ปกิณณกธรรม ตอนที่ 779


    ตอนที่ ๗๗๙

    สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

    วันที่ ๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘


    อ.คำปั่น สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น มีอีกมากที่เราไม่รู้ แต่เราสำคัญว่าเราได้รู้ ก็รู้ตัวตามความจริง ด้วยพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง และในที่สุด ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปนี้ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์

    ท่านอาจารย์ แล้วพอตรัสรู้แล้ว กาลเวลาคืออะไร

    อ.คำปั่น นี้เป็นสิ่งที่น่าพิจารณา เพราะว่าถ้าไม่มีสภาพธรรมที่เกิดดับ สืบต่อ จะมีการบัญญัติว่าเป็นช่วงเวลานั้น เวลานี้ได้ไหม ก็ต้องมีสภาพที่มีจริง ที่เกิดขึ้นเป็นไป ซึ่งในความเป็นปกตินี้ อกุศลธรรมก็เป็นปกติ ก็คือเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน แต่ถึงแม้ว่าในความเป็นจริง แม้ว่าจะมีอกุศลมาก แต่ว่ายังไม่ถึงที่จะเป็นเครื่องกั้นการรู้แจ้งธรรมนี้ ถ้าผู้นั้นสะสมเหตุที่ดีมา มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม ก็สามารถที่จะอบรมปัญญาได้

    ท่านอาจารย์ ใครไม่มีอกุศล แล้วอกุศลระดับไหน เลือกได้ไหม

    อ.คำปั่น ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้ามีความเข้าใจ อกุศลที่เกิดไม่ว่าระดับไหน ปัญญาที่สะสมมา สามารถที่จะเข้าใจถูกได้ไหมว่านั้นคือธรรมม

    อ.คำปั่น สามารถเข้าใจถูกได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทั้งหมดอบรมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ลองคิดถึงความจริง ไม่เข้าใจอะไรเลย และก็พยายามไปทำทุกอย่าง คิดว่าทำอย่างนั้นแล้วปัญญาก็จะเกิด ถูกไหม ไม่มีความเข้าใจ มีความเข้าใจนิดหน่อย ความเป็นตัวตนมีมาก ก็จะไปพยายามอีก จะฟังทั้งคืน จะอย่างนั้น อย่างนี้ ไม่ไปไหน ไม่ทำอะไรเลย เป็นความเข้าใจถูกได้ไหม สามารถที่เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ไหม แต่ถ้ารู้ตามความเป็นจริง อาจหาญคือมั่นคง ว่าเป็นธรรม ถึงแม้เดี๋ยวนี้ไม่รู้ เห็นเดี๋ยวนี้ ฟังมาว่าเป็นธรรม แต่ก็ยังไม่รู้

    เพราะฉะนั้น จะรู้ได้โดยอย่างไร ฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น มั่นคงขึ้น ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงอย่างนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิด จะโกรธ จะริษยา จะตระหนี่ จะเห็นสิ่งที่น่าพอใจ ไม่น่าพอใจ ปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ก็สามารถที่จะเริ่มค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มี ไม่ใช่หมายความว่า แล้วเราจะไปเอาปัญญาที่สามารถรู้ความจริงนี้ว่า นี้ไม่ใช่เรา เป็นธรรม มาจากไหน ถ้าไม่ใช่เป็นผู้ที่ตรงว่า จากความเข้าใจขั้นแรกไม่เปลี่ยน ทุกอย่างเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้น แม้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ไม่เข้าใจ ก็เป็นธรรม อวิชชาได้ยินคำนี้ และถ้าขณะที่ไม่เข้าใจไม่รู้ว่าเป็นธรรม และอวิชชาอยู่ไหน ก็มีแต่ชื่อ เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มีจริงๆ เป็นธรรมที่หลากหลายมาก แต่ยังไม่สามารถเข้าใจได้จริงๆ ว่าเป็นธรรม แต่ไม่ใช่หมายความว่า มีความเป็นตัวตน พยายามไปสร้าง ไปทำ ความรู้นิดเดียวให้เข้าใจหมดว่า นี่ก็ธรรม นั่นก็ธรรม พยายามที่จะฟังมากๆ ให้รู้ธรรมเร็วๆ ก็ด้วยความเป็นตัวเรา ด้วยความเห็นผิด และด้วยโลภะ เพราะฉะนั้นก็ตามโลภะไป ตกหลุมของโลภะไปตลอด ถ้าไม่ใช่ปัญญาจริงๆ แต่ถ้ามีความมั่นคงว่า ถูกต้อง เดี๋ยวนี้เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ยังไม่รู้อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง และหนทางที่จะรู้ก็มี คือค่อยๆ เข้าใจ ไม่ว่าจะอะไรทั้งนั้น ถ้ามีความมั่นคงอย่างนี้ ก็ไม่มีอะไรเป็นเครื่องกั้น ไม่มีความเป็นเรา ไม่มีตัณหา ไม่มีทิฏฐิ ไม่มีความสำคัญตน ที่จะมาทำให้ไม่เข้าใจธรรม เพราะเหตุว่าจะเข้าใจวันนี้ทั้งหมดอย่างที่ได้ฟังได้ไหม ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จากการรู้เหตุว่า เข้าใจเพราะอะไร ไม่ใช่ไปนั่งคิดเอง แต่ว่าด้วยความเคารพในทุกคำที่ได้ฟังว่า ลึกซึ้งมาก แต่สามารถค่อยๆ เข้าใจขึ้น ทุกครั้งที่มีโอกาสจะได้ฟัง เพราะเหตุว่าฟังแล้วเข้าใจที่ละเล็กที่ละน้อยเพิ่มขึ้น

    สนทนาธรรมที่บ้านใบแก้ว จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

    วันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๘

    อ.คำปั่น การสนทนาธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริง ตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะว่าการเป็นชาวพุทธจริงๆ ก็คือผู้ที่นับถือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นการที่จะนับถือพระองค์ได้ ก็ต้องรู้ว่าพระองค์คือใคร ทรงตรัสรู้อะไร แล้วก็ทรงแสดงอะไร นี่คือสิ่งที่สำคัญ ที่จะมองข้ามไม่ได้เลย ในช่วงแรกก็ตามที่ อาจารยงยุทธได้กล่าวเมื่อต้นว่า เป็นชาวพุทธแต่ไม่รู้จัก แม้แต่พระธรรมคำสอน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะฉะนั้นการที่จะเป็นชาวพุทธจริงๆ ที่ถูกต้อง และเป็นไปตามพระธรรมคำสอน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้นเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ขออนุโมทนาที่เป็นผู้ตรง สำคัญที่สุดเพราะเหตุว่า สิ่งที่มีจริงตรงตามความเป็นจริงเปลี่ยนไม่ได้ ถูกคือถูก และผิดคือผิด รู้คือรู้ ไม่รู้คือไม่รู้ เข้าใจคือเข้าใจ ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ การที่มีโอกาสที่จะได้สนทนากันในเรื่องของพระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดง และแต่ละคนก็มีการได้ยินได้ฟังคำนั้นบ้าง คำนี้บ้าง แต่ก็คงไม่ลืม เราเป็นใคร ลืมไม่ได้เลย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร ถ้าเราตั้งต้นถูก เราก็จะเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เราไม่ต้องคิดเอง เพราะว่าคิดเองผิดหมด แต่เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว ก็จะได้เริ่มเข้าใจ

    แม้แต่เพียงคำเดียว แต่ว่าเป็นผู้ที่เข้าใจถูก แล้วก็รอบรู้ในคำนั้น ก็จะทำให้เรารู้คำนั้น มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง เช่นคำว่า ธรรม ถ้าได้ยินคำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะได้ยินคำว่าธรรมด้วย แต่จะเผินไม่ได้เลยว่า แต่ละคำคืออะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคำนี้มีพระองค์เดียวในแสนโกฏจักรวาล แม้เทวดา และพรหมก็มาเฝ้า เพื่อที่จะได้เข้าใจถูก เพราะว่าแม้เทวดา และพรหม ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เอง ในสิ่งต่างๆ ที่มี เมื่อรู้ว่ามีผู้ตรัสรู้ คนในยุคนั้นมีโอกาสได้ไปเฝ้า ได้กราบทูลถาม และผู้มีพระภาคตรัสให้เกิดความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มี ในขณะนั้นๆ ซึ่งขณะนี้ก็มีเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้แต่ละคำ เป็นคำจริง แสดงความจริงของสิ่งที่มี เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรม ก่อนฟังก็อาจจะมีการสนทนากัน เรียกว่าสนทนาธรรม แต่ก็ไม่ได้เริ่มต้นว่า แล้วธรรมคืออะไร ที่จะสนทนา แต่ว่าความละเอียดต้องรู้ว่า ก่อนที่จะได้ยินได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เป็นผู้ไม่รู้

    เพราะฉะนั้น ประมาทไม่ได้ แม้แต่ละคำว่าธรรมคืออะไร เมื่อกี้นี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือใคร แต่จะรู้จักพระองค์ได้ ก็ด้วยการได้ฟังคำของพระองค์ จึงเริ่มที่จะรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้ และทุกคำที่กล่าวถึงความจริงเป็นธรรม พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริงของธรรม

    ก่อนอื่นต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ว่า ธรรมคืออะไร ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มีจริง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้อะไร แต่เพราะเหตุว่า มีสิ่งที่มีจริงซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่จะตรัสรู้ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมีนานมาก ที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม ต้องเริ่มตั้งแต่คำแรกว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงทุกขณะ และเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดด้วย เพื่อให้เราเข้าใจความจริง และรู้จักความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นไม่ใช่บอกไป บอกไป บอกไป ให้ฟังไป แต่ว่าเป็นการสนทนาจะทำให้สามารถรู้ได้ว่า ผู้ที่ได้ฟังแล้วมีความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน

    เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราเริ่มได้ คำว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง แต่ละคนคงไม่ต้องถามกัน แต่ถ้าได้ยินคำถาม ตอบเองตามความคิดของตน เพราะว่าแต่ละคน ก็ต่างคนต่างคิด เพราะฉะนั้นถ้าถามว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ แล้วเดี๋ยวนี้มีธรรมไหม ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง นี้คือค่อยๆ เริ่มเป็นปัญญาของตัวเอง ที่จะเข้าใจจริงๆ ที่จะไม่คลอนแคลน และก็มีความเข้าใจที่มั่นคง ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม เดี๋ยวนี้อะไรมีจริง นี้เป็นเหตุที่จะทำให้เราเข้าใจ แม้คำเดียวที่เราได้ยิน ตอนนี้รู้แน่ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง ไม่อย่างนั้นเราจะมาพูดเรื่องสิ่งที่ไม่มีจริง ก็ไร้ประโยชน์ เพราะฉะนั้นขณะนี้ เมื่อธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง แล้วเดี๋ยวนี้มีธรรมไหม คำตอบก็คือ มี ไม่พอ แสดงว่าความเข้าใจของตนเองต้องมากกว่านี้

    เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้อะไรมีจริง เห็นมีจริงไหม เพราะอะไรจึงว่ามีจริง เพราะกำลังเห็น ถึงไม่ได้ฟัง เห็นก็มีจริงใช่ไหม ด้วยเหตุนี้เห็นขณะนี้มีจริง ถ้าเห็นไม่เกิดขึ้น จะมีเห็นไหม ต้องค่อยๆ คิด ถ้าเห็นไม่เกิดขึ้นจะมีเห็นไหม กำลังนอนหลับสนิท มีเห็นไหม ไม่มี ตื่นขึ้นมีเห็นไหม มี เพราะฉะนั้นเห็นมีจริงในขณะนี้ที่กำลังเห็น จะกล่าวว่าไม่มีเห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้นเห็นเป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริง ในขณะที่สิ่งนั้นกำลังปรากฏเพราะเกิดขึ้น ใครอยากให้เห็นเกิด ทำให้เห็นเกิดได้ไหม ไม่ได้ ถ้าเป็นคนที่ตาบอด ไม่มีทางที่จะเห็นเลย เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง เริ่มเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร จึงเป็นธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุ ตามปัจจัย ถ้าไม่มีตา ตาบอด จิตเห็นก็เกิดไม่ได้ สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ปรากฏไม่ได้ เกิดมาก็มีแต่สิ่งเหล่านี้ ตั้งแต่เด็กจนโต ก็ไม่รู้ความจริง

    บางคนอาจจะเข้าใจว่า ธรรมเป็นสิ่งที่ไม่มีในขณะนี้ ต้องไปหา ต้องไปทำ แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น สิ่งที่มีในขณะนี้เข้าใจหรือเปล่า ถ้าไม่เข้าใจ ไปหาอะไร ไปหาสิ่งที่ยังไม่มี แต่ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมี ด้วยเหตุนี้การฟังธรรม ไม่ใช่ว่าให้รีบไปไหนเลย ให้ไปถึงนิพพาน ให้ไปถึงสติปัฎฐาน ให้ไปถึงอริยสัจจะ ไม่ใช่เลย เพราะเหตุว่าทุกคำที่ได้ยิน ต้องเข้าใจแต่ละคำ และเมื่อเข้าใจแต่ละคำแล้ว ก็เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น และก็สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งซึ่งเราพูดทุกวัน แต่ไม่เคยรู้เลยว่าเป็นอะไร เพราะฉะนั้นเห็นขณะนี้ บังคับบัญชาไม่ได้ เมื่อมีปัจจัยคือ ตาไม่บอด เห็นก็เกิดขึ้น กำลังเห็น แล้วเห็นดับไป หมดไปหรือเปล่า หรือเห็นอยู่ตลอดเวลา เห็นดับไป หมดไป เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิด สิ่งนั้นต้องดับหมดไป โดยไม่มีใครรู้เลย ในขณะที่ได้ยิน ไม่ใช่เห็น ในขณะที่คิด ไม่ใช่เห็น ในขณะที่รู้สิ่งที่กำลังแข็ง ไม่ใช่เห็น เพราะฉะนั้นเห็นเกิดขึ้นเห็น แล้วดับไป เริ่มเห็นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทรงตรัสรู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วก็ ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีใครไปทำอะไรได้เลย แต่มีสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป แล้วก็เกิดสืบต่อ เร็วมาก แล้วก็สืบต่อทันที ไม่มีช่องว่างเลย ทำให้ไม่รู้การเกิดขึ้น และดับไปของสภาพธรรมแต่ละอย่าง

    ต่อไปนี้ เวลาได้ยินคำว่า อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ก็เข้าใจได้เลย ไม่ใช่ไปนั่งท่อง แล้วพูดคำนี้ แล้วพอเกิดป่วยไข้ ก็อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่ แต่หมายความว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่มีในขณะนี้เกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นเห็นขณะนี้ เกิดแล้วดับ ใครรู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริง แล้วก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นฟังธรรมคือฟังให้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว ก็ไม่มีปัญหาเลย อะไรอีกที่เป็นธรรม นอกจากเห็น ได้ยินก็เป็นธรรม ทั้งวันเป็นธรรมทั้งหมด แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลย หิว เป็นธรรมหรือเปล่า โกรธ สนุก ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรม เพราะฉะนั้นจะเห็นความไม่เที่ยงความไม่ใช่ตัวตน ซึ่งหลงยึดถือว่าเป็นเราทั้งหมด เพราะไม่รู้ความจริง ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจว่า เราเกิด เราตาย แต่ว่าตามความเป็นจริง แต่ละหนึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และก็ดับสืบต่ออยู่ตลอดเวลา

    เพราะฉะนั้น ความตาย มี ๓ อย่าง “ขณิกมรณะ” ตายทุกขณะ เห็นเกิดแล้ว ดับแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย จะไม่ชื่อว่าตายหรือ เพราะเหตุว่าไม่กลับมาอีก มีการได้ยิน และก็มีเสียงเกิดขึ้น และดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ต่อจากเห็นเมื่อกี้นี้เอง เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า ทุกอย่างเกิดดับสืบต่อเร็วมาก ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมก็ยึดถือว่าเป็นเราทั้งหมดที่เห็น แต่สิ่งที่เกิดขึ้น และดับไป จะเป็นเราได้อย่างไร ได้ยินเมื่อกี้นี้เกิด และดับไป จะเป็นเราได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจความหมายของคำว่าอนัตตา เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่จะเกิดขึ้น ต้องมีเหตุปัจจัย เกิดแล้วดับไป ลักษณะที่เกิดดับไป น่าพอใจไหม ไม่มีใครเลย แต่มีธรรมที่เกิดดับ เกิดดับ ไปเรื่อยๆ ยับยั้งไม่ได้ หยุดไม่ได้ ต้องเป็นอย่างนี้ ใครจะไม่เห็นได้ไหม ใครจะไม่ได้ยินได้ไหม ใครจะไม่ให้คิดได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นทรงแสดงความจริง แล้วก็ทรงจำแนกธรรมที่มีจริง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ให้รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ธรรมที่มีจริง ลองคิดดู ขณะนี้มีเห็นกี่เห็น นับถ้วนไหม มีเห็นกี่เห็น นับไม่ถ้วน คนเห็น และคนมีเท่าไหร่ สัตว์เห็น ตั้งแต่ มด จนถึงช้าง จนถึงงู แล้วก็โลกอื่น เทวโลก เทวดาเห็น พรหมเห็น เพราะฉะนั้นเห็น นับไม่ได้ นับไม่ถ้วน แต่ทรงแสดงประเภทของธรรม ซึ่งเป็นประเภทเดียวกันว่า ขณะที่เห็นเป็นธรรมอย่างหนึ่ง แน่นอนไม่ว่าจะเกิดในพรหมโลก มนุษย์โลก หรือที่ไหนก็ตาม เห็นก็ต้องเห็น เพราะฉะนั้นเห็นเป็นธรรมอย่างหนึ่ง เริ่มเข้าใจธรรมตรงๆ สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่ว่าอะไรเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งเมื่อมีปัจจัยเกิดขึ้น และดับไป และจะกล่าวว่ามี เมื่อสิ่งนั้นเกิดปรากฏให้รู้ว่ามี แต่เมื่อสิ่งนั้นยังไม่เกิด จะบอกว่ามีในขณะนั้นไม่ได้ เพราะไม่มี จนกว่าจะมี ขณะนั้นมี แล้วก็หามีไม่ เพราะฉะนั้นโลก โลกะ ก็คือสภาพธรรมที่เกิดดับ ไม่ว่าโลกไหนทั้งนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไป

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรม เข้าใจทีละคำ และเป็นปัญญาของตนเอง และความเข้าใจนี้เปลี่ยนใหม่ได้ เพราะเหตุว่าถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ลองคิดว่า จริงถึงที่สุด ไม่มีใครสามารถที่จะรู้จริงยิ่งกว่านี้ได้ ว่าขณะนี้ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังแตกดับ เป็นขณิกมรณะ

    แต่ว่าเกิดมาก็เป็นคนนี้อยู่ชั่วคราว ไม่ว่าเราจะอายุมากน้อย ยาวสั้นแค่ไหน แล้วก็จากโลกนี้ไป เราก็บอกว่าเขาเกิดมา เขามีอายุเท่านี้ แล้วเขาก็จากโลกนี้ไป สิ้นชีวิตแล้ว มรณะ เพราะฉะนั้น จึงมีความตายซึ่งเป็น “สมมติมรณะ” ทุกคนเข้าใจ พอบอกว่านกตาย รู้เลย ไม่มีนกตัวนั้นอีกแล้ว เพราะสิ้นสุดความเป็นนกตัวนั้นอีกแล้ว คนตายก็รู้ว่าสิ้นสุดความเป็นคนนั้น จะกลับมาเป็นคนนั้นอีก แม้เพียงชั่วหนึ่งขณะจิตก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นมีความตายที่สมมติว่าเป็นสัตว์ บุคคล จึงเป็นสมมติมรณะ ไม่จบ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเกิดดับ ไม่มีใครหยุดยั้ง หรือทำลายไม่ให้เกิดได้เลย เห็น เมื่อวานนี้ก็เห็น วันนี้ก็เห็น พรุ่งนี้ก็เห็น เมื่อมีปัจจัยที่จะเห็น แต่ถ้าไม่มีเห็น เกิดตาบอดฉับพลัน จะให้เห็นสักเท่าไหร่ก็เห็นไม่ได้

    เพราะฉะนั้น แสดงความจริงว่า สิ่งที่มีจริงขณะนี้ชั่วคราว และไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้ เพียงเกิดขึ้น ปรากฏ แล้วก็หมดไป เป็นอย่างนี้ นานแสนนานมาแล้ว และวันนี้ก็เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เช้า ต่อไปอีกทุกวัน จนกว่าจะถึงสมมติมรณะ ก็ยังไม่จบ เพราะไม่มีเรา แต่มีธาตุซึ่งเกิดดับ สืบต่ออย่างนี้ต่อไป จนกว่าจะถึง ความตายสุดท้าย ซึ่งไม่มีการเกิดอีกเลย “สมุจเฉทมรณะ” คือการสิ้นปัจจัยที่จะทำให้เกิด หมดกิเลสแล้วไม่มีอะไรที่จะทำให้เกิดอีก เพราะฉะนั้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในขณะสุดท้ายที่อยู่ในโลกนี้ แล้วสภาพธรรมดับไป ไม่เกิดอีก เลยเป็น สมุจเฉทมรณะ ใครจะไปทำให้เกิดอีก เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุว่าดับเหตุที่จะให้เกิดแล้ว แต่ใครก็ตามทุกคน มาจากไหน ชาติก่อนเป็นใคร ชาติหน้าไปไหน ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย แต่ว่าชาตินี้รู้แล้วว่ามาจากไหนก็ได้ มาจากนรกได้ไหม มาจากสวรรค์ก็ได้ มาจากมนุษย์ก็ได้ แล้วก็เป็นคนนี้ชั่วคราว แล้วก็จากโลกนี้ไปโดยสิ้นเชิง กลับมาอีกไม่ได้เลย ชีวิตของพระโพธิสัตว์แต่ละพระชาติก่อนที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นแล้วหลายชาติหลายอย่าง เป็นนกก็เคยเป็น เป็นช้างก็เป็น เป็นเทพก็เป็น เป็นพรหมก็เป็น เป็นมนุษย์ก็เป็น เป็นหมดเลย เป็นลูกท่านพระเทวทัตก็เคยเป็น

    เพราะฉะนั้น สังสารวัฎฏ์ที่ยาวนานมาก ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ชาติก่อน เหมือนประตูที่ปิดสนิท ตอนยังเปิดอยู่ ขณะนี้ก็เห็นทุกอย่าง เมื่อวานนี้ทำอะไรมา เดือนก่อนทำอะไร วันนี้ทำอะไร ตอนบ่ายจะทำอะไร แต่พอถึงขณะสุดท้ายของชาตินี้สิ้นสุด เกิดใหม่ ไม่ใช่คนนี้เลย จะไปจำอะไรได้ที่ผ่านมาแล้ว ก็เหมือนชาตินี้เราก็จำไม่ได้เลยว่า ชาติก่อนเราเป็นใคร ชาติหน้าต่อไป ก็เป็นไปตามการสะสม ซึ่งได้ทำมา ซึ่งทำให้แต่ละคนต่างกันไป ทั้งหมดเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้โดยละเอียดยิ่งคือ ทีละหนึ่งธรรม จึงสามารถที่ตรัสได้ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ทั้งหลายนี้ไม่มีเว้นเลย ไม่ว่าอะไรทั้งหมด อนัตตาคือไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ถาวร ที่เราจะยึดถือว่าเป็นคนนี้ หรือคนนั้นได้ เพราะเหตุว่าถ้ากล่าวถึงธรรมแต่ละหนึ่งเมื่อไหร่ ธรรมแต่ละหนึ่งนั้น ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น นอกจากธรรมนั้นๆ อย่างเห็น เป็นคนจีนเห็น หรือว่าคนไทยเห็น หรือนกเห็น หรืองูเห็น ถ้าไม่มีรูปร่างเลย เห็นเป็นเห็น เพราะเราพูดถึงเฉพาะเห็น

    เพราะฉะนั้น ธรรมหนึ่งก็เป็นธรรมหนึ่ง ได้ยินไม่ใช่เห็นเลยซักนิดเดียว ได้ยินกำลังรู้ว่าเสียงกำลังปรากฏ ถ้าไม่มีการได้ยินเสียงนั้น เสียงนั้นก็ปรากฏไม่ได้เลย และเสียงก็มีหลายเสียง ได้ยินเสียงหนึ่งแล้วก็ดับไป และก็มีได้ยินเสียง อีกเสียงหนึ่งแล้วก็ดับไป ไม่เห็นหวั่นไหวในการเกิดดับ เพราะปัญญาไม่พอว่า แท้ที่จริงแล้วเป็นแต่เพียงสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้น บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วก็ดับไป ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เพราะฉะนั้นการที่ได้รู้ความจริงอย่างนี้ ค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ ซึ่งเป็นเหตุให้เราติดข้องในความเป็นเรา ในความเป็นเขา ในความเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ต้องละเอียดที่จะเข้าใจ แม้แต่คำเดียว แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง ที่บอกว่าธรรมคือการเห็น ท่านอาจารย์บอกว่าไม่สามารถที่จะทำให้มันไม่เห็นได้ ในขณะเดียวกันท่านอาจารย์บอกว่า ถ้าคนตาบอด ก็จะไม่เห็น แต่ถ้าเราหลับตา เป็นการบังคับตัวเองไม่เห็นได้หรือไม่

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 176
    27 มี.ค. 2567