ปกิณณกธรรม ตอนที่ 727


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๒๗

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมอิมพีเรียลแม่ปิง จ.เชียงใหม่

    วันที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ เมื่อจิตขณะสุดท้ายของชาติก่อนคือจุติจิตเกิดแล้วก็ดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะแรกของชาตินี้เกิดขึ้น ใช้คำว่า ปฏิสนธิจิต เป็นผลของกรรมหนึ่ง เลือกไม่ได้ เพราะฉะนั้น ที่ทุกคนเกิดมาในโลกนี้เลือกเกิดเป็นคนนี้ในโลกนี้ ชาตินี้หรือเปล่า เลือกไม่ได้ แต่กรรมหนึ่งทำให้แต่ละคนต่างกันมาก รูปร่าง ผิวพรรณ พ่อแม่พี่น้อง ลาภยศสรรเสริญใดๆ ก็ตามแต่ มีเหตุที่ได้กระทำแล้ว แล้วก็จะอยู่ในโลกนี้อีกนานเท่าไร เลือกได้ไหม เลือกไม่ได้ แล้วแต่กรรมที่จะทำให้อยู่ต่อไป

    เมื่อเกิดมาขณะแรกที่สุด ปฏิสนธิจิตดับไหม ดับ ให้มีปฏิสนธิจิตสัก ๒ ขณะติดกันได้ไหม เป็นไปไม่ได้เลย ต้องเพียงหนึ่งขณะ นานกว่านั้นไม่ได้เลยแล้วดับแค่หนึ่งขณะ แต่กรรมไม่ได้ทำให้เกิดผลเพียงหนึ่งขณะคือปฏิสนธิจิต ยังสามารถที่จะทำให้ผลเกิดต่อไปจนกว่าจะหมดสิ้นกรรมในชาตินี้ ที่จะทำให้เป็นคนนี้อีกต่อไป เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดแล้ว ปฏิสนธิจิต ๑ ขณะดับไป กรรมเป็นปัจจัยให้จิตประเภทเดียวกันกับปฏิสนธิเกิดสืบต่อ เพราะกรรมไม่ได้ให้ผลเพียงแค่ปฏิสนธิเท่านั้น ยังให้ผลต่อไปอีก และการดับไปของจิตดวงก่อน ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ ไม่มีระหว่างคั่น แม้ว่ากรรมจะทำให้จิตที่เป็นผลของกรรมเกิด แต่ก็เพราะจิตขณะต่อไปต้องดับก่อน และการดับไปของจิตขณะก่อนก็ทำให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น ซึ่งกรรมทำให้เป็นจิตประเภทเดียวกัน นานเลยเป็นภวังค์ นานที่นี่ไม่ใช่ว่าต้องไปนับเป็นเดือน เป็นปี หรือว่าจะเป็นกี่ขณะ แต่ว่าไม่ใช่ ๑ ขณะแน่นอน ดำรงภพชาติโดยไม่รู้สึกตัวเลย หลับสนิทรู้สึกตัวไหม ไม่รู้สึก เป็นใครตอนหลับสนิท ไม่ใช่ใครเลยใช่ไหม ชื่ออะไรตอนนอนหลับ ตื่นมารู้แล้ว ใคร ชื่ออะไร แต่ตอนนอนหลับ ไม่มีอะไรเลย ว่างเปล่าหมดเลย แต่มีจิตเกิดดับดำรงภพชาติ และก็ระหว่างที่ยังเป็นภวังค์ ให้ทราบได้ ไม่ว่าจะเกิดในภูมิไหน เกิดบนสวรรค์ ก็ไม่มีการรู้ว่า สวรรค์เป็นอย่างไร เกิดในโลกนี้ก็ยังไม่รู้จักว่าโลกนี้เป็นอย่างไร แม้เกิดในนรกก็ยังไม่รู้ว่านรกเป็นอย่างไร เพราะเหตุว่า ขณะนั้นเป็นภวังคจิต ไม่มีอารมณ์ของโลกนั้นปรากฏแต่จะเป็นธาตุรู้ ต้องรู้

    ขณะที่เป็นปฏิสนธิจิต รู้อะไร ต้องมีอารมณ์ใช่ไหม เพราะว่าจิตเป็นสภาพรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ จิตที่ปฏิสนธิรู้อารมณ์เดียวกับจิตที่ใกล้จุติจิตของชาติก่อน เพราะฉะนั้น จึงไม่ปรากฏ ไม่ต้องอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กายของโลกนี้เลย หรือโลกไหนๆ ทั้งสิ้น เป็นภวังคจิตดำรงภพชาติ จนกว่าไม่เป็นภวังคจิต หมายความว่า ถึงเวลาที่จะต้องรู้อารมณ์ของโลกนี้ จะเป็นทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจก็ได้

    แต่ว่าวิถีจิตแรก ต้องเข้าใจคำว่า วิถี ก่อน วิถีหมายความถึงจิตที่เกิดดับสืบต่อรู้อารมณ์อื่นซึ่งไม่ใช่อารมณ์ของภวังค์ อาจจะเป็นทางตาก็ได้ จิตรู้อารมณ์ทางตาไม่ใช่ภวังค์แน่ เพราะอาศัยตาเกิดขึ้นเห็น จิตที่รู้อารมณ์ทางหูก็ไม่ใช่ภวังค์ เพราะเหตุว่าอาศัยโสตปสาทกระทบเสียง ทำให้จิตเกิดขึ้นได้ยินเสียง เดี๋ยวนี้ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น ธรรมจึงสามารถที่จะรู้ได้ขณะที่กำลังฟังนี่แหละว่า ความจริงไม่ใช่เรา เพราะเป็นอย่างนี้ ขณะใดก็ตามที่เป็นปฏิสนธิจิต เป็นภวังคจิต เป็นจุติจิต ไม่รู้อารมณ์ของโลกนี้เลย จึงไม่ใช่วิถีจิต ไม่อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เพราะไม่ได้คิดนึกเรื่องใดๆ เลยทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้น ทราบความต่างของวิถีจิตกับภวังคจิตว่า ภวังคจิตไม่ใช่วิถีจิต เพราะถ้าเป็นวิถีจิตต้องเกิดขึ้นอาศัยทางหนึ่งทางใด ทางตา หู จมูก ลิ้นหรือกาย แม้ไม่ได้อาศัย ๕ ทางนี้ แต่ใจเกิดขึ้นนึกถึงเรื่องอื่นไม่ใช่อารมณ์ของภวังค์เมื่อไร ขณะนั้นต้องเป็นวิถีจิต เพราะฉะนั้น มีวิถีจิตกี่ทาง ๖ ทาง ทางตาไม่ใช่ทางหู ไม่ใช่ทางใจ ทางหูเสียงปรากฏ ไม่ใช่ทางตา ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะฉะนั้น มีทางตา๑ จมูก๑ ลิ้น๑ กาย๑ แต่แม้ไม่อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ใจก็เกิดระลึกคิดถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ได้ โดยอาศัยใจซึ่งเป็นภวังค์ ไม่ได้ทำกิจของภวังค์อีกต่อไป สิ้นสุดกระแสภวังค์เมื่อไร ก็มีการคิดนึกทางใจได้

    ทุกภพทุกชาติ วิถีจิตแรกเป็นมโนทวารวิถี จะรู้หรือไม่รู้ก็ตามแต่ เกิดมาแล้ว โตจนถึงเดี๋ยวนี้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าตอนเกิดเป็นอย่างไร ถึงเกิดตอนนั้นก็ไม่รู้ ไม่มีทางจะรู้ได้เลย เพราะว่า เพิ่งเป็นวิถีแรกของชาตินี้ ซึ่งต้องเป็นทางมโนทวารวิถี แล้วรู้ไหมว่า วิถีจิตแรกทางใจ จิตประเภทไหนเกิด โลภมูลจิต ถ้าไม่มีอวิชชา ไม่มีโลภะ ไม่ต้องเกิด พระอรหันต์ทั้งหลายไม่เกิด ดับปัจจัยที่จะให้เกิดหมด แต่ใครก็ตามไม่ว่าจะทำบุญมามากน้อยสักเท่าไร ทำบาป ทำกรรม เกิดเป็นมด เกิดเป็นช้าง เกิดในนรก เกิดเป็นเทพ เกิดเป็นพรหมก็ตามแต่ เมื่อปฏิสนธิจิตดับไป ภวังคจิตเกิดแล้ว ไม่มีการรู้ตัวเลยว่าอยู่ที่ไหน จนกว่าวิถีจิตแรกเกิดขึ้นทางใจ วิถีแรกที่สุดคือเริ่มรู้สึกตัว ไม่มีอะไรเลย แต่ว่าทันทีที่รู้สึกตัว ติดข้องในความเป็น ขณะนั้นยังไม่รู้เลยว่าเป็นอะไร แต่ติดข้องในความเป็น เพราะฉะนั้น ที่เป็นวิถีจิตต้องอาศัยจิตประเภทหนึ่ง ใช้คำว่า อาวัชชนจิต แล้วแต่ว่าจะเกิดทางทวารไหน เป็นจิตที่นึกถึง ภาษาไทยถ้าแปลออกมาอาจจะใช้คำว่า รำพึงถึง แต่ภาษาไทยคิดว่า รำพึงนี่ยาวมากเลย แต่แค่นึกนิดเดียวเกิดรู้สึกตัวขึ้นมาไม่ใช่ภวังค์แล้ว แล้วก็เป็นทางใจ ไม่มีสิ่งใดปรากฏเลย แต่มีความติดข้องแล้วในความเป็น ทุกภพชาติ และเมื่อจิตที่เป็นวิถีแรกเกิด ไม่ใช่ภวังค์ ภวังค์ไม่ใช่วิถีจิต

    จิตที่เป็นวิถีจิตแรกทางใจ ใช้คำว่ามโนทวารวัชชนจิต เพราะฉะนั้น จิตที่ไม่ต้องอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่อาศัยใจนี่แหละที่สะสมมาสารพัดเรื่องในสังสารวัฏฏ์ แล้วแต่ว่าขณะนั้นจะทำให้จิตเกิดนึกถึงอะไร แต่ทันทีที่รู้สึกตัว ห้ามที่จะไม่ให้ติดข้องไม่ได้เลย ไม่มีอะไรก็จริงที่จะปรากฏเป็นรูปเสียง กลิ่น รส อะไรแต่ความพอใจความยินดีในการเกิดขึ้นเป็นก็มีแล้ว

    เพราะฉะนั้น จะได้ยินคำว่า ภวาสวะ อาสวะคือกิเลสที่ละเอียด เดี๋ยวนี้กำลังเป็นไป พอเห็นแล้ว ไม่รู้แล้ว พอใจติดข้องแล้ว จึงมีอวิชชาสวะ กับกามาสวะ พอใจในสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ไม่รู้เลย เพราะฉะนั้น ความไม่รู้มีมากไม่สามารถจะรู้ความจริงของธรรมได้เลย ทั้งๆ ที่เป็นอย่างนั้น

    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมอนุเคราะห์ให้เห็นความไม่ใช่เรา แสดงอย่างละเอียดยิ่ง แม้ขณะนี้ อกุศลเกิดแล้วไม่รู้ตัว แต่ต้องศึกษาตามลำดับ คือ จิตทีละหนึ่งขณะ จึงสามารถที่จะเข้าใจได้ และเห็นได้ว่า ไม่ใช่เราจริงๆ ตอนนี้มโนทวาร มีใครไม่รู้บ้าง

    ทวาร คือ ทาง เวลาคิดนึกไม่ต้องอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่คิดเมื่อไร ขณะนั้นไม่ใช่ภวังค์แล้ว เพราะฉะนั้น วิถีจิตแรก ไม่ใช่ภวังค์ อาศัยใจ คือ มโนเป็นทวาร คือ ทางเกิดขึ้น นึกถึงสิ่งนั้นซึ่งไม่ปรากฏสำหรับวาระที่เป็นวาระแรกของชาติหนึ่งชาติหนึ่ง แต่ก็ยินดีแล้วในความเป็น

    มโนทวารวิถีจิตไม่ใช่รูปมากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใช้คำว่า มโนทวารเมื่อไร ไม่อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย เพราะฉะนั้น คิดนึกต้องอาศัยมโนทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้นเป็นวิถีจิตแรก ใช้คำว่า วิถี เรียกชื่อจิตแต่ละหนึ่งประเภทที่ทำกิจนั้นๆ เพราะฉะนั้น เมื่อจิตนั้นทำกิจรู้อารมณ์ นึกถึงอารมณ์ขณะแรกเป็นวิถีจิตแรก ถ้าวิถีจิตแรกไม่เกิด จิตต่อไปที่จะอาศัยมโนทวารเกิดไม่ได้ ต้องมีจิตนี้เป็นวิถีจิตแรกชื่อว่า มโนทวาราวัชชนะ ได้ยินคำนี้เมื่อไร เป็นวิถีจิตแรกทางใจ ดับแล้ว เมื่อจิตนี้ดับแล้ว จิตต่อไปต้องเป็นกุศล หรืออกุศล สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์กุศลก็ดับแล้ว อกุศลก็ดับแล้ว เพราะว่ากุศล และอกุศล เป็นเหตุที่จะให้เกิดปฏิสนธิต่อไปที่จะต้องให้ผลเป็นวิบาก ด้วยเหตุนี้สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ แม้พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ก็ยังมีกุศลจิต และอกุศลจิต เพราะว่ากิเลสยังดับไม่หมด จึงไม่ใช่พระอรหันต์ เมื่อมโนทวาราวัชชนจิตดับแล้ว จิตต่อไปต้องเป็นกุศล หรืออกุศล

    สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ เกิดมาแล้ว ตอนเกิดรู้สึกตัวไหม โลภะเกิดแล้ว ยินดีแล้วในภพชาติ แต่บางเบามาก เหมือนขณะนี้ เห็นแล้ว อกุศลเกิดแล้ว ก็ไม่รู้ จึงเป็นอกุศลประเภทอาสวะ เพราะฉะนั้น อกุศลเจตสิกก็จะมีความเป็นไปต่างๆ ซึ่งทรงแสดงไว้ละเอียดว่า อกุศลเจตสิกประเภทไหนเป็นอาสวะ เป็นอนุสัย เป็นนิวรณ์ หรือว่าเป็นสังโยชน์ นี่คือกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง แต่ละเอียดยิ่ง และความจริงละเอียดยิ่งกว่าที่ทรงแสดง โดยประเภทหรือโดยจำนวน เพราะว่าแต่ละหนึ่ง เป็นธาตุซึ่งเกิด และดับไปไม่กลับมาอีก แต่ก็ปรุงแต่งให้ขณะต่อไปหลากหลายไปอีก เพราะฉะนั้น ประมาณไม่ได้เลย จึงทรงประมวลธรรมไว้เป็นประเภทประเภท จิตเป็นจิต เจตสิกแต่ละหนึ่งก็เป็นเจตสิกแต่ละหนึ่ง รวมทั้งหมดก็ ๕๒ ประเภทสำหรับเจตสิก รูปก็หลากหลายไป

    การฟังธรรมต้องเข้าใจ ตอนนี้ยังไม่พูดถึงปัญจทวารเลย พูดถึงมโนทวารก่อน วิถีจิตแรกต้องรำพึงหรือนึกถึงอารมณ์นั้น จึงจะมีโลภะ หรือโทสะ ในอารมณ์ที่นึกถึงได้ เพราะว่า ปกติเวลาคิด รู้ไหมว่าขณะนั้นคิดด้วยความโกรธ ไม่มีอะไรเลยแต่ยังจำเรื่องที่เคยโกรธไว้ได้ ไม่สนใจในสิ่งที่ปรากฏก็ได้ แต่ว่าทางใจคิดแล้ว ขุ่นใจแล้ว หรือว่าคิดถึงสิ่งที่ชอบใจ ทันทีที่ตื่น คิดถึงหรือเปล่า คิดแล้ว คิดถึงอะไร เมื่อวานนี้ก่อนจะนอนทำอะไรบ้าง รุ่งขึ้นจะทำอะไร บางคนคิดต่อทันทีเลยรีบลุกขึ้นไปทำสิ่งนั้น เพราะว่าคิดถึงสิ่งนั้นก่อนนอน ด้วยโลภะหรือด้วยโทสะ หรือด้วยกุศลก็ได้

    เพราะฉะนั้น ชีวิตของแต่ละคนหลากหลายมาก บางคนก็กุศลมาก บางคนก็กุศลน้อยบางคนก็โลภะทั้งวันเลย ของนั้นก็สวยอยู่ที่ร้านนั้น อาหารนี่ก็อร่อยอยู่ที่นี่ ต้องรีบไปแต่เช้าเดี๋ยวปลาจะไม่สด อะไรก็แล้วแต่ สารพัดยังมีโลภะ เพราะฉะนั้นจะให้คิดอะไร แต่ว่าขณะใดก็ตาม ถ้าโทสะกำลังขุ่นใจมากๆ ขณะนั้นพอตื่นก็โทสะแล้วได้ นี่ก็เป็นชีวิตประจำวัน แต่ต้องแยกทวาร วิถีจิต คือ ตอนหลับสนิทเป็นภวังค์ ชื่ออะไร เป็นใคร อยู่ที่ไหน ญาติพี่น้อง สมบัติอะไร ไม่รู้เลย ไม่มีเลย แต่พอตื่นขึ้น จำไว้ได้หมดอยู่ที่ไหน เรื่องอะไร แล้วก็พอจิตทางใจเกิดขึ้นโดยวิถีจิตแรกคือจิตที่เป็นวิถีแรกคือมโนทวาราวัชชนจิต เกิดแล้วดับไป กุศลหรืออกุศลต้องเกิดสืบต่อ

    เพราะฉะนั้น ต้องแยก ๖ ทาง เวลาที่เป็นปัญจทวาร ไม่ได้อาศัยมโนทวารเลย แต่ยังคงอาศัยทางหนึ่งทางใดจนกว่ารูปที่กระทบนั้นจะดับไปก่อน และมโนทวาราวัชชนจิต ที่ใช้คำว่า โวฏฐัพพนจิตทางปัญจทวาร เพราะไม่ได้ทำอาวัชชนกิจทางใจ แต่จิตนี้สามารถจะเกิดได้ทั้ง ๖ ทวาร นี่คือจิตแต่ละหนึ่ง ไม่มีใครไปบังคับว่าต้องเป็นอย่างนี้ แต่จากการตรัสรู้ทรงแสดงความละเอียดยิ่ง ถึงความต่างกันของจิตแต่ละขณะ ประกอบด้วยเจตสิกหลากหลายต่างกันอย่างไร และก็เจตสิกแต่ละหนึ่งเป็นปัจจัยโดยสถานใดหลากหลายด้วย

    การศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจ เพราะฉะนั้น ก็ถูกต้องที่ถาม แต่จากคำตอบจะต้องแยก ๖ ทวาร สำหรับมโนทวาราวัชชนจิต ถ้าเกิดทางปัญจทวารไม่ได้ทำอาวัชชนกิจ ไม่ได้เป็นวิถีจิตแรก วิถีจิตแรกทางปัญจทวารก็แล้วแต่ จะเป็นจักขุทวาราวัชชนจิตทางตา โสตทวาราวัชชนจิตทางหูก็แล้วแต่ประเภท

    อ.วิชัย การรู้ทั่วถึงอรรถ รู้ทั่วถึงธรรม ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง ทุกคำที่ได้ยิน เข้าใจคำที่ได้ฟัง เพราะเหตุว่าถ้าไม่เข้าใจ จะเป็นผู้ที่ฟังมากได้อย่างไร เพราะเพียงแค่ได้ยินแล้วก็ไม่ได้ไตร่ตรอง เพราะฉะนั้น ทุกคำสามารถที่จะเข้าใจขึ้น แต่ต้องไตร่ตรอง และเห็นประโยชน์

    อ.วิชัย อย่างเช่นถ้ากล่าวถึงจิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘ ก็เหมือนกับบุคคลที่ศึกษามาแล้ว ก็เหมือนจะจำได้

    ท่านอาจารย์ แล้วเดี๋ยวนี้ จิตไหน ยังไม่รู้ แต่ก็จำไว้มากมายเลย มโนทวารวัชชนะ เป็นจิตรึเปล่า

    อ.วิชัย เป็น

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีไหม ถ้าไม่มี เรียนทำไม ฟังทำไม แต่เพราะมีแล้วไม่รู้ต่างหาก จึงฟังให้เข้าใจตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่เรา แต่มีจริงๆ แล้วเป็นอะไร ก็เป็นธาตุหรือธรรม ซึ่งหลากหลายมาก จิตก็เป็นจิต เจตสิกก็เป็นเจตสิก แต่ละหนึ่งก็ไม่สับสน ไม่ปะปนกันเลย แล้วจิตแต่ละหนึ่ง ใครให้เกิดได้สักหนึ่งไหม ใครจะทำให้จิตหนึ่งขณะ ไม่ว่าจิตอะไรทั้งสิ้น เกิดได้ไหม ไม่มีใครสามารถที่จะทำได้เลย

    เพราะฉะนั้น จิตขณะนี้ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะปัจจัย เฉพาะที่จะให้จิตนั้นเป็นอย่างนั้น โดยที่ว่าไม่มีใครที่จะไปดลบันดาล ให้เป็นอย่างนี้หรือ ว่าไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย นี่คือความเข้าใจ เพื่อที่จะรู้ว่า ไม่ว่าจิตต่อไปอีกกี่จิต เราจะค่อยๆ ได้ยินชื่อก็คือ สภาพธรรมซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมด อกุศลโลภะใครชอบ มีมากชอบหรือเปล่า ต้องตรงแล้วก็จริงใจ ไม่ใช่เราแต่เป็นธาตุที่ติดข้อง

    ศึกษาให้เข้าใจความเป็นจริงของธาตุนั้น ไม่ใช่เราเลย ใครจะห้ามไม่ให้ธาตุนี้เกิดขึ้นได้ไหม แต่เพราะไม่รู้ใช่ไหมว่า ขณะนี้ทุกอย่างที่เกิด ดับทันทีแทบจะกล่าวได้เลยว่า ทันทีที่เกิดก็ดับ เร็วมากสุดที่จะประมาณได้ ดับแล้วเป็นอย่างไร ไม่เหลือเลย แล้วก็ไม่กลับมาอีกด้วย ชอบไหม ลังเลไหมแต่ยังชอบ เพราะเหตุว่า ยังไม่ได้ประจักษ์ความจริง ด้วยเหตุนี้กิเลสมากมาย นับไปเถอะวันนี้ทั้งวันเท่าไรแล้ว เมื่อวานนี้อีกแล้วตั้งแต่เกิด แล้วชาติก่อนๆ อีก แล้วก็ ๔ อสงไขยแสนกัป หรือยิ่งกว่านั้น เพราะอะไร ๔ อสงไขยแสนกัป คือการบำเพ็ญบารมีของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งครั้งนั้นเป็นพระโพธิสัตว์ ผู้ยิ่งด้วยปัญญา แต่ถ้ายิ่งด้วยศรัทธา ๘ อสงไขยแสนกัป แต่ถ้ายิ่งกว่านั้นอีกคือยิ่งด้วยวิริยะ ความเพียร ๑๖ อสงไขยแสนกัป แล้วเราอยู่ไหน รู้แค่ไหน ฟังวันนี้มาจากก่อนนี้เท่าไร

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งซึ่งต้องรู้ตามความเป็นจริง อกุศลมาก ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีหนทางดับ คิดเองไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ แต่อาศัยการที่ได้ฟังพระธรรม แสดงความจริง และแสดงหนทางด้วย ที่จะให้รู้ความจริง ไม่ใช่ว่าแสดงเปล่าๆ แต่ว่าทรงแสดงหนทางที่งามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด ที่สามารถที่จะให้ถึงการเป็นพระอริยบุคคล แม้ในขณะนี้ แต่ด้วยปัญญา ปกติธรรมดาเหมือนเดิม เพราะเหตุว่า ขณะนี้มีแข็งปรากฏ ก็ไม่รู้ จากไม่รู้เป็นรู้ ต่อไปเป็นละการยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ละว่าเคยเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ตามความจริงก็คือว่า สิ่งนั้นเป็นอื่นไม่ได้ แข็งเป็นแข็ง เกิดขึ้นเป็นแข็ง แล้วดับ ไม่ใช่เฉพาะแข็ง ทุกอย่างไม่เว้นเลย นี่คือการที่จะเข้าถึง แม้คําที่ตรัสไว้สั้นๆ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าฟังมาก แต่ไม่เข้าใจ แต่ฟังน้อยแค่ ๓ คำ แต่มีอะไรพ้นจากสามคำบ้าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิด อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งนั้นเลย

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจ ฟังสิ่งที่ได้ฟัง แล้วก็ไตร่ตรอง กว่าจะมั่นคง ไม่เปลี่ยนเลย แล้วเห็นประโยชน์ด้วยว่า เกิดแล้วอย่างไรก็ต้องตาย รู้ดีกว่าไม่รู้ อยู่ทำไม เพลิดเพลินไป สุขบ้างทุกข์บ้าง แล้วก็จากโลกนี้ไป ทั้งๆ ที่ฝันค้าง ยังไม่จบเลย พรุ่งนี้จะทำอะไร บางคนเดินทางยังไม่ถึงที่หมายเลย อุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าบนเครื่องบิน รถยนต์ รถไฟ หรือ จักรยานยนต์ หรืออะไรก็ได้ทั้งหมดเลย ไม่มีใครสามารถ ที่จะรู้ได้ จากไปด้วยความไม่รู้มาตลอดชาติ ชาติหน้าจะรู้ไหม

    ถ้าไม่มีโอกาสได้ฟัง ไม่มีทางเลย มิฉะนั้นจะไม่เข้าใจความหมายของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เข้าใจคำที่พูด ขอถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง ขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง พุทธัง สะระณังคัจฉามิ พูดแล้วต้องจริง แต่จะพึ่งได้อย่างไร ปรินิพพานแล้ว แต่พระธรรมยังอยู่ แล้วก็ไม่ได้มอบหมายให้ใครเป็นศาสดา แทนพระองค์เลย ตรัสว่าพระธรรมที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว แล้วจะมีใครจะไปทำให้มีคำพูดที่เหนือกว่าพระธรรมที่ตรัสไว้ดีแล้วได้ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย

    ทุกคำเป็นวาจาสัจจะ เข้าใจเมื่อไร ไม่ใช่เรา ญาณ หรือ ปัญญา จนกระทั่งเป็น ญาณสัจจะ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้ง อริยสัจจธรรม ซึ่งเราได้ยินตั้งแต่เด็ก ทุกขอริยสัจจะ ทุกขสมุทยอริยสัจจะ ทุกขนิโรธอริยสัจจะ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจจะ ง่ายๆ ก็คือทุกข์แน่ๆ เป็นความจริง เพราะทุกอย่างสุขเกิด แล้วก็ดับ นี่คือความหมายของทุกข์ ทุกอย่างที่ไม่เที่ยงนี่ไม่ยั่งยืนเลย แล้วไม่เหลือด้วย แล้วไปติดข้องในสิ่งซึ่งไม่มีแล้ว ฉลาดไหม ไม่มีก็ยังติดข้อง แสดงว่าความไม่รู้นี่มากแค่ไหน ดับแล้วแต่ไม่รู้เลย ก็ยังคิดว่า ยังมีอยู่ เพราะยังไม่ประจักษ์การเกิดขึ้นแล้วดับไป แต่ผู้ที่ได้ตรัสรู้แล้วมี พระโสดาบันในครั้งนั้นก็มาก พระสกทาคามีบุคคล พระอนาคามีบุคคล พระอรหันต์ ทำไมถึงได้เป็นได้ เพราะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง พึ่งใครก็พึ่งไม่ได้ เพราะไม่สามารถที่จะมีใครให้ความเห็นที่ถูกต้องในความเป็นจริงว่า เกิดแล้วตายแน่ๆ อยากเป็นคนไหน คนมีกิเลสมากๆ หรือว่ามีกิเลสน้อยๆ หรือว่าจะเป็นคนมีทรัพย์สินมาก โลภโมโทสันไม่หยุด มากเท่าไร ก็ยังไม่พอ ดีไหม ใครชอบบ้าง จริงใจของทุกคน ไม่มีใครนิยมสรรเสริญ ยกย่องอกุศลใดๆ ใครทำบาปกรรมทำทุจริตกรรม ยกย่องไหม แม้แต่จะทักทาย จะกราบไหว้ยกมือ ตามขนบธรรมเนียม จริงใจหรือเปล่า เพราะว่าจริงๆ แล้วทุกคน ต้องมั่นคงใน การที่สรรเสริญยกย่อง บูชา ความดีเท่านั้น

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 176
    11 มี.ค. 2567