึ่งมีจริงคือ เห็นเกิดขึ้นเป็นเห็น ไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมก็เพื่อให้รู้ความจริงว่า แท้จริงแล้วไม่มีสิ่งใดที่เที่ยง ยั่งยืน ที่จะยึดถือว่า เป็นเรา ตัวเรา หรือว่าของเรา หรือว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มั่นคง เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละ ๑ ซึ่งเมื่อสามารถที่จะรู้ลักษณะของธรรมแต่ละ ๑ ก็สามารถที่จะเข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดงว่า แท้ที่จริงแล้วไม่มีใคร แต่มีธรรม เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีธรรมก็จะมีใครหรือมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นที่ถูกแล้ว ควรที่จะเข้าใจความจริงของธรรม เพราะฉะนั้นฟังแล้วเข้าใจอย่างนี้หรือเปล่า ประโยชน์อย่างยิ่งคือ เริ่มเข้าใจสิ่งซึ่งเรารู้สึกว่า เหมือนธรรมดา ใครก็พูดได้ แต่ว่า เข้าใจความจริง และความลึกซึ้งหรือเปล่าว่า ขณะนี้สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เกิดแล้วดับทั้งนั้นไม่เว้นเลย ปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องต่างกับปัญญาของคนอื่น แต่ว่า ผู้ที่ได้ฟังพระธรรมสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ละคลายการที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสิ่งที่เที่ยง เพราะอะไร ไม่เห็นอะไรเกิดดับเวลานี้เลย เพราะเหตุว่า สภาพธรรมที่เกิดดับนี้เร็วมาก เกิดดับจนไม่ปรากฏว่า เกิดดับ เหมือนเที่ยงอยู่ตลอดเวลา ถ้าเกิดดับช้าๆ ก็เห็นว่า นี่เกิดแล้วนั่นดับไป แต่เพราะความเร็วอย่างยิ่ง แต่พระปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง ว่า ไม่ใช่สภาพธรรมอย่างเดียวกัน แม้สิ่งที่ปรากฏเหมือนหนึ่ง แต่ความจริงมีสภาพธรรมซึ่งเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน อาศัยกัน และกันเกิด เพื่อที่จะให้รู้ว่า คำสอนทุกคำนี้ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้ เพราะเหตุว่า เป็นความจริงถึงที่สุด เพราะฉะนั้นก่อนอื่นเริ่มที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการรู้ว่า พระองค์ทรงแสดงความจริงซึ่งใช้คำว่า “ธรรม” ที่มีอยู่ละเอียดขึ้นๆ

    อ.คำปั่น ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงแล้วว่า ทรงแสดงความจริงให้สัตว์โลกได้เข้าใจอย่างถูกต้อง ถ้าไม่มีการอุบัติขึ้นของพระองค์ สัตว์โลกก็ยังมากไปด้วยความไม่รู้ มากไปด้วยกิเลสทั้งหลาย แต่พอพระองค์ได้ตรัสรู้ความจริง แล้วก็มีพระมหากรุณาที่จะแสดงความจริง ก็มีผู้ที่ได้ฟังความจริงแล้วก็มีความเข้าใจถูก เห็นถูก ในธรรมที่ได้ยิน ได้ฟัง เป็นปัญญาของแต่ละคน ซึ่งก็มีผู้ได้รับประโยชน์จากพระธรรมมากมายทีเดียว ทั้งผู้ที่เป็นบุคคล ที่เป็นมนุษย์ แล้วก็เทวดารวมถึงพรหมบุคคลด้วย เป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมคำสอน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

    ผู้ฟัง อะไรที่จะทำให้สามารถแยกได้ว่า อันนี้คือคำสอนที่ตรงความจริงแล้วใช่ จะเหมือนกับให้มั่นคง หรือว่ามีหลักอย่างไรที่จะรู้ว่า อะไรใช่ อะไรไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ จะต้องเป็นผู้ที่ละเอียดแต่ละคำคุณอรวรรณกล่าวว่าสำหรับผู้มีทุกข์ ตั้งต้นใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แล้วก็แสวงหา

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แสวงหาอะไร

    ผู้ฟัง พูดแบบนี้ก็คือทุกข์ แบบนั้นก็คือมีความทุกข์ อาจจะการสูญเสีย พลัดพราก ฯลฯ ประสบความล้มเหลวในชีวิตอันนั้นคือพูดแบบที่ยังไม่ได้ฟัง ก็จะต้องไปแสวงหาอะไรที่จะทำให้เราหายทุกข์ตรงนี้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่แสวงหาความเห็นถูกความเข้าใจถูก ผิดแล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ไปแสวงหาอะไรที่จะทำให้ตนเองไม่ทุกข์ แต่ไม่ได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า การฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าพระองค์ต้องทรงแสดงความจริง และความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะกล่าวได้เลย เพราะว่า ไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น เพราะมีทุกข์แล้วไปแสวงหาอะไร ต้องเข้าใจตามความเป็นจริง ไม่มีทุกข์ ไม่แสวงหาหรือ เพราะฉะนั้นก็จะรู้ได้ว่า ผู้ที่ฟังธรรมต้องเป็นผู้ที่ตรงตั้งแต่เริ่ม จะมีทุกข์หรือไม่มีทุกข์ก็ตาม คนมีทุกข์ไม่ได้ฟังพระธรรมมีมาก ไปตามที่ต่างๆ แสวงหาความบันเทิง หรือว่าอะไรก็ได้ ปลอบใจให้แค่นั่งๆ แล้วก็สงบ คิดว่า ขณะนั้นก็หมดทุกข์ เพราะฉะนั้นผู้นั้นก็ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แต่ว่าต้องเป็นผู้ตรง ใครมีทุกข์บ้างที่มาที่นี่ ทุกคนก็สบายดี มีใครมีทุกข์บ้างไหม คุณวีระมีทุกข์หรือเปล่า ขอเชิญ แล้วมาแสวงหาธรรมเพื่ออะไร หรือว่าทุกข์ก็เป็นของธรรมดา จะมีทุกข์หรือไม่มีทุกข์ก็ไม่เคยฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นพอได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงไม่ทุกข์ ก็ใคร่ที่จะได้เข้าใจ ได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นแต่ละคนต้องตรงตั้งแต่ต้น

    ผู้ฟัง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ก็เลยยกมือขึ้นมา

    ท่านอาจารย์ อย่าเพิ่งว่า ทุกอย่างเป็นทุกข์ได้ไหม ก็หัวเราะกันอย่างนี้ เมื่อกี้นี้ ทุกข์หรือเปล่าแล้วจะบอกว่า “ทุกอย่างเป็นทุกข์” เอาคำนี้มาจากไหน

    ผู้ฟัง เอามาจากที่ท่านอาจารย์ เคยกล่าวว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วก็จากไป ดับไป

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เริ่มต้น เริ่มต้นก็คือว่า มีจริงแล้วก็ไม่รู้เลย แม้พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เองว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้นต้องอาศัยเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร จะสุข จะทุกข์ จะเห็น ได้ยิน เกิดเองตามใจชอบไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งใช้คำว่า “ธรรม” ใช้คำว่า “ธาตุ” ก็ได้ซึ่งหมายความว่า ใครเปลี่ยนสภาพนั้นให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย คือ ต้องเข้าใจตามลำดับว่า เรากำลังศึกษาสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าใครจะมีทุกข์ไม่มีทุกข์ ไม่ว่าใครจะสนใจหรือไม่สนใจ ชีวิตแต่ละชีวิตที่เข้าใจว่า เป็นเรา เป็นเขา ชาตินั้น ประเทศนี้ ฯลฯ ความจริงก็เป็นธรรมแต่ละ ๑ ให้รู้ตามความจริงว่า ถ้าไม่มีธรรม โลกก็ไม่มี เมื่อกี้เราพูดถึงแข็ง พูดถึงเสียง แต่แม้ว่า มีแข็ง มีเสียง แต่ไม่มีธาตุที่กำลังรู้ กำลังได้ยิน จะปรากฏว่า มีสิ่งนั้นไหม ไม่มี เพราะฉะนั้นนอกจากสภาพธรรมซึ่งมีจริงแต่ไม่รู้อะไร ซึ่งไม่เดือดร้อนเลย จะเป็นภูเขาไฟ จะเป็นแม่น้ำ จะเป็นเมฆ จะเป็นฝน ไม่มีการรู้ การเห็น ไม่เดือดร้อน แต่ใครจะยับยั้งไม่ให้ธาตุอีกชนิด ๑ ซึ่งมีจริง เป็นธาตุรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เกิดแล้วต้องรู้ซึ่งเป็นธาตุที่ต่างกัน ธาตุชนิด ๑ เกิดขึ้น แข็ง เสียง ไม่รู้อะไรเลย แต่ธาตุอีกชนิด ๑ เกิดขึ้นต้องรู้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีธาตุรู้เกิดขึ้น เสียงจึงปรากฏ เพราะว่า ธาตุรู้จะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏเท่านั้น

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้อะไรปรากฏ หมายความว่า ต้องมีธาตุที่กำลังรู้เฉพาะสิ่งนั้น เช่น ขณะที่เสียงปรากฏ ต้องมีธาตุที่ได้ยินเฉพาะเสียงนั้น เสียงนั้นเท่านั้นจึงปรากฏ เพราะฉะนั้นมีธาตุรู้ซึ่งเกิดรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นทั้งวันมาตั้งแต่เช้า มีธาตุรู้เกิดขึ้น รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็ไม่รู้ความจริง ไม่สามารถจะรู้ได้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เมื่อนั้นก็จะรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เพื่อที่จะให้คนอื่นรู้ว่า ที่เคยเป็นเราเกิดเราตายก็คือ มีธาตุ มีธรรมเกิด เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยินบ้าง สุขทุกข์บ้าง แต่ละวัน แล้วก็จากโลกนี้ไป แต่ก็มีปัจจัยที่จะทำให้ธาตุนี้เกิด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เพราะฉะนั้นจะมีทุกข์หรือไม่มีทุกข์ มีสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งแล้วแต่ว่าจะเห็นประโยชน์หรือเปล่าว่า จะจากโลกนี้ไปโดยไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น หลงยึดถือว่า มีเรา มีสมบัติ มีเกียรติยศ มีเพื่อนฝูง มีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ความจริงไม่มีเลย เพราะธาตุรู้เกิดขึ้นทีละ ๑ และรู้เพียง ๑ แล้วก็ดับไปสืบต่อ นี้คือการฟังพระธรรม จึงต้องละเอียด และตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้นที่ว่า มีทุกข์ หมายความถึงอะไร

    ผู้ฟัง มีสภาพของความรู้กับสิ่งที่ไม่รู้นี้เกิดขึ้น แต่ว่าเราไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ รู้ก่อนฟังพระธรรมหรือเปล่าหรือว่าเพราะฟังจึงรู้อย่างนี้

    ผู้ฟัง เพราะฟังจึงรู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้ฟังเลยจะรู้อย่างนี้ไหม ทุกคนเหมือนกันหมดเลย ก็คือ สิ่งที่มีจริงเท่านั้นที่เกิดดับอยู่จึงใช้คำว่า “โลก” เพราะถ้าไม่มีอะไรเกิดเลย โลกก็ไม่มี แต่มีปัจจัยที่จะเกิดเต็มไปหมด ก็เลยโลกมีโต๊ะ มีคน มีต้นไม้ใบหญ้า มีภูเขาต่างๆ ตามเหตุตามปัจจัย แต่ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะทำให้อะไรเกิดขึ้น อะไรก็ไม่มี ถ้าไม่มี และจะมีทุกข์ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทุกข์ที่นี่หมายความถึงสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับเท่านั้นที่เป็นทุกข์จริงๆ

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นที่ท่านอาจารย์ ถามว่า “เรามาทำไม” “มาฟังทำไม” ก็คือ มาเพื่อรู้สิ่งที่เป็นทุกข์

    ท่านอาจารย์ เพื่อเข้าใจ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ศึกษาพระศาสนาคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่นับถือคำสอนเพราะเป็นความจริงไม่ใช่เพราะเชื่อ ใครบอกก็เชื่อแต่เพราะเหตุว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังสามารถพิสูจน์ได้เข้าใจได้ และรู้ได้ด้วยคนอื่นไม่สามารถที่จะกล่าวแต่ละคำที่เป็นวาจาสัจจะได้

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นที่ท่านกล่าวถึงคำว่า ธาตุ ก็คือ สิ่งที่เป็นจริง สิ่งที่เป็นจริงเมื่อกี้ก็คือ สิ่งที่รู้อะไร

    ท่านอาจารย์ มี ๒ อย่าง สภาพ ๑ ไม่รู้ก็จริง ไม่เดือดร้อน ไม่รู้อะไร แต่อีกสภาพ ๑ เกิดขึ้นเป็นธาตุรู้ ขณะนี้อะไรที่ปรากฏ ปรากฏได้เมื่อมีธาตุที่กำลังรู้สิ่งนั้น เช่น เสียง เสียงในป่าเกิดแล้วดับแล้วทั้งนั้น จะเป็นเสียงนก เสียง ฯลฯ แต่เสียงที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ที่มีต้องไม่ลืมว่า มีธาตุที่ได้ยินเสียง ไม่ใช่เราได้ยิน แต่มีธาตุที่อาศัยรูปพิเศษที่ตัว เฉพาะที่สามารถกระทบเสียงเท่านั้นที่ กลางหู เมื่อกระทบกับเสียงเป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดขึ้นได้ยิน ทุกอย่างทรงแสดงความจริงไว้โดยละเอียดยิ่ง เพื่อให้มีความเห็นที่ถูกต้องว่า ที่เข้าใจว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เป็นของเรา และก็เที่ยง ความจริงก็คือ ไม่เหลืออะไรเลย ไม่ต้องไปคอยจนถึงจากโลกนี้ไปว่าไม่เหลือ แค่เมื่อคืนนี้นอนหลับสนิท ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน มีสมบัติอะไรหรือเปล่า หรือไม่รู้อะไรเลย เพราะโลกไม่ปรากฏ

    ผู้ฟัง ตอนนั้นก็ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ แล้วหายไปไหนหมดทั้งวัน

    ผู้ฟัง ตอนนี้เดี๋ยวก็มา

    ท่านอาจารย์ ทั้งวันหายไปไหนหมด สุขทุกข์ทั้งวันหายไปไหนหมด ก็หายไปทุกวัน มีทุกวัน หายไปทุกวัน หมดไปทุกวัน

    ผู้ฟัง แต่ก็ไม่ค่อยห่วงเพราะว่า เดี๋ยวก็รู้ ก็นึกขึ้นมาได้

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน คุณวีระบอกว่า ไม่ต้องห่วง ห่วงอะไร ห่วงว่าจะไม่มีเราใช่ไหม เพราะเหตุว่าหลับไปเดี๋ยวก็ตื่น เดี๋ยวก็มีเราอีก เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีเรา แต่ที่ถูกแล้วไม่ต้องห่วงอะไร เพราะเหตุว่าถึงจะห่วงก็ไม่ใช่เรา และไม่ใช่ของเราแต่เพราะไม่รู้จึงห่วง ใครจะห้ามไม่ให้มีสภาพธรรมที่ดับแล้ว และมีปัจจัยที่จะให้สภาพธรรมอื่นเกิดสืบต่อ เช่น เห็นขณะนี้ก็หมดแล้วในขณะที่ได้ยินแต่ละ ๑ เกิดขึ้นสั้นมากเร็วมาก ไม่มีใครทันรู้อะไรเลยสืบต่อ เพราะฉะนั้นที่ว่า ห่วงเพราะไม่รู้จึงยึดถือว่าเป็นเรา และจะมีเราต่อไปด้วย แต่เราที่ว่าจะมีต่อไป เราที่โง่ หรือเราที่ฉลาด หรือเราที่เข้าใจถูก หรือว่าเราที่เข้าใจผิดทั้งหมดเป็นธรรมที่ยึดถือไว้

    ผู้ฟัง คืออย่างไรมันก็โง่ๆ

    ท่านอาจารย์ ก็ฟัง ฟังแล้วค่อยๆ รู้ทีละนิดทีละหน่อยดีไหมว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงว่าไม่มีของใคร และไม่มีใครแล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เหตุการณ์ทุกอย่างทุกวันก็พิสูจน์ความจริง ออกจากบ้านไปคิดว่าจะกลับบ้าน ก็ไม่ได้กลับ ไม่ได้กลับแล้วไปไหน

    ผู้ฟัง ไปอีกบ้านหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ เรือนใหม่ไม่ใช่เรือนหลังเก่า ถ้าศึกษาธรรมทีละคำจะมีความมั่นใจว่า เราไม่รู้ และการฟังธรรมไม่ใช่จะพ้นทุกข์ ไม่ใช่ว่าจะได้ลาภ ไม่ใช่จะได้คำชมเชยหรืออะไรทั้งสิ้น แต่เพราะไม่รู้ แล้วก็มีผู้รู้ และรู้ในสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันด้วย และเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะทุกคนยึดถือว่า เป็นเรา เป็นของเรา แล้วก็หลงด้วย ติดข้องอย่างมากมาย เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ความจริง คือ ผู้เดียวเท่านั้นที่จะทำให้เข้าใจถูก ตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีได้ และกำลังเห็นอย่างนี้ แล้วจะไม่รู้ไปจนตายหรือ หรือว่าเห็นอย่างนี้ค่อยๆ เข้าใจได้ และก็ได้ยินอย่างนี้ จะไม่รู้ไปจนตายหรือ หรือว่าสามารถที่จะเข้าใจได้ยินในขณะนี้ ซึ่งเกิดแล้วก็หมดไป เกิดแล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่ใช่ของใคร ใครก็บันดาลไม่ได้ บังคับบัญชาไม่ได้ เริ่มเข้าใจในการที่ทุกสิ่งทุกอย่างมีเมื่อเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป จะห้ามไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เกิดแล้วจะไม่หมดไปก็ไม่ได้ จะอยากให้สิ่งนั้นเกิด ไม่ให้สิ่งนี้เกิดก็ไม่ได้ นี่คือ การแสดงความจริงทุกวันทุกขณะของทุกอย่าง ก็แล้วแต่ว่า ฟังธรรมเพื่อเข้าใจอย่างนี้หรือเปล่า หรือว่าจะได้หมดทุกข์

    ผู้ฟัง คงหมดทุกข์ได้ยาก คือท่านอาจารย์พูดอย่างนี้ ก็ฟังมาพอสมควร แต่ว่า ขณะนี้ มีเรื่องของความไม่สบายใจอยู่ตลอด มาตลอดในช่วง…

    ท่านอาจารย์ เท่านี้ก่อน อยากไม่สบายใจไหม

    ผู้ฟัง ไม่อยาก

    ท่านอาจารย์ แล้วทำไมเกิดไม่สบายใจ

    ผู้ฟัง เพราะอยากไม่สบายใจหรือ

    ท่านอาจารย์ เพราะบังคับบัญชาไม่ได้ เลือกที่จะสบายใจได้ไหม ถ้าเลือกได้ทุกคนสบายใจหมดทั้งโลก

    ผู้ฟัง อันนั้นเลือกไม่ได้แน่

    ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่มีจริงไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แล้วก็มีเหตุปัจจัยจึงเกิดเป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างอื่น ถ้ามีความเป็นตัวตนที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นก็คือไม่ได้ฟังความจริง ว่าความจริงไม่มีใครไปทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นได้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจความจริง เกิดมาในโลกเลือกเกิดหรือเปล่าที่จะเป็นคนนี้ เลือกไม่ได้เลย เกิดไปแล้วเลือกที่จะให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ไหม ก็ไม่ได้อีกใช่ไหม เลือกตายได้ไหมจะตายวันนั้นวันนี้ขอให้หลับตาย ไม่ต้องป่วยไข้เจ็บมากๆ ไปโรงพยาบาลโอดครวญร้องห่มร้องไห้ ก็ไม่ได้สักอย่าง ไม่รู้ว่าขณะต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น นั้นจึงจะเข้าใจความหมายของธรรมสิ่งที่มีจริงไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาแล้วก็มีปัจจัยเกิด ห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้เลย ตราบใดที่มีเหตุที่จะให้เกิด ค่อยๆ เบาใจไหมว่าทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

    ผู้ฟัง พอฟังตรงนี้ก็เบาใจไปนิดหนึ่งแล้วเดี๋ยวก็หนักใจอีก

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าลืม ลืมว่าทุกสิ่งทุกอย่างคือสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นชั่วคราวแล้วก็หมดไป ความสุขก็นิดเดียว ความทุกข์ก็เกิดดับ ทุกอย่างหมด ไม่มีใครไปทำให้ยั่งยืนได้เลย แต่เพราะไม่รู้แล้วก็ยึดถือว่าเป็นเราทุกอย่างที่เกิดเป็นเราหมดตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วยังไง อยู่ไหน คืนนี้สมบัติอยู่ไหนตอนหลับสนิท

    ผู้ฟัง ขณะนั้นจำไม่ได้ ตอนนั้นไม่มี ไม่มีโลก

    ท่านอาจารย์ ไม่มีใช่ไหม หลงว่ามี วันนี้ทั้งวัน มีโน่นมีนี่ พอถึงหลับสนิทหายไปหมดเลย

    ผู้ฟัง ผมก็อยากหลับตลอด……

    ท่านอาจารย์ ตื่นขึ้นมา มีอีกแล้ว

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ มี ให้รู้ว่า แล้วก็ ไม่มี เดี๋ยวนี้ฟังจะเข้าใจได้ บังคับไม่ให้หลับได้มั้ย

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ บังคับให้ตื่นขึ้นเห็นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ บังคับให้ตื่นขึ้นได้ยินได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ มันคับให้ตื่นขึ้นคิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แค่นี้ยังบังคับไม่ได้แล้วจะไปบังคับอะไร แต่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ และเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อที่จะคลายความติดข้อง ไม่มีใครรู้ว่า ที่เป็นทุกข์เพราะติดข้อง ถ้าไม่ติดข้องจะทุกข์ทำไม ใช่ไหม แต่เพราะยึดถือสิ่งต่างๆ ว่า เป็นเรา แล้วก็เป็นของเราอย่างมั่นคงมาก เพราะฉะนั้นเมื่อสิ่งนั้นไม่เป็นไปอย่างที่ต้องการ ก็เดือดร้อน เป็นทุกข์ เดือดร้อนเป็นทุกข์มีจริง เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับ ไม่รู้ความจริงสักอย่างเดียว

    เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมต้องมั่นคงที่จะรู้ว่า ทุกคำจริงไหม ถ้าจริงแล้ว การฟังเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ไปนั่งทำอะไรแล้วคิดว่า จะหมดทุกข์ แต่ไม่รู้อะไรเลย เพราะฉะนั้นผู้ที่จะนับถือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ผู้นั้นต้องฟังพระธรรม เมื่อฟังแล้วเข้าใจแล้วจึงรู้ตนเองว่า จะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งไหม เพราะฉะนั้นได้ฟังอย่างนี้แล้ว ก็เป็นผู้ที่เริ่มตรง จะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งไหม จะมีคำสอนที่สอนให้เข้าใจความจริง ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะแสดงความจริงโดยละเอียดยิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างโดยประการทั้งปวง โดยสิ้นเชิง เพื่อที่จะให้เห็นถูกเข้าใจถูกทีละเล็กทีน้อยในแต่ละอย่าง ซึ่งกำลังเกิดดับในขณะนี้ จนกว่าความเข้าใจนั้นจะมั่นคง

    ผู้ฟัง แต่ว่า ความที่ฟังแล้วก็ลืม ไม่ใช่ว่า ตั้งใจจะลืมแต่ก็ลืม บังคับไม่ได้อีกใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นฟังวันนี้ พรุ่งนี้ต่อไปก็ไม่ฟัง ลืมแน่ แต่ถ้าฟังบ่อยๆ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เข้าใจแล้วลืมไหม เช่น ขณะนี้ทุกอย่างที่มีจริง เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่ใช่ไปรู้อย่างอื่น รู้สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เข้าใจอย่างนี้มั่นคงไหมว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่มีจริง และเห็นก็มีจริงๆ ได้ยินก็มีจริงๆ คิดก็มีจริงๆ แต่คนอื่นไม่ได้รู้ความจริง แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ถ้าไม่รู้สิ่งที่มีจริงแล้วจะตรัสรู้อะไร

    ผู้ฟัง ตรัสรู้สิ่งที่มีจริง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ทรงสอนให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง นี่คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ได้พูดอย่างนี้ให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง จะเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ทั้งๆ ที่กำลังมีก็ไม่รู้ว่า ความจริงของสิ่งที่มีลึกซึ้งอย่างไร เกิดขึ้นแล้วดับไปตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นแต่ละคำฟังเพื่อให้เข้าใจอย่างมั่นคงว่า เมื่อไหร่ที่ได้ฟังคำนี้ และที่จะเข้าใจขึ้นว่า เกิดขึ้นโดยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ค่อยๆ สะสมความมั่นคงในการจะรู้ว่า นี่คือ ธรรมที่มีจริง

    ผู้ฟัง ความมั่นคงก็คือ ความไม่ลืม

    ท่านอาจารย์ ที่จะเข้าใจถูกว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนความจริงให้ผู้นั้นเกิดปัญญาของตัวเอง แต่ไม่ได้บอกให้เราไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ให้เกิดความเห็นถูกตั้งแต่ต้นตามลำดับ เพราะเหตุว่า ขณะนี้เห็นมีจริง ฟังต่อไปก็จะรู้ว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างไร และสอนให้คนมีความเข้าใจขึ้นๆ จนสามารถที่จะรู้แจ้งความจริงอย่างที่พระองค์ตรัสทุกคำ แม้แต่ขณะนี้เห็นมีจริงแค่เกิดขึ้นแล้วดับไป แค่นี้ก็ต้องมั่นคงว่า ฟังเรื่องนี้ประโยชน์อยู่ที่ว่า ทุกวันเห็นแต่ไม่เคยรู้ความจริง ยึดถือว่า เป็นเราทั้งวัน ยึดถือว่า เป็นเราเพราะไม่รู้ แต่ความจริงสิ่งนั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 176
    26 มี.ค. 2567