ปกิณณกธรรม ตอนที่ 774


    ตอนที่ ๗๗๔

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมเอเชียน หาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๒๓-๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ นานไหมกว่าจะเริ่ม รู้เฉพาะลักษณะของเห็น เดี๋ยวนี้ เพราะเห็นเดี๋ยวนี้ต่างหากที่เกิดแล้วดับ ถ้าไม่มีเห็นเดี๋ยวนี้จะบอกว่า เห็นเกิด และดับได้อย่างไร เพราะฉะนั้นการฟังธรรม เป็นเรื่องเข้าใจ แล้วละความคิดเห็นของตนเอง หรือว่า ความคิดเห็นเรื่องธรรม แต่ต้องมีความเข้าใจว่า สิ่งที่มีนี้ยากไหม แค่ฟังก็ยากแต่ต้องถึงการประจักษ์แจ้งเพราะเหตุว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งแล้ว ทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้ค่อยๆ อบรมความเห็นถูกจนรู้แจ้งด้วย จึงมีพระอริยสาวกมากมายในครั้งอดีต ที่เคยได้ยินชื่อกันมาแล้ว และที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ท่านเหล่านั้นก่อนจะถึงวันนั้นก็เหมือนอย่างนี้คือ เริ่มได้ยิน ได้ฟังบางชาติ ค่อยๆ สะสมความตรง ความเห็นถูกต้องว่า ปัญญา คือ สภาพที่เข้าใจถูก เห็นถูก ในสิ่งที่มีจริง โดยการได้ยิน ได้ฟัง ไม่คิดเอง และไม่ฟังคำอื่น ซึ่งไม่ทำให้เกิดความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริง

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่ละเอียดอย่างยิ่ง และต้องตรงอย่างยิ่งว่า ประโยชน์จริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ ฟังใครก็ได้ แต่จะรู้จักคนที่เราได้ยิน ได้ฟังเพิ่มขึ้นว่า เป็นความคิดของเขาเอง สอนเผินๆ มีเหตุมีผล หรือว่า ทำให้เข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาด้วยตัวเอง และสะสมประโยชน์ที่แท้จริง คือ สิ่งที่มีในขณะนี้รู้ความจริงได้แน่นอน เพราะได้ฟังแล้วว่า จริง และยังจะได้ฟังต่อจนกระทั่งมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ที่สามารถทำให้ค่อยๆ เห็นถูก คลายการที่เคยยึดถือไว้เหนียวแน่นมาก ว่าเป็นเราตลอดตั้งแต่เกิดจนตาย

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นปัจจัยที่สะสมไป ไม่ใช่เราแต่เพราะเหตุว่า ได้เริ่มเข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้นความเข้าใจนี้ก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละน้อยมาก เหมือนได้ฟังว่า เห็นเกิด ไม่ต้องคิดเลยว่า “เมื่อไหร่ปัญญาจะประจักษ์การเกิดดับ” แต่เกิดแน่ ดับแน่ เพราะว่า กำลังเห็นขณะนี้ ก่อนเห็นไม่มี และเห็นที่เห็นแล้วก็ไม่อยู่ตลอดไปว่า เป็นเห็นอย่างเดียว ยังมีสภาพธรรมอื่นแทรกคั่น ก็แสดงว่า สภาพเห็นต้องดับไป และสภาพอื่นก็ต้องเกิดปรากฏ แล้วก็ต้องดับไป และสภาพธรรมอื่นก็ปรากฏ สิ่งที่มีเป็นปกติตรงตามความเป็นจริง คือ ค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่หวังโดยไม่รู้อะไรเลย และเราก็จะเกิดปัญญาที่สามารถที่จะดับกิเลสได้ แต่เป็นผู้ที่ตรงว่า ฟังอย่างนี้เพราะความลึกซึ้งอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยกาลเวลา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสาวกทั้งหลายจึงได้บำเพ็ญบารมี คือ คุณความดี และการเห็นถูกต้องมานานแสนนานกว่าสามารถที่จะรู้ความจริงได้ เพราะฉะนั้นก็ไม่หลงไปทางอื่น ที่จะไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ

    ผู้ฟัง กราบสวัสดีอาจารย์สุจินต์ ดิฉัน จันทร์เม็ด ชมพูกาศ ตอนนั้นอยู่ในกลุ่มคนทานเจ ดิฉันไปอยู่ในนั้น ตอนนั้น ๑๐ กว่าปี ดิฉันนับถือศาสนาพุทธแต่ไม่เคยฟังธรรม แต่ไปที่นั่นเขามีจัดการฟังธรรม ตอนนั้นรู้สึกว่า เขาพูดดีแต่พอมาฟังธรรมจากพระบ้างอะไรบ้าง แล้วจนมาเจออาจารย์สุจินต์วันนั้น ฟังอยู่พักหนึ่งแล้วก็ไม่เข้าใจ แต่รู้สึกว่า เสียงเพราะ และมีบางคำที่เราพอจะเข้าใจบ้าง แต่บางคำจะไม่เข้าใจ แต่ว่าก็รู้สึกว่า ชอบ ชอบอย่างนี้แต่ก็ยังไปทางนู้นอยู่ ฟังไปฟังมาดิฉันไม่ไปแล้วที่โน่น มันไม่ใช่ เพราะว่า ที่โน่นเขาจะสอนให้แค่เราเป็นคนดี บอกว่า ให้เราเป็นคนดี แต่เขาไม่ได้บอกว่า คนดีคืออะไร อย่างไรถึงคิดดี อย่างไรถึงพูดดี อย่างไรถึงทำดี

    แต่ว่า ดิฉันฟังธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ ท่านจะอธิบายเรื่องกุศลกรรมบถ ๑๐ แล้วก็บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ นั้นคือความดีที่ดิฉันได้เข้าใจ อาจารย์สุจินต์ท่านจะย้ำเสมอว่า ดีเท่าไหร่ก็ไม่พอ แล้วก็ถ้าเรารักษาศีลแล้วก็จะต้องรักษาไปทุกภพทุกชาติ ถ้าเราให้ทานเราก็ต้องมาให้ทานทุกภพทุกชาติซึ่งมันก็ไม่จบ นอกจากเราฟังธรรม แล้วเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนแล้ว ท่านก็จะแนะนำหรือจำแนกออกให้ฟังว่า ทางตานี้ลักษณะเป็นอย่างไร ฟังธรรม ถ้าจะเข้าใจธรรมต้องรู้จักตัวจริงๆ ของธรรม ไม่ใช่แค่เรื่องธรรม เช่น ทางตา ต้องรู้จักสภาพรู้ แล้วก็สิ่งที่ปรากฏว่า มันแยกกันได้อย่างไร ทางหู เสียงกับได้ยิน ลักษณะของเขาคนละอย่าง แล้วทางใจที่คิดนึกหลังจากเห็นได้ยิน ดิฉันฟังแล้วก็พิจารณาตาม ทางนี้ได้ประโยชน์กว่า

    ดิฉันทิ้งทางโน้นทั้งๆ ที่ทางโน้นตามมาทั้งมาว่า ทั้งมาขอร้อง ฯลฯ ดิฉันไม่ไปแล้วเพราะว่า มันไม่ใช่หนทาง มันเสียเวลา อายุเราก็เยอะขึ้นไปทุกวันแล้วก็ไม่รู้ว่า เราจะอยู่ในโลกนี้อีกสักกี่วัน สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดก็คือ ฟังธรรมให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ฟังให้เข้าใจแค่เรื่องราว แล้วก็ต้องให้รู้สิ่งที่มีจริงๆ ด้วยเพื่อที่ ถ้าสติเขาเกิด เขาจะระลึกได้ตามที่เราได้ยินได้ฟังมา เหมือนกับที่เมื่อวันก่อนที่พูดถึงเรื่องโต๊ะไม่ดับ ถ้าดิฉันจะพิจารณาอย่างนี้ ถ้าผิด กรุณาให้อาจารย์สุจินต์ หรือว่าท่านวิทยากรช่วยแก้ไขให้ด้วย การที่จะเห็นโต๊ะดับ โต๊ะไม่ดับเพราะโต๊ะไม่มี โต๊ะเป็นสมมติบัญญัติ ถ้าเกิดว่า จะให้เห็นการเกิดดับต้องพิจารณาสภาพธรรมที่เห็น แล้วก็คิดนึก ที่คิดนึก เห็นนั้นไม่มีแล้วใช่ไหม เห็นดับไปแล้ว คิดนึกถึงเรื่องโต๊ะคือ เป็นสภาพอีกอย่าง ๑ แล้ว ที่เกิดดับคือ จิตเห็นแล้วก็จิตคิดที่ดับ ไม่ใช่โต๊ะเป็นตัวบ้าน เป็นหลังที่ดับ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องแน่นอน คงไม่ต้องอาศัยคำยืนยันเพราะเหตุว่า เป็นการพูดจากความเข้าใจ ไม่ใช่ต้องไปจำแต่ละคำ หรือว่าท่องมา ใช่ไหม ค่อยๆ เข้าใจขึ้นตามความเป็นจริง กว่าจะถึงเวลาที่เข้าใจได้ว่า ขณะนี้คนที่เราเข้าใจว่า มีหลายๆ คนปรากฏหรือเปล่าเมื่อหลับตา

    ผู้ฟัง คน เมื่อหลับตาไม่มี มีแต่คิดถึง คน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตา จะเป็นคนได้ไหม เพราะเพียงหลับตา ก็ไม่มีใครสักคนที่นี่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตา ความจริงของสิ่งนี้คือ เป็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็น เมื่อจิตเห็นเกิดขึ้นเห็นเท่านั้นเอง กว่าจะละคลายการยึดถือสภาพธรรมแต่ละ ๑ ซึ่งรวมกัน ก็เข้าใจยึดถือว่า เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดบ้าง เหล่านี้เป็นเราทั้งหมด ก็ต่อเมื่อได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมแต่ละ ๑ จริงๆ ไม่ใช่โดยการหวังว่า จะไปเห็นการเกิดดับ เพราะไม่ใช่เราแน่นอนแต่ต้องมีการเข้าใจขึ้น จนคลายความที่เคยยึดถืออย่างมั่นคง แล้วสติสัมปชัญญะจึงเริ่มที่จะเกิดได้ โดยความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นก็เป็นธรรม ที่แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่มีจริงอย่างนี้เป็นเรื่องเข้าใจ ไม่ใช่เรื่องหวัง และเป็นเรื่องความเข้าใจที่เมื่อเข้าใจ ก็จะละความหวัง เพราะเหตุว่า ถ้ายังหวังอยู่ตราบใดก็ไม่ใช่อริยสัจจะ ที่จะทำให้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้

    ผู้ฟัง ธรรมดาทั่วไป ถ้าเกิดหวัง ก็พิจารณาสภาพธรรมที่หวังนั้น ก็รู้ว่านั่นคือสภาพธรรมชนิด ๑ ที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นก็คือ ยังคิดอยู่

    ผู้ฟัง คิดว่านี่คือ หวัง แล้วถ้าหวังเกิดขึ้นลักษณะของหวังก็คือ มีลักษณะอีกอย่าง ๑ แล้วคิดถึงว่า นี่หวังแล้ว อันนี้คือ สภาพธรรมอีกอย่าง ๑ ที่คิดว่า นี้หวังใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เป็นความเข้าใจขึ้นของแต่ละ ๑ คิดก็คือคิด ขณะที่คิดเริ่มรู้ว่า ลักษณะนั้นเป็นธาตุรู้แต่ไม่ใช่ชื่อเลย แค่คิดก็รู้แล้ว นั่นคือรู้

    ผู้ฟัง ไม่ต้องมีชื่อแต่ว่า ลักษณะของเขามี แล้วถ้าไปคิดว่า นี่คือหวัง ขณะนั้นก็คือ อีกขณะ ๑ ที่คิดถึงหวัง ที่ดับไปแล้วใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    อ.อรรณพ แล้วคุณได้ยินจากสถานีวิทยุ มีใครแนะนำบ้างไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี ตอนนั้นดิฉันแสวงหาธรรม เปิดเจอแล้วก็สมัยก่อนที่ฟังแรกๆ ดิฉันไม่เข้าใจ จะชอบฟังพระสูตร พระสูตรนี้จะฟังง่าย แล้วก็รู้สึกว่า มันจะดี และพอมีคนถามเรื่องสติปัฏฐาน ถามเรื่องนามธรรม รูปธรรมก็จะไม่เข้าใจ ตอนนั้นหงุดหงิด แต่พอตอนนี้จะชอบฟังคนถาม แล้วก็จะฟังเรื่องนามธรรม รูปธรรม จิต เจตสิก รูป อย่างนี้มันจะเป็นประโยชน์มากกว่ามาฟังเรื่องราว แต่ฟังเรื่องราวก็คือเพื่อประกอบว่า เวลาท่านอาจารย์อธิบาย ท่านจะยกเรื่องมาอธิบายประกอบ ไม่ใช่ฟังแต่เรื่องราว แต่เราฟังธรรมก็เพื่อที่จะให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง แล้วก็ที่กำลังปรากฏ ถ้าสติเกิดในขณะไหน ปัญญาเขาก็จะรู้ว่า นี่คือสภาพธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ว่าจะต้องฟังให้เข้าใจว่า ทางตาเขามีลักษณะอย่างไร ทางหูมีลักษณะอย่างไร ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เขามีลักษณะอย่างไร ของแต่ละอย่างของเขาเพื่อที่ว่า ถ้าสภาพธรรม ๑ สภาพใดปรากฏ ถ้าสติเขาเกิดเค้าก็จะระลึกได้ว่า นี่คือสภาพธรรมที่เราได้ยินได้ฟังมาแล้ว และมันก็มีจริงอย่างนั้นด้วย จะเป็นการที่ว่า ค่อยๆ รู้จักธรรมแล้วก็ กว่าจะคุ้นเคยก็อีกนานมากเลย

    อ.อรรณพ อนุโมทนาจริงๆ กราบท่านอาจารย์ เห็นความอัศจรรย์ของปัญญาจริงๆ ที่แยกแยะได้เด็ดขาดได้ ทิ้งได้เลย

    ท่านอาจารย์ เพราะเป็นธรรม

    อ.อรรณพ อย่างนี้ก็เพราะปัญญาทำหน้าที่ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ก็เป็นสภาพธรรมนั้นที่เขาทำหน้าที่ แต่กว่าจะเข้าใจก็มาปีหลังๆ ดิฉันฟังแรกๆ ก็ไม่ค่อยเข้าใจ แล้วก็ตอนที่เขาถามเรื่องสติปัฏฐาน ดิฉันก็บางทีอาจารย์ท่านพูดถึงพระสูตร ดิฉันกำลังฟังเพลินๆ แล้วก็มีท่านผู้ฟังถามมาว่า เรื่องสติปัฏฐานอะไรอย่างนี้ เรื่องกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ตอนแรกๆ ก็ไม่อยากฟังแล้วเพราะฟังพระสูตรดีกว่า แต่พอตอนนี้ดิฉันคิดว่า การเข้าใจสิ่งที่ปรากฏอย่างนี้ ที่เขาถามเป็นประโยชน์มาก เพราะพระสูตรเรื่องราวเราจำแล้วมันก็ลืม บางทีจะไปเล่าเรื่องราวอะไรก็ลืม แต่ถ้าสิ่งที่เราฟังเข้าใจสิ่งที่ปรากฏมันจะไม่ลืม

    ท่านอาจารย์ ก็คงได้ยินดิฉันพูดหลายครั้งว่า ไม่มีอะไรที่จะทำให้มีความรู้สึกเป็นสุข และปีติ เท่ากับได้ทราบว่า มีผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรม และเข้าใจพระธรรม ต้องขออนุโมทนาทุกท่านด้วย

    สนทนาธรรมที่กนกรัตน์รีสอร์ทอัมพวาจังหวัดสมุทรสงคราม

    วันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๘

    อ.คำปั่น ในการฟังพระธรรมก็จะไม่พ้นจากการได้ยินคำว่า “ธรรม”ซึ่งบ่อยครั้งเวลาสนทนาธรรม ท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวถึงว่า ต้องไม่ลืมคำแรกก็คือคำว่า “ธรรม” ในความละเอียดแล้วที่กล่าวถึงว่า ไม่ลืมคำว่าธรรม จะเป็นประโยชน์ในการศึกษาอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก่อนคำว่า “ธรรม” ก็คือคำว่า “พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” เพราะฉะนั้นเมื่อได้ยินคำนี้ ความปีติเกิด ที่ได้มีโอกาสได้ยินคำนี้เพราะว่า นานแสนนานนับไม่ได้เลย กว่าจะมีผู้ที่บำเพ็ญบารมี จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริง เพื่อคนอื่นด้วย ไม่ใช่แต่เพียงเพื่อพระองค์เท่านั้น เพราะฉะนั้นการที่จะมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ย่อมทำให้เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเพียงคำนี้ ไม่สามารถที่จะเข้าถึงพระคุณ ที่ทรงประกอบด้วย พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ จนกว่าจะได้ฟังแต่ละคำด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ในการที่เราเป็นใคร ไม่เคยรู้อะไรมานานแสนนาน และมีโอกาสที่จะได้ฟัง ได้ยินชื่อนี้ “พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า”

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่ตั้งใจฟังด้วยความเคารพ เพื่อเข้าใจ เพราะเหตุว่า พระธรรมทั้งหมดไม่ใช่เพื่อลาภยศสักการะ แต่ว่าเพื่อหวัง ที่จะให้คนที่ไม่เคยมีความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย เรียกว่า เกิดมาด้วยความไม่รู้ แล้วก็จากไปด้วยความไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังแต่ละคำ ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เพราะฉะนั้นพระธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ซึ่งเพียงกล่าวอย่างนี้แล้วก็ไม่เข้าใจว่า พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัส และทรงแสดงเรื่องอะไร ยังไม่สามารถที่จะเข้าถึงพระคุณได้ จนกว่าจะได้ฟังแต่ละคำ ไม่ประมาทในแต่ละคำเลย และขณะที่ได้ฟัง ก็จะต้องรู้ความห่างไกลกันมากของปัญญาของผู้ที่เริ่มจะได้ฟังพระธรรม กับผู้ที่ได้บำเพ็ญบารมี นานมาก ๔ อสงไขยแสนกัปป์ หรือ ๘ อสงไขยแสนกัป หรือ ๑๖ อสงไขยแสนกัปป์ เพื่อที่จะแสดงธรรมแต่ละคำให้คนที่ไม่เคยเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ เลย ได้เริ่มเข้าใจถูก จนกว่าปัญญาจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เพราะต้องนานมากเพราะเหตุว่า พระธรรมที่ทรงแสดงเป็น “วาจาสัจจะ” คำจริงทุกคำที่แสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งทุกคนไม่ใช่เชื่อตาม แต่ฟังแล้วให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ขณะที่เข้าใจตามที่ได้ฟัง และไตร่ตรองแล้วนั่นคือ เริ่มเข้าใกล้ที่จะเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งต้องอีกนานมากเลยกว่าปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้น จนกระทั่งรู้ว่า แต่ละคำที่ตรัส เป็นคำจริง

    เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นทีละคำ ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ พิสูจน์ได้ กำลังเห็นมีจริงๆ ไม่มีใครสอนให้เข้าใจความจริงของแม้เห็น แม้ได้ยิน แม้คิดนึก แม้สุขทุกข์ ทุกอย่างที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่เคยรู้ความจริงเลยแต่ว่า พอได้ยินแล้วก็เริ่มคิดถึงความจริงของเห็น ขณะนี้เห็นมีจริง กำลังฟังคำ ที่จะทำให้เข้าใจความจริงของเห็นว่า ขณะนี้เห็นเกิด เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น แต่ละคำต้องไตร่ตรอง เห็นประโยชน์ เห็นค่ามหาศาลที่จะรู้ว่า กว่าจะบำเพ็ญพระบารมี จนกระทั่งให้เราเริ่มปีติที่ได้ฟังว่า ขณะนี้พูดถึงสิ่งที่มีจริงให้เกิดความเข้าใจขึ้นแม้ว่า ในขั้นการฟังก็เริ่มรู้ว่า ทำไมพระผู้มีพระภาคตรัสถึงสิ่งที่มีจริงธรรมดาๆ คนอื่นคิดว่า ทำไมไม่ตรัสสิ่งที่น่าอัศจรรย์ ไม่เหมือนปกติ เพราะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นคือ ผู้ที่ไม่เข้าใจ ในพระปัญญาคุณว่า สิ่งที่มีจริงนี้แหละเมื่อวานก็เห็น เกิดมาก็เห็น ต่อไปก็เห็น นอกจากเห็นก็มีได้ยิน มีคิดนึก มีสุข มีทุกข์ ทุกอย่างโดยไม่รู้เลยว่า แท้ที่จริงแล้วเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดเมื่อไหร่ก็จริงเมื่อนั้น แต่เมื่อเกิดแล้วก็ไม่ได้ยั่งยืนเลย เห็นเกิดขึ้นดับแล้วไม่เห็น ในขณะที่นอนหลับไม่มีเห็น ได้ยินเกิดขึ้นขณะที่หลับสนิทก็ไม่มีได้ยิน และสิ่งที่ ต่างเหล่านี้ที่มีหายไปไหน แล้วก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย

    เพราะฉะนั้น เป็นสิ่งซึ่งมีประโยชน์ไหมที่จะรู้ความจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างชั่วคราวมาก เราคิดถึงที่เราเกิดมาในโลกนี้ และก็ต้องจากโลกนี้ไปทุกคน ไม่เว้นแม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และประโยชน์ก็คือว่า อยู่ในโลกนี้ด้วยความเข้าใจอะไรบ้างหรือเปล่า หรือว่ามีแต่ความติดข้อง แสวงหา เป็นไปตามความต้องการ หรือว่าเป็นไปตามกิเลสตั้งแต่ตื่น โดยไม่รู้ตัวเลย เพราะฉะนั้นถ้ามีผู้ที่ได้ทรงแสดงความจริง เริ่มเข้าใจจริงๆ ว่า แท้ที่จริงถ้าไม่มีธรรมใดๆ ไม่มีสิ่งที่มีจริง เช่น เห็น ได้ยิน เหล่านี้เกิดขึ้นจะมีการเข้าใจว่า มีเราไหม จะไปเอาเรามาแต่ไหน เพราะสิ่งที่มีจริงเหล่านี้ เมื่อเกิดแล้วไม่รู้ และก็เกิดสืบต่อ ตั้งแต่เกิดจนกว่าจะตาย ก็เข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิด เป็นเราทั้งหมด เช่น ขณะนี้หรือว่า ก่อนที่จะได้ฟังธรรมก็เป็นเราเห็น เราได้ยิน เราคิด เราชอบ เราไม่ชอบ เราสุข เราทุกข์

    แต่ถ้าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นไม่เกิด จะมีเราได้อย่างไร และสิ่งเหล่านั้นที่เกิดก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่สามารถที่จะบันดาลให้เห็นเกิดขึ้นหรือให้ได้ยินเกิดขึ้น แต่ทรงแสดงความจริงว่า เห็นขณะนี้ถ้าไม่มีตา เราพูดง่ายๆ แต่ก็หมายความถึงรูป ที่สามารถที่จะกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ และก็มีธาตุที่เห็นเกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไปขณะ ๑ ที่แสนสั้น แล้วไม่มีอีกเลย แต่จากการเห็น และไม่รู้ความจริงก็ปรากฏว่า ยึดถือในเห็น และสิ่งที่ปรากฏในเห็นว่า เป็นเราเห็น เวลานี้เป็นเราเห็น และเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งความจริงเพียงปรากฏให้เห็นได้ หลับตาแล้วเราคิดว่า มีคนในห้องนี้มาก หลับตาแล้วหายไปไหนหมด ไม่มีเลยเพราะว่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็นขณะที่หลับตาไม่ได้ปรากฏ เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็มีสิ่งที่เราไม่รู้ และหลงยึดถือมากมายจนกว่าจะรู้ว่า สามารถเข้าใจถูก เกิดมาแล้วก็สามารถรู้ความจริงว่า แค่เกิดมาแล้วจากโลกนี้ไป ไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีอะไรที่จะติดตามไปได้เลยสักอย่างเดียว ร่างกายซึ่งยึดถือว่า เป็นเราใกล้ชิดที่สุดไม่ใช่ร่างกายคนอื่น แต่ร่างกายที่เคยยึดถือว่า เป็นเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ไม่ได้ติดตามไปเลย ทันทีที่ตาย หมายความว่า จิตขณะสุดท้าย ธาตุรู้ไม่เกิดที่รูปนั้นอีกต่อไป รูปนี้มีค่าอะไรหรือเปล่า เดินได้ไหม พูดได้ไหม ของเราจริงๆ หรือเปล่า ของเราก็ต้องตามไปแต่นี่ไม่ใช่เลย

    เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปคิดถึงชั่วขณะที่จะต้องตาย แต่แม้เดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น การที่มีโอกาสได้ฟังความจริง ของสิ่งที่มีจริงทีละเล็กทีละน้อย ก็จะเป็นผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพ ที่รู้ว่า ไม่มีผู้ใดในโลกหรือในจักรวาล ที่จะสามารถให้ความเข้าใจที่ถูกต้องได้แต่ว่า ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดมาก และก็เริ่มได้ยินได้ฟังคำแรก คือ “ธรรม” หมายความถึงสิ่งที่มีจริง คนไทยก็ใช้คำนี้มากแล้วก็ใช้อีกหลายๆ คำในภาษาบาลีซึ่งเป็นภาษามคธี ซึ่งสืบทอดพระศาสนา รักษาดำรงไว้ซึ่งพระธรรม แต่ว่าไม่ได้ศึกษาโดยละเอียด ก็เข้าใจผิดกันมากทีเดียว

    เพราะฉะนั้น การศึกษาพระธรรมต้องรู้ว่า เป็นสิ่งที่ละเอียด เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นต้องพิจารณาไตร่ตรอง จนเป็นความเข้าใจของเราเองทีละคำ จะทำให้สามารถที่จะเข้าใจยิ่งขึ้น และก็ไม่สับสน ต่อไปนี้ก็รู้ว่า ธรรมมีจริง หมายความถึงสิ่งที่มีจริง ไม่ต้องเรียกชื่ออะไรเลยก็มี เห็นมีแล้ว ได้ยินมีแล้ว สิ่งที่มีจริงทั้งหมดชื่ออะไร เห็นเป็นชื่อคุณอรวรรณหรือเปล่า หรือได้ยินชื่อคุณกนกวรรณหรือเปล่า หรือคิดนึกชื่อคุณปริญญาหรือเปล่า ไม่มีชื่อแต่เป็นธรรมทั้งหมด แต่ธรรมนี้หลากหลายจริงๆ เพราะเหตุว่า ธรรมที่เกิดแล้วดับ ขณะนี้ไม่ได้กลับมาอีกเลย ไม่มีทางที่จะกลับมาอีกได้

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งภาษาบาลีจะใช้คำว่า “ขนฺธ” หรือ “ขันธะ” หรือ “ขันธ์” ที่คนไทยเรียก หมายความว่า สิ่งที่มีจริงที่เกิดแล้วดับ คือ สิ่งที่มีจริง ๑ คือ ขันธ์ แล้วแต่จะเป็นอะไร ก็เป็นหนึ่งๆ ๆ ๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ เช่น เสียง เสียงเมื่อกี้นี้ได้ยินแล้วดับแล้วเป็นหนึ่ง เพราะฉะนั้น เสียงเป็นขันธ์หนึ่ง คือ สิ่งที่มีจริงหนึ่ง เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงเป็นหนึ่งๆ ๆ ๆ แต่ว่าหลากหลายมากจนต้อง ประมวล รวบรวม ให้เข้าใจตามประเภทของธรรมว่า สิ่งที่มีจริงถ้าแยกโดยประเภทใหญ่ๆ จริงๆ ก็คือว่า สิ่งที่มีจริงแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย แข็งมีจริงๆ แล้วพระผู้มีพระภาคตรัสเรื่องแข็ง แข็งสำคัญนักหรือ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 176
    25 มี.ค. 2567