ปกิณณกธรรม ตอนที่ 742


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๔๒

    สนทนาธรรม ที่ สวนสามพราน ริเวอร์ไซด์ จ.นครปฐม

    วันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    อ.ธิดารัตน์ อย่างนี้แสดงว่า ความหมายของคำว่า รู้สึกตัว หมายถึงว่าขณะที่กำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นว่า เราพูดคำที่เราไม่รู้จักตั้งแต่เกิด แต่ว่าถ้าเราจะรู้จักคำนั้นจริงๆ ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรม แล้วถึงจะได้รู้ว่า แต่ละคำที่เราพูด คืออะไร หมายความว่าอะไร เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าของใครถูก ไม่ว่าจะภาษาใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมแล้ว ก็คือว่า ไม่รู้ แม้แต่ขณะนี้กำลังจำหรือเปล่า ถ้าถามคนที่ไม่เคยฟังธรรมเลย เขาคงแปลกใจ มาถามเขาว่าขณะนี้กำลังจำหรือเปล่า เขาก็ต้องบอกว่าเขาจำสิ นี่ไง คุณวิชัย แต่ว่าขณะนั้น เป็นอะไร ก็ไม่รู้ เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ซึ่งต้องมีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ถ้าไม่มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เลย

    เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นเรื่องละเอียดมาก ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ แล้วก็ทบทวนสิ่งที่ได้ยินได้ฟังทั้งหมดว่า นั่นคือขั้นฟังเข้าใจ แต่ว่าแท้ที่จริง ไม่ได้เข้าใจลักษณะสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ เพราะต้องอาศัยปัญญาที่ได้อบรมแล้วจนกระทั่งสามารถที่จะรู้สึกตัว สติสัมปชัญญะในภาษาไทย แต่ความจริงคำว่า รู้สึกตัวในภาษาไทย ไม่เป็นการเข้าใจธรรมใดๆ เลย จนกว่าจะมีการฟังแล้วก็จะเข้าใจแต่ละคำ

    เดี๋ยวนี้มีรูปไหม มีแน่ รูปอะไร คำถามจะไม่จบเพียงแค่สั้นๆ เพราะเหตุว่าถ้าเพียงเท่านั้น คนฟังจะรู้ไหมว่าเข้าใจจริงๆ หรือเปล่า แต่ถ้าคำถามที่ถามไปจนกระทั่งคนฟังเข้าใจจริงๆ ตอบได้ถูกต้องไม่สงสัย นั่นก็แสดงว่าความเข้าใจจากการฟังมี เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ถามว่า ขณะนี้มีรูปไหม มี รูปอะไร แล้วแต่จะตอบ ก็เป็นรูปทั้งนั้น สิ่งที่กำลังปรากฏกระทบมีไหม แข็งมี เสียงมีไหม มี แล้วก็สิ่งที่ปรากฏทางตามีไหม มี รูปอื่นมีอีกค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรงว่า พอได้ฟังแล้วไม่สงสัยในคำว่า ธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริง และสิ่งที่มีจริงสามารถที่จะรู้ตลอดเวลา สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามไม่ขาดไปเลย แล้วก็ธรรมก็ต่างกันเป็น ๒ อย่างนามธรรมกับรูปธรรมแน่นอน ไม่มีทางที่นามธรรมจะเป็นรูปธรรมได้ และไม่มีทางที่รูปธรรมจะเป็นนามธรรม เพราะเหตุว่ารูปธรรมต้องเป็นรูปธรรม มีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับต้องเป็นผู้ที่มีเหตุผลมาก

    แม้แต่ว่าขณะนี้ มีสิ่งที่กำลังปรากฏต้องรู้ว่า เพราะเกิด ถ้าไม่เกิดปรากฏได้อย่างไรว่ามี แล้วก็ต้องลึกไปอีก ที่จะเกิดได้เกิดลอยๆ ได้ไหม ไหนใครทำให้เกิดขึ้นมาได้ ถ้าจะเกิดเองได้ลอยๆ เป็นไปไม่ได้เลย แต่ละหนึ่ง มีปัจจัยที่จะต้องทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น นี่คือผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ปริยัติ และเข้าใจพระธรรม ไม่ใช่ฟังแต่ชื่อ หรือว่าฟังแต่จำนวน หรือว่าจำไว้ แต่ต้องเป็นความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ จึงชื่อว่า ศึกษาพระธรรม เข้าใจพระธรรม

    เดี๋ยวนี้มีรูปแน่นอน เป็นเรา เป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ หรือเป็นรูปแต่ละรูป ต้องแยกละเอียดด้วย ซึ่งแต่ละรูปไม่เหมือนกันเลย เกิดแล้วดับด้วย เพราะฉะนั้น ขณะนี้เห็นแต่เพียงนิมิตของรูปซึ่งเกิดดับทางตาก็มีรูปร่างสัณฐานต่างๆ ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ไม่มีการที่เพียงรูปเดียวเกิดแล้วดับไปที่ใครจะรู้ได้ เพราะเหตุว่า เร็วสุดที่จะประมาณได้ แค่ดอกไม้มีอะไรบ้าง มีกี่กลีบ ต้องมานั่งนับ นั่งดู มีอะไรตั้งหลายอย่างมากมาย ไม่ว่าจะหยิบอะไรขึ้นมา ก็มีหลายๆ รูปซึ่งเกิดจากการจำ

    นี่แสดงให้เห็นว่า ขณะที่กำลังกระทบสัมผัสสิ่งใดมีแข็ง ขณะที่จับแข็ง แต่แข็งกระทบตาไม่ได้ เฉพาะสิ่งที่มีที่แข็งกระทบตาให้เห็นสีสันวัณณะของสิ่งนั้นได้ นี่ก็คือสิ่งที่จะต้องฟังตลอดชีวิตด้วยความศรัทธา สภาพจิตที่ผ่องใสเป็นกุศล ขณะนั้นไม่มีโลภ ไม่มีความต้องการอย่างอื่น ไม่มีโทสะ แล้วก็ไม่มีโมหะ เพราะว่ากำลังเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง

    เพราะฉะนั้น ก็เห็นได้ว่า ถ้าไม่มีการฟังธรรมเลย จะเข้าใจอะไร แล้วอีกนานไหมที่จะได้ฟังธรรม ใครรู้ได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่ได้สะสมศรัทธา ที่เห็นว่าสมควรที่จะได้ยินได้ฟังความจริงของสิ่งที่มีจริง เพื่อจะได้รู้ความจริง ซึ่งไม่เคยรู้มาเลยในสังสารวัฏฏ์ แล้วก็ทุกคำที่ได้ยินได้ฟัง สามารถรู้จริงได้ด้วยเมื่อปัญญาเจริญขึ้น แต่ต้องเป็นความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ถามว่า เดี๋ยวนี้รู้สึกตัวหรือเปล่า ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังธรรมมาก่อน จะพิจารณาว่า ยังอยู่ทั้งตัว คือ รู้สึกทั้งตัวว่า ยังนั่ง หรือว่ายังยืนอยู่ตอนนี้ เมื่อพิจารณาได้สักพักหนึ่งก็คิดว่า รู้สึกตัว น่าจะหมายถึง เวทนา ว่าตอนนี้เราสุขอยู่ ทุกข์อยู่ หรือรู้สึกเฉยๆ ถ้าถามว่า เดี๋ยวนี้รู้สึกตัวไหม ก็น่าจะเฉยๆ อยู่ อย่างนี้จะตรงไหม หรือว่ามีอะไรที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้มีแต่เวทนา ความรู้สึก รู้สึกตัว แล้วแต่อะไรปรากฏที่ตัว เพราะเคยเข้าใจว่ามีตัวเราใช่ไหม แต่ว่าถ้าหาจริงๆ ตรงไหนล่ะที่เป็นตัวเรา เดี๋ยวนี้ที่กำลังยืนมีตัวไหม นี่ก็เริ่มคิดแล้ว ตรงจริงๆ ว่า เดี๋ยวนี้ที่กำลังยืน มีตัวไหม แต่ก่อนเคยมีตัว แต่พอฟังแล้วเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงแน่ๆ ต้องมี แต่อะไร ตรงไหน เริ่มไม่เห็นตัวแล้ว ถ้าบอกว่ายืน ยืนอยู่ นี่จำ แต่ความจริงมีหรือยืน

    ผู้ฟัง มีอยู่ที่คิด

    ท่านอาจารย์ ยืนมีหรือเปล่า จำไว้ทั้งตัว ว่ามี แล้วก็จำไว้ด้วยว่า ตัวนั้นยืน แต่ถ้าเป็นธรรมต้องแต่ละหนึ่ง พอแต่ละหนึ่งจะไม่มีตัว แต่ว่าไม่ใช่ว่าหายไปหมดเลย มีปัจจัยเกิดขึ้นเหมือนเดิม แต่ว่าปรากฏให้รู้ได้ทีละหนึ่ง ให้เห็นความจริงว่า ที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวเราที่ยืน แท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่มีจริงหนึ่งนั้นคืออะไร ทั้งหมดที่มีจริงๆ เป็นแต่หนึ่งๆ ซึ่งรวมแล้วเป็นตัวเราแต่ก่อนนี้ แต่พอมีความเข้าใจธรรมขึ้นรู้ว่า ไปจำไว้ว่า มีตัวที่ยืน แต่ไม่มีลักษณะของธรรมเลย ถ้าเข้าใจแล้ว เดี๋ยวนี้ที่กำลังยืน มีลักษณะอะไรที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏให้รู้ว่ามีจริงๆ ต้องหาแล้ว ไม่ใช่ทั้งตัว แล้วจำไว้ว่ามีทั้งตัว แต่จริงๆ ถ้าจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละหนึ่ง หนึ่งนั้นไม่ใช่ทั้งตัวที่ยืน เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่ง ขณะนี้ที่มีจริงๆ คืออะไร ที่ไม่ใช่ยืนแน่ๆ มีอะไร

    ผู้ฟัง ก็มีเย็น

    ท่านอาจารย์ เย็นตรงไหน ตรงนั้นที่ปรากฏ ไม่ใช่แขน ไม่ใช่ขา ไม่ใช่ศีรษะ ไม่ใช่เท้า เพราะว่าจะปรากฏพร้อมกันทีเดียว ได้อย่างไร เพราะเหตุว่า จะต้องมีการกระทบต่างหากที่ตัว สิ่งที่มีจริงที่ตัว จึงสามารถที่จะปรากฏว่ามีจริงๆ

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมตั้งแต่คำว่า ธรรม เพื่อรู้ว่าไม่ใช่เรา ไม่มีเรา แต่มีธรรม เพราะฉะนั้น เป็นคำว่าแต่ละหนึ่งซึ่งประชุมกันรวมกัน เกิดดับ ไม่ปรากฏเลย แต่ว่าจำไว้หมดว่ามีอะไรบ้าง และคิดว่ายังมีอยู่ด้วย ความจริงแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดแล้วดับ ปัญญาที่รู้ความจริงนั้นจึงสามารถที่จะละคลายการยึดถือว่ายังมีเราทั้งตัว จนในที่สุดก็รู้ตามความเป็นจริงว่าไม่มีเราเลย แม้แต่ธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดดับก็ไม่ใช่เราด้วย

    นี่คือการฟังพระธรรมจนกระทั่งรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นพระคุณของพระองค์ และก็สามารถที่จะรู้ความจริงอย่างที่พระองค์ได้ทรงแสดงความจริงนั้น ให้บุคคลที่ได้ฟังแล้วเข้าใจ แล้วรู้ตามความเป็นจริง จนกระทั่งละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน

    เพราะฉะนั้น เวลาพูดถึงกิเลส รู้จักกิเลสหนึ่งแล้ว ความเห็นผิดเป็นกิเลสที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ไม่ต้องไปหากิเลสที่อื่นเลย แต่ขณะที่กำลังฟังสามารถที่จะรู้ว่า ขณะไหนเป็นกิเลส ขณะใดที่เห็นผิดในสิ่งที่ไม่มีว่ามี ในสิ่งที่ไม่ใช่เราว่าเรา หรือว่าเป็นตัวตน เพราะฉะนั้น แข็งมี เย็นมี ร้อนมี เริ่มรู้ว่าจะเป็นเราไม่ได้นอกจากเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถ้ารู้สึกตัว ที่เคยเป็นตัวก็คือเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง

    ผู้ฟัง จากคำถาม เดี๋ยวนี้รู้สึกตัวไหม ถ้าพิจารณาก็จะเห็นตัวทิฏฐิที่ยึดในความเป็นตัวตนขึ้นมา

    ท่านอาจารย์ ต้องฟังจนกระทั่งความเข้าใจเกิด ผุดขึ้น เกิดขึ้น จากการฟังแล้วก็เข้าใจจากไม่มีก็มีขึ้น ฟังจนรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ถ้าไม่ฟัง สามารถจะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีได้ไหม และพระปัญญาของพระองค์กับผู้ที่เริ่มได้ยินได้ฟัง ห่างไกลกันแค่ไหน เทียบกับสาวกผู้ฟังในครั้งอดีต สมัยที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ทรงดับขันธปรินิพพาน ท่านเหล่านั้นฟังแล้วเข้าใจ เป็นพระอริยบุคคล เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ เพราะอะไร เพราะเคยฟังมาก่อนใช่ไหม จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ เพราะฉะนั้น ไม่มีทางเลยที่ใครที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้ธรรมโดยที่ไม่ได้ฟังเลย ต้องสะสมความเข้าใจมาแล้วมาก แล้วแต่ว่าความเข้าใจอันนั้นสามารถที่จะทำให้ถึงเมื่อฟังแล้วเข้าใจ เป็นสาวก เมื่อได้ฟังธรรมอบรมมานานแต่ในกาลสมัยที่ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาที่อบรมมาแล้ว ก็สามารถที่จะรู้ความจริง ถึงความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

    หรือว่าในกาลสมัยที่ไม่มีคำสอน ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว แต่ผู้นั้นมีอัธยาศัยใหญ่ที่เห็นว่า สิ่งที่มีในขณะนี้ยากที่ใครจะรู้ได้ เพราะฉะนั้น คนที่จะรู้ได้ก็เป็นคนที่มีปัญญาเห็นประโยชน์ และมากด้วยความกรุณาที่จะให้ความรู้ของตนสามารถที่จะช่วยให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย เพราะฉะนั้น จึงไม่บำเพ็ญบารมีเพียงแค่รู้เฉพาะตนเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า แต่บำเพ็ญบารมีมากกว่านั้นอีก ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียดยิ่ง เพื่อให้คนที่ไม่เข้าใจเรื่องเข้าใจจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงได้ เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเข้าใจธรรมเท่านั้น

    ผู้ฟัง เหมือนว่า มี เมื่อปรากฏแล้วก็จำว่า มี อย่างเมื่อกี้สนทนากับคุณจักรกฤษณ์ มียืนไหม ก็ยังจำอยู่ดีว่า มีตัวดิฉันที่กำลังยืน กำลังสนทนา อันนี้คือจำผิด ก็ทำให้วิปลาสหรือคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง แต่ข้อเท็จจริงๆ ก็คือ มีเมื่อปรากฏกับ มีเมื่อคิด ความรู้สึกตัวหรือสติที่จะเกิดรู้ธรรมทีละหนึ่งยังไม่เกิด ถ้าไม่เข้าใจตรงนี้แม้ขั้นฟังก็จะทำให้การศึกษาธรรมที่จะให้มีปัญญาขั้นต่อไป เจริญเติบโตขึ้นเป็นเรื่องที่ยากมาก เราจะเข้าใจอย่างไรว่า มีเมื่อปรากฏ หรือว่า มีเมื่อคิด

    ท่านอาจารย์ ทำอย่างไร เราถึงจะเข้าใจ ลึกไหมกว่าจะหมด เพราะเหตุว่าถ้าไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมเพียงหนึ่ง มี เมื่อปรากฏ จะรู้ไหมว่าสิ่งนั้นเกิดแล้วดับ ถ้ายังไม่รู้ว่าเกิดแล้วดับ ก็ยังต้องเป็นเรา ยังจำไว้หมดเลยตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แต่ว่าถ้าลักษณะของสภาพธรรมเพียงหนึ่ง ในขณะนั้น มีเมื่อปรากฏ รู้ในการเกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่มีอะไรเลยนอกจากแต่ละหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไปทั้งหมด จึงสามารถที่จะดับการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราได้ ไม่เกิดอีกเลย เพราะว่าเคยเป็นเรา เคยจำมานานแสนนาน สัญญาวิปลาสคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ทั้งๆ ที่เสียงก่อน ไม่มีเสียงเกิด พอมีเสียงแล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้น แต่ละคำ เพื่อที่จะได้จำอย่างมั่นคงขึ้นว่า นี่คือความจริงซึ่งยังไม่ได้รู้อย่างนี้ เพราะว่าแม้แต่ขั้นฟัง เดี๋ยวนี้รู้สึกตัวไหม ทำอะไรโดยไม่รู้สึกตัวเคยพูดไหม บางคนแก้ตัว บอกไม่รู้สึกตัว แต่ไม่รู้สึกตัวจริงๆ หลายระดับ ระดับที่ไม่รู้สึกตัวจริงๆ เลยก็มี นอนละเมอ รู้สึกตัวไหม ถ้ารู้สึกตัว จะเรียกว่าละเมอไหม ไม่รู้สึกตัว ระดับนั้นก็มี แปลว่ายังมีการไม่รู้สึกตัวอยู่เสมอ เมื่อไม่รู้จักตัว อีกขั้นหนึ่ง เมื่อไม่รู้จักตัว ก็รู้สึกตัวไม่ได้ เพราะฉะนั้น ธรรมฟังนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้เลย ฟังแล้วเข้าใจขึ้น ไม่ต้องไปคิดว่า จะฟังอย่างไร จะทำอย่างไร ฟังแล้วเข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง

    ผู้ฟัง เมื่อกี้บอกว่าฟังแล้วให้ไตร่ตรองในสิ่งที่ฟัง เพราะว่าความจริงที่พระองค์ทรงตรัสรู้แล้วทรงแสดง ๔๕ พรรษาเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง และเข้าใจยาก ดูเหมือนปัญญาที่จะฟังแล้วไตร่ตรองตาม เหมือนกับต้องเกิดจากการฟังเข้าใจถึงจะสามารถตรงนี้ได้

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ฟังเท่านี้เองชาตินี้ ชาติก่อนๆ อยู่ไหน ฟังหรือเปล่า แสนโกฏิกัปป์มาแล้ว แค่ชาตินี้ ถ้าเทียบกับขณะที่ไม่ได้ฟังก็น้อยมาก แล้วจะถามว่าแล้วจะเข้าใจอย่างไร จะทำอย่างไร ก็ฟังจนกระทั่งเข้าใจ แม้แต่ไม่มีตัว ไม่มีเรา มีธรรม ลืม หรือว่าไม่ใส่ใจไม่สนใจที่จะมั่นคงจริงๆ ไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรม จนกระทั่งประจักษ์การไม่มีตัวตนได้ เพราะเหตุว่า แต่ละหนึ่งขณะที่กำลังเห็นจริงๆ เฉพาะเห็นปรากฏกับปัญญาที่รู้ตรงเห็น ขณะนั้นอย่างอื่นมีไหม

    ผู้ฟัง ถ้าปัญญาตรงนั้นเกิดก็ไม่มีอะไร

    ท่านอาจารย์ แม้ว่ามีสภาพธรรมที่เกิดดับ แต่ก็ปรากฏทีละหนึ่ง เพราะว่าอย่างอื่นเกิดแล้วดับแล้วทั้งนั้น เร็วมาก ไม่ใช่ไม่เกิด ไม่ใช่ยังมีอยู่ เกิดแล้วดับแล้วทันที ไม่เหลือเลย เหลือเฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏ เมื่อเริ่มเข้าใจทีละหนึ่ง ความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ก็ค่อยๆ คลายลง เพราะฉะนั้น กว่าปัญญาจะถึงขั้นที่รู้จริงๆ ประจักษ์แจ้งจริงๆ ละคลายจริงๆ ดับกิเลสจริงๆ ก็ต้องเป็นปัญญา ที่เข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ทีละหนึ่ง

    ผู้ฟัง จริงๆ แล้ว สาระปฏิบัติธรรม หมายความอย่างไร ลึกซึ้งอย่างไร หรือว่า พอปฏิบัติธรรมก็บอกว่าปฏิบัติที่ไหนก็ได้ ที่นี่ก็ทำได้

    ท่านอาจารย์ เป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ในคำที่พูด เช่น คำว่า ศาลา กับคำว่า ปฏิบัติธรรม ถ้ายังไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร และธรรมเป็นอนัตตา แล้วปฏิบัติคืออะไร เพราะฉะนั้น ปฏิบัติธรรมที่เข้าใจกันคืออะไร ไม่ใช่เป็นการเข้าใจธรรมเลย แต่เป็นการทำ ตามความคิดของแต่ละคน ที่คิดว่าเมื่อทำแล้ว บางคนก็คิดว่าจะเข้าใจธรรม บางคนก็คิดว่าจิตสงบ บางคนก็คิดว่าจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่นั่นเป็นความคิดของแต่ละคน แล้วความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงคืออะไร

    ถ้าไม่มีปริยัติ ไม่มีการฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงให้เข้าใจ แล้วจะปฏิบัติธรรมได้หรือ ตามที่ทำๆ กัน เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจความหมายของคำว่า ระดับของความเข้าใจ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คำสอนของใครคนใดคนหนึ่ง หรือไม่ใช่คำสอนของคนอื่น แต่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ระดับความเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ไม่ใช่ว่าพอได้ยินที่พระองค์ทรงแสดงแล้วก็รู้เลยทันที เช่น บอกว่าขณะนี้สิ่งที่มีจริงๆ เมื่อเกิด แล้วก็ปรากฏ แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก นี่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทรงแสดงโดยนัยของธรรม ก็ต้องเป็นสิ่งที่มีจริง

    แสดงโดยนัยของธาตุแต่ละหนึ่งๆ ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้นได้เลย

    แสดงโดยลักษณะของขันธ์ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดแล้วต้องดับไปเป็นธรรมดา

    นี่แสดงว่าทุกคำต้องเข้าใจแล้วไม่เปลี่ยน ขณะนี้เห็น เกิดขึ้นเห็นแล้วดับเปลี่ยนไม่ได้ เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เข้าใจความจริงๆ เพราะฉะนั้น ขณะที่ฟัง หูฟัง ก็ไตร่ตรอง ใครเป็นคนพูด พูดโดยประจักษ์ความจริงนี้ หรือว่าคิดเอาเอง ซึ่งการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่คิดเอง บางคนคิดว่าพระองค์คิดไตร่ตรองแล้วก็สอนเป็นเหตุเป็นผลดีมาก แต่นั่นไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ คิดเพียงแค่คิด ไม่สามารถที่จะเห็นถูกถึงการที่สภาพนี้เกิดแล้วดับ ใครจะบอกว่าเห็นไม่เกิดได้ไหม ในเมื่อเกิดเห็น และเมื่อเห็นแล้วเห็นแล้วดับ ใครจะบอกว่าเห็นไม่ดับได้ไหม ก็ต้องค่อยๆ เข้าใจ พิจารณาว่าทุกวันเห็นมามาก แต่ไม่เคยคิดถึงเห็นเลย เมื่อกี้ใครคิดถึงเห็นบ้าง เดี๋ยวนี้ใครคิดถึงเห็นบ้าง กำลังเห็นก็ไม่เคยสนใจที่จะรู้ความจริงเขาเห็น แต่เมื่อได้ฟังพระธรรมก็รู้ว่า เกิดมาไม่มีอะไรเลย นอกจากต้องเห็น (ไม่เคยขาดเลย) ได้ยิน ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แล้วก็คิดนึก แม้ขณะนี้ก็คิดนึกถึงสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็จำไว้ด้วย แต่ว่าการที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่เพียงแค่ได้ยินได้ฟังแล้วก็คิดเองว่า เมื่อตรัสว่าอย่างนี้เราก็จะไปปฏิบัติเพื่อให้รู้ว่าขณะนี้สภาพธรรมเกิดดับ นี่คือไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่า ความรู้ไม่ว่าความรู้ใดๆ ก็ตามต้องเกิดขึ้นตามลำดับ

    เพราะฉะนั้น พระธรรมคำสอน การเข้าใจพระธรรม ซึ่งลึกซึ้งแน่นอน ถ้าไม่ลึกซึ้งใครๆ ก็รู้ได้ แต่ว่าแม้จะได้ยินได้ฟังยังยาก ได้ยินแล้วยังยาก ที่จะเห็นตาม เข้าใจตาม เพราะเหตุว่าแต่ละคำที่ตรัสไม่ใช่คำของคนอื่น เพราะฉะนั้น คนอื่นจะสามารถเข้าใจคำนั้น โดยที่ว่าคิดตามก็ยังยาก เช่น ขณะนี้มีธาตุซึ่งไม่รู้อะไร มีจริงๆ อย่างแข็ง แข็งไม่รู้อะไรเลย ถ้ามีแต่แข็ง มีแต่เสียง มีแต่กลิ่น โดยไม่มีธาตุที่กำลังรู้ สิ่งนั้นก็ไม่ปรากฏว่ามี เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ขณะนี้แข็งก็ปรากฏได้โดยไม่มีสภาพธรรมที่กำลังรู้แข็ง แต่ที่แข็งจะปรากฏว่ามีแข็งจริงๆ ก็ต่อเมื่อมีธาตุที่กำลังรู้แข็ง รู้จริงๆ ว่าตรงนั้นแข็ง ลักษณะนั้นไม่ต้องพูดก็แข็ง ธาตุรู้กำลังรู้แข็ง แต่ใครรู้บ้างว่า ขณะนั้น ไม่ใช่เรา

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 176
    14 มี.ค. 2567