ปกิณณกธรรม ตอนที่ 773


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๗๓

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมเอเชียน หาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๒๓ ถึง ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ โดยความเป็นผู้ละเอียด แล้วไม่ลืมว่าเพื่อละ แต่ถ้าเพื่อได้ ผิดทันที ชาวโลกอีกแล้ว กลับจากการฟังธรรม มาเป็นชาวโลก เดี๋ยวก็เป็นชาวโลก และเมื่อไหร่ที่จะเข้าใจธรรม พอที่จะรู้ว่าโลกที่ไม่รู้ความจริง กับความจริงที่สามารถเข้าใจโลก ที่เคยเป็นโลก ที่เคยไม่รู้มาก่อน ถูกต้องกว่ากัน แล้วก็เป็นประโยชน์มหาศาล มิฉะนั้นแล้วถอยกลับไปแสนโกฎิกัปป์ เป็นใครอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ทีละหนึ่งขณะจิตที่เกิดดับสืบต่อมาจนถึงวันนี้ แล้วก็ต่อไปอีกทีละหนึ่งขณะจิตต่อไปอีกแสนโกฎิกัปป์ หรือเท่าไหร่ ก็แล้วแต่ว่ายังมีปัจจัยที่จะทำให้เกิด โดยไม่รู้เลยว่า เมื่อวานนี้หมดแล้วใช่ไหม หายไปไหนหมด น่าจะเหลือไว้บ้าง ไม่มีสักขณะเดียว ไม่ว่าจะเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม แต่ขณะนี้หายไปหรือเปล่า ไม่รู้ เหมือนเมื่อวานนี้เลย ค่อยๆ หายไป หมดไป ดับไป ทีละหนึ่งขณะ เดี๋ยวนี้ก็ค่อยๆ หมดไป ดับไป ทีละหนึ่งขณะ จนถึงพรุ่งนี้ เมื่อวานนี้ ไม่เหลือแล้ว ก็เดี๋ยวนี้ยังเป็นวันนี้อยู่ ยังไม่ใช่เมื่อวานนี้ แต่ความจริงเหมือนกันทุกขณะ

    เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง จิรกาลภาวนา เป็นการอบรมที่ยาวนาน เพราะว่าต้องเป็นความเห็นถูกต้องของตนเอง ที่ขณะที่ฟังเริ่มรู้ว่าเข้าใจอะไรขึ้น ตรงที่สุดขั้นฟัง ยังไม่ใช่การประจักษ์แจ้งอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความละเอียดยิ่งของสิ่งที่มีในขณะนี้ซึ่งกำลังเกิดดับ แต่เมื่อเป็นความจริงวันหนึ่ง ไม่ต้องคิดเลย เมื่อไหร่ อยู่มานานเท่าไหร่แล้ว เพราะฉะนั้นวันหนึ่งข้างหน้าก็สามารถที่จะรู้ความจริงนี้ได้แน่นอน ด้วยการที่เข้าใจถูกต้อง ละไม่ใช่ติดข้อง ค่อยๆ ละเป็นหนทางที่จะทำให้สามารถดับกิเลสได้หมด เพราะเหตุว่ากิเลสมีมาก เพราะฉะนั้นความหวังดีเป็นความหวังดี แต่ไม่เดือดร้อนเพราะรู้จักธรรมว่า ธรรมต้องเป็นไปตามธรรม ต่อให้จะหวังดีกัน ๑๐ คน ๒๐ คน ๑๐๐ คน แต่ธาตุทั้งหลายก็ต้องเป็นไปตามธาตุที่สะสมมาอย่างนั้น ที่จะเป็นอย่างนั้น ส่วนใดที่ดี ส่วนนั้นก็สะสมสำหรับธาตุนั้น จิตนั้น ส่วนใดที่ไม่ดี ก็สะสมไปแต่ละจิตก็เหมือนกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นพบกัน เป็นมิตรที่หวังดีจริงๆ ไม่หวังร้ายเลย ไม่ว่าในเรื่องใดทั้งสิ้น เพราะว่า แล้วก็จากกันเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากกว่านี้เลย แต่ละภพแต่ละชาติ

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นโอกาสที่จะได้เป็นคนดีด้วยการเข้าใจพระธรรม แล้วก็สะสมความเห็นถูก เพื่อที่จะขัดเกลาจิต คนฉลาดเห็นโทษ ขัดเกลาเลยไม่รอ พรุ่งนี้ขัดเกลาดีไหม ช้าไปแล้ว เพิ่มกิเลสอีกตั้งเท่าไหร่ในวันนี้ เพราะฉะนั้น ทุกขณะนี้ เป็นขณะที่มีค่าจริงๆ ถ้าได้เข้าใจว่าประโยชน์อยู่ที่แต่ละขณะ ซึ่งมีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์ มีโอกาสได้ฟังพระธรรม มีโอกาสได้รู้จักยาที่จะรักษาโรคของจิต ซึ่งมากยิ่งกว่าที่เขากำลังหวั่นกลัวกันนั่นคือภายนอก แต่สิ่งที่อยู่ข้างในแท้ๆ อะไรจะขัดเกลาได้ นอกจากพระธรรมที่เกิดจากความเข้าใจ เพื่อละ ต้องไม่ลืมคำนี้ เพราะว่าต่อไปก็จะเห็นโลภะ คอยแทรกเข้ามา จนกว่ามรรคจิตจะเกิด สามารถที่จะติดตามไปได้ถึงอย่างนั้น เพราะว่าได้สะสมมามาก แล้วก็ละเอียดขึ้นด้วย ต้องเป็นปัญญาความเห็นที่ถูกต้องอย่างมั่นคง ที่จะรู้ว่าผิด ถ้าติดแม้เพียงเล็กน้อย ก็คือขณะนั้น ไม่ไช่ความเข้าใจธรรม เพราะว่าเข้าใจธรรมเมื่อไหร่ ขณะนั้นไม่ติดข้อง แต่ก็ค่อยๆ ละความไม่รู้ และความติดข้อง ซึ่งเป็น สมุทัยความติดข้อง ทั้งวันตั้งแต่เช้ามาเท่าไหร่แล้ว มองไม่เห็นเลย

    เพราะฉะนั้น ยากกว่าใช่ไหม ที่จะพยายามไปเป็นตัวตน คิดว่านั่งหน่อยหนึ่ง เดินหน่อยหนึ่ง นั่งเฉยๆ ไป แล้วก็จะละกิเลสได้ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ทรงแสดงพระธรรมละเอียดยิ่งขึ้น โดยประการทั้งปวง ที่จะให้เกิดความเข้าใจ เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้จักประโยชน์ในการฟังธรรม ไม่คิดเอง ฟังคำใด ไตร่ตรองคำนั้น แต่เท่าที่สังเกต ฟังธรรมด้วยความเป็นเรา ไม่ถูกต้อง เราฟัง เราสงสัยตรงนี้ เลยกลายเป็นคนคิดธรรม แทนที่จะพิจารณาไตร่ตรองธรรม ทำไมตรงนี้เป็นอย่างนั้น ทำไมพระพุทธเจ้าทรงทราบว่า คนนี้ถ้านั่งต่อไป เขาจะได้ถึงการเป็นพระโสดาบัน เพราะสามารถที่จะประจักษ์ซึ่งปัญญาที่ได้สะสมมา

    แต่เมื่อไม่ถึงเวลาที่จะเกิด ปัญญานั้นก็ถูกปกปิดไว้ด้วยความเป็นปกติของชีวิต ซึ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่สะสมมา ที่จะเกิดขึ้นในแต่ละชาติ เขาก็สงสัยทำไมพระพุทธเจ้าไม่ตรัสบอกให้เขาอยู่ เขาก็จะได้เป็นพระโสดาบัน นี้คิดธรรม ไม่ได้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นฟังธรรมแล้วคิดธรรม มีประโยชน์อะไร ทำไมไม่ฟังแล้วเข้าใจว่า ปัญญาของเราแค่นี้ ฟังแค่นี้ก็อีกนานไหม กว่าจะเข้าใจ จนกระทั่งสามารถที่จะเริ่มรู้ และเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังตรง เห็น กำลังรู้ตรงเห็น ไม่คิดเรื่องอื่นเลย แต่ไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา ยากไหม

    เพราะฉะนั้น ก็มีการส่งเสริมสนับสนุนโลภะ ให้ทำอย่างนี้จะได้รู้เร็ว ให้ทำอย่างนั้นเป็นทางลัด ทางผิดเพราะ เหตุว่าไม่ใช่ทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้ที่ทรงประจักษ์ว่า กิเลสมาก และเป็นนามธรรม หนทางอื่นไม่มีเลย นอกจากมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเริ่มด้วยความเห็นถูก ตั้งแต่ขั้นการฟัง ปริยัติ ฟังแล้วอย่าคิดว่าจะไม่เปลี่ยนเป็นอื่น ฟังแล้วยังเปลี่ยนได้ โลภะพาไปได้หมดเลย มีโอกาสเมื่อไหร่ก็พาไป ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านมีมิตรสหาย ๕๐๐ คนนับถือลัทธิอื่น ท่านก็พาไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ฟังพระธรรม มีศรัทธาทะนุบำรุงพุทธศาสนาตลอดเวลาที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ แต่พอพระพุทธเจ้าเสด็จจาริกไปสู่ที่อื่น สหายของท่านอนาถบิณฑิกก็กลับไปหาครูอาจารย์เดิม พระพุทธเจ้าเสด็จกลับมา ก็กลับมาอีกแต่ว่าได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบัน ใครไม่ใช่เราใช่ไหม แต่ละหนึ่ง ต้องเป็นผู้ที่รู้จักตัวเอง ขัดเกลาตัวเอง ไม่ใช่ไปจำแบบคนนั้นมา พระพุทธเจ้าประทับนั่งทำสมาธิใต้ต้นโพธิ์ ก็จะไปนั่งใต้ต้นโพธิ์ทำสมาธิ จะได้รู้ความจริง ไร้สาระ และก็ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะไม่มีเหตุผลอะไรทั้งสิ้น ไม่มีแม้แต่ว่าปัญญารู้อะไร เดี๋ยวนี้กำลังมีสิ่งที่ปรากฏ ปัญญารู้ได้ไหม อวิชารู้ไม่ได้แน่ อกุศลธรรมทั้งหลายก็รู้ไม่ได้ แม้สติก็ไม่สามารถจะรู้ได้ ต้องเป็นหน้าที่ของปัญญาเจตสิกเท่านั้น แต่ว่าปัญญาเจตสิกจะเกิดตามลำพังไม่ได้เลย จะต้องมีสภาพนามธรรมซึ่งเกิดพร้อมกัน ทั้งฝ่ายดีจะไปเกิดกับฝ่ายไม่ดีไม่ได้ อกุศลเจตสิกจะไปเกิดกับกุศลเจตสิกไม่ได้ กุศลเจตสิกก็จะไปเกิดกับอกุศลเจตสิกไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ธรรมฝ่ายดี กว่าที่จะเกิดพร้อมกันเป็นกุศลหนึ่งขณะ คิดดูสิ อย่างน้อย ๑๙ โสภณเจตสิก ขาดไม่ได้เลยสักหนึ่ง ไม่ใช่เราเลย เดี๋ยวนี้เอง ทั้งหมดเป็นจิต เจตสิก ซึ่งถูกปิดบังไว้ นานแสนนาน การฟังพระธรรมค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เริ่มเปิดเผยสิ่งที่ปกปิดไว้ ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่เรา แต่ว่าละเอียดมาก เพราะว่าอยู่ในความมืดมานานแสนนาน มืดสนิท

    เพราะฉะนั้น กว่าพระธรรมที่ได้ฟังแล้ว จะเริ่มทำให้สิ่งที่กำลังมืดอยู่ขณะนี้ไม่ปรากฏเลย ค่อยๆ ปรากฏด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะเหตุว่า ขณะนี้ไม่ใช่เราที่เห็น ไม่ใช่เราที่คิด แล้วคิดเป็นอย่างไร เห็นเป็นอย่างไร อยู่ในความมืดเพราะเหตุว่าความเข้าใจยังไม่พอ เป็นผู้ตรงที่สุดจึงจะได้สาระจากพระธรรม ต้องประกอบด้วยบารมี ธรรมที่จะทำให้จากฝั่งของกิเลส ค่อยๆ ไปถึงฝั่งที่ดับกิเลสได้ จะขาดบารมีสักอย่างก็ไม่ได้ นี่เป็นเหตุที่ขาดการฟังพระธรรมไม่ได้ แต่ไม่ควรคิดเอง ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องไปคิดอะไรที่ไม่อยู่ในพระไตรปิฏก แล้วก็ไปนั่งใฝ่หาค้นหาแต่ละคำเพิ่มเติมว่า เป็นอย่างนี้หรือเปล่า เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เป็นใคร เสียเวลาไหม คิดอย่างไร แล้วคิดได้หรือเปล่า และรู้หรือเปล่าว่าที่คิดถูกหรือผิด คิดไปทางไหนก็ตันทั้งนั้น เพราะยังไปอีกยาวไกล ที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ที่กำลังได้ฟัง

    เพราะฉะนั้น แม้แต่ที่จะการเริ่มต้นเป็นผู้ฟัง ก็ต้องเป็นผู้ตรง ที่จะรู้ว่าสาระที่จะได้จากพระธรรมก็คือ ไม่ได้ฟังคนอื่น และก็ไม่ได้คิดเองด้วย แต่ว่ามีคำที่สามารถที่จะให้เข้าใจ แต่ละคำ เมื่อเข้าใจแล้วลึกลงไปทุกครั้งจนกว่าจะถึงธรรมที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ โดยสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา เพราะฉะนั้นก็ขออนุโมทนาในบุญกุศล ที่ได้สะสมมา ที่มีโอกาสได้ฟังธรรม ได้พบกันทุกท่านทุกคน แล้วก็ต่างก็เป็นมิตรที่แท้จริงของทุกคน เพราะว่าทุกคน เห็นโทษของอกุศล และก็รู้ว่ากุศลเท่านั้นที่เป็นสิ่งซึ่งไม่เป็นโทษใดๆ ทั้งสิ้น และถ้าไม่เริ่มขัดเกลาวันนี้ จะรอเมื่อไหร่ เสียดายเวลา ถ้าจะไม่ใช่แต่ละวัน แต่ละขณะ

    อ.อรรณพ ถ้าเราได้เข้าใจธรรม กล่าวได้ไหมว่าความเข้าใจธรรม สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้ กล่าวคำนี้ได้ไหม

    ท่านอาจารย์ ความเข้าใจธรรมคืออะไร

    อ.อรรณพ คือความเข้าใจในพระธรรมคำสอน ในสภาพความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ ความเห็นถูก ปัญหาเกิดจากอะไร

    อ.อรรณพ ความไม่รู้

    ท่านอาจารย์ และความเห็นไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นแก้ปัญหาก็คือ ต้องเป็นความถูกต้อง

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจถูก ความเห็นถูกโดยอาศัยพระธรรมคำสอนของผู้รู้จริงเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ก็แก้ปัญหา ก็คืออกุศลที่เกิดกับจิตของแต่ละบุคคลด้วย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเยาวชน ปัญหาบ้านเมือง ปัญหาการพนัน อะไรทั้งหลายก็ไม่มีปัญหา

    ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่ทุกคนแก้ปัญหา ไม่ใช่เว้นคนโน้น คนนี้ ก็ไม่มีปัญหาเลย

    อ.อรรณพ ปัญหาก็คือกิเลส อกุศลที่เกิดกับจิต

    ท่านอาจารย์ ความเห็นถูก และกุศลทั้งหลาย เป็นปัญหาไหม

    อ.อรรณพ ไม่เป็น ท่านอาจารย์กล่าวว่าธรรมสำหรับทุกคน ทีนี่สำหรับเยาวชนหรือเด็กๆ เขาก็อยู่ในวัยที่ อาจจะมีความสนใจอะไรไม่ต่อเนื่องมากมาย เขาก็จะเล่นบ้าง สนุกบ้าง ธรรมสำหรับเด็กหรือเยาวชนจะอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ เยาวชนหรือสูงวัย ต้องการเพื่อน ไหม

    อ.อรรณพ ต้องการเพื่อนดี

    ท่านอาจารย์ ต้องการมิตร แต่ต้องเป็นมิตรที่เข้าใจ แล้วก็หวังดี ถ้าใช้คำว่าเพื่อนดี ก็จะถามอีกคุณสมบัติของเพื่อนดีมีอะไรบ้าง เปิดพระไตรปิฏกดู อะไรต่างๆ แค่เป็นผู้ที่หวังดีต่อคนอื่น ไม่หวังร้าย รู้ไหม นั่นคือความหมายของคำว่ามิตร ถ้าเป็นมิตรกัน จะไม่มีหวังร้ายต่อกันเลย ถ้าโกรธเมื่อไหร่ ไม่ใช่มิตรเมื่อนั้น ถ้าหวังร้ายแม้เพียงเล็กน้อย ก็ไม่ใช่มิตรเมื่อนั้น

    เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นธรรมที่ละเอียดจริงๆ แม้แต่มิตรคือความเป็นเพื่อน ถ้าแข่งดีเมื่อไหร่ ไม่ใช่มิตรเมื่อนั้น ถ้าริษยาเมื่อไหร่ ก็ไม่ใช่มิตรเมื่อนั้น ถ้าต้องการชนะเมื่อไหร่ ก็ไม่ใช่มิตรเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่ามิตรคือความหวังดี พร้อมที่จะเกื้อกูล ถ้าหวังดี และนั่งเฉยๆ เขาก็ลำบาก เราก็ไม่ช่วยเลย หวังดีหรือเปล่า เพราะฉะนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องที่กฎเกณฑ์เราจะต้องมานั่งอ่าน พระไตรปิฎกบอกมาว่า ๑๐ ข้อ ๑๕ ข้อ เราก็ต้องค่อยๆ ประพฤติไปทีละข้อ แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องของจิตใจ เป็นเรื่องของความเข้าใจ เป็นเรื่องของความเห็น ชีวิตของแต่ละคน อะไรนำไป ปกติโลภะ ความไม่รู้ นำไปในกิจทั้งปวง เมื่อไหร่ที่ปัญญาเกิดขึ้น ปัญญานำไปในกิจทั้งปวง ไม่ว่าจะพูด จะทำ จะคิด แม้เสียงด้วยความหวังดี ก็ต้องต่างเพราะมาจากใจที่หวังดี เพราะฉะนั้นบางคนก็คุ้นเคยกับการใช้เสียงแข็งกับคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชา คนในบ้านดุ ก็มีตั้งหลายเสียง และเป็นประโยชน์อะไร ขณะนั้นก็ทำร้ายตัวเองแล้ว และยังทำร้ายคนฟังด้วย ไม่ใช่มิตรแน่

    เพราะฉะนั้น มิตรต้องเป็นใจที่เป็นมิตร ที่หวังดีจริงๆ พร้อมที่จะเกื้อกูล เพราะฉะนั้นรู้ได้เลย ใครเป็นมิตร เมื่อไหร่ กับใคร เด็กต้องการมิตรไหม ต้องการ ผู้ใหญ่ต้องการมิตรไหม ต้องการ ใครๆ ก็ต้องการมิตร คนเลวต้องการมิตรไหม คนเลวก็ต้องการ เห็นไหม แล้วเราจะจำกัดไหมว่า เป็นมิตรแต่เฉพาะคนดี คนเลวไม่ต้องไปเป็นมิตรด้วย ข้อความในพระไตรปิฏกสอดคล้องกัน แต่ต้องเข้าใจ ไม่คบคนพาล แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่เมตตาเขา ไม่เมตตาเขามีประโยชน์อะไร ใจขณะนั้นเดือดร้อนแล้ว เขาก็เดือดร้อน คนพาลน่าสงสารไหม

    อ.อรรณพ น่าสงสารที่เต็มไปด้วยกิเลส อกุศล และก็ไม่รู้อะไรเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเมตตามีประมาณไหม ไม่ใช่ว่าเมตตาเฉพาะคน เฉพาะครอบครัว วงศาคณาญาติ มิตรสหาย หรือคนดี ธรรมที่ไม่มีโทษทั้งหลาย ไม่มีประมาณ ยิ่งเมตตาเท่าไหร่ ยิ่งดีเท่านั้น คนอื่นจะไม่ได้รับภัยจากเราเลย เป็นสุขไหมสำหรับเขา และเราเองขณะที่เมตตาสบายที่สุด ไม่เดือดร้อนเลย เขาร้ายเพราะว่าเป็นธาตุที่สะสมมา ใครก็เปลี่ยนแปลงธาตุนั้นๆ ไม่ได้ แสดงให้เห็นทั้งกาย ทั้งวาจา นั่นคือธาตุที่สะสมมา บอกแล้วไง ธาตุ ธรรม อนัตตา ลืมไปได้อย่างไร ก็ลืมไปเรื่อยๆ แต่ว่าถ้ามีความเข้าใจ ความเข้าใจ ค่อยๆ ไปชำระล้างอกุศล ที่จะให้ บริสุทธิ์ได้ จนกระทั่งสามารถดับไปตามประเภท ตามลำดับขั้น ก็ต้องอาศัยคุณความดี ไม่ใช่ว่าความไม่ดีจะไปละความไม่ดีได้ เพราะฉะนั้น เด็กต้องการมิตรที่ดีใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าเราตั้งหน้าตั้งตามาเข้าแถวฟังสวดมนต์ ไม่รู้เรื่อง แล้วมีประโยชน์อะไร แต่ผู้ใหญ่หรือครูบาอาจารย์สามารถเป็นมิตร หวังดี กับนักเรียนของตนได้ไหม เพราะเหตุว่านักเรียนแต่ละคนไม่เหมือนกัน ฐานะไม่เหมือนกัน วงศาคณาญาติไม่เหมือนกัน การอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ไม่เหมือนกัน การสะสมมาของเขาแต่ละคนไม่เหมือนกัน และเราจะให้ทำอะไร ไม่รู้แล้วก็เที่ยวไปนั่งบอก แล้วเขาก็ไม่สามารถที่จะรับอะไรได้ ก็เป็นเพราะไม่เข้าใจในความเป็นมิตร ถ้าในความเป็นมิตร ชั่วโมงศีลธรรมหรือจริยธรรม เป็นชีวิตตามปกติธรรมดา เป็นการอบรมของส่วนโรงเรียน ที่จะได้รู้ว่าใครชื่ออะไร รู้จักกันไหม รู้ไหมว่าเขามีพี่น้องกี่คน หรือแม้แต่ตัวเขาแต่ละคน วันนี้ทำความดีอะไรบ้างหรือเปล่า มีอะไรที่ทำให้พ่อแม่สบายใจได้บ้างหรือเปล่า ไหว้พ่อแม่บ้างไหม อะไรอย่างนี้ ค่อยๆ สอนให้เขาเห็นให้เข้าใจ ให้เขาประพฤติตั้งแต่เยาว์วัย ในสิ่งที่ถูกต้องในชีวิตประจำวัน นั่นคือธรรมที่ค่อยๆ แทรกเข้าไปในความเป็นจริงว่า ทั้งหมดเป็นอนัตตา ถ้าทำไม่ดีผลคืออย่างไร ถ้าทำดีผลคืออย่างไร เพื่อนฝูงก็มี ใครชอบคนไหน ไม่ชอบคนไหน เพราะอะไร คือประโยชน์มากกว่าการที่จะสวดมนต์ และก็ไม่เข้าใจอะไรเลย

    การฟังพระธรรม ต้องเป็นผู้ที่ตรง ตรงต่อความเป็นจริง และความจริงก็คือ ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องต่างกับคนอื่น ไม่ว่าเขาเป็นใครทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นแต่ละคำของพระองค์ ทำให้ผู้ฟังเกิดปัญญาของตนเอง แต่คำของคนอื่น ทำให้คิดเป็นเรื่องราวต่างๆ เป็นเหตุเป็นผลประมวลมา บางทีน่าฟัง น่าเชื่อถือ แต่เกิดความเข้าใจอะไรบ้าง ที่เป็นปัญญาของตนเอง นี่เป็นสิ่งที่ต่างกันมาก เราฟังเรื่องอะไรก็ได้คติจากเรื่องนั้นบ้าง ได้ความคิดต่างๆ จากแต่ละคน แต่ว่าในขณะนั้นเอง ต้องไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าถ้าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มจากการให้เราเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ และเป็นความเข้าใจของเราเองด้วย ไม่ใช่ว่าทุกคนฟังแล้ว เข้าใจเหมือนกันหมด เท่ากันหมด หรือว่าคิดอย่างเดียวกันหมด แต่ว่าความคิดหลากหลายของแต่ละคนที่สะสมมา ทำให้แต่ละท่านที่แม้เข้าใจธรรมตรง แต่การสะสมก็ทำให้ต่างกัน เป็นท่านพระสารีบุตร เป็นท่านพระมหาโมคัลลานะ เป็นท่านพระอนุรุทธะ เป็นท่านพระอานนท์

    อย่างไรก็ตามทุกท่านมีความเห็นถูกต้อง ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นปัญญาของแต่ละท่านเอง ด้วยเหตุนี้ เราก็จะเห็นผู้ที่มีความคิดความเห็นหลากหลายมาก บางความเห็นก็เป็นประโยชน์ แต่ว่าทำให้เราเกิดปัญญา ความเห็นความเข้าใจถูก ในสิ่งที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนเลย และก็ไม่ใช่ว่าเชื่อตามที่บุคคลนั้นกล่าว แต่ว่าทำให้เราเกิดปัญญา ความเห็นถูก ในสิ่งที่กำลังมี ด้วยเหตุนี้ผู้เป็น ผู้ตรง ก็จะสามารถแยกออกว่าคำใดเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้มีความเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ทีละเล็ก ทีละน้อย และยิ่งฟังยิ่งเข้าใจละเอียดขึ้น ลึกขึ้น จนเห็นว่าสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ เผินไม่ได้เลย คือคิดว่าเข้าใจแล้วอย่างที่ว่าอ่านไปตั้งหลายรอบ ก็ไม่เข้าใจ เป็นความเข้าใจระดับไหน เพราะเหตุว่าถ้าพูดถึงแต่ละคำเข้าใจได้ ธรรมคืออะไร ถ้ามีผู้สอนว่าธรรมคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังไม่พอใช่ไหม และพระพุทธเจ้าสอนเรื่องอะไร มิฉะนั้น เราก็จะมีความรู้เพียงแค่ว่า พระธรรมคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอะไร เพราะฉะนั้นจะไม่มีวันจบ และจะไม่มีวันพอ จนกว่าเป็นความรู้ ความเข้าใจของเรา ที่เกิดจากการได้ฟังความละเอียดขึ้น ความถูกต้องขึ้น จนกระทั่ง ความเข้าใจเพิ่มขึ้นที่ละเล็กทีละน้อย เพราะเหตุว่าฟังมากี่วันแล้ว เห็นเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดดับ ไม่ใช่ของเรา ไม่สำคัญเลย คำนั้นจริงตลอดทุกครั้งที่ได้ยิน และก็รู้ด้วยว่า ได้ยินบ่อยๆ อย่างนี้ นานไหมกว่าจะเริ่มรู้เฉพาะลักษณะของเห็น

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 176
    28 มี.ค. 2567