ปกิณณกธรรม ตอนที่ 741


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๔๑

    สนทนาธรรม ที่ สวนสาม พรานริเวอร์ไซด์ จ.นครปฐม

    วันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ ฟังธรรมมาก็มาก แล้วทุกคนก็ยอมรับว่ามีกิเลสมากมาย คิดที่จะค่อยๆ ละกิเลสบ้างหรือเปล่า หรือว่า ฟังไปก็อยากได้ อยากได้ปัญญา อยากเป็นอย่างนั้น อยากเป็นอย่างนี้ โดยที่ไม่เข้าใจความลึกซึ้งของธรรมเลยว่า สิ่งที่มี ยากแสนยากที่จะรู้ได้

    พราะฉะนั้น บุคคลผู้ที่ทรงพระนามว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร ต้องต่างกับบุคคลอื่นทั้งหมด เพราะเหตุว่า สามารถที่จะทรงแสดงความจริงทุกอย่างในชีวิต ให้เห็นว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีสิ่งใดเป็นสิ่งที่ไม่ดี แล้วก็สามารถดับธรรมที่ไม่ดีได้หมด เมื่อไรจะเป็นอย่างนั้น ก็ตอบแต่เพียงว่าดี แต่ต้องมีเหตุ ไม่ใช่ดีเฉยๆ ดีทุกวัน แต่ว่าไม่ได้เข้าใจอะไรเลย

    ต้องฟังพระธรรมด้วยความไม่ประมาทที่จะเข้าใจ แม้แต่บารมี ธรรมที่จะทำให้ถึงฝั่งที่ไม่มีกิเลส ฝั่งนี้เต็มไปด้วยกิเลส ตั้งแต่เช้าถึงค่ำก่อนนอนทุกวัน เดี๋ยวนี้ก็มี เพราะฉะนั้น ธรรมอีกฝั่งหนึ่งคือฝั่งที่ดับกิเลส ไม่มีกิเลสเลย จะไปถึงได้อย่างไร แสนไกลหรือเปล่า แต่ถ้าไม่มีความพยายาม ไม่มีปัญญา ไม่มีการเห็นประโยชน์ ก็ไม่ไป บางคนแม้แต่จะฟังพระธรรมก็ยังไม่ฟัง ทั้งๆ ที่กราบไหว้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ฟังพระธรรม แล้วหมายความว่าอย่างไร เป็นผู้ที่ตรง และจริงใจ แล้วก็มีความเข้าใจอะไรหรือเปล่า ในคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ทุกคนต้องตรง และจริงใจ มีกิเลสฟังธรรมเพื่อขัดเกลากิเลส และจะขัดเกลากิเลสให้น้อยลงไปได้ ก็ด้วยปัญญาที่เริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่มี

    เมื่อจิตเต็มไปด้วยกิเลสหนาแน่นมากมาย ในสังสารวัฏฏ์ที่ผ่านมาแล้ว และก็จะผ่านไปเรื่อยๆ ทีละขณะ จนกระทั่งถึงนับไม่ได้เลยว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไร ก็จะมีการพอกพูนกิเลสมากมายขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น ก็ต้องมีความตั้งใจที่มั่นคง อธิษฐาน หมายความว่า ตั้งใจมั่นคงที่ว่า ควรที่จะดับกิเลสหมด โดยการที่ว่าไม่เพียงแต่อยู่เฉยๆ แต่ว่าฟังพระธรรม หนทางเดียว ไม่มีใครจะบอกความจริงได้ทุกอย่างละเอียดโดยประการทั้งปวง เท่าคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น ไม่ผ่านแม้แต่คำว่า ทาน การให้ ทำไมเป็นบารมี เพราะเหตุว่าเราเคยมีแต่ต้องการแล้วก็ติดข้องมาโดยตลอด แม้แต่รู้ว่า การให้ผู้รับก็ดีใจแน่ๆ เป็นประโยชน์ได้สิ่งที่พอใจ ผู้ให้ก็โล่งใจที่ได้ให้ไปของที่มีมากๆ หรือมากๆ หรือไม่ได้ใช้ ให้ไปบ้าง เก็บไว้ทำไม เพราะอย่างไรๆ ก็ติดตามไปไม่ได้ โดยเฉพาะการให้ เป็นการเริ่มต้นของการที่จะสละความติดข้องในความเป็นเรา ซึ่งเวลานี้ใครรู้บ้าง ติดข้องอยู่ตลอดทั้งวัน ทั้งเดือนตั้งแต่เกิดมา แล้วก็จะติดข้องต่อไป หนทางที่จะละความติดข้อง ยากกว่าการที่จะสละวัตถุไหม วัตถุแค่ภายนอก คนที่ติดข้องมากมีมากไม่ให้ แล้วเราลองพิจารณาตัวเองก่อน มีมากเกินพอหรือเปล่า แน่ๆ เลยทุกคน ให้อะไรไปบ้างแล้ว ก็ยังไม่ให้เพราะยังติดข้องอยู่ ก็ไม่ว่ากัน เพราะเหตุว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา จะไปบอกให้คนโน้นให้สิ่งนี้ ให้สิ่งนั้น ให้ให้หมดก็ไม่ได้ เพราะว่าไม่มีใครสามารถที่จะบังคับสภาพธรรมสักอย่างเดียวได้ ไฟไม่ให้ร้อนก็ไม่ได้ เสียงไม่ให้ดังก็ไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นก็ต้องเป็นอย่างนั้น

    แต่จากการได้มีโอกาสได้ยินได้ฟังคำจริง ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่เริ่มจะทำให้เห็นการรู้ว่า เมื่อกี้บอกแล้วใช่ไหมว่าจะละกิเลส เมื่อกี้บอกแล้วใช่ไหมที่ว่าเห็นว่าอกุศลเป็นโทษ เมื่อกี้บอกแล้วใช่ไหมว่าตั้งใจจะละ ก็ต้องเริ่มต้นจากการฟัง และก็เข้าใจ และเห็นได้เลยว่าไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่สะสมมาได้ เมื่อความเข้าใจเพียงเท่านี้ หรือเล็กน้อยแค่นี้ ก็ไม่สามารถที่จะไปละคลายกิเลสอะไรได้เลย

    สำหรับการให้ ต้องไม่ลืม เพื่อสะสมการสามารถที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ เพราะถ้าไม่สามารถที่จะสละวัตถุได้ อะไรๆ ก็ละไม่ได้โดยเฉพาะการยึดถือว่าเป็นเรา

    อ.ธิดารัตน์ ความติดข้อง เหมือนกับเป็นชั้นๆ ตั้งแต่ติดข้องในวัตถุสิ่งของภายนอก เพราะฉะนั้น การยึดถือ สิ่งต่างๆ เริ่มต้นแม้กระทั่งการให้ก็อาจจะ ให้ของที่ติดข้างน้อยก่อน

    ท่านอาจารย์ ถ้าจะรู้ว่า ติดข้องมากแค่ไหน ไม่มีอะไรเลยที่ไม่ติดข้อง ชัดเจน ได้ยินคำว่า ขันธ์ สภาพธรรมที่เกิดมี แล้วก็ดับ ทั้งๆ ที่รู้อย่างนี้ก็ติดข้องในทุกขันธ์ หมายความว่า ในทุกสิ่งทุกอย่างที่มี ซึ่งตามความเป็นจริงก็คือว่า ธรรมไม่ใช่สำหรับฟังแล้วจำ แต่ต้องเข้าใจ เพราะเหตุว่าเข้าใจแล้วเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าเข้าใจขันธ์ ๕ แล้วหมดก็คือเป็นพระอรหันต์

    เพราะฉะนั้น ทุกคำ เป็นสิ่งซึ่งต้องไตร่ตรอง แล้วก็ถ้าได้ยินคำว่าธรรมสิ่งที่มีจริงทุกอย่างเดี๋ยวนี้มีจริงๆ เป็นธรรมทั้งหมด และไม่มีใครรู้เลยว่า สิ่งที่มีจริงขณะนี้เกิดขึ้นแล้วดับไปที่ใช้คำว่า ขันธ์ ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีอะไร แต่หมายความว่าต้องมี เหมือนเดี๋ยวนี้กำลังมี มีเห็น มีได้ยิน เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงทั้งหมดต้องเป็นแต่ละหนึ่งซึ่งมีจริง ซึ่งต่างกัน

    เพราะฉะนั้น ที่ต่างกันจริงๆ โดยประเภทที่ว่า ธรรมอย่างหนึ่งมีจริง แต่ไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้เลย มีไหม ต้องไตร่ตรอง อย่างเสียงมี กำลังปรากฏ เสียงรู้อะไรได้หรือเปล่า เมื่อเสียงไม่ใช่สภาพรู้แต่มีจริงๆ ก็ต้องเป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดเป็นเสียงแต่ว่าไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้

    สิ่งที่มีจริง แยกออกเป็น ๒ อย่างซึ่งต่างกัน อย่างหนึ่งคือไม่สามารถจะรู้อะไรได้ อีกอย่างหนึ่ง เมื่อเกิดแล้วต้องรู้ ฟังแค่นี้แล้วรู้ไหม แค่จำ นี่แสดงให้เห็นถึงความลึกซึ้งของธรรม แม้แต่คำเดียว ไม่ใช่ฟังแล้วก็ผ่านไปแล้วก็จำไว้ แล้วก็พูดได้ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่ว่าแต่ละคำต้องไตร่ตรอง แล้วก็เริ่มจะเข้าใจตามความเป็นจริงว่า สามารถที่จะรู้สิ่งที่ได้ฟังหรือยัง เช่น ขณะนี้เห็นมีจริง เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แสดงให้ต้องเป็นการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏว่า สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เป็นอย่างนี้ นี่คือเห็น บางคนก็ถามว่าเห็นเป็นอย่างไร กำลังเห็นนี่เห็นเป็นอย่างนี้คือ กำลังรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นมี แล้วก็เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เห็น ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น และพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ หรือเปล่า กำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริง แต่ว่าต้องเป็นผู้ที่ตรงที่จะรู้ว่า ความจริงแน่นอน คือ เห็นไม่ใช่สิ่งที่ถูกเห็น หรือว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ทั้งสองอย่างเปลี่ยนไม่ได้เลย เห็นเป็นเห็นเป็นอื่นไม่ได้เลย สิ่งที่สามารถจะปรากฏให้เห็นก็เป็นอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่มีเรา ไม่มีอะไรที่เที่ยงเลย

    เริ่มเห็นการบำเพ็ญพระบารมี เพื่อที่จะตรัสรู้ความจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า รู้สิ่งที่มีจริงไม่ว่าที่ไหนเมื่อไร โลกนี้โลกไหนทั้งหมด สิ่งที่มีจริงก็จะไม่พ้นจากสภาพซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น เกิดเองก็ไม่ได้ มีใครคิดบ้างที่เห็นเกิด ไม่มีใครไปทำให้เห็นเกิดขึ้นได้เลย แต่มีปัจจัยที่สามารถทำให้เห็นเดี๋ยวนี้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ผู้ที่ทรงตรัสรู้ ตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด ที่จะทำให้ทุกคำเป็นวาจาสัจจะ ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้เลย เห็นเป็นเห็น เห็นเป็นอื่นไม่ได้ เห็นเกิดขึ้นเห็น แล้วเห็นดับ เห็นจะไปได้ยินไม่ได้ เห็นจะคิดนึกไม่ได้ เห็นจะชอบหรือไม่ชอบอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น แต่ละอย่างที่มีจริง เป็นแต่ละหนึ่ง แล้วใครรู้ถ้าไม่ได้ฟัง

    การฟังพระธรรม จึงเป็นการฟังด้วยความเคารพด้วยการรู้ว่า เพราะไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน แล้วก็เป็นคำจริงที่พูดถึงสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ให้เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เหมือนเด็ก กว่าจะเกิด กว่าจะโต แล้วก็กว่าจะสามารถทำกิจการงานต่างๆ ได้ เพราะฉะนั้น คนที่ได้ฟังธรรมก็เหมือนเด็กที่เพิ่งเกิด แล้วได้ยินได้ฟังคำซึ่งชินหู แต่ก็ยังไม่ได้เข้าใจลักษณะสภาพธรรมที่กล่าวถึงด้วยคำนั้นๆ เลย ด้วยเหตุนี้ แต่ละคำไม่ใช่สำหรับเพียงฟังแล้วจำ แต่ฟังคำไหน มีสิ่งที่กำลังเป็นจริงในขณะนั้น ที่เสียง และคำนั้น เป็นไปตามเนื้อความของสิ่งที่มีจริง เช่น ถ้าพูดถึงเห็นก็เป็นไปตามเนื้อความว่าขณะนี้มีธาตุที่กำลังเห็น เห็นจริงๆ บอกว่าไม่เห็นไม่ได้เลย เห็นแล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นด้วย แต่ว่าที่ไม่รู้ก็คือว่า ไม่รู้ว่าเห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วดับไป เร็วสุดที่จะประมาณได้ แล้วก็เกิดดับสืบต่อจนกระทั่งปรากฏให้เห็นเป็นสิ่งต่างๆ แล้วก็มีสภาพที่จำ ขณะนี้ที่ทุกคนได้ยินก็จำ ขณะที่เห็นก็จำ

    อย่างที่ได้กล่าวถึงแล้วทั้งหมด มีจริงๆ แต่ต้องฟังโดยละเอียดจริงๆ ด้วย เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่า สิ่งที่มีจริงแน่นอน กำลังปรากฏเกิดแล้วดับ คือความหมายของ ขันธ์ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นที่จะไม่ดับไป ไม่มี ฟังจนกระทั่งเริ่มเข้าใจ เป็นสัจจะที่เริ่มมั่นคงว่า แท้ที่จริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเดี๋ยวนี้ที่มี แล้วก็ไม่มี แล้วก็ไม่มีนี้อย่าคิดว่านาน สั้น แสนสั้น จึงไม่ปรากฏว่าขณะนี้แต่ละหนึ่งซึ่งมีดับไปแล้ว

    การฟังธรรม คือ เพื่อให้รู้ตามความเป็นจริงว่า ใครที่คิดว่าเข้าใจธรรม เข้าใจระดับไหน เข้าใจอะไร เข้าใจเพียงคำในภาษาที่ตนเองเข้าใจได้หรือว่าเข้าใจว่า ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ต้องเรียกชื่อได้ไหม ไม่ต้องเรียกอะไรเลยก็มี แต่ว่าจำเป็นต้องใช้คำเพื่อให้รู้ว่าหมายความถึงอะไร เพื่อที่จะได้ค่อยๆ เข้าใจคำที่จะได้ยินได้ฟัง ซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟังที่มีจริงในขณะนี้เพิ่มขึ้นมากขึ้นจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงว่า วาจาสัจจะที่ได้ยิน คือ การเกิดดับขณะนี้ สามารถที่จะรู้แจ้งได้ด้วยปัญญาที่ได้อบรมแล้ว แต่ต้องนานมาก เพราะเหตุว่า กว่าจะเข้าใจแต่ละคำๆ ๆ ได้แม้แต่คำว่า ธรรม ซึ่งไม่ใช่สภาพรู้มี แล้วก็กำลังปรากฏ เช่น ในขณะนี้กำลังเห็น ก็ไม่รู้เลย เคยเป็นเห็นคน เห็นโต๊ะ เห็นดอกไม้ แต่ว่าลืมวาจาสัจจะ เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ คำไหนจริงกว่า แล้วเมื่อไรจะไม่ลืมว่า เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ และสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ขณะนี้เกิดด้วยจึงปรากฏว่ามี แล้วก็ดับไปแล้วด้วย แต่เร็วมากจนไม่รู้เลย ปรากฏเป็นนิมิต

    นิมิตในภาษาไทยก็ หมายความถึงสิ่งที่มีที่เกิดขึ้นตั้งขึ้นโดยอาการที่ปรากฏเหมือนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเหตุว่าเกิดดับสืบต่อเร็วจนกระทั่งปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ การฟังธรรมแม้แต่คำเดียว ก็ต้องเข้าใจว่า กำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริง และสิ่งที่มีจริง คือ สภาพธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ก็มี แต่ว่าเป็นแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้น เสียงไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่ว่าปรากฏให้รู้ว่าแต่ละเสียงหลากหลายมากไม่เหมือนกันเลย และเสียงที่เกิดขึ้นปรากฏแล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลย และเสียงใหม่ที่ปรากฏก็ไม่ใช่เสียงเก่าแล้ว ฟังเพื่อค่อยๆ สะสมความเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะมีความเข้าใจในสิ่งที่ได้ยิน เมื่อกี้นี้มากเลย แต่ก็ต้องเข้าใจไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย

    อ.คำปั่น มีกิเลสที่เกิดขึ้นเป็นไป ซึ่งก็เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต เวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงในเรื่องของกิเลส เรื่องของสภาพธรรมที่ไม่ดี ก็ทรงแสดงหลากหลายมากมาย และด้วยข้ออุปมาเปรียบเทียบที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลสำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ อย่างเช่น ในเรื่องของความเป็นลูกศรที่เสียบแทง ที่กล่าวถึงโลภะ โทสะ โมหะ แล้วก็ความเห็นผิด เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพูดถึงความเคยชินที่จะเป็นอกุศลก็เป็นไปมากในชีวิตประจำวัน อย่างเช่น ความติดข้องต้องการ ซึ่งก็มีมากจริงๆ ที่จะเป็นผู้ไม่ประมาทจะเป็นอย่างไร เพราะดูเหมือนชินกับกิเลส และเกิดขึ้นเป็นไปมากในชีวิตประจำวัน และก็ไม่เห็นโทษของความติดข้องด้วย

    ท่านอาจารย์ มีอีกคำหนึ่งแล้ว กิเลส แต่ละครั้ง ต้องไม่ลืม กิเลสมีจริงๆ แล้วก็เมื่อมีจริงๆ แล้วกิเลสเป็นกิเลส ทุกคำต้องเป็นคำนั้น เปลี่ยนไม่ได้เลย กิเลสไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร กิเลสเป็นกิเลส หมายความถึงต้องคิดแล้ว รูป สภาพที่ไม่รู้อะไร เป็นกิเลสได้ไหม ต้องยืนหยัด หรือตรงต่อคำที่ได้ยินทุกคำ เพื่อให้ถึงการรู้สึกตัวในขณะนี้ ขณะที่กำลังนั่งเดี๋ยวนี้รู้สึกตัวหรือเปล่า แค่คำธรรมดา ภาษาไทยแท้ๆ เลย กำลังนั่งเดี๋ยวนี้รู้สึกตัวหรือเปล่า จะตอบว่าอย่างไร ไม่มีคำตอบ หรือว่าคำตอบนั้น ตอบแบบไหน รู้สึกตัวหรือเปล่า ฟังเพลิน ได้ยินเรื่อง รู้สึกตัวหรือเปล่า เคยมีตัวใช่ไหม ตั้งแต่เกิดมาก็เป็นตัว แล้วรู้สึกตัวหรือเปล่า ตอบให้ตรงจะได้รู้จักคำว่า กิเลส

    เพราะฉะนั้น ทุกคำจะสอดคล้องกันทั้งหมด เพราะเหตุว่าเป็นธรรมที่มีจริงทุกขณะ สามารถที่จะเข้าใจในขณะที่กำลังฟังยิ่งขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ไม่ต้องมาก แต่ขอให้เข้าใจจริงๆ แม้แต่คำที่พูดทุกวัน ตัว มีแน่ๆ แต่ขณะนี้ที่กำลังฟัง หรือเมื่อไรจะไม่ฟังก็ได้ ที่ไหนก็ได้ รู้สึกตัวหรือเปล่า

    อ.วิชัย ตอนนี้ก็รู้สึกว่ากำลังนั่งฟังธรรม

    ท่านอาจารย์ แน่ใจหรือ ถ้าไม่ถาม

    อ.วิชัย ถ้าไม่ถาม ก็ไม่ได้คิดถึงเลย

    ท่านอาจารย์ แค่ถามธรรมดา ให้รู้ว่า ความไม่รู้มากแค่ไหน เราพูดคำที่เราไม่รู้จักตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วคิดว่ารู้ด้วย เพราะฉะนั้น แต่ละคำต้องละเอียดมากที่จะพิจารณาว่า ก็ว่าตัวเราไม่ใช่หรือ ทุกคนก็มีตัวกันทั้งนั้น แต่ถามว่าเดี๋ยวนี้รู้สึกตัวไหม จะตอบว่าอย่างไร เป็นธรรมดา เป็นธรรมดา คือ ความไม่รู้ มาถึงเป็นธรรมดาของความไม่รู้ ความไม่รู้มีจริงๆ หรือเปล่า มี ก็กำลังไม่รู้แล้วไปสงสัยอะไร ความไม่รู้มีแน่ๆ เป็นเรา หรือว่า เป็นความไม่รู้ ต้องละเอียด พอที่จะรู้ว่า ความไม่รู้ไม่ใช่เรา ทุกอย่างหมดไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร แต่เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งอย่าง

    เพราะเหตุว่าความไม่รู้ไม่ใช่เห็น เห็นเป็นเห็น เห็นเกิดขึ้นเห็น แต่ว่าความไม่รู้ แม้แต่คำถามว่า รู้สึกตัวหรือเปล่า ก็ไม่รู้ขณะนั้น เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ มีจริงๆ เป็นธรรมหรือเปล่า เป็น แน่นอน แล้วก็ธรรมซึ่งไม่ใช่ของใครด้วย ถ้าเป็นธรรมแล้วจะเป็นใคร เป็นของใครไม่ได้เลย จะใช้คำหนึ่งก็ได้ ว่าเป็นธาตุ หรือ ธา-ตุ ถ้าจะกล่าวโดยลักษณะแต่ละหนึ่งซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้เลย เปลี่ยนแปลงสักอย่างไม่ได้ เห็นก็ต้องเป็นเห็น เป็นธาตุเห็น เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ จึงเป็นแต่ละธาตุ

    จะเห็นได้ว่า ขณะที่กล่าวว่าไม่รู้ ขณะนั้นมีจริงๆ เป็นเราหรือเปล่า ตอบได้ แต่ว่ายังไม่ใช่ความรู้จริงๆ เพราะฉะนั้น ความรู้จริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ฟังแล้วก็เข้าใจ แต่ต้องสามารถเห็นความเป็นหนึ่งของสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง เพราะว่าถ้าไม่รู้สภาพธรรมทีละหนึ่ง ตามความเป็นจริง ไม่มีทางที่จะรู้จักธรรมใดๆ เลยทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าปนกันแล้ว

    นี่คือความลึกซึ้งอย่างยิ่งของการที่จะเริ่มเข้าใจว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงซึ่งถ้าไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีมา ไม่สามารถจะรู้ความจริงอย่างนี้ได้เลย ด้วยพระมหากรุณาถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และรู้ว่าคนที่ได้ฟัง สามารถเข้าใจได้ แต่ว่าเข้าใจก่อน แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นแต่ละคำต้องปะปนกันไม่ได้เลย ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ความรู้ไม่ว่าความรู้ใดๆ ต้องตามลำดับ

    ความรู้ขั้นกำลังฟังเดี๋ยวนี้ ปริยัติ คือ ความเข้าใจพระพุทธพจน์ ไม่ใช่คำของคนอื่น ถ้าเพียงฟังเฉยๆ ยังไม่เข้าใจ ยังไม่รอบรู้ ยังไม่มั่นคง ไม่ใช่ปริยัติ เพราะฉะนั้น ยังไม่ถึงปฏิบัติ ที่ใช้คำว่าปฏิบัติหรือภาวนาเลย ความรู้ต้องเป็นความรู้จริงๆ ตามลำดับจึงจะเป็นผู้ที่เป็นสาวก คือ ผู้ที่ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ความไม่รู้มีจริงเป็นธรรม เป็นธาตุ เป็นรูปธรรมหรือนามธรรม ลืมคำนี้ก็ไม่ได้ ฟังแล้วก็คือฟังจริงๆ เข้าใจจริงๆ แล้วก็ไม่ลืม เพราะฉะนั้น ความไม่รู้เป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม ไม่ยากแล้วใช่ไหม ที่จะตอบ แต่ยากที่จะรู้

    ขณะที่กำลังจำว่า ความไม่รู้เป็นธรรม มีจริงๆ เป็นนามธรรม เป็นธาตุ มีสภาพที่จำคำนี้หรือเปล่า รู้ตัวไหม รู้ตัวคือจำเกิดขึ้น ไม่ได้เกิดที่อื่นเลย รู้ตัวคือรู้ที่จำ ยากไหม ตัวธรรมแต่ละหนึ่งๆ แม้แต่การที่เราเคยพูดว่า เขาสลบไป แล้วเขาฟื้น เขารู้สึกตัวแล้วก็เป็นคำพูดในภาษาธรรมดา แต่ว่าไม่ใช่ความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้นเพราะว่าเกิดมาก็เกิดมาด้วยความไม่รู้ และก็ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตตลอดมา เมื่อใดที่ยังไม่ได้มีความเข้าใจพระธรรมนั่นคือความไม่รู้ความจริงทั้งหมด

    เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ที่เราพูดเมื่อกี้นี้ขณะที่กำลังได้ยินคำว่ารู้สึกตัวไหม แล้วก็เข้าใจ ขณะนั้นจำคำว่า รู้สึกตัว ด้วยหรือเปล่า เมื่อกี้เราพูดหมดเลย รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ฟังแล้วจำแล้ว จำชื่อได้ จึงได้ถามว่า แล้วขณะนี้รู้สึกตัวไหม

    อ.ธิดารัตน์ อย่างนี้แสดงว่า ความหมายของคำว่า รู้สึกตัว หมายถึงว่า ขณะที่กำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นว่าเราพูดคำที่เราไม่รู้จักตั้งแต่เกิด แต่ว่าถ้าเราจะรู้จักคำนั้นจริงๆ ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 176
    14 มี.ค. 2567